ใต้หน้ากากซูเปอร์สตาร์ - Side Story < Love Story > 1-15
“…”
“เหตุผลอะไรฉันไม่รู้หรอก ก็แค่ชอบ…ชอบมากซะจนแค่คิดว่านายกำลังคบกับผู้ชายคนอื่นอยู่ก็อยากจะบีบคอหมอนั่นให้ตายแล้ว…วันนั้นที่ฉันทำตัวทุเรศกับนาย เพราะนึกว่านายคบกับน้องชายของนายอยู่…”
ขณะที่พูด ฟิลลิปทำสีหน้าเหมือนไม่รู้ว่าตัวเองกำลังพูดอะไรอยู่กันแน่ พอได้ฟังคำพูดที่ไม่สามารถเข้าใจได้ในทันที เด็กชายก็เบิกตาโตและถามย้ำว่า ‘ครับ?’
“…ฉันนึกว่าฉันบ้าไปแล้ว”
ฟิลลิปใช้นิ้วเรียวยาวไล้แก้มของเด็กชายอย่างช้าๆ
“…ฉันจะบอกเหตุผลที่หลัง เพราะฉะนั้น…ให้ฉันได้จูบเถอะ”
ริมฝีปากของพวกเขาสัมผัสกันอีกครั้ง คราวนี้ตามมาด้วยจูบที่ลึกซึ้งกว่าเดิมเล็กน้อย และมันดีมากเสียจนทำให้รู้สึกมึนเมา แม้เด็กชายจะไม่เข้าใจในสิ่งที่ฟิลลิปทำกับตน แต่เขาก็ยึดติดกับความสนใจที่อีกฝ่ายแสดงออกมา เพราะรู้สึกดีมากเกินไป เพราะเขาชอบอีกฝ่ายจนไม่อาจหักห้ามใจได้ถ้ายังปล่อยให้เป็นแบบนี้ต่อไป เขาจึงผลักไสอย่างสุดชีวิต
เขาเคยคิดว่าแค่ยืนอยู่ในระยะที่พอจะสัมผัสกันได้ก็พอแล้ว แต่พอได้สัมผัส ความคิดนั้นก็เปลี่ยนไป
…เขาโลภได้ไหมนะ
เด็กชายโอบรอบคอของฟิลลิป นี่เป็นความกล้าที่สุดในชีวิตแล้ว
การจูบที่หยุดไปสักพักดำเนินต่อไป มือใหญ่โตของฟิลลิปยึดหัวของเด็กชายไว้อย่างมั่นคง ริมฝีปากของพวกเขาบดเบียดกันอย่างไม่เหลือช่องว่างเลยแม้แต่นิดเดียว เด็กชายหายใจไม่ออก แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่อยากหยุด เขาอ้าปากให้มากที่สุด และตอบรับการเคลื่อนไหวของอีกฝ่าย
ให้ตายเถอะ เสียงสบถทุ้มต่ำเล็ดลอดออกมา ฟิลลิปกอดเอวของเด็กชายไว้ก่อนจะจับให้นั่งลงบนตัก ปลายนิ้วเท้าลอยขึ้นทุกครั้งที่ผิวได้สัมผัสกับตักหนา เด็กชายเกาะฟิลลิปไว้อย่างยากลำบาก การกระทำนี้เข้าใกล้กับการมีเซ็กซ์มากกว่าการจูบปาก กล้ามเนื้อทุกส่วนในร่างกายเกร็งอย่างพร้อมเพรียงกัน เพราะสัมผัสที่ได้รู้สึกเป็นครั้งแรก เด็กชายจึงร้องไห้ออกมาในที่สุด
“ขอโทษ…นายคงจะกลัว”
ฟิลลิปกัดริมฝีปากล่างราวกับจะคลายความโกรธ เด็กชายจึงนึกความจริงที่ว่าตนยังไม่ได้แก้ไขความเข้าใจผิดเรื่องข้อความเลย เขากำลังจะพูดว่าไม่ใช่อย่างนั้น แต่ก็ได้ยินเสียงของแม่จากตรงทางเดินเสียก่อน
“ปีเตอร์ ยังไม่นอนเหรอ แม่เข้าไปได้ไหม”
“สะ สักครู่นะครับ”
เด็กชายรีบคว้ามือของฟิลลิป จากนั้นก็ยัดอีกฝ่ายใส่ใต้เตียงและเอาผ้าห่มคลุมไว้ แม้ฟิลลิปจะยกผ้าห่มขึ้นมาด้วยสีหน้างงงวย แต่เขาก็รีบเอาผ้าห่มลงอีกครั้ง และไม่ลืมปิดไฟก่อนที่จะนอนลงบนเตียง
“เข้ามาเลยครับ”
ประตูถูกเปิดตามมาด้วยร่างของแม่ที่เดินเข้ามาด้วยสีหน้าเป็นห่วง
“นอนอยู่เหรอจ๊ะ”
“ปะ เปล่าครับ แต่กำลังจะนอนแล้ว”
“รู้สึกยังไงบ้าง”
ไม่มีทางที่เธอจะไม่รู้ว่าสองสามวันมานี้ลูกชายเศร้าผิดปกติ
“สบายดีครับ”
แม่ลูบหน้าผากของเด็กชาย
“ผลตรวจออกมาดี และไม่มีอะไรต้องเป็นห่วง เข้าใจไหมจ๊ะ”
“ครับ ขอโทษครับที่ทำให้เป็นห่วง”
“การเป็นห่วงลูกคือสิทธิพิเศษของพ่อแม่อยู่แล้วจ้ะ”
แม่จูบราตรีสวัสดิ์ที่หน้าผากของลูกชาย
“ฝันดี เจอกันพรุ่งนี้นะจ๊ะ”
“ราตรีสวัสดิ์ครับ”
เด็กชายมองแผ่นหลังของแม่ที่กำลังจะออกไปจากห้อง และถอนหายใจเบาๆ อย่างโล่งใจ
“ตายจริง ปีเตอร์”
แม่หันหน้ากลับมาอย่างกะทันหัน เด็กชายพูดว่า “ครับ?” และดีดตัวขึ้นมาด้วยความตกใจ
“ทำไมถึงเปิดหน้าต่างทิ้งไว้ล่ะ”
“ผมอึดอัดก็เลยเปิดทิ้งไว้แป๊บหนึ่งน่ะครับ ผมจะปิดเดี๋ยวนี้ครับ”
“ลูกจะเป็นหวัดนะ ก่อนนอนก็ปิดด้วยล่ะ”
“ครับ”
“ถ้าปีศาจแอบเข้ามาจะทำยังไง”
นี่เป็นเรื่องเล่าในนิทานที่แม่มักจะเล่าให้ลูกชายที่เอาแต่ใจเพราะไม่อยากนอนฟังราวกับจะแกล้งในตอนที่ยังเป็นเด็ก เด็กชายหัวเราะอย่างไม่มีความหมาย เพราะถูกจี้จุดเข้าอย่างจัง จากนั้นประตูห้องก็ปิดลง
เมื่อแน่ใจแล้วว่าเสียงเดินไกลออกไปแล้ว เด็กชายก็ค่อยๆ ดึงผ้าห่มขึ้น ฟิลลิปที่นอนประสานมืออยู่ใต้เตียงหลับตาอยู่
“หลับแล้วเหรอครับ”
“กำลังคิดว่าควรจะทำแบบนั้นหรือเปล่าอยู่พอดี”
ฟิลลิปขยิบตาอย่างขี้เล่น เขาดูเหมือนเด็กขี้แกล้ง เด็กชายหัวเราะเบาๆ เห็นดังนั้น ฟิลลิปก็คว้าคอของเด็กชายเข้ามาจูบอย่างสั้นๆ อีกครั้ง
“…ยังกลัวอยู่เหรอ”
นี่เป็นเรื่องที่ประหลาด สีหน้าของฟิลลิปที่เอ่ยถามแบบนั้นดูเหมือนเด็กที่หวาดกลัว เด็กชายจึงรีบส่ายหน้า
“ไม่ใช่แบบนั้นครับ ตอนนั้นผมส่งผิดน่ะครับ ผมกลัวว่าถ้าผมไปงานปาร์ตี้ คนจะหัวเราะเยาะคุณ ก็เลย…”
เขาอยากจะพูดว่า “…ผมกลัวว่าคุณจะเกลียดผม”
“นายก็เห็นนี่ว่าวันนั้นฉันเป็นคนแบบไหน”
ฟิลลิปที่ทุบตีเฟร็ดไม่ยั้งโหดร้ายจนเขารู้สึกไม่คุ้นเคย
“…มันเป็นอุบัติเหตุนี่ครับ”
“ไม่ใช่อุบัติเหตุหรอก”
ฟิลลิปยิ้มเยาะตัวเอง
“ไม่ใช่อุบัติเหตุ แต่ฉันเป็นแบบนั้นอยู่แล้ว”
“…”
“ฉันเป็นคนแบบนั้นแหละ ฉันไม่ใช่เจ้าชายของวู้ดสัน แต่เป็นคนบ้าของวู้ดสันต่างหาก เป็นคนบ้าจริงๆ”
ฟิลลิปเคาะขมับของตัวเองพร้อมกับอธิบายต่อว่า “เพราะตรงนี้ใช้การไม่ได้”
“บางครั้งฉันก็ปรับไม่ได้ การรู้สึกถึงความรู้สึกต่างๆ ของฉันไม่ปกติ และเหตุผลที่มาที่โรงเรียนนี้ก็เพราะฉันสร้างเรื่องเอาไว้และโดนไล่มาจากประเทศอังกฤษ ด้วยเหตุนั้นฉันเลยต้องอยู่แต่ในโรงพยาบาลถึงหนึ่งปี และมีอายุมากกว่าคนอื่นๆ ถึงหนึ่งปี ฮ่าฮ่า เร็วๆ นี้ฉันอาจจะถูกไล่ออกอีกก็ได้”
ฟิลลิปหัวเราะเบาๆ พอไม่ได้รับคำตอบอะไรจากเด็กชาย เขาก็หลุบตามองด้านล่าง เขาสารภาพปัญหาทางด้านจิตใจของตัวเองต่อคนอื่น และทำไปด้วยหมายจะขอร้องให้ชอบตนเป็นครั้งแรก ฟิลลิปคิดว่าเขาทำให้ทุกอย่างพังไม่เป็นท่า
“ผม…”
ในที่สุดเด็กชายก็เอ่ยปาก
“ผมถูกพ่อแม่ที่แท้จริงทิ้งเพราะหัวใจของผมพิการครับ…แล้วก็ไม่มีเพื่อนด้วย วันนั้นเป็นครั้งแรกเลยนะครับที่ถูกเชิญไปงานปาร์ตี้วันเกิด ผมพูดคนเดียวอยู่บ่อยๆ แล้วก็แกล้งทำเป็นป่วยในวันที่ไม่อยากไปโรงเรียนจริงๆ ผมเคยเกือบสอบตกในวิชาเรขาคณิตเพราะไม่ชอบ แล้วก็ไม่ชอบคำพูดของคุณพ่อ[1]ด้วยครับ เพราะมันน่าเบื่อ แล้วก็…”
ตอนนั้นเองฟิลลิปถึงได้เข้าใจว่าเด็กชายกำลังทำอะไร อีกฝ่ายเปิดเผยด้านที่อ่อนแอและโง่เขลาของตัวเองออกมาเพื่อบอกว่าสิ่งที่ขาดไปตั้งแต่เกิดของฟิลลิปนั้นไม่นับเป็นอะไรเลย เขาทำอย่างสุดความสามารถด้วยวิธีที่ทั้งเงอะงะและน่ารัก
“ฮ่าๆๆ”
ฟิลลิปหัวเราะ แม้เด็กชายจะกลัวว่าจะมีใครได้ยินเสียงหัวเราะของเขาไหม แต่ก็หัวเราะไปด้วยทันที
“จูบได้ไหม”
ฟิลลิปเอ่ยถามด้วยดวงตาที่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม เด็กชายจึงเป็นฝ่ายจูบฟิลลิปก่อนแทนคำตอบ ฟิลลิปกอดเขาเอาไว้ พอตั้งสติได้เขาก็เกลือกกลิ้งอยู่ใต้เตียงแล้ว
ฟิลลิปจูบข้อมือ ต้นคอ และใต้ตาของเด็กชาย ราวกับอยากจะยืนยันว่าอีกฝ่ายอยู่กับเขาจริงๆ
“ฉันขำทุกครั้งที่ได้ยินเรื่องของคนโง่ที่แอบเข้าไปในบ้านของผู้หญิง และซ่อนอยู่ในตู้เสื้อผ้าเพราะถูกพ่อแม่จับได้”
ฟิลลิปถูปลายจมูกกับจมูกของเด็กชายอย่างซุกซนก่อนจะพูดต่อ
“แต่ใต้นี้ก็อุ่นสบายใช้ได้เลยนะ”
คำพูดของฟิลลิปที่บอกว่า “จะอยู่ตรงนี้กี่วันดีน้า” ทำให้เด็กชายทำตาโต
“ล้อเล่น”
เด็กชายถอนหายใจอย่างโล่งใจ เพราะเขาคิดจริงๆ ว่าต้องทำความสะอาดใต้เตียงเพื่ออีกฝ่าย
พอเห็นเด็กชายเป็นแบบนั้น ฟิลลิปก็หัวเราะอย่างขมขื่น
“ฉันต้องไปแล้วล่ะ ขืนอยู่ต่อคงทำให้นายร้องไห้”
“…นี่ก็ล้อเล่นด้วยใช่ไหมครับ”
“ไม่รู้สิ คิดว่าไงล่ะ”
ฟิลลิปค่อยๆ ลุกขึ้น ห้องที่ไม่เคยคิดว่าแคบเลยสักครั้งกลับดูแน่นขนัดขึ้นมา ฟิลลิปก้มมองเขาพลางเอ่ย
“ถึงฉันจะเป็นคนสารเลว แต่ก็ไม่ใช่คนหยายคาบขนาดนั้น”
“…”
“ดึกแล้ว”
เพราะคำพูดของฟิลลิป เด็กชายจึงมองนาฬิกาและตกใจ เวลาได้เลยช่วงตีสามไปอย่างไม่ทันได้ตั้งตัว
“พรุ่งนี้จะมาโรงเรียนใช่ไหม”
เด็กชายพยักหน้า
“โอเค งั้นเจอกันพรุ่งนี้”
เด็กชายรีบคว้าฟิลลิปที่กำลังจะลงไปทางหน้าต่าง ฟิลลิปยิ้มราวกับลำบากใจและหันหน้ากลับมา
“…เป็นอะไรหรือเปล่าครับ”
“อะไรเหรอ”
“มือที่บาดเจ็บตอนนั้น”
สายตาของเด็กชายหยุดตรงมือข้างขวาของฟิลลิปที่มีปลาสเตอร์ปิดแผลขนาดใหญ่แปะไว้ ฟิลลิปมองเขาโดยไม่พูดอะไรอยู่พักหนึ่งก่อนจะกลั้นหายใจ
“นาย นาย…เป็นห่วงฉันเหรอ”
“ครับ ก็ต้อง…”
เขาพูดคำว่า “เป็นห่วง” ไม่สำเร็จ เพราะการจูบที่รุนแรง ฟิลลิปที่นั่งอย่างหมิ่นเหม่ตรงขอบหน้าต่างประคองใบหน้าของเด็กชายไว้ขณะจูบ ในตอนที่การจูบที่ต่อเนื่องราวกับจะจบแต่ก็ไม่จบหยุดลง เด็กชายก็สบตากับฟิลลิปที่กำลังมองตัวเองอยู่ ดวงตาที่มีความร้อนรุ่มที่ยุ่งเหยิงเจืออยู่เผยให้เห็นถึงความจริงใจของตัวเอง
“…วันนี้ฉันทำให้นายร้องได้ไหม”
พอเด็กชายทำปากพะงาบๆ โดยที่ไม่สามารถตอบได้ ฟิลลิปก็หัวเราะ
“ไปแล้วนะ ปิดประตูให้เรียบร้อยล่ะ ไม่งั้นปีศาจจะเข้ามาได้”
พูดจบฟิลลิปก็กระโดดพรวดไปที่กิ่งไม้ และเคลื่อนตัวไปในความมืดได้อย่างเป็นธรรมชาติ เด็กชายโน้มตัวพาดขอบหน้าต่างและเฝ้ามองฟิลลิปค่อยๆ หายลับไป พอเห็นว่าเห็นฟิลลิปโบกมือให้จากที่ไกลๆ เขาก็รีบโบกมือให้เช่นกัน
หลังจากแน่ใจว่าอีกฝ่ายหายไปในความมืดแล้ว เด็กชายจึงสามารถปิดหน้าต่างได้ แม้จะกลับมานอนที่เตียง แต่เขาก็นอนไม่หลับ
เด็กชายลุกขึ้น จากนั้นก็แง้มหน้าต่างไว้อีกครั้ง เพื่อให้ปีศาจหรืออะไรก็ตามสามารถเข้ามาได้ทุกเวลาที่ต้องการ
เด็กชายดึงผ้าห่มขึ้นมาและหลับตาลง
ลมที่เต็มไปด้วยกลิ่นอายของฤดูร้อนลอยผ่านเข้ามาทางหน้าต่างที่เปิดทิ้งไว้
ฤดูร้อนได้มาถึงแล้ว
***
การแข่งขันรอบชิงชนะเลิศ เขาเคลื่อนที่ไปยี่สิบหลาจนถึงเส้นทัชดาวน์ของทีมคู่แข่ง
เสียงโห่ร้องที่ดังสนั่นดังมาจากสแตนด์เชียร์ ลมหายใจที่รุนแรงเล็ดลอดออกมาผ่านหมวกกันน็อก นี่เป็นโอกาสโจมตีสุดท้ายแล้ว ไม่ว่าจะเป็นการขยับตามคำสั่งของผู้คุม หรือการทำให้ทิศทางของการโจมตีเปลี่ยนไปตามการขยับของคู่แข่ง ทุกอย่างล้วนอยู่ในมือของควอร์เตอร์แบ็ก
การโจมตีเริ่มขึ้นแล้ว ควอร์เตอร์แบ็กของวู้ดสันเริ่มวิ่ง นักกีฬาของทีมคู่ต่อสู้ซึ่งอยู่ที่เส้นป้องกันต่างพุ่งมาหาเขาพร้อมกัน เกิดการปะทะอย่างรุนแรงขึ้น แล้วบรรดาคนดูที่ตื่นเต้นก็ส่งเสียงกรีดร้อง
ควอร์เตอร์แบ็กของวู้ดสันที่คิดว่าต้องล้มแน่ๆ ปรากฏตัวท่ามกลางผู้ตั้งรับ จะหลบหลีกสิ่งนั้นได้ยังไงนะ การขยับนั้นใกล้เคียงกับความน่าอัศจรรย์จนแทบไม่เชื่อสายตา เขาทำให้ผู้เล่นตำแหน่งตั้งรับหงายหลังไป และโยนลูกบอลไปที่เส้นของทีมคู่แข่งอย่างแม่นยำ ไวด์รีซีฟที่รออยู่ก่อนแล้วคว้าลูกและออกวิ่งทันที
[“ทัชดาวน์ที่สมบูรณ์แบบ!”]
เสียงโห่ร้องดังออกมาจากที่นั่งของโฆษก นักกีฬาของวู้ดสันมารวมตัวกันที่ควอร์เตอร์แบ็กผู้เป็นพระเอกในชัยชนะวันนี้ ผู้คุมที่ตื่นเต้นดีใจก็พุ่งเข้ามาด้วย แต่ควอร์เตอร์แบ็กของวู้ดสันกลับทิ้งเพื่อนร่วมทีมที่เข้ามาล้อมตัวเองไว้ข้างหลัง และวิ่งไปยังที่นั่งของคนดู เด็กชายที่นั่งอยู่ตรงที่นั่งคนดูลุกขึ้นโดยไม่รู้ตัว ฟิลลิปที่เดินไปด้านหน้าของที่นั่งคนดูถอดหมวกกันน็อกออกและโยนทิ้ง ผมที่ชื้นเหงื่อยุ่งไม่เป็นทรงเพราะลม คนทั้งคู่สบตากัน แล้วฟิลลิปก็ยิ้มกว้างก่อนจะยื่นมือไปทางเด็กชาย วินาทีที่ได้สัมผัสอีกฝ่าย เขาก็รู้สึกได้ว่าความรู้สึกต่างๆ เพิ่มพูนขึ้นมาเติมเต็มรอยร้าวที่คิดว่าคงจะเติมเต็มไม่ได้ไปตลอดกาล
นี่เป็นการทัชดาวน์ที่สมบูรณ์แบบจริงๆ
[1] คุณพ่อในที่นี้หมายถึงบาทหลวง