โดดเด่น...ที่จอมปลอม - ตอนที่ 4.2 ก้าวไปข้างหน้า
ตอนนี้ผมอยู่ในห้องของนานาเสะบนชั้นสอง ที่บ้านเกิดของเธอ และกำลังรออยู่คนเดียว รอให้เธออาบน้ำเสร็จ นั่งรออยู่บนพื้น
ผมกอดเข่า รู้สึกสับสนว้าวุ่นใจ ไม่คิดเลยว่าสถานการณ์แบบนี้จะเกิดขึ้นกับตัวเอง คิดว่าในชีวิตนี้คงไม่มีโอกาสได้เจออะไรแบบนี้อีกแล้ว เตียงนอนที่ชิดติดผนัง ทำให้รู้สึกแปลกๆ ขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก ถึงแม้ว่าการรออยู่ที่ชั้นล่างจะดีกว่า แต่มันก็ค่อนข้างอึดอัดที่จะต้องอยู่ที่นี่
เพื่อไม่ให้ตัวเองคิดฟุ้งซ่าน ผมก็เลยมองสำรวจไปรอบๆ ห้อง ห้องนี้สะอาดสะอ้าน ไม่มีฝุ่นเลย คงเป็นเพราะครอบครัวของนานาเสะมาทำความสะอาดอยู่เป็นประจำ บรรยากาศแตกต่างจากห้องที่อพาร์ตเมนต์ในเกียวโต ก็ที่นั่นมันถูกตู้เสื้อผ้าขนาดใหญ่เบียดจนแทบไม่เหลือที่ แถมยังไม่มีที่ให้วางของที่ไม่จำเป็น
โต๊ะเรียน ชั้นหนังสือ และเตียงนอน มีตู้ลิ้นชักและตู้เสื้อผ้าอย่างละหนึ่ง ตรงริมหน้าต่างมีกล่องดนตรีเล็กๆ วางอยู่ บนชั้นหนังสือมีหนังสือเรียน พจนานุกรม และคู่มือต่างๆ วางเรียงรายอยู่เต็มไปหมด แทบไม่มีการ์ตูนหรือนิยายเลย ถึงเธอจะเป็นกรรมการห้องสมุด แต่ก็ดูเหมือนว่าจะไม่ได้เป็นนักอ่านตัวยง แต่หนังสือสำหรับเด็กกลับมีอยู่เยอะพอสมควร ชั้นล่างๆ ของชั้นหนังสือมีหนังสืออย่าง “เอลเมอร์เเละมังกร” “โมโม่” วางเรียงอยู่
นานาเสะเติบโตมาที่นี่ตั้งแต่เด็กเลยสินะ
ไม่มีของตกแต่งน่ารักๆ สไตล์ผู้หญิงเลย แต่ถึงอย่างนั้น ผมก็รู้สึกว่านี่เป็นพื้นที่ที่ให้ความรู้สึกสบายใจ และเป็นตัวเองของนานาเสะ ฮารุโกะมากๆ
ในชั้นหนังสือ มีหนังสือรุ่นสมัยม.ปลายอยู่ด้วย จริงสิ ผมออกจากบ้านเกิดมาในวันที่เรียนจบพอดี ก็เลยไม่ได้เปิดดูหนังสือรุ่นเลย นานๆ ทีจะได้เห็นรูปของนานาเสะสมัยม.ปลาย…
ทันทีที่ผมดึงหนังสือรุ่นออกมา สมุดโน้ตที่อยู่ข้างๆ ก็ตกลงมา ผมคิดว่าแย่แล้ว และกำลังจะก้มลงเก็บ แต่ก็ชะงักมือไป
