ใต้หน้ากากซูเปอร์สตาร์ - ภาค 1 เล่ม 2 ตอนที่ 5-5
ทันทีที่อินซอบถอนหายใจอีอูยอนก็ค่อยๆ กะพริบตาพร้อมกับเอ่ยแกล้งเขา
“ทำไม่ได้เหรอครับ”
“…”
“แค่อ่านเฉยๆ ก็ได้ครับ อ่านเหมือนตอนที่อ่านคู่มือการใช้เวลาซื้อเครื่องทำกาแฟมาน่ะครับ”
แม้เขาจะไม่แน่ใจว่าจะมีคำว่า ‘คุณชายได้โปรดรับรู้หัวใจของฉันด้วยเถิดค่ะ’ อยู่ในคู่มือการใช้ของเครื่องทำกาแฟแบบไหน แต่อินซอบก็ตัดสินใจว่าเขาจะคิดแบบนั้น
“คะ…คุณ…ชาย”
เขารู้สึกเหมือนว่าเขาใช้เวลาชั่วนิรันดร์กว่าจะพูดคำคำหนึ่งจบ
“แล้วต่อไปล่ะครับ”
“…แกล้งทำเป็นเหมือนผมพูดไปแล้วไม่ได้เหรอครับ”
“ไม่ได้สิครับ อย่างนั้นผมก็ทำคนเดียวได้สิ ทำไมผมถึงต้องขอให้ผู้จัดการส่วนตัวมาช่วยกลางดึกด้วยล่ะครับ ขอร้องเถอะนะครับ ช่วยอ่านหน่อยนะ”
ทันทีที่คำว่าขอร้องหลุดออกมาจากปากของอีอูยอน อินซอบก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่ เขาไม่เคยรู้สึกว่างานของเขาจะยากลำบากเท่าวันนี้มาก่อนเลย ชเวอินซอบถลึงตาและจ้องบท เพียงแค่เขาใช้สายตาอ่านตัวหนังสือที่เขียนอยู่บนกระดาษ เขาก็รู้สึกว่าขนของเขาลุกชันไปทั้งตัว
“คะ…คุณชาย นะ นะ…ในหัวใจของเด็กสาวคนนี้…เพราะฉะนั้น…ตะ…ตั้งแต่วันนี้ไป…”
อินซอบอ่านบทอย่างกระท่อนกระแท่นเหมือนเด็กที่เพิ่งเคยเรียนอักษรเกาหลีเป็นครั้งแรก ซึ่งนั่นดูน่าเวทนามาก เพราะเขาพูดอึกอักและเสียงก็สั่นเหลือเกิน อีอูยอนเท้าคางและมองบทด้วยสีหน้าจริงจัง
ตอนนี้แค่คิดว่าเขาได้เรียกชเวอินซอบกลับมาที่บ้านอีกครั้งก็เป็นการกระทำที่น่าตลกมากแล้ว
ตอนที่เขานึกถึงหน้าของผู้จัดการส่วนตัวที่ดึงดันว่าจะกลับไปที่บ้านของตนที่มีผู้หญิงชื่อเคทรออยู่ อีอูยอนคิดว่ามันหยาบคายมาก เขาไม่ถูกใจกับตัวเลือกของผู้จัดการส่วนตัวที่ยืนกรานจะกลับบ้านและใช้เวลาไม่ถึงสองชั่วโมงกับผู้หญิงคนนั้น
ตนกำลังอดทนกับชเวอินซอบที่มีแผนการลับในใจ จะกลับไปให้น้ำเธอคนนั้นงั้นเหรอ ส่วนที่หยาบคายที่สุดคือการที่อีกฝ่ายพูดว่าจะไปให้น้ำต่อหน้าตนนี่แหละ อินซอบที่ทำหน้าไม่รู้เรื่องอะไรเลย และใช้คำพูดที่หยาบคายแบบนั้นทำให้อีอูยอนอารมณ์เสีย
ทันทีที่เขานึกภาพของผู้จัดการส่วนตัวที่ดูเหมือนจะอ่อนโยนหอบแฮ่กๆ กับผู้หญิง เขาก็ส่งข้อความสั่งให้อินซอบมาที่นี่ทันที
การฝึกที่ชั่วร้ายนี้เขาคิดว่าจะฝึกสักครั้งสองครั้งและปล่อยให้อีกฝ่ายกลับบ้านไป แต่ทันทีที่เขาเห็นว่าอินซอบสั่นเทาเหมือนลูกหมาตกน้ำ เขาก็เปลี่ยนความคิด
