ใต้หน้ากากซูเปอร์สตาร์ - ภาค 1 เล่ม 3 ตอนที่ 9-4
ตอนที่อีอูยอนพาอินซอบไปที่บริษัท สีหน้าที่โผล่มาบนใบหน้าของกรรมการผู้จัดการคิมกับหัวหน้าทีมชาคือความตกใจจนจะเป็นลม หัวหน้าทีมชาจับแขนของอินซอบไว้และถามว่าเป็นอะไรหรือเปล่า ไม่ได้บาดเจ็บตรงไหนใช่ไหม เมื่อเห็นอินซอบลังเลและไม่ตอบอะไร กรรมการผู้จัดการคิมก็วิ่งมาหาก่อนจะจับมือของอินซอบไว้และรัวคำถามใส่เหมือนปืนกล ‘นายมีเรื่องอะไรกับคิมแฮชินหรือเปล่า ทำไมจู่ๆ ถึงลาออกแล้วติดต่อกับคิมแฮชินล่ะ ที่ผ่านมาเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ ไหนลองพูดมาซิ’
ในที่สุดพิธีล้างบาปของคำถามก็จบลงหลังจากที่อีอูยอนลากกรรมการผู้จัดการผู้จัดการคิมเข้าไปในห้องของกรรมการผู้จัดการ หัวหน้าทีมชาเปิดปากพูดอย่างระมัดระวังเมื่ออยู่กันตามลำพังนอกห้องทำงาน
“มีเรื่องอะไรกันแน่”
“…ขอโทษครับ”
“แต่ถึงอย่างนั้นพอเห็นหน้าแล้ว จะว่ายังไงดีล่ะ…เหมือนจะไม่ใช่เรื่องที่เลวร้ายที่สุดนะ”
พอได้ยินคำพูดที่หัวหน้าทีมชาพึมพำเหมือนพูดคนเดียว แม้อยากจะตอบว่า ไม่ใช่ครับ เป็นเรื่องที่เลวร้ายที่สุดเลยครับ แต่อินซอบก็ไม่กล้าพูด ได้แต่คอตก
“คุณอินซอบรู้หรือเปล่าว่าสถานการณ์เป็นยังไง”
“รู้คร่าวๆ ครับ”
“พวกเราติดต่อไปตลอดเลย แต่โทรศัพท์ก็ปิด พวกเราเป็นห่วงนะ”
“ครับ…ขอโทษครับ”
อินซอบไม่สามารถพูดอะไรได้ เพราะหลังจากวันนั้นเขาก็ไม่เคยเห็นโทรศัพท์มือถือของตัวเองอีกเลย
หัวหน้าทีมชาลังเลอยู่พักหนึ่งก่อนจะลดเสียงลงแล้วกระซิบ
“ถ้าจะให้ฉันพูดมันก็ดูจะเกินไปหน่อย เพราะเป็นคนที่อยู่ในบริษัทเดียวกัน แต่ว่าคุณอินซอบ…อย่าไปยุ่งเกี่ยวกับอีอูยอนจะดีกว่านะ”
“…ครับ”
ขอโทษครับ แต่เหมือนผมจะยุ่งเกี่ยวไปแล้วล่ะครับ
“อีอูยอนเนี่ย จะว่ายังไงดีล่ะ ภาพลักษณ์ก็ดี การแสดงก็ดี เพราะฉะนั้น…เพราะฉะนั้น…คุณอินซอบหนีไปเถอะ”
ก่อนที่คำพูดสุดท้ายที่แฝงความนัยลึกซึ้งของหัวหน้าทีมชาจะหายไปกลางอากาศ ประตูห้องของกรรมการผู้จัดการเปิดออก จากนั้นอีอูยอนก็ตะโกนออกมาด้วยน้ำเสียงสดใส
“คุณชเวอินซอบ มาเซ็นสัญญาเถอะครับ เร็วๆ ครับ”
“…”
“…”
หัวหน้าทีมชากับชเวอินซอบมองหน้ากันโดยไม่พูดอะไร ในสายตาที่ไม่มีคำพูดใดนั้นมีการปลอบใจ ความเศร้า และความยินดีอัดแน่นอยู่