บนหน้าที่เปิดอยู่ มีลายมือของนานาเสะเขียนอยู่เต็มไปหมด เสื้อผ้าแบบไหน ควรจะใส่เครื่องประดับอะไร สีที่เหมาะกับผิวของตัวเอง และเสื้อผ้าที่เหมาะกับรูปร่าง เทคนิคการแต่งหน้า และการใช้สี ด้านข้างยังมีภาพวาดที่ไม่ค่อยจะสวยเท่าไหร่ ประกอบอยู่ด้วย
บางทีสมุดโน้ตเล่มนี้อาจจะเป็นร่องรอยของการฝึกฝนอย่างหนัก เพื่อที่นานาเสะจะได้ “เดบิวต์”ตอนเข้ามหา’ลัย
นานาเสะพยายามอย่างหนักเพื่อที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเอง แต่ผมกลับยังคงนิ่งอยู่ที่เดิม ไม่สามารถก้าวออกไปจากที่ตรงนั้นได้เลย
ผมปิดสมุดโน้ต แล้วเก็บเข้าที่เดิม ตอนนั้นเอง ผมก็ได้ยินเสียงนานาเสะเดินขึ้นบันไดมา ผมสะดุ้ง แล้วกลับไปนั่งขัดสมาธิที่เดิม
ประตูห้องเปิดออก นานาเสะโผล่หน้าออกมานิดหน่อย
「ขอโทษที่ให้รอ ซางาระคุงก็ไปอาบน้ำได้เลยนะ」
นานาเสะที่เพิ่งอาบน้ำเสร็จ หน้าสด แต่แก้มแดงระเรื่อ เธอใส่ชุดนอนธรรมดาๆ ปลายผมยังเปียกอยู่เล็กน้อย ผมรีบเบือนหน้าหนีจากนานาเสะอย่างลนลาน แล้วตอบกลับไปว่า 「อืม」
หลังจากอาบน้ำเสร็จ ผมก็ไปกินข้าวเย็นที่ห้องอาหาร ตอนนั้นเอง บรรยากาศก็กระอักกระอ่วนขึ้นมา แต่ผมก็พยายามทำตัวตามปกติ
นานาเสะพาผมไปที่ห้องว่างชั้นล่าง ดูเหมือนว่าเธอจะปูฟูกไว้ให้ตอนที่ผมกำลังอาบน้ำอยู่
「งั้น ราตรีสวัสดิ์นะ」
ผมพูดว่า 「ราตรีสวัสดิ์」 แล้วหันหลังให้กับนานาเสะ ไฟดับลง และได้ยินเสียงฝีเท้าเดินขึ้นบันไดไป เธอนอนในห้องของตัวเองสินะ
หมอนแข็งกว่าปกติเล็กน้อย เมื่อเทียบกับหมอนที่ใช้อยู่ทุกวัน เหมือนจะมีกลิ่นใหม่ๆ อยู่ด้วย เสียงนาฬิกาดัง “ติ๊กต่อก ติ๊กต่อก” ดังสะท้อนก้องจนหนวกหู ผมนอนพลิกตัวไปมาหลายครั้ง รู้สึกอึดอัด หายใจไม่ค่อยออก
ผมพยายามข่มตาหลับ เหมือนจะเคลิ้มๆ ไปบ้าง แต่พอเช็คเวลาจากสมาร์ทโฟนที่วางอยู่ข้างหมอน ก็พบว่าเวลายังผ่านไปไม่ถึงสองชั่วโมงเลย
ผมนอนไม่หลับ เลยออกจากห้องว่าง กลับไปที่ห้องนั่งเล่น ไม่เปิดไฟ นั่งลงบนโซฟา แล้วเงยหน้ามองเพดานที่สลัว
…ฉันควรจะทำยังไงดี
ทั้งเรื่องที่บ้าน และเรื่องของนานาเสะ ไม่ว่าเมื่อไหร่ ผมก็ยังคงครึ่งๆ กลางๆ อยู่เสมอ ผมเข้าใจดีว่าถ้าเป็นแบบนี้ต่อไปก็คงไม่ดี แต่ว่า… ตอนนี้จะให้เผชิญหน้ากับแม่ แล้วมันจะยังไงล่ะ มันจะไม่ยิ่งตอกย้ำว่า ที่ตรงนั้นไม่ใช่ที่ของผมหรอกเหรอ
ตอนที่ผมกำลังคิดมากอยู่นั้น ก็ได้ยินเสียงฝีเท้าดัง “ตึก ตึก” ลงมาจากบันได 「ซางาระคุง?」
นานาเสะที่หน้าสด สวมผ้าห่มทับชุดนอน เรียกชื่อผม ผมไม่พูดอะไร เพียงแค่มองไปที่เธอ
「…มีอะไรเหรอ」
「ฉัน นอนไม่หลับน่ะ…」
นานาเสะพูดแบบนั้น แล้วก็ยืนอยู่ที่ห้องครัว รินน้ำแร่ใส่แก้ว เธอดื่มน้ำจนหมด แล้วก็เดินมาหาผม นั่งลงข้างๆ
「ซางาระคุงเองก็นอนไม่หลับเหรอ?」
「…อืม」
「งั้นเหรอ ตรงนี้ หนาวใช่ไหมล่ะ มาห่มผ้าห่มด้วยกันเถอะ」
นานาเสะพูดแบบนั้นแล้วก็เอาผ้าห่มมาคลุมบนตักของผม วินาทีที่ไหล่ของเราสัมผัสกันเบาๆ กลิ่นหอมหวานก็ลอยมา ทำให้หัวใจของผมเต้นแรง ความอบอุ่นและวางใจที่ได้รับจากอุณหภูมิร่างกายของนานาเสะที่อยู่ตรงไหล่ขวา มีมากกว่าผ้าห่มนุ่มๆ ซะอีก
ถึงเธอจะบอกว่านอนไม่หลับ แต่จริงๆ แล้วนานาเสะคงเป็นห่วงผม ก็เลยแวะมาดู เธอเป็นคนที่มีจิตใจดี ห่วงใยคนอื่นเสมอ …แตกต่างกับผมอย่างสิ้นเชิง
「นี่… ถามอะไรหน่อยได้ไหม?」
「อะไรเหรอ」
「ทำไม ซางาระคุงถึง… ไม่อยากกลับบ้านเหรอ?」
เป็นคำถามที่แทงใจดำ แต่ตอนนี้ผมไม่อยากจะปฏิเสธเธอด้วยคำพูดที่ว่า “ไม่เกี่ยวกับเธอ” อีกแล้ว ผมเบนสายตาออกจากนานาเสะ ก้มหน้า แล้วตอบเสียงเบา
「สำหรับแม่… เขาก็มีครอบครัวใหม่แล้ว ไม่มีที่สำหรับฉันหรอก… อีกอย่างฉันก็ไม่ได้ต้องการอะไรแบบนั้น」
「คิดแบบนั้นจริงๆ เหรอ?」
「… อยู่คนเดียว สบายใจกว่าเยอะ ถ้าจะต้องทำร้ายใคร หรือถูกใครทำร้าย… อยู่คนเดียวไปเลย ยังจะดีซะกว่า」
เสียงของผมที่ฟังดูน่าสมเพช ดังก้องอยู่ในห้องนั่งเล่นที่มืดมิดและเงียบงัน
สักพัก นานาเสะก็ถามขึ้นมาด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา
「ซางาระคุง จริงๆ แล้ว รู้สึกเหงาใช่ไหม?」
ผมหันไปมองนานาเสะโดยไม่ทันตั้งตัว เพราะโดนจี้ใจดำเข้าอย่างจัง ดวงตาที่ไร้เครื่องสำอางดูอ่อนโยนกว่าตอนที่แต่งหน้า จ้องมองมาที่ผมอย่างอ่อนโยน
「การได้รู้จักกับใครสักคน มันก็น่ากลัวใช่ไหมล่ะ ฉันเองหลังจากเข้ามหาวิทยาลัยมา… ก็เจ็บปวด และเจอกับเรื่องแย่ๆ มามากจนแทบนึกภาพไม่ออกเลย ถ้าเทียบกับสมัยม.ปลาย」
「อึก ขะ ขอโทษ!」
ผมขอโทษออกไปโดยอัตโนมัติ แต่เธอก็หัวเราะ แล้วจับมือผมไว้
「แต่มันก็คุ้มค่านะที่ฉันกล้าเปิดใจ ถึงจะเจ็บมาบ้างก็เถอะ เพราะมันทำให้ฉันได้เจอทั้งเพื่อนใหม่ ได้เจอคนที่ชอบ แถมยังได้เจอเรื่องสนุกๆ กับเรื่องที่มีความสุข มากกว่าตอนนั้นตั้งเยอะ」
「นานาเสะ…」
「ขอบคุณนะ เพราะซางาระคุง ชีวิตในมหาวิทยาลัยของฉัน ก็เลยสนุกมากเลย ดังนั้น ครั้งนี้… ฉันอยากจะช่วยให้ซางาระคุงยิ้มได้บ้าง」
คำพูดของนานาเสะค่อยๆ ซึมซับเข้าไปในอกของผม เธอกำลังพยายามปลุกปลอบและให้กำลังใจผมอย่างสุดความสามารถ
เมื่อเห็นผมเงียบไป นานาเสะก็เม้มริมฝีปากแน่น ราวกับตัดสินใจอะไรบางอย่างได้ จากนั้นเธอก็โอบแขนรอบหลังของผม แล้วค่อยๆ ขยับตัวเข้ามาใกล้
「…อ๊ะ…!」
ผมพยายามจะพูดว่า “ทำอะไรน่ะ” แต่ก็พูดไม่ออก เลือดลมสูบฉีดไปทั่วร่างอย่างรุนแรง
ร่างกายที่สัมผัสกันนั้นช่างนุ่มนวล จนไม่น่าเชื่อว่าเป็นคนคนเดียวกัน ผมจินตนาการไปถึงความเรียบเนียนของผิวภายใต้เสื้อผ้า แล้วก็รู้สึกปวดหนึบที่ท้อง เส้นผมสีน้ำตาลเกาลัด ระอยู่ตรงแก้มของผม เราต่างสัมผัสได้ถึงเสียงหัวใจที่เต้นรัวของกันและกัน
ตอนที่ผมเกือบจะควบคุมสติไม่อยู่ ผมก็สังเกตเห็นว่าร่างของนานาเสะกำลังสั่นเทาเล็กน้อย ร่างกายที่เกร็ง บ่งบอกถึงความประหม่าของเธอ ผมถึงได้สติกลับมา
「ไม่เป็นไรแล้วนะ ซางาระคุง」
「…เอ่อ คือว่า ทำแบบนี้ เธอไหวแน่เหรอ…」
ทำไมเธอถึงต้องทุ่มเทให้กับคนอย่างผมขนาดนี้ ผมไม่ใช่คนที่มีค่าพอจะให้ผู้หญิงที่แสนดีและจริงใจอย่างนานาเสะมารู้สึกชอบได้หรอก
นานาเสะเงยหน้าขึ้นมา ดวงตาของเธอเอ่อคลอไปด้วยน้ำตา จ้องมองมาที่ผม
「…เพราะงั้น อย่าทำหน้าแบบนั้นสิ…」
เธอหมายถึงหน้าแบบไหนกัน ตอนที่ผมกำลังจะถาม หยดน้ำตาก็ร่วงลงบนผ้าห่ม ผมใช้เวลาอยู่หลายวินาที ถึงจะรู้ตัวว่าน้ำตานั้นไหลออกมาจากตาของผมเอง หลังมือที่ใช้เช็ดน้ำตานั้นเปียกชื้น
เอ๊ะ ผม… ทำไมถึงร้องไห้ล่ะ?
คิดว่าตัวเองไม่ได้รู้สึกเหงา คิดว่าอยู่คนเดียวได้ แต่ถึงอย่างนั้น ตอนนี้ผมกลับรู้สึกวางใจอย่างบอกไม่ถูก ที่ได้โอบกอดด้วยอุณหภูมิร่างกายที่ไม่ใช่ของตัวเอง
…อ่า อย่างนี้นี่เอง ที่ผ่านมาผม… รู้สึกเหงามาตลอดสินะ
「ขอโทษนะ… ขออยู่แบบนี้ อีกสักพักนะ」
ผมรู้ว่าตัวเองกำลังพูดอะไรที่น่าสมเพชออกไป แต่นานาเสะก็พยักหน้า 「อืม」 ผมซบหน้าลงบนไหล่บอบบาง น้ำตาที่กลั้นไว้ ก็ไหลออกมาอีก
เมื่อลืมตาตื่นขึ้นมา ก็เห็นใบหน้าตอนนอนของนานาเสะอยู่ตรงหน้า
เธอหายใจเข้าออกอย่างสม่ำเสมอในระยะประชิด ทำเอาหัวใจของผมแทบจะหยุดเต้น ผมตกใจจนกลิ้งตกจากโซฟา เอาหัวกระแทกกับโต๊ะอย่างจัง เกิดเสียงดัง “กึก”
ผมกุมหัว แล้วลุกขึ้นนั่ง นานาเสะขยับตัว 「อื้อ…?」
「…อ๊ะ ซางาระคุง อรุณสวัสดิ์…」
นานาเสะที่เพิ่งตื่นนอน ส่งยิ้มให้กับผม เมื่อเห็นรอยยิ้มนั้น ผมก็รู้สึกว่า เรื่องต่างๆ มันจะยังไงก็ช่างมันแล้ว ผมลูบหัวตัวเอง แล้วตอบกลับไปว่า 「…อืม อรุณสวัสดิ์」
「เมื่อคืนหลับสนิทไหม?」
「…หลับสนิทจนตกใจตัวเองเลยล่ะ」
อาจเป็นเพราะผมนอนหลับสนิท ก็เลยรู้สึกสดชื่นมาก ในสถานการณ์แบบนั้น ยังจะนอนหลับได้อย่างสบายใจอีก ประสาทสัมผัสผมมันเป็นยังไงกันนะ ผมคงจะด้านชากว่าที่ตัวเองคิดไว้
「งั้นเหรอ ดีจัง」
นานาเสะลุกขึ้นจากโซฟา แล้วเปิดผ้าม่านออก
「ไปซื้ออาหารเช้าที่ร้านเบเกอรี่ใกล้ๆ นี่กันเถอะ ครีมปังร้านนั้นอร่อยมากเลยนะ」
ท้องฟ้าสีครามสดใสทอดยาวอยู่ด้านนอกหน้าต่าง เส้นผมสีน้ำตาลเกาลัดสะท้อนกับแสงอาทิตย์ เปล่งประกายระยิบระยับ ผมรู้สึกตื่นตาตื่นใจอย่างบอกไม่ถูก จนเผลอหรี่ตาลง
หลังจากกินอาหารเช้าเสร็จแล้ว ผมกับนานาเสะก็ขึ้นรถเมล์ มุ่งหน้าไปยังบ้านเกิดของผม เมื่อลงรถ ผมก็บอกนานาเสะว่า 「รออยู่ตรงนี้แหละ」
「คุยกับแม่เสร็จแล้ว จะรีบกลับมา …ไปนั่งรอที่คาเฟ่หรือที่ไหนสักที่ ฆ่าเวลาไปก่อนนะ」
「อืม เข้าใจแล้ว ไปดีมาดีนะ」
นานาเสะยิ้มอย่างอ่อนโยน และโบกมือส่งผม
…นานาเสะอุตส่าห์ทำให้ผมถึงขนาดนี้ …แต่ผมนี่ เอาแต่คิดถึงตัวเองจริงๆ
ผมผลักไสนานาเสะด้วยเหตุผลที่เห็นแก่ตัว กลัวที่จะเจ็บปวด ก็เลยเอาแต่หนี ทั้งความรู้สึกของอีกฝ่าย และความรู้สึกของตัวเอง ทั้งๆ ที่รู้ว่าทำแบบนี้ต่อไปก็ไม่ได้อะไร
การที่ผมจะเผชิญหน้ากับความรู้สึกของนานาเสะได้อย่างตรงไปตรงมานั้น อันดับแรก ผมต้องเผชิญหน้ากับปัญหาที่ตัวเองแบกรับอยู่ และแก้ไขมันให้ได้
ผมยืดหลังตรง และเริ่มออกเดินไปยังบ้านเกิด
ระหว่างทางจากป้ายรถเมล์ไปยังบ้าน มีสวนสาธารณะเล็กๆ อยู่ ที่นี่คือที่ที่นานาเสะล้มเมื่อวานนี้ จริงสิ เมื่อก่อน ผมเคยเล่นซนจนตกลงมาจากเครื่องเล่นปีนป่าย จนต้องเย็บแผลที่หัว ผมจำเหตุการณ์ตอนนั้นไม่ได้ แต่จำได้ว่าแม่เคยพูดภายหลังว่า “ตอนนั้นแม่แทบใจสลาย”
…ความทรงจำที่ปิดตาย และพยายามหลีกหนีมาตลอด จริงๆ แล้วอาจจะไม่ได้มีแต่เรื่องแย่ๆ อย่างเดียวก็ได้
ผมเดินต่ออีกสักพัก และมาถึงบ้าน ผมรู้สึกประหม่า แต่ก็ไม่ได้คิดจะหนี เหมือนเมื่อวาน ผมสูดหายใจเข้าลึก แล้วกดกริ่ง
「ยินดีต้อนรับกลับจ้ะ โซวเฮย์」
ประตูเปิดออก และแม่ก็โผล่หน้าออกมา แม่ที่ไม่ได้เจอกันนาน ดูอวบอิ่มกว่าที่จำได้เล็กน้อย และสีหน้าก็ดูสดใส ผมไม่รู้ว่าควรจะทำหน้ายังไง ก็เลยยืนนิ่งๆ เอามือล้วงกระเป๋าเสื้อขนเป็ด
「ข้างนอกหนาวใช่ไหม เข้ามาข้างในสิ เดินทางลำบากไหม หิมะตกแบบนี้?」
ผมเดินเข้าบ้านตามคำเชิญ ข้างในบ้านอุ่นสบายเพราะเปิดฮีตเตอร์ไว้ รองเท้าแตะสำหรับแขกที่วางอยู่ตรงโถงทางเข้า ไม่ใช่คู่ที่ผมเคยใช้ แต่เป็นคู่ใหม่เอี่ยม ผ้าแข็ง ใส่ไม่สบาย ทั้งๆ ที่นี่คือบ้านที่ผมเคยอยู่ แต่กลับรู้สึกแปลกแยกอย่างบอกไม่ถูก
「เมื่อวาน ทำไมไม่เข้ามาล่ะ?」
น้ำเสียงของแม่ตอนที่พูดประโยคนั้น ไม่ได้ตำหนิผมเลย ออกจะฟังดูเป็นห่วงผมมากกว่า
「อ่า… ขอโทษครับ เอ่อ ไปบ้านเพื่อนน่ะครับ…」
「ฮานะจังบอกว่า เห็นคนที่เหมือนโซวเฮย์มาที่บ้านเราด้วยล่ะ」
อย่างที่คิด ถูกจับได้ซะแล้ว ผมไม่สามารถแก้ตัวอะไรได้ เลยได้แต่พยักหน้ารับ 「อืม」 อย่างคลุมเครือ
แม่จ้องมองมาที่ผม แล้วก็ถอนหายใจออกมาเหมือนโล่งอก 「…ค่อยยังชั