ใต้หน้ากากซูเปอร์สตาร์ - ภาค 1 เล่ม 2 ตอนที่ 6-9
“อะไรเนี่ย เริ่มกันแล้วเหรอ”
เขาได้ยินเสียงที่คุ้นเคยแต่ในขณะเดียวก็ไม่รู้สึกยินดีตรงบริเวณประตู คนที่นั่งอยู่แล้วลุกขึ้นมาพร้อมกัน อีอูยอนเองก็ลุกขึ้นมาทักทายคังยองโมด้วย
“อีอูยอน! ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ”
หากเป็นตอนปกติเขาจะถูกมองเป็นคนที่อีกฝ่ายแกล้งทำเป็นมองไม่เห็น และน่าจะเดินผ่านไปด้วยซ้ำ แต่ไม่รู้ทำไมอีกฝ่ายถึงได้แสดงสีหน้ายินดีพร้อมกับทักทายอีอูยอน แถมยังนั่งลงตรงข้ามกันอีอูยอนอีกต่างหาก
“โอ๊ะ จริงสิ นายบาดเจ็บเพราะตกลงมาจากม้านี่ ไม่เป็นอะไรแล้วเหรอ”
“ครับ ขอบคุณนะครับที่เป็นห่วง”
“แล้วผู้จัดการส่วนตัวของอีอูยอนล่ะ ไม่เป็นอะไรแล้วใช่ไหม”
“ครับ”
อินซอบตอบสั้นๆ ตัวเขาเองก็รู้สึกประดักประเดิดและเหนื่อยที่จะต้องคุยกับคังยองโม เพราะเขารู้สึกอึดอัดในหลายๆ ด้าน
“เห็นเขาบอกว่าม้าที่อีอูยอนขี่เป็นม้าที่แปลกๆ นิดหน่อยนี่ นายได้ยินเรื่องนี้หรือเปล่า”
คังยองโมใช้นิ้วชี้หัวก่อนจะหมุนนิ้วให้ดู
“ครับ ได้ยินมาบ้างครับ”
ทันที่พูดคุยเกี่ยวกับเรื่องม้า อีอูยอนก็เห็นว่าสีหน้าของอินซอบที่นั่งอยู่ข้างๆ หมองลง เขาจึงพยายามเปลี่ยนเรื่องคุย แต่คังยองโมกลับไม่คิดแบบนั้น และพูดเรื่องม้าต่อไม่เลิก
“แล้วทำไมม้าที่อีอูยอนขี่ถึงต้องเป็นม้าแบบนั้นด้วยนะ โชคร้ายจริงๆ เลย”
“นั่นสินะครับ”
อีอูยอนยิ้มน้อยๆ พร้อมกับดื่มน้ำเย็นเข้าไป ผู้กำกับที่นั่งอยู่ตรงหัวโต๊ะกระแอมออกมาก่อนจะสังเกตท่าทางของอีอูยอน
“ได้ยินว่าบาดเจ็บนิดหน่อยนี่ ไม่เป็นอะไรแล้วเหรอ”
“ครับ ขอบคุณนะครับ”
“จะไม่เป็นอุปสรรคในการถ่ายทำใช่ไหม ห้ามเป็นอุปสรรคเลยนะ ตารางงานยิ่งแน่นๆ อยู่ แม้คนที่ตารางานแน่นที่สุดจะเป็นอีอูยอนก็เถอะ”
การถ่ายทำไปออกอากาศไปเพราะส่วนที่ถ่ายไว้ล่วงหน้าไม่พอแม้จะถ่ายทำกันทุกวันเป็นวัฏจักรของวงการนี้ แม้ตอนนี้เขาจะยังกลับไปที่โซลและงีบหลับได้ แต่อีกไม่นานวันที่เขาทำได้แค่อาบน้ำที่โรงแรมแถวๆ นั้นและออกไปทำงานต่อก็จะมาถึง