คงต้องอ่านบทจนถึงเช้าแล้วสินะ
“อ่านต่อสิครับ ยังเหลืออีกเยอะเลย”
“…ผมทำไม่ได้ครับ”
อินซอบวางบทลงบนหน้าตักของตัวเองพร้อมกับทำสีหน้าเหมือนจะร้องไห้ อีอูยอนอารมณ์ดีขึ้นทุกครั้งที่อินซอบทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ เขาถูกใจกับสีหน้าที่เหมือนจะร้องไห้ในไม่ช้านั้นเหลือเกิน
หากจะให้ตั้งใจบอกถึงสิ่งที่ชอบและไม่ชอบแล้วล่ะก็ เขาชอบหน้าตาเหยเกนั่นมากกว่าใบหน้าตอนยิ้มของอีกฝ่ายเสียอีก พวกสีหน้าที่ทำให้รู้สึกถึงความรู้สึกเศร้า เจ็บปวด และทุกข์ทรมานดึงดูดใจของเขา
เขาบังเอิญได้ยินคุณหมอที่ดูแลเขาอธิบายกับพ่อแม่ว่าการมีบุคลิกต่อต้านสังคมและมีความสุขจากความเจ็บปวดของผู้อื่นเป็นเคสที่พบได้โดยทั่วไป แน่นอนว่าหมอสั่งให้พ่อแม่คอยเอาใจใส่และจับตาดูเขาเอาไว้ เพราะหมอยังไม่สามารถวินิจฉัยโรคได้ในอายุที่ยังน้อยแบบนี้
แม่ที่เติบโตมาโดยไม่มีความอิจฉาอะไรเลยจะมาร้องไห้พร้อมกับสวดมนต์ใกล้ๆ เตียงของลูกชายที่นอนหลับทุกคืน เธอขอให้อาการป่วยของลูกชายดีขึ้น
ทุกครั้งที่แม่เห็นว่าลูกชายมีบุคลิกแตกต่างไปจากคนอื่น เธอจะจับมือเขาและสอนให้เขารู้ถึงสองสามรอบ แม่มักจะพูดกับเขาเหมือนกับให้สัญญาว่า ‘ลูกไม่ใช่คนไม่ดีนะ ลูกแค่มีอาการป่วยทางจิตใจเลยเป็นแบบนั้น’ ‘อาการป่วยทางจิตใจก็เกิดขึ้นได้เหมือนอาการป่วยทางร่างกาย นั่นไม่ใช่สิ่งที่ไม่ดีอะไรเลย’ ‘ถึงตอนนี้อาการลูกจะรุนแรงกว่าคนอื่นนิดหน่อย แต่ไม่ต้องกังวลไปหรอกนะ เพราะมันสามารถแก้ไขได้’
ในตอนที่ยังเป็นเด็กเขาฟังที่แม่พูดและคิดตาม
นี่เราเป็นแบบนั้นเพราะป่วยเป็นโรคทางจิตใจเหรอ โชคดีฉิบหายเลยว่ะ เพราะถ้าเป็นอาการป่วยทางร่างกายก็จะซ่อนไว้ไม่ได้!
ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาเขาก็เริ่มสังเกตลักษณะท่าทางของคนปกติและเลียนแบบ แม้นิสัยที่ติดตัวมาจะทำให้อีอูยอนเป็นอีอูยอนในวันนี้ แต่เขาก็ไม่สามารถลบนิสัยเดิมของตนไปได้
อีอูยอนชอบทุกครั้งที่เห็นว่าชเวอินซอบผลักดันตนเองด้วยสีหน้าเป็นทุกข์ ดวงตาของอินซอบที่ มีหยดน้ำตาเกาะอยู่ตรงขนตาทำให้อีอูยอนพอใจ
เหมือนกับตอนนี้
“แค่อ่านเฉยๆ ก็ได้ครับ คุณอ่านตัวอักษรเกาหลีออกนี่นา”
“…”
“ไม่ต้องคิดว่าเป็นคำที่ตัวเองพูดแล้วก็อ่านไปเลยครับ ทำตัวสบายๆ แล้วคิดว่าไม่ใช่คุณแต่เป็นคนอื่นอ่านสิครับ เหมือนคุณอึนบยอลน่ะ”
อินซอบลองอ่านบทในใจอีกครั้งและหายใจเข้าลึกๆ