เมื่อออกมาจากห้องกรรมการผู้จัดหลังจากเซ็นสัญญาเสร็จ เหล่าคนที่อยู่ในออฟฟิศก็มาคุยกับอินซอบทีละคน ‘ยินดีด้วยนะครับที่กลับมาอีกครั้ง’ ‘ทำไมถึงลาออกไปแบบนั้นล่ะคะ’ ‘ในเมื่อคุณกลับมาอีกครั้งแล้ว ในอนาคตเราก็มาทำงานให้ดีกันเถอะครับ’
ขณะที่รับคำแสดงความยินดี อินซอบไม่อยากทำให้คนพวกนั้นไม่สบายใจ เขาจึงตอบรับความยินดีของพวกเขาด้วยรอยยิ้ม พนักงานหญิงที่ทำหน้าที่สรุปตารางงานยื่นตารางงานของอีอูยอนกับใบสรุปงานย่อๆ ในเวลาหนึ่งเดือนให้อินซอบ
“รายละเอียดจะส่งมาอาทิตย์ละครั้งนะคะ แม้คุณจะรู้อยู่แล้วก็เถอะ”
“ครับ ขอบคุณครับ”
อินซอบรับกระดาษไปด้วยใบหน้าเศร้าหมองและเก็บมันใส่กระเป๋า
“ไม่จดลงสมุดโน้ตเหรอคะ”
“ครับ?”
“ก็คุณมักจะจดคำที่ฉันพูดลงในสมุดโน้ตทั้งหมดเสมอเลยนี่คะ พอเห็นแบบนั้นแล้ว ฉันคิดว่าคุณอินซอบน่ารักมากเลย เหมือนได้เห็นลูกชายที่เป็นเด็กประถมไปโรงเรียนแล้วจดคำพูดของคุณครูลงไปโดยไม่พลาดแม้แต่คำเดียวเลยค่ะ”
“อ๋อ ครับ…ปะ เป็นลูกชายที่ดีนะครับ”
อินซอบยิ้มอย่างประดักประเดิดก่อนจะก้มหน้าลง ตอนนี้สมุดโน้ตและพาสปอร์ตของตนได้เข้าไปอยู่ในส่วนที่ลึกที่สุดในห้องนิรภัยของอีอูยอนเรียบร้อยแล้ว อีอูยอนไม่พูดถึงของพวกนั้นเลยแม้แต่คำเดียว เพราะอีกฝ่ายน่าจะไม่เห็นรูปที่อยู่ในสมุดโน้ต ในโชคร้ายก็ยังมีโชคดีอยู่ ไม่สิ ในสิ่งที่เรียกว่าความโชคดีนั้นมีความโชคร้ายที่ใหญ่มากๆ อยู่ต่างหาก
เขายืนอยู่หน้าประตูลิฟต์เพื่อรอขึ้นลิฟต์ ในตอนนั้นเองอีอูยอนก็พูดเสียงทุ้มต่ำ
“ยิ้มหน่อยครับ”
“…”
“การทำตัวเหมือนไอ้ลูกหมาที่โดนลากมาโรงฆ่าสัตว์นี่มันอะไรกันครับ นี่ผมบังคับฉุดกระชากคุณอินซอบมาเหรอครับ มันไม่ใช่อย่างนั้นซะหน่อย”
อีอูยอนสงสัยว่าผลลัพธ์จะออกมาเป็นอย่างไรจึงบังคับให้อินซอบโน้มน้าวใจตนด้วยคำพูดราวกับพูดเรื่องทั่วไปอย่าง ‘อารมณ์ไม่ค่อยดีเลย ออกไปตากลมกันหน่อยไหมครับ’ ชเวอินซอบรู้สึกว่ามันน่าเหลือเชื่อจึงประท้วงกลับไปว่าอีกฝ่ายหมายความว่าอย่างไรกันแน่
“ถึงผมจะทำผิด แต่คุณก็รู้นี่ครับว่าผม…แก้แค้น เพราะเรื่องที่คุณทำกับเพื่อนผม… เข้าใจแล้วครับ ถึงมันจะเป็นเรื่องที่ผมต้องรับโทษเพราะผมชอบคุณอีอูยอน แต่การที่คุณทำแบบนี้ทั้งๆ ที่ไม่คิดจะเชื่อผมอยู่แล้ว มันไม่ใช่การแกล้งผมหรอกเหรอครับ ได้โปรดอย่าทำแบบนี้เลยครับ เพราะยังไงผมก็คงได้รับโทษสำหรับเรื่องเลวร้ายทั้งหมดที่ทำลงไปอยู่แล้ว ขอร้องล่ะครับ”