ยิ่งไปกว่านั้นถ้าออกอากาศไปแล้ว ส่วนที่ถ่ายทำไว้แล้วของบรรดานักแสดงก็สามารถเปลี่ยนได้ตามกระแสตอบรับจากผู้ชม ตอนนี้อัตราการถ่ายทำของคังยองโมสูงกว่าอยู่นิดหน่อยตามต้นฉบับ แต่ถ้าออกอากาศไปแล้วก็ทำนายได้ไม่ยากจากความสามารถรอบตัวว่าไม้กระดานนั้นจะถูกพลิกกลับแน่ๆ ตอนนี้ไม่มีใครไม่รู้เรื่องของตอนจบที่น่าพึงพอใจมากซึ่งถูกเขียนเพิ่มหลังจากที่นักเขียนนิยายต้นฉบับมาที่กองถ่าย และได้ดูการแสดงของอีอูยอนไปครั้งหนึ่ง เพราะตัวละครที่อีอูยอนอ่านบทและวิเคราะห์ใหม่นั้นมีเสน่ห์จนโดดเด่นกว่าในต้นฉบับ
ถ้าจะบอกว่าตารางการถ่ายทำถูกปรับให้ตรงกับตารางของเขาเกือบทั้งหมดก็ไม่เกินจริงนัก เพราะอีอูยอนยุ่งที่สุดในบรรดานักแสดงที่ถ่ายทำอยู่ในปัจจุบัน แต่ถึงอย่างนั้นความจริงที่ว่าคังยองโมซึ่งไม่พอใจในการเคลื่อนไหวของอีอูยอนต้องปรับตารางงานของตนให้ตรงกับตารางงานของอีอูยอนทำให้เขาอารมณ์ไม่ดีอย่างมาก
“ถ้าเป็นสัปดาห์นี้ล่ะก็ ดูเหมือนผมจะสามารถจดจ่ออยู่แต่กับการถ่ายทำได้นะครับ เพราะงานอื่นๆ เสร็จเกือบหมดแล้ว”
“ก็ดี หวังว่าจะไม่เกิดอุบัติเหตุแปลกๆ แบบนั้นอีกก็แล้วกัน”
คังยองโมถามผู้กำกับกล้องที่นั่งอยู่ข้างๆ ว่าห้องน้ำที่นี่อยู่ตรงไหน คนอื่นๆ นึกว่ามันจะจบแค่ตรงนี้และถอนหายใจอย่างโล่งอก
“อีอูยอนนี่โชคดีจริงๆ เลย”
คังยองโมพึมพำเหมือนพูดคนเดียวก่อนจะมองอีอูยอนและแสยะยิ้มให้ตอนเดินออกไปจากห้อง แม้แต่ชเวอินซอบที่ไม่สามารถเข้าใจความหมายแฝงที่อยู่ในคำพูดได้ยังสามารถรู้ได้ในทันทีว่านั่นคือการพูดแซะ คนที่อยู่ในร้านกังวลว่าอีอูยอนจะรู้สึกไม่ดีหรือเปล่า และลอบสังเกตสีหน้าของเขา
แต่ในความเป็นจริงอีอูยอนกลับนั่งด้วยสีหน้าเรียบเฉยเหมือนคนที่ไม่ได้ยินคำพูดเหล่านั้น คนอื่นๆ ประทับใจในนิสัยใจคอที่ดีงามของเขาจากใจจริง แค่ความสามารถในการแสดงของเขาอย่างเดียวก็ดีจนคังยองโมที่มีนิสัยต่ำเตี้ยเรี่ยดินเทียบไม่ติดแล้ว
“ผมพยายามจะจอดรถตรงนั้นแล้วนะครับ แต่เพราะมีรถคันอื่นจดอยู่ ผมก็เลยจอดที่อื่น…”
ยุนชอลจินซึ่งเป็นผู้จัดการส่วนตัวของคังยองโมเดินเข้ามาในห้อง แต่พอเขาเห็นว่าคังยองโมไม่อยู่ในห้อง เขาจึงหยุดพูด แม้ผู้กำกับกล้องจะใช้มือชี้เพื่อบอกว่าคังยองโมนั่งตรงไหน แต่พอเขาเจอว่าเป็นที่นั่งที่อยู่ตรงหน้าอีอูยอนกับอินซอบ เขาก็ทำหน้านิ่งอย่างอึดอัดใจ
“คุณคังไปไหนเหรอครับ”
“ไปห้องน้ำครับ”
“อ๋อ ครับ ขอบคุณที่บอกนะครับ”
หลังจากที่ยุนชอลจินรีบออกไป คนที่นั่งอยู่ด้านในก็คุยโน่นคุยนี่กันไปเรื่อย
“แม้แต่ผู้จัดการส่วนตัวก็ยังเรียกว่าคุณเหรอ”
“ไม่เห็นนิสัยของคนคนนั้นหรือไง จะเป็นโคดี้หรือเป็นอะไร เขาก็ให้เรียกว่าคุณหมดแหละ ถ้าอยากได้ยินคำว่าคุณขนาดนั้น ก็ไปเป็นคุณครูซะเลยสิ จะมาเป็นนักแสดงทำไม”
คนอื่นๆ ร้องว้าวและระเบิดเสียงหัวเราะออกมา การรวมกลุ่มของคนที่มีศัตรูร่วมกันนั้นง่ายมาก ทุกคนระเบิดความเคียดแค้นออกมาในระหว่างที่คังยองโมไปห้องน้ำ พวกสตาฟและนักแสดงคนอื่นๆ อดไม่ได้ที่จะนินทาลับหลัง เพราะนิดๆ หน่อยๆ อีกฝ่ายก็จะตำหนิหรือด่า
“ผมขอไปห้องน้ำหน่อยนะครับ”
แม้จะไม่มีใครมองมาที่ตน แต่ก็ดูเหมือนเขาจะต้องพูดแบบนั้น อินซอบจึงพึมพำและลุกขึ้นเงียบๆ พอได้ยินอีอูยอนหยอกว่าให้ผมไปด้วยไหมครับ คนที่อยู่ใกล้ๆ ก็บอกว่าเป็นอินซอบนี่ดีจังก่อนจะหัวเราะ
ชเวอินซอบรีบปิดประตูและออกไปข้างนอก เพราะกลัวว่าอีอูยอนจะตามมาจริงๆ
“เฮ้อ…”
อึดอัดชะมัด ในที่ที่เขาไม่คุ้นเคยกับวัฒนธรรมการกินเลี้ยงภายในองค์กรของชาวเกาหลี ทั้งยังเป็นที่ที่มีอีอูยอนอยู่ข้างๆ และคังยองโมอยู่ตรงหน้าก็เหมือนกับที่ที่อยู่แล้วอึดอัด ความรู้สึกเสียใจที่ตัวเองน่าจะบอกว่าจะรออยู่ที่รถถาโถมเข้ามา
อินซอบคิดว่าเขาน่าจะเดินตากลมเสียหน่อย เขาจึงเดินไปตามระเบียงที่เชื่อมกับร้าน วินาทีที่เขาจับที่จับประตูและกำลังจะเปิดออกไป เขาก็ได้ยินเสียงที่คุ้นหู
“ตอนนี้จะทำยังไงกันดีครับ”
เป็นยุนชอลจินผู้จัดการส่วนตัวของคังยองโมนั่นเอง อินซอบคิดว่าอีกฝ่ายคงจะคุยโทรศัพท์อยู่ เขาจึงพยายามจะออกไปจากตรงนี้ แต่ก่อนที่เขาจะทันได้ออกไปก็ดันได้ยินเสียงที่เจือความรำคาญของคังยองโมเสียก่อน
“ที่ว่าจะทำยังไงน่ะ คือทำยังไงกับอะไรเหรอ ไอ้โง่เอ๊ย อายุตั้งขนาดนี้แล้ว แกยังจะต้องจิ้มกินก่อนหรือไงถึงจะรู้ว่าเป็นขี้หรือซอสเต้าเจี้ยว”
เขาไม่รู้เลยว่าทำไมคนสองคนที่บอกว่าจะไปห้องน้ำถึงมาอยู่ตรงนี้ การที่คังยองโมจับผู้จัดการส่วนตัวเหมือนจับหนูเป็นภาพที่สามารถเห็นได้บ่อยๆ ที่กองถ่าย แต่คำพูดต่อมาที่เขาได้ยินกลับทำให้ชเวอินซอบหยุดอยู่ตรงนั้น
“แต่ผมก็ยังรู้สึกแบบนั้นอยู่ดีนี่ครับ ผมนึกว่ามันจะจบลงแค่การที่เขาล้ม แต่ผู้จัดการส่วนตัวของอีอูยอนนิ้วหัก และอีอูยอนก็บาดเจ็บด้วย…”
กลายเป็นว่าอินซอบได้ยินบทสนทนาของคนทั้งคู่ทั้งหมดในสภาพที่ยังจับด้านจับประตูไว้อยู่
“นั่นเพราะเด็กนั่นมันโชคร้าย จะสนใจอะไรล่ะ เลิกร้องไห้ได้แล้ว”
“แต่ม้าตัวนั้นโดนการุณยฆาต ผมก็เลย…”
“โง่หรือไง แค่ม้าตัวเดียวตายมันจะไปยิ่งใหญ่อะไร ยังไงซะร่องรอยของยานั่นก็ไม่เหลือแล้ว ไม่มีหลักฐานแล้วจะทำอะไรได้ล่ะ”
ชเวอินซอบเดือดพล่านทันทีที่นึกถึงภาพของยุนชอลจินที่หลบออกมาจากโรงเลี้ยงมาด้วยความเร่งรีบในวันนั้น ชัดเจนแล้วว่าคังยองโมจะต้องสั่งให้ยุนชอลจินทำอะไรกับม้าแน่ๆ อินซอบจับด้ามจับประตูและดันมันออกจนสุด
“ผมมีเรื่องจะคุยด้วยครู่หนึ่งครับ”
ทั้งสองคนแสดงสีหน้างงงวยอย่างเห็นได้ชัดเมื่ออินซอบปรากฏตัวอย่างกะทันหัน เห็นยุนชอลจินทำตัวไม่ถูก คังยองโมจึงใช้สายตาสั่งให้อีกฝ่ายออกไป เขาคิดว่าเผชิญหน้ากับผู้จัดการส่วนตัวผู้อ่อนต่อโลกคนนี้ลำพังยังจะดีซะกว่าให้ผู้จัดการส่วนตัวของเขาเผลอพูดอะไรที่ไร้สาระออกไป
พอยุนชอลจินออกไป ที่ระเบียงก็เหลือคนอยู่แค่สองคน
“ไม่รู้นะว่านายจะพูดอะไร แต่ช่วยพูดให้จบเร็วๆ หน่อย เพราะฉันยุ่ง”
คังยองโมหยิบบุหรี่ออกมาจากกระเป่าและจุดไฟ เขาจงใจพ่นควันบุหรี่ใส่หน้าอินซอบก่อนจะพูดเหน็บแนม ชเวอินซอบควบคุมใจให้สงบ
“ผมบังเอิญได้ยินที่พวกคุณพูดน่ะครับ แต่ผมทำแบบนี้เพราะมีเรื่องที่สงสัย”
“บังเอิญได้ยินเหรอ ไม่ใช่ว่าแอบฟังเหมือนพวกหนูหรอกเหรอ”
“ถึงผมจะไม่ได้ตั้งใจทำแบบนั้น แต่ผมก็ต้องขอโทษด้วยนะครับ”
ปลายนิ้วของเขาเย็นเฉียบ อินซอบกำมือและแบอยู่ข้างหลังพลางมองคังยองชัดๆ
“ที่อยากจะพูดคืออะไรล่ะ”
“ผมอยากรู้ว่าคุณให้ยาอะไรกับเจนนี่ ไม่สิ กับม้าตัวนั้นน่ะครับ”
“ม้าเหรอ โอ๊ย ม้ามันก็เป็นแบบนั้นตั้งแต่แรกแล้ว”
คังยองโมใช้นิ้วชี้ตรงบริเวณขมับและหมุนอีกครั้ง
“ไม่ครับ ตอนที่ผมเห็นม้ายังปกติดี แล้วเมื่อกี้ผมก็ได้ยินอย่างชัดเจนด้วยว่าคุณให้ม้ากินยาอะไรบางอย่าง วันนั้นม้าผิดปกติเพราะยานั้น…”
อินซอบไม่สามารถพูดจนจบได้ ความเจ็บแสบบริเวณแก้มกระจายไปพร้อมกับเสียงดัง เพี๊ยะ
“ว่าไงนะ บอกว่าฉันเอายาให้ม้ากินเหรอ”
“ก็เมื่อกี้พวกคุณ…”
คราวนี้อีกฝ่ายตบเขาแรงกว่าเมื่อกี้ เขารู้สึกได้ถึงรสชาติของเลือดที่ส่งกลิ่นคาวอยู่ในปาก แต่อินซอบกลับไม่กลัวคังยองโมเลย เขาแค่โกรธเท่านั้น
“บทสนทนาเหรอ บทสนทนาอะไรล่ะ ฉันเคยทำแบบนั้นเหรอ มีหลักฐานไหม”
“ก็ผมได้ยินนี่ครับ”
เขาเงยหน้ามองอีกฝ่ายและตอบ แต่สิ่งที่ได้กลับมากลับเป็นการเหวี่ยงหมัดของคังยองโม อินซอบที่โดนต่อยหน้าเข้าอย่างจังล้มลงไปพร้อมกับโต๊ะที่อยู่ตรงระเบียง
“ได้ยินอะไร มีหลักฐานไหม”
“…”
“เหี้ยเอ๊ย หลักฐานก็ไม่มี น้ำหน้าอย่างแกกล้ามาพูดอะไรแบบนี้กับฉันเหรอ สติยังดีอยู่หรือเปล่า ให้ฉันทำให้แกก้าวเท้าเข้ามาในนี้ไม่ได้อีกเลยดีไหมล่ะ”
บริษัทโปรดักชั่นที่คังยองโมสังกัดอยู่เป็นบริษัทบันเทิงสามอันดับแรกในประเทศ ไม่ว่าเขาจะนิสัยเสียอย่างไร ก็ไม่มีใครกล้าหลับหูหลับตาเข้าไปยุ่งกับเขา เพราะคุณลุงของเขาเป็นประธานบริษัท แม้แต่กรรมการผู้จัดการคิมก็ยังเตือนอีอูยอนว่าอย่าเข้าไปยุ่งกับคังยองโม
ชเวอินซอบเงยหน้ามองคังยองโม
“นี่มองตรงไหนอยู่หา”
“วันนั้นคุณทำให้บังเหียนขาดสินะครับ แล้วคุณก็เอายาให้ม้ากินด้วย ทั้งหมดไม่ใช่เรื่องบังเอิญ”
คังยองโมเอนหลังไปด้านหลังและหัวเราะเสียงดัง
“ฮ่าๆๆ น่าตลกชะมัด แกนึกว่าแกเป็นยอดนักสืบอะไรนั่นหรือไง ดูเหมือนจะคิดอะไรไปเองเก่งจังนะ”
คังยองโมใช้ฝ่ามือฟาดแก้มของอินซอบอีกครั้ง และเอาบุหรี่ที่ถืออยู่จี้ลงบนเฝือกของอีกฝ่าย
ชเวอินซอบลุกขึ้นและปัดเสื้อ นิ้วของเขาเจ็บตื้อๆ เพราะเขาเผลอใช้มือข้างที่บาดเจ็บยันพื้นไว้ในตอนที่ล้ม เลือดกำเดาของเขาไหลจนทำให้แขนเสื้อเปียก
“อ๊ะ…”
เขารีบเอนหน้าไปด้านหลัง แต่เขาก็ก้มหน้าลงมาเมื่อนึกถึงคำพูดของอีอูยอนที่บอกว่าถ้าทำแบบนี้เลือดจะไหลลงไปในคอ และมันจะแย่กว่าเดิม แม้เขาจะใช้มือจับจมูกเอาไว้ แต่เลือดก็ยังหยดลงมาระหว่างช่องนิ้วอยู่ดี
อินซอบมองเลือดที่หยดลงบนพื้นพลางคิดว่าไม่รู้เหมือนกันว่าตัวเองมาทำอะไรที่เกาหลีกันแน่ มือข้างหนึ่งของเขาถูกมีดบาด นิ้วก็หัก แถมเลือดกำเดายังมาไหลเพราะโดนต่อยอีก ในระหว่างนั้นเขาก็นึกถึงเสียงของอีอูยอนที่บอกว่าเป็นห่วงตน
“เหมือนคนโง่จริงๆ ด้วย“
เขาร้องไห้เพราะเขาเหมือนคนโง่มากๆ
เขาคิดที่จะถามคังยองโมอย่างใจเย็นว่าอีกฝ่ายทำอะไรกับม้ากันแน่ แต่เขากลับพูดออกไปตรงๆ ไม่ได้ด้วยซ้ำ ทั้งที่รู้จักนิสัยปกติของอีกฝ่ายดีอยู่แล้ว เขาควรอัดเสียงบทสนทนาเมื่อกี้ไว้…
คนอย่างเราคงไม่สามารถหาจุดอ่อนหรือข่มขู่ใครได้ทั้งชีวิตนั่นแหละ
อินซอบนึกถึงม้าขนสีเทาที่เจอเมื่อเย็นวันนั้น
ขอโทษนะเจนนี่ ฉันไม่สามารถทำให้คนอื่นรู้ได้ด้วยซ้ำว่าเธอตายอย่างไม่ยุติธรรม เพราะฉันมันโง่ คราวนี้ฉันก็เป็นแบบนั้นอีกแล้ว
รองเท้าของเขาเปียกน้ำตา อินซอบยืนอยู่แบบนั้นสักพัก และเดินออกไปจากระเบียงในตอนที่เลือดกำเดาหยุดไหล
***