ชเวอึนบยอลรับบทอีซูฮยอนเป็นนักแสดงที่เล่นคู่กับอีอูยอน เธอเป็นนักแสดงดาวรุ่งที่เพิ่งจบมหาวิทยาลัย เธอมาออดิชั่นบทซูฮยอนและได้รับความสนใจจากผู้คนในขณะนั้น เนื่องจากความสามารถทางการแสดงที่ยอดเยี่ยมบวกกับความงามแบบชาวตะวันออก
ในฐานะน้องของอีวอนชิก อีซูฮยอนที่รับบทโดยชเวอึนบยอลที่เป็นแบบนั้นเป็นผู้หญิงที่มีหัวคิดก้าวหน้าไม่ใช่ผู้หญิงหัวโบราณตามยุคสมัยโชซอน เธอสารภาพรักกับคิมยองฮาที่รับบทโดยอีอูยอนอย่างจริงจัง และเป็นนักแสดงนำหญิงที่เปิดเผยความรู้สึกของตนเองพร้อมกับสร้างพรหมลิขิตขึ้นมาด้วยตัวเอง คิมยองฮาที่เป็นพวกอนุรักษ์นิยมเกลียดเธอในครั้งแรก และแม้ว่าเขาจะค่อยๆ เปิดใจให้กับเธอทีละน้อย แต่ท้ายที่สุดพวกเขาก็เผชิญกับฉากจบที่โศกเศร้าเพราะความต่างของสถานะและปัญหาของพรรคพวก
“คุณก็เคยเห็นคุณอึนบยอลแสดงใช่ไหมครับ นึกถึงภาพนั้นแล้วแสดงก็ได้ครับ”
“…”
อินซอบนึกถึงใบหน้าของชเวอึนบยอลที่แสดงบทที่จะต้องพบจุดจบกับความรักอันน่าเศร้ากับอีอูยอน และนั่นก็ยิ่งทำให้การอ่านบทยากขึ้นไปอีก
อินซอบขยับปากอยู่สองสามรอบ และสุดท้ายเขาก็ก้มหน้าลง
“ขอโทษครับ ผม…ทำไม่ได้จริงๆ”
สมัยที่ยังเรียนอยู่ที่อเมริกาเขาเคยเข้าร่วมการแสดงละครเวทีแค่ครั้งเดียว และบทบาทของเขาก็คือยืนโบกใบไม้อยู่ด้านหลังโดยไม่มีบทพูดอะไร อันที่จริงเขามีบทพูดอยู่หนึ่งบรรทัด แต่พอเห็นว่าเขาตัวสั่นด้วยความกลัว คุณครูจึงทำให้เขาไม่มีบทพูด
“อย่างนั้นเหรอครับ งั้นก็ช่วยอะไรไม่ได้นี่เนอะ”
อีอูยอนทำหน้าผิดหวังอยู่ครู่หนึ่ง พร้อมกับเอาบทที่ชเวอินซอบถืออยู่ในมือวางลงบนโต๊ะ
“พรุ่งนี้ผมต้องจับจุดไม่ถูกแน่เลยครับ ผมคงจะต้องฝึกอ่านบทจนไม่ได้นอนทั้งคืนแน่เลย งั้นเชิญคุณกลับไปก่อนเลยครับ”
อีอูยอนยิ้มในขณะที่พูด อินซอบไม่สามารถลุกจากโซฟาได้เพราะรอยยิ้มที่ดูหงอยๆ นั้น ไม่ว่าเหตุผลจะเป็นอะไร แต่ตอนนี้เขาจะต้องเป็นผู้จัดการส่วนตัวที่มีความสามารถของอีอูยอน
“กลับไปเลยก็ได้ครับคุณอินซอบ ขอโทษด้วยนะครับที่ขอร้องอะไรเกินพอดีไป”
อีอูยอนเป็นนักแสดงที่มีพรสวรรค์ เขาทำให้ฝ่ายตรงข้ามรู้สึกผิดได้อย่างเป็นธรรมชาติด้วยคำคำเดียว
“เอ่อ…คือว่า…เดี๋ยว…ผมจะลองดูครับ”
แต่ชเวอินซอบก็รีบพูดเงื่อนไขต่อ
“แต่ผมจะหันหลังนะครับ แล้วผมก็หวังว่าคุณอีอูยอนจะหันหลังด้วยเหมือนกัน”
นั่นคือการประนีประนอมที่ดีที่สุดที่อินซอบสามารถทำได้แล้ว
แม้จะเป็นแค่การอ่านบท แต่เขาก็อับอายจะตายอยู่แล้ว เขาจึงไม่สามารถจ้องหน้าใครและอ่านบทไปด้วยได้ ยิ่งไปกว่านั้นใครที่ว่าคืออีอูยอนไม่ใช่คนอื่น เขาไม่สามารถสารภาพรักโดยที่ฝ่ายตรงข้ามเป็นอีอูยอนได้
“ให้เอาหลังมาชนกันน่ะเหรอครับ”
นี่เป็นข้อเสนอที่น่าเสียดายสำหรับอีอูยอน เขาอยากเห็นภาพที่อินซอบตัวสั่นเทาในขณะที่อ่านบทเหมือนกับเด็กสาวอย่างไม่เหมาะกับอีกฝ่ายเลย
“ครับ แบบนั้นก็ได้ครับ”
ถ้าหันหลังชนกันแล้วพูด เขาก็จะสามารถคิดว่าอีกฝ่ายไม่ใช่อีอูยอนได้ อินซอบเชื่อแบบนั้น
“ถ้าคุณอินซอบว่าอย่างนั้นก็ได้ครับ”
อีอูยอนนั่งหันหลังชนอินซอบ ชเวอินซอบหยิบบทที่อยู่บนโต๊ะขึ้นมาถือ
“หน้าที่สามตั้งแต่แรกนะครับ”
“เข้าใจแล้วครับ”
พอไม่ต้องจ้องหน้ากันเขาก็ดีขึ้นอย่างมาก อินซอบคิดว่าคนที่นั่งอยู่ด้านหลังตัวเองไม่ใช่อีอูยอนแต่เป็นคนอื่น ในเวลาแบบนี้เขารู้สึกขอบคุณความสามารถในการจินตนาการที่เหลือเฟือของตัวเอง
อินซอบค่อยๆ อ่านไปตามที่เขียนไว้ในบท และอ่านด้วยน้ำเสียงที่ไม่มีชีวิตชีวาเหมือนกับคนที่อ่านคู่มือการใช้ของเครื่องทำกาแฟ
[“แม้กฎการใช้ชีวิตของสตรีสามข้อ[1] จะเป็นวิถีที่ผู้หญิงจะต้องรักษาไว้ แต่เด็กสาว…”]
อินซอบกระแอม
[“แต่เด็กสาวผู้นี้ได้กำหนดคนที่อยากจะทำตามไว้ในใจแล้ว ดังนั้นท่านพี่…”]
[“วอนชิก คุณก็อยู่ที่นี่ด้วยหรือ”]
อินซอบอดตกใจกับเสียงที่ได้ยินจากทางด้านหลังไม่ได้ แม้ละครอิงประวัติศาสตร์กับละครสมัยใหม่จะต่างกันในเรื่องของโทนเสียงกับการออกเสียง แต่พอได้ยินเสียงเมื่อสักครู่นี้แล้ว เขารู้สึกเหมือนอีกฝ่ายไม่ใช่อีอูยอนแต่เป็นคนอื่น
คนที่อยู่ด้านหลังเขาคือคิมยองฮาไม่ใช่อีอูยอน
“ข้ามบทของคังยองโมไปนะครับ”
“อ๋อ ครับ…”
อินซอบตั้งใจหาบทของตนและเริ่มอ่าน
[“คะ คุณชายคะ…”]
แม้เขาจะพยายามคิดว่ามันเป็นแค่การอ่านนิยาย แต่อินซอบกลับใส่ใจกับชื่อเรียกที่ใช้เรียกอีอูยอนที่นั่งอยู่ด้านหลัง และเริ่มอ่านตะกุกตะกักอีกครั้ง
[“คะ คุณมาที่นี่ ด้วยเหตุ…”]
“บทต่อไปก็ข้ามนะครับ เพราะเป็นของคังยองโม”
มีน้ำเสียงแน่วแน่ติดอยู่ท้ายน้ำเสียงที่นุ่มนวล
[“ผมมาเพราะมีเรื่องจะคุยกับคุณ”]
ฉากต่อไปเป็นฉากที่คังยองโมกับอีอูยอนถกเถียงกัน อินซอบคิดว่าตอนนี้เขาควรจะต้องทำอะไรดี เขารู้สึกอึดอัดใจและได้แต่รอคำสั่งของอีอูยอน
“บทของคุณมีอีกในหน้าที่ห้าครับ”
อินซอบรีบพลิกหน้ากระดาษ ตั้งแต่ตรงนั้นเป็นฉากที่คนทั้งสองคนพูดความในใจของกันและกันตรงสวนหลังบ้าน
[“ดะ เด็กสาวผู้นี้…ดะ เด็กสาวผู้นี้น่ะ…”]
คนที่อยู่ข้างหลังไม่ใช่อีอูยอน ไม่ใช่อีอูยอน ไม่ใช่อีอูยอน ไม่ใช่อีอูยอน… แม้จะเป็นคิมยองฮา แต่เขาก็ใจเต้นแรงอยู่ดี ลิ้นของเขาไม่ขยับอย่างที่ใจคิด อินซอบเหงื่อซึมพร้อมกับอ่านบทอย่างช้าๆ
แม้เขาจะพูดตะกุกตะกันจนน่าหงุดหงิด แต่อีอูยอนกลับรอให้อินซอบอ่านบทให้จบเงียบๆ
[“เด็กสาวผู้นี้…มะ มี…มีเรื่องจะพูดกับคุณชาย…”]
[“ผมจะรออยู่ตรงนี้ คุณค่อยๆ พูดเถิดครับ”]
ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกเหมือนกับว่าเขาทำให้ตัวละครกลายเป็นคนติดอ่าง และอินซอบก็รู้สึกผิดขึ้นมา เขาสงสัยว่าการอ่านบทแบบนี้ไม่น่าเป็นตัวช่วยได้อย่างที่คิด
[“ฉะ ฉันมีคนในใจแล้วค่ะ…”]
ที่ด้านหลังเขารู้สึกได้ว่าอีอูยอนค่อยๆ พยักหน้า เป็นการขยับไปตามบท ชเวอินซอบอ่านบทพูดที่ถูกเขียนไว้ในบท นี่เป็นฉากที่ซูฮยอนแสดงปลอกสวมนิ้วที่ได้รับมาจากยองฮาในตอนเด็กให้ดูพร้อมกับบอกว่าคนรักที่อยู่ในใจของตนมีแค่เพียงคนเดียวเท่านั้น
[‘ปลอกสวมนิ้วที่ไม่สำคัญอะไรนี้ เป็นเครื่องพิสูจน์ว่าคนคนนั้นอยู่ในหัวใจของฉันค่ะ’]
เขาจะต้องพูดอย่างนั้นพร้อมกับเอาปลอกนิ้วสวมนิ้วของตนและยิ้ม
มันเป็นแค่บทพูดที่ไม่มีอะไรเลย เขาจะอ่านคำนี้อย่างไร้ความรู้สึกก็ได้ แต่มือของเขากลับสั่น เทา ชเวอินซอบกำบทไว้สุดแรง เขาคิดว่าโชคดีเหลือเกินที่อีอูยอนที่นั่งหันหลังชนกันอยู่นั้นไม่เห็นว่ามือของตนกำลังสั่น
มนุษย์อย่างเรานี่มันสิ้นหวังจริงๆ ถึงกับเหงื่อไหลและมานั่งเป็นแบบนี้ให้กับบทพูดแค่บรรทัดเดียวเลยเหรอ
เราแค่อ่านไม่ได้บอกความในใจของตัวเองออกไปเสียหน่อย
ไม่สิ หัวใจของเรามันตายไปตั้งแต่ก่อนหน้านี้แล้วนี่…
“อ่านบรรทัดต่อไปเลยก็ได้ครับ”
หน้าเขาร้อนวูบขึ้นมาเพราะน้ำเสียงลุ่มลึกที่ได้ยินจากทางด้านหลัง เขาได้ยินเสียงนั้นเหมือนกับเป็นการเค้นถามให้เขารีบเปิดเผยตัวตนข้างในออกมาเร็วๆ และเขาก็ไม่สามารถเงยหน้าขึ้นมาได้
ทำไมเราถึงมาอยู่ที่นี่ นี่เรากำลังเติมเต็มความปรารถนาของตัวเองโดยเอาเรื่องที่บอกว่าทำเพื่อเจนนี่มาเป็นข้ออ้างหรือเปล่า อินซอบจ้องตัวอักษรบนบทเขม็ง เขากลั้นน้ำตาที่เหมือนจะไหลเอาไว้
คำพูดนี้ไม่ใช่หัวใจของเรา ตอนนี้หัวใจของเราไม่ได้อยู่ที่นี่ เพราะเราเกลียดอีอูยอน เพราะเราเกลียดเขา
อินซอบพยายามกดความรู้สึกไว้ให้ได้มากที่สุดและอ่านบทต่อไป
[“ปลอกสวนนิ้วที่ไม่สำคัญอะไรนี้…อ๊ะ…?”]
[1] กฎการใช้ชีวิตของสตรีสามข้อ กฎสามข้อที่ผู้หญิงจะต้องทำ คือ 1. เมื่ออยู่บ้านให้ทำตามพ่อ 2. เมื่อแต่งงานไปแล้วให้ทำตามสามี 3. เมื่อสามีตายให้ทำตามลูกชาย