แน่นอนว่าเขาพูดจนจบประโยคอย่างยากลำบากด้วยน้ำเสียงติดๆ ขัดๆ และร่างกายที่สั่นสะท้าน อีอูยอนพยักหน้าอย่างหนักแน่พลางพูดว่า ‘ครับ เข้าใจครับ นั่นสินะครับ’ ก่อนจะพูดต่อทันทีที่อินซอบพูดด้วยน้ำเสียงเหมือนจะร้องไห้จบ
“งั้นจะมาทำงานตั้งแต่วันไหนดีครับ”
ราวกับเป็นเครื่องหมายย้อนกลับที่ไม่มีที่สิ้นสุด ไม่ว่าเขาจะลองจับ ขอร้อง หรืออ้อนวอนอย่างไร อีอูยอนก็ทำแค่เพียงตีความไปตามใจชอบ สุดท้ายเขาก็ทำให้คำพูดที่ว่าจะกลับมาทำงานเป็นผู้จัดการส่วนตัวอีกครั้งหลุดออกมาจากปากของชเวอินซอบจนได้ อินซอบสวมกางเกงชั้นในและเสื้อที่อีอูยอนซื้อมาให้ออกมาข้างนอก และเรื่องที่เขาต้องทำเป็นอย่างแรกคือการมาที่บริษัทเพื่อเซ็นสัญญาที่เตรียมไว้
พอเห็นหน้าของกรรมการผู้จัดการคิมที่ซีดเซียวลงในเวลาไม่กี่วัน อินซอบก็เดาได้เลยว่าในระหว่างนั้นอีกฝ่ายทุกข์ใจมากขนาดไหน
ระหว่างที่อินซอบเซ็นสัญญา กรรมการผู้จัดการคิมก็มองมาด้วยสีหน้ายุ่งเหยิง แม้เขาจะไม่พอใจที่คนที่ออกไปแล้วครั้งหนึ่งและเหมือนจะมีความเกี่ยวโยงกับเรื่องที่ทำให้ไม่สบายใจจะกลับมาทำงานเป็นผู้จัดการส่วนตัวอีกครั้ง แต่ความจริงที่ว่าอีอูยอนเป็นคนพาอินซอบกลับเข้ามานั้นทำให้เขาไม่สบายใจยิ่งกว่าอะไรทั้งหมด
แน่นอนว่าคนที่ไม่สบายใจ และรู้สึกไม่ดีที่สุดคือชเวอินซอบ เขาสัญญากับเจนนี่ว่าจะช่วยแก้แค้นให้ แต่อย่าว่าแต่จะแก้แค้นเลย เขาตกอยู่ในสภาพที่ถ้าพลาดไปอาจโดนอีอูยอนจับกินด้วยซ้ำ
แต่สิ่งที่ปลอบใจเขาได้ก็คือรูปถ่ายในสมุดโน้ตที่ตอนนี้ได้เข้าไปอยู่ในห้องนิรภัยของอีอูยอนแล้ว เขาคิดว่าถ้าเอารูปนี้กลับไป อย่างน้อยตอนที่ไปหาเจนนี่เขาก็สามารถแก้ตัวได้ แม้ว่าสุดท้ายเขาจะไม่สามารถทำอะไรอีอูยอนได้เลยก็ตาม
ปัญหาที่ใหญ่ที่สุดตอนนี้ก็คือการทำให้คำพูดว่า ‘เชื่อ’ หลุดออกมาจากปากของอีอูยอน และทำให้คุณชเวอินซอบที่ไม่มีความผิดอะไรเป็นอิสระ
อินซอบขึ้นมานั่งบนที่นั่งของคนขับรถตู้ที่ไม่ได้นั่งมานาน และจับพวงมาลัยรถไว้ด้วยจิตใจที่ว้าวุ่น อีอูยอนที่ขึ้นตามหลังมาและปิดประตูก่อนจะเอ่ยถาม
“เพลงล่ะครับ”
“…จะให้เปิดเหรอครับ”
“ครับ เพราะผมชอบเพลงที่คุณอินซอบเลือกให้”
“…”
อินซอบรื้อลิ้นชักหน้ารถและหยิบซีดีที่ตัวเองอัดเพลงเอาไว้ออกมา เขาอาจจะทิ้งเอาไว้โดยที่ไม่รู้ตัว แต่ดูเหมือนหัวหน้าทีมชาจะไม่ได้แตะต้องมัน อินซอบหยิบออกมาแผ่นหนึ่ง และดันเข้าไปในเครื่องเล่นเพลง
หลังจากตรวจสอบตารางงานแล้ว อินซอบก็ถามอีอูยอน
“ยังมีเวลาเหลืออยู่ คุณจะกลับไปที่บ้านไหมครับ”
อันที่จริงแล้วเขาอยากจะกลับไปที่บ้านของตัวเองเพื่อจัดการเรื่องวุ่นวายนิดหน่อยก่อนออกมาหลังจากที่พาอีอูยอนไปส่งที่บ้าน ถ้าคุณตาเจ้าของบ้านเห็นเขา ท่านคงจะล้มหงายหลังไปแน่ๆ เขานึกถึงของที่บริจาคและเงินที่เหลืออยู่ในบัญชีพลางคิดว่าดีแล้วที่เหลือไว้เป็นเงินฉุกเฉิน ก่อนอื่นเขาจะเอาเงินนั้นให้คุณตาเจ้าของบ้าน และตัดสินใจว่าหลังจากที่ฝากให้คุณตาซ่อมแล้ว เขาจะต่อสัญญาอีกครั้ง
“คุณอินซอบจะทำอะไรเหรอครับ”
“ครับ”
“ถ้าผมกลับบ้าน คุณอินซอบจะทำอะไรเหรอครับ”
“ผมจะไปที่บ้านของผมครับ”
“อเมริกาน่ะเหรอครับ”
น้ำเสียงของอีอูยอนที่ถามกลับมาน่ากลัวเป็นพิเศษ
“เปล่าครับ…ที่นั่นน่ะครับ ห้องบนชั้นดาดฟ้า”
“อ๋อ ตอนนี้คุณไม่จำเป็นต้องสนใจที่นั่นแล้วล่ะครับ เพราะผมจัดการเรียบร้อยแล้ว”
อีอูยอนพูดราวกับอ่านใจของอินซอบออก
“จัดการเหรอครับ”
“ผมทิ้งของไปหมดแล้ว แล้วก็จ่ายเงินค่าซ่อมแล้วด้วยครับ แน่นอนว่าบ้านถูกยกให้คนอื่นตามกำหนดแล้วด้วย”
“…งั้นผมจะไปอยู่ที่ไหนล่ะครับ”
คำพูดนั้นฟังดูราวกับเป็นการบ่นพึมพำ การหาห้องเช่าที่ราคาถูกขนาดนั้นและสะอาดในที่ที่ใกล้กับบริษัทนั้นยากยิ่งกว่าการเห็นดาวบนท้องฟ้าเสียอีก
“ผมจะยกห้องให้ห้องหนึ่งครับ”
อีอูยอนตอบกลับเหมือนไม่ใช่เรื่องสำคัญ
“เอาเถอะครับ ผมจะไปหาห้องเองครับ”
“คิดว่าผมจะเชื่อใจปล่อยให้คุณอยู่คนเดียวเหรอครับ คุณอาจจะทำอะไรขึ้นมาตอนที่อยู่คนเดียวก็ได้”
“ผมไม่ทำหรอกครับ”
“คุณก็ต้องทำตัวให้น่าเชื่อสิครับ ผมถึงจะเชื่อ”
ตอนนี้เขาไม่มีแรงจะถาม อินซอบกำพวงมาลัยด้วยสีหน้าหดหู่ก่อนจะถอนหายใจ
“…แล้วจะไปที่ไหนดีครับ”
“ดีเลยครับ ผมคิดที่ที่จะต้องไปออกพอดี”
พูดจบ ตาของอีอูยอนก็โค้งเหมือนกับพระจันทร์ข้างขึ้น ในขณะเดียวกันความกังวลใจก็เกิดขึ้นในใจของอินซอบอย่างกะทันหัน
***
หลังจากเคาะประตูได้สองครั้ง เขาก็ได้ยินเสียงตอบกลับมาว่า ‘เข้ามาข้างในเลยครับ’ แค่ได้ยินเสียงนั้นอินซอบก็ปวดแสบปวดร้อนกระเพาะ
“รุ่นพี่ ร่างกายดีขึ้นหรือยังครับ”
อีอูยอนถามไถ่สารทุกข์สุกดิบด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนขณะเดินเข้ามาในห้องพักฟื้น เมื่อคังยองโมที่อยู่ในสภาพสวมเฝือกที่คอและนอนอยู่บนเตียงเห็นอีอูยอน เขาก็ทำหน้านิ่วคิ้วขมวดทันที
“อะไรกัน นายมาที่นี่ทำไม”
“ก็รุ่นพี่บาดเจ็บนี่ครับ รุ่นน้องอย่างผมก็ควรจะมาเยี่ยมเยียนอยู่แล้ว”
พออีอูยอนยื่นกระเช้าผลไม้ที่ถือมาให้ คนเฝ้าไข้ก็รีบรับไว้และวางบนโต๊ะ
“นายมาหาฉันตอนนี้เพียงเพราะเป็นเรื่องที่รุ่นน้องควรทำเหรอ รุ่นน้องคนนั้นมันไร้มารยามจริงๆ เลยนะ แล้วนั่นอะไรอีกล่ะ ทำไมหมอนั่นถึงเข้ามาถึงที่นี่ได้”
คังยองโมมองอินซอบก่อนจะมุ่นหัวคิ้วอย่างรุนแรง
“หะ หายดีหรือยังครับ”
“ทำไม จะมาดูหรือไง”
“ผมมา…เยี่ยมไข้ครับ”
อินซอบยืนอยู่ตรงมุมห้อง และถอยห่างออกมาจากข้างตัวของคังยองโมให้ได้มากที่สุด
พอเห็นคังยองโมกับอีอูยอนอยู่ด้วยกัน อินซอบก็ไม่สามารถควบคุมสีหน้าได้ เขานึกถึงภาพของอีอูยอนที่ออกมาจากซอยในวันนั้น
ตอนที่อีอูยอนชวนให้มาเยี่ยมคังยองโม ภาพด้านหลังของอีอูยอนที่กำลังเลือกกระเช้าผลไม้อยู่นั้นทำให้อินซอบอดสงสัยในหูตัวเองไม่ได้ อินซอบไม่แน่ใจเลยว่าคนที่ตัวเองกำลังเผชิญหน้าอยู่เป็นคนไม่ดีหรือเปล่า
“แล้วนั่นอะไรอีกล่ะ”
คังยองโมชี้ไปที่กระถางดอกไม้เล็กๆ ที่อินซอบกำลังถืออยู่พลางเอ่ยถาม
“อ๋อ จริงด้วย นี่เป็นของขวัญเยี่ยมไข้ครับ”
อินซอบวางกระถางต้นไม้เล็กจิ๋วที่ซื้อมาจากร้านดอกไม้ข้างล่างลงบนโต๊ะอย่างระมัดระวังก่อนจะพูดเสียงค่อย
“เก็บไป จะเอากระถางดอกไม้ถูกๆ นั่นไปวางไว้ที่ไหนก็ไป”
เมื่อเห็นคังยองโมเหวี่ยงใส่อย่างหงุดหงิด คนเฝ้าไข้ก็หน้าซีดและรีบเอากระถางดอกไม้ไปวางไว้ตรงมุมห้องฝั่งหน้าต่างทันที ในห้องพักฟื้นมีกระถางดอกไม้ราคาถูกที่โปรดิวเซอร์กับคนจากสถานีโทรทัศน์ส่งมาวางอยู่เกลื่อนกลาด
อินซอบคิดว่าคนที่เหมือนกันทั้งภายในและภายนอกอย่างคังยองโมซึ่งทำให้คนอื่นสามารถหลีกเลี่ยงเจ้าตัวได้ ยังดีกว่าคนที่ไม่รู้ว่าในใจคิดอะไรอยู่อย่างอีอูยอนเสียอีก