ใต้หน้ากากซูเปอร์สตาร์ - Side Story < Love Story > 1-1
บางครั้งเขาก็มีวันแบบนี้
วันที่ไม่สามารถปกปิดรอยร้าวที่มีติดตัวมาตั้งแต่เกิดไว้ได้เลย
และจุดเริ่มต้นก็เริ่มมาจากเรื่องที่เล็กน้อยเสียเหลือเกิน
ไม่ว่าจะเป็นกลิ่นปากของไอ้คนที่นั่งข้างหน้าที่แกล้งทำตัวสนิทสนมกับเขาในเช้าวันนี้ หรือคนแก่ที่ค่อยๆ จูงหมาถึงห้าตัวผ่านหน้ารถเขาอย่างสง่าผ่าเผย หรือฟันที่เรียงไม่เป็นระเบียบของไอ้หมูตอนที่จงใจมากระแทกโดนตัวเขาอย่างแรงในระหว่างที่เล่นกีฬา
สิ่งต่างๆ ที่เขาไม่ได้ตั้งใจสังเกตในเวลาปกติแทรกผ่านรอยร้าวนั้นเข้าไป และสร้างความรำคาญให้แก่เขา และทุกครั้งที่เป็นแบบนั้นเขาก็จะเกิดความต้องการอันแรงกล้าขึ้นมาอย่างไม่รู้ตัว
เช่น ความต้องการที่อยากจะเอาปากกาที่กำอยู่แทงตาของไอ้คนที่นั่งข้างหน้า หรือเหยียบคันเร่งอย่างเต็มที่โดยไม่สนใจคนแก่ที่เดินราวกับเป็นหอยทาก หรือถอนฟันของไอ้คนที่มาชนเขาออกให้หมดปาก
แล้วเขาก็เหลือบไปเห็นใบหน้าที่สะท้อนอยู่ในหน้าต่างตรงบริเวณทางเดิน ใบหน้านั้นปกติจนยากที่จะเชื่อว่าเป็นใบหน้าของคนที่จินตนาการถึงเรื่องที่น่ากลัวจนถึงเมื่อกี้นี้
ไม่สิ การใช้คำว่าปกติยังไม่พอด้วยซ้ำ ต้องเรียกว่ายอดเยี่ยมต่างหาก เขาโดดเด่นออกมาจากคนรุ่นเดียวกันอย่างเห็นได้ชัด
เส้นผมสีดำที่ปกคลุมหน้าผากเล็กน้อยกับดวงตาสีดำนั้นให้ความรู้สึกพิเศษมากกว่าที่จะทำให้รู้สึกไม่เข้าพวก นอกจากจะเป็นควอร์เตอร์แบ็กในทีมฟุตบอลแล้ว เกรดของเขายังดีมากในระดับที่สามารถเลือกเข้ามหาวิทยาลัยไหนก็ได้ คนที่รู้ราคาของรถสปอร์ตที่เขาขับสามารถคาดเดาได้ไม่ยากเลยว่าเขามีพ่อแม่ที่รวยขนาดไหน และเด็กนักเรียนหญิงทุกคนในโรงเรียนก็อยากจะคุยกับเขา
สายตาของผู้คนมักจะขยับตามทุกครั้งที่เขาก้าวเดิน และแม้ว่าเด็กนักเรียนหญิงที่ยืนอยู่ที่อีกฝั่งหนึ่งของทางเดินจะส่งสายตาทักทายมาให้ เขาก็แกล้งทำเป็นไม่รู้และเดินผ่านไป ปกติแล้วเขาจะยิ้มและแสร้งทำเป็นทักทาย แต่เขาไม่มีอารมณ์จะทำแบบนั้นเลย
เขาเหนื่อย เหนื่อยกับการยิ้มให้ การพูดคุยด้วย หรือแม้กระทั่งการแสร้งทำเป็นคนปกติ
เด็กนักเรียนกลุ่มหนึ่งโบกมือให้เขาจากทางด้านโน้นพร้อมกับเดินเข้ามาใกล้ เขาจึงเปลี่ยนทิศ และรีบเดินอย่างรวดเร็วเพื่อเข้าไปในห้องล็อกเกอร์ของชมรมฟุตบอล เนื่องจากวันนี้เป็นวันหยุดซ้อม ภายในห้องล็อกเกอร์จึงว่างเปล่า
เขาถอนหายใจและนั่งลงบนม้านั่ง
เขาทั้งไม่อยากอดทนกับช่วงเวลาที่น่าเบื่อที่จะต้องแลกเปลี่ยนบทสนทนาที่ไร้ประโยชน์กับจิตแพทย์ และไม่อยากไปโรงพยาบาลเพื่อรับการประเมินว่ายาตัวไหนดีอีกต่อไปแล้ว เขาปวดหัวตุบๆ เขารู้ดีว่าต่อให้พยายามอย่างไร เขาก็ไม่สามารถปกปิดรอยร้าวที่แยกออกจากกันนั้นได้
และตอนนั้นเองความรู้สึกที่ดำมืดก็พลุ่งพล่านขึ้นมา เขาก้มมองมือของตัวเองด้วยสีหน้าว่างเปล่า จากนั้นบานประตูล็อกเกอร์ที่อยู่ใกล้ๆ ส่งเสียงดังและบิดเบี้ยวราวกับเป็นกระดาษ เขาต่อยเพิ่มอีกหลายครั้ง จนเลือดที่ไหลออกมาจากหลังมือที่แตกกระเซ็นมาโดนหน้า
“ฮ่าฮ่า แม่งเอ๊ย”
เขาหัวเราะเบาๆ ก่อนจะเสยผมที่ยุ่งไม่เป็นทรงขึ้นไป ตอนนั้นเองเขาก็ได้ยินเสียงดังมาจากที่ไหนสักที่ เป็นเสียงที่เล็กและเบาถึงขนาดที่อาจไม่ได้ยินหากไม่สนใจฟัง เสียงนั้นเหมือนกับเสียงคราง แต่ก็เหมือนกับเสียงร้องไห้ด้วย เขาเดินไปที่ล็อกเกอร์ที่ตั้งอยู่ตรงมุมที่ไม่มีใครใช้ และเปิดประตูออก
“…!”
เขารับอะไรบางอย่างที่ล้มลงมาต่อหน้าไว้โดยอัตโนมัติ อะไรบางอย่างนั้นคือมนุษย์ เป็นเด็กผู้หญิง ไม่สิ เป็นเด็กผู้ชายที่ผอมแห้ง เด็กชายที่ใส่กระโปรงสั้นของทีมเชียร์ลีดเดอร์และคาบที่อุดปาก[1]อยู่ในสภาพถูกมัดแขนและขา ใบหน้าเปรอะเปื้อนไปด้วยน้ำตา
ไม่ต้องถามเขาก็รู้ว่าทำไมอีกฝ่ายถูกยัดเข้าไปในล็อกเกอร์ด้วยสภาพแบบนี้ ใบหน้าที่มีรอยกระ ดวงตากลมโตที่ดูประหม่า ขาแขนที่ผอมแห้งจนยากที่จะเชื่อว่าอายุเท่านี้แล้ว และเหนือสิ่งอื่นใดก็คือความเป็นคนเอเชียที่มีดวงตาและเส้นผมสีดำ
การแบ่งแยกสิ่งที่อ่อนแอและแตกต่างจากตนออกไปเป็นสัญชาตญาณของสัตว์ และสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่ามนุษย์เองก็ไม่ต่างกัน เขาก็แค่ประหลาดใจเล็กน้อยที่ยังมีพวกคนโง่ที่ดึงดูดความอยากแกล้งแบบนี้อยู่อีก
พอสบตากัน น้ำตาก็ไหลออกมาจากดวงตากลมโตของเด็กชายตรงหน้า ดวงตานั้นเหมือนกับดวงตาของลูกสัตว์ที่หวาดกลัว
เขาถอนหายใจเล็กน้อย และแก้เชือกที่มัดเด็กชายอยู่ออกให้ พอเขาแกะที่อุดปากที่คาบไว้ในปากออก เด็กชายก็กะพริบตาและเอ่ยปากพูดอย่างเป็นกังวล
“จะ เป็นอะไรหรือเปล่าครับ”
“ว่าไงนะ”
“เลือด…”
สายตาของเด็กชายจ้องไปที่มือที่ยับเยินของเขา เขาแสร้งหัวเราะ
อยู่ในสภาพแบบนั้นแล้วยังคิดจะเป็นห่วงคนอื่นอีกเหรอ
เด็กชายทำตัวไม่ถูกด้วยรู้สึกถึงสายตาที่มองตนเอง จากนั้นก็พูดต่ออย่างอ้ำอึ้ง
“นะ นี่เป็นการแกล้งเล่นของเฟร็ด เพราะฉะนั้นผมไม่ได้ตั้งใจจะแต่งตัวแบบนี้…”
สายตาของเขามองไปที่ขาของเด็กหนุ่ม เด็กหนุ่มจึงยิ่งกระสับกระส่าย และพยายามดึงชายกระโปรงสั้นๆ ลงมา
“เหมาะดีนะ”
“หา?”
“ฉันบอกว่าเหมาะดี”
เขาไม่แน่ใจเหมือนกันว่าความคิดอะไรทำให้เขาพูดแบบนั้นออกไป
หากเป็นเวลาปกติเขาคงจะช่วยปลอบ หรือไม่ก็แกล้งพูดจาใจดีด้วย แต่ตอนนั้นเขาแค่อยากจะพูดออกไปตามที่อยากจะพูดเท่านั้น
“เอ่อ…ขะ ขอบคุณครับ”
“…”
มันโง่หรือเปล่า เขารู้สึกถึงความประหลาดใจที่เกินกว่าความมึนงงไปแล้ว
นิ้วเรียวเล็กของเด็กชายขยุ้มชายกระโปรงสลับกับคลายออก และยังคงทำตัวไม่ถูกอยู่เหมือนเดิม ไม่รู้ว่าเป็นเพราะกระโปรงสั้นๆ นั้นหรือเปล่า เขาถึงได้เอาแต่มองขาที่ผอมจนมีแต่กระดูกนั่น
เขาเดินไปเปิดประตูล็อกเกอร์ของตัวเอง และหยิบเสื้อผ้าโยนให้เด็กชายคนนั้นโดยไม่พูดอะไร เด็กชายรับเสื้อผ้าที่ได้มาอย่างไม่คาดคิดพร้อมกับทำตาโตและมองมาที่เขา
“ฉันบอกว่าเหมาะ แต่ไม่ได้บอกให้ออกไปสภาพนั้นนี่”
“…เอ่อ ครับ ขะ ขอบคุณ…”
เด็กชายที่รับชุดออกกำลังกายไปแล้วเอ่ยขอบคุณด้วยน้ำเสียงที่คล้ายจะแผ่วลงทุกที
เขาหยิบกระเป๋าที่โยนทิ้งไว้ตรงม้านั่งขึ้นมาอีกครั้ง เขากำลังรู้สึกเบื่อหน่ายกับการได้รับคำขอบคุณที่ตนไม่เข้าใจ
“เดี๋ยว”
เสียงที่เอ่ยรั้งเอาไว้เรียกให้เขาหันหน้ากลับไป
“ถ้าผมจะคืน…”
“ทิ้งไป”
เขาตอบสั้นๆ ไม่มีประโยชน์อะไรจากการได้รับการตอบแทนจากผู้ชาย ไม่ใช่ผู้หญิง และตอนนี้เขาก็ไม่มีความคิดที่จะพูดนั่นพูดนี่ไปตามมารยาทด้วย
“ตะ แต่มันน่าเสียดายที่จะทิ้งเสื้อผ้าใหม่ๆ…”
“งั้นก็ทำตามใจนายเลย”
แล้วเขาก็ออกจากห้องล็อกเกอร์มา
กลุ่มคนกลุ่มที่เขาเดินผ่านไปเมื่อกี้ยกมือให้จากที่ไกลๆ และเดินเข้ามาหา พอเขามองเห็นกางเกงในของไอ้โง่ที่ใส่กางเกงเอวต่ำสุดๆ ความหงุดหงิดก็พลุ่งพล่านขึ้นมา
“เฮ้ ฟิล พวกเราหานายกันอยู่ตั้งนานแหนะ จู่ๆ นายก็หายไป”
“เย็นนี้นายจะไปปาร์ตี้ที่เอลล่าจัดหรือเปล่า”
“ดูเหมือนคราวนี้ยัยนั่นจะเตรียมตัวอย่างหนักเลยนะ หล่อนเตรียมปาร์ตี้ทันทีที่ได้ยินว่านายเลิกกับเมแกนเลยไม่ใช่หรือไง ได้ข่าวว่าเฝ้ารอที่จะไปร่วมงานปาร์ตี้วันเกิดของนายในฐานะคู่ควงเลยนี่”
แล้วคนพวกนั้นก็หัวเราะกันลั่น
รองเท้ากีฬาที่สกปรก แขนอุ่นๆ ของผู้ชายที่โอบไหล่เขาโดยที่เขาไม่ยินยอม กลิ่นเหงื่อที่คลุ้งไปทั่วจากการไม่ยอมอาบน้ำหลังเล่นกีฬาเสร็จ
…แม่ง
“ก็ต้องไปอยู่แล้วใช่ไหม พวกผู้หญิงที่อยากนั่งรถเฟอร์รารี่ของนายวันนี้น่ะเริ่มต่อแถวกันแล้ว”
ความรู้สึกสีดำสนิทไหลทะลักออกมาจากรอยร้าวที่ไม่เคยปกปิดได้เลยสักครั้งตั้งแต่เกิดมา
“ใช่ ไว้เจอกัน”
เขายืนเด่นอยู่บนความรู้สึกสีดำสนิทนั้น และยิ้มอย่างนุ่มนวลที่สุด
***
‘ดีขึ้นมากเลยครับ ยาตัวใหม่คงช่วยได้ ถ้าปรับความเครียดได้สำเร็จ คงไม่มีเรื่องที่น่าเป็นห่วงแล้วล่ะครับ’
ไอ้หมอหัวค*ย
พอนึกถึงหน้าของหมอแผนกจิตเวชที่วางท่าราวกับได้มองคนอย่างทะลุปรุโปร่งมาทั้งโลกแล้ว รอยยิ้มบิดเบี้ยวก็ติดอยู่ที่ริมฝีปากของฟิลลิป
คำพูดที่บอกว่ายาตัวใหม่มีประสิทธิภาพดีทำให้แม่สบายใจ แต่ในขณะเดียวกันก็รู้สึกเป็นกังวลด้วย ผู้หญิงคนนั้นมองเขาด้วยสายตารักใคร่เอ็นดูทันที จากนั้นก็พูดสิ่งที่ไม่ได้รู้สึกจริงๆ ออกมาว่า “ดีจริงๆ”
ฟิลลิปใช้มือกดขมับ เขารู้สึกปวดหัวจี๊ดๆ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะผลข้างเคียงของยาที่ได้รับมาใหม่ หรือเป็นเพราะอาการนอนไม่หลับที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องมาหลายวัน อาการปวดจึงไม่หายไปเลยสักนิด
เสียงแจ้งเตือนดังออกมาจากโทรศัพท์มือถือที่อยู่ในกระเป๋า เอลล่านั่นเอง เธอส่งข้อความมาชวนไปกินมื้อเที่ยงด้วยกัน เพราะเด็กสาวที่นอนกับเขาไปแค่ครั้งเดียวและคิดว่านั่นเป็นความสัมพันธ์ที่ยอดเยี่ยม วันนี้ทั้งวันหน้าต่างข้อความจึงไม่หายไปจากโทรศัพท์มือถือของเขาเลย
ฟิลลิปปิดโทรศัพท์มือถือ
เขาไม่รู้สึกอยากจีบใครทั้งนั้น แต่อยากจะหลับตาลงและนอนเงียบๆ ดังนั้นเขาจึงจงใจเดินไปยังที่ดินว่างเปล่าที่อยู่ในซอกหลืบด้านหลังของตึกห้องสมุด เพราะเขาจำได้ว่าเด็กนักเรียนหญิงที่เขาเจอแค่ครั้งเดียวที่ห้องสมุดก่อนหน้านี้บอกว่าเป็นที่ที่ไม่มีใครรู้และพาเขาไป ถ้าคำพูดของผู้หญิงคนนั้นเป็นความจริง ตอนนี้คนที่รู้จักที่แห่งนั้นก็มีแค่เขาคนเดียว เพราะเธอเรียนจบไปเมื่อปีที่แล้ว
พอเขาเลี้ยวตรงหัวมุมตึกและเดินขึ้นไปสักพัก เขาก็เห็นม้านั่ง ม้านั่งที่วางอยู่ใต้ร่มเงาของต้นไม้เก่ามากแล้ว และยังคงอยู่ในสภาพนั้นได้อย่างหวุดหวิด
มันมีขนาดที่พอที่จะมีเซ็กซ์ได้
ฟิลลิปหวนคิดถึงอดีตด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก และนอนลงบนม้านั่ง
ฟิ้ว
เสียงลมในช่วงต้นฤดูร้อนที่พัดจนทำให้ต้นไม้พลิ้วไหวดังขึ้นพร้อมๆ กัน เขาหลับตาลง
เราจะอยู่แบบนี้นานแค่ไหนดีนะ แต่แล้วเขาก็ต้องลืมตาที่ปิดอยู่ขึ้นมา เพราะได้ยินเสียงดังกรอบแกรบ เขามองเห็นรองเท้ากีฬาสีขาว พอค่อยๆ ไล่สายตาขึ้นไป เขาก็สบเข้ากับดวงตาที่เหมือนกับหวาดกลัว
“ขอโทษครับ ผมไม่ได้ตั้งใจจะปลุกนะ”
เด็กทึ่มที่เจอที่ห้องล็อกเกอร์เมื่อวานซืนนี่เอง
หากเป็นปกติเขาคงจะพูดอย่างนุ่มนวลว่า “ไม่ต้องใส่ใจหรอกครับ เพราะผมไม่ได้หลับ” แต่เนื่องจากความรู้สึกของเขาจมดิ่งไปแล้ว คำพูดที่อ่อนโยนเหล่านั้นจึงไม่หลุดออกมา พอคิดถึงผู้หญิงที่คุยโวว่าที่แห่งนี้เป็นสถานที่ลับที่มีแค่ตนเท่านั้นที่รู้จัก เขาก็รู้สึกหงุดหงิดขึ้นมา
“ปกติแล้วไม่มีใครมาที่นี้ ผมเลยนึกว่าไม่มีคนอยู่ แต่พอมีคนอยู่ ผมก็เลยตกใจ…แล้วก็แค่จะมาดูว่าเป็นใครเฉยๆ…”
ตามที่เด็กชายพูด ดูเหมือนว่าคำพูดของผู้หญิงคนนั้นจะไม่ใช่เรื่องโกหก
“…ผมไปแล้วนะครับ”
พอไม่ได้รับคำตอบ เด็กชายที่ห่อเหี่ยวก็ทำคอตกและพูดให้จบ
“ไม่ต้องใส่ใจหรอก”
ฟิลลิปนอนลงอีกครั้ง
เขาคิดว่าคงจะกลับไปทั้งอย่างนั้น ทว่าเจ้าตัวกลับชะงักและนั่งลงตรงปลายม้านั่ง เนื่องจากมันมีขนาดใหญ่พอที่คนสองคนจะนอนมีเซ็กซ์กันได้ เด็กชายที่นั่งอยู่ตรงปลายม้านั่งจึงไม่ได้ทำให้เขาอารมณ์เสียมากนัก
เขาได้ยินเสียงเปิดถุงกระดาษอย่างระมัดระวัง ฟิลลิปลืมตาที่ปิดอยู่ขึ้นมาอีกครั้ง เด็กชายที่เพิ่งจะหยิบแซนด์วิชออกมาจึงตัวแข็งทื่อเหมือนสัตว์กินพืชที่โดนกระบอกปืนจ่อ
“กะ กินไหมครับ”
สัตว์กินพืชแบ่งอาหารของตัวเองออกเป็นสองส่วนและยื่นให้
ถ้าตอนนี้มีปืนอยู่ในมือ เราจะเหนี่ยวไกหรือเปล่านะ
ฟิลลิปจ้องเด็กชายนิ่งๆ
พอถูกฟิลลิปจ้องมอง เด็กชายก็พูดต่ออย่างตะกุกตะกักด้วยความตื่นตระหนก
“ยะ ยังไม่โดนปากครับ”
ฟิลลิปเกือบจะหัวเราะออกมาแล้ว
คิดว่าเขาอยากได้แซนด์วิชจริงๆ หรือไงถึงได้บอกว่ายังไม่โดนปาก
“เป็นไส้เจลลี่กับเนยถั่ว…”
อีกฝ่ายนิ่งไปแบบนั้น และเหมือนว่าจะร้องไห้อีกแล้ว ฟิลลิปรับแซนด์วิชมาโดยไม่พูดอะไร พอเห็นเด็กชายลอบสังเกตตน ฟิลลิปก็กัดแซนด์วิชเข้าปาก ตอนนั้นเองเด็กชายถึงได้เริ่มกินแซนด์วิชทีละนิด เหมือนกับสัตว์เล็กๆ ที่กินอาหารของตัวเองอย่างหวงแหน
“…ไม่เป็นไรใช่ไหมครับ”
เด็กชายมองเขาก่อนจะเอ่ยถามอย่างระมัดระวัง
“อะไร”
“มือที่บาดเจ็บ…ตอนนั้น”
ฟิลลิปร้องอ๋อก่อนจะก้มมองมือของตัวเองที่ยังเหลือรอยแผลที่แตกอยู่ เป็นแผลที่พอแม่เห็นก็ตกใจกลัวและเอ่ยถามทันทีว่า “ไม่ได้ไปทำให้ใครเขาบาดเจ็บอีกใช่หรือเปล่า”
“ต้องทายานะครับ เพราะอาจจะเป็นรอยแผลเป็นได้”
เขาอยากจะถามเหลือเกินว่า “ไอ้ทึ่มที่ไม่เต็มอย่างแกมีสิทธิ์มาห่วงคนอื่นด้วยเหรอ”
“เกือบจำไม่ได้แหนะ”
“ครับ?”
“เพราะวันนี้ไม่ได้ใส่กระโปรง”
เขาตอบโต้อย่างหยอกเย้าแทน ใบหน้าของเด็กชายแดงซ่านในทันที
“ผะ ผมไม่ได้ใส่เพราะอยากใส่…แต่เฟร็ด…”
ท่าทีลุกลี้ลุกลนและแก้ตัวไม่หยุดให้กับคำพูดแซวเล่นที่พูดออกไปอย่างไม่คิดอะไรนั้นดูโง่จนน่าตกใจ
จากนั้นเขาก็ลุกขึ้นหลังจากที่กินแซนด์วิชที่เหลือเข้าไปในคำเดียว
“…จะไปแล้วเหรอครับ”
“อืม”
“กลับดีๆ นะครับ”
พอเห็นว่าเด็กชายรีบลุกขึ้นมาร่ำลา ฟิลลิปก็ทำตายิ้ม เพราะแบบนี้ล่ะสิถึงได้โดนแกล้ง
เด็กชายเอ่ยเรียกฟิลลิปที่ปัดเสื้อผ้าและกำลังจะเดินไปไว้อย่างร้อนรน
“ดะ…เดี๋ยวครับ”
พอฟิลลิปหันกลับไปมอง เด็กชายก็เอ่ยถามด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความประหม่า
“พรุ่งนี้ผมมาที่นี่อีกได้ไหมครับ”
แล้วมันเกี่ยวอะไรกับฉันล่ะ
ฟิลลิปยักไหล่ก่อนจะตอบว่า “ตามใจนายเลย” พอเขาทำแบบนั้น เด็กชายก็ยิ้มอย่างสดใสก่อนจะพูดต่อ
“ขอบคุณครับ”
พอเห็นดวงตาที่ใสซื่อบริสุทธิ์ที่ไม่มีความชั่วร้ายอะไรอยู่เลยมองมาที่ตน ฟิลลิปก็คิด
ถ้ามีปืน เราคงได้ลั่นไกแน่ๆ
แล้วเขาก็เดินลงเนินไป
[1] ที่อุดปาก มีชื่อภาษาอังกฤษว่า Ball Gag เป็นอุปกรณ์ที่ใช้เล่น BDSM ประเภทหนึ่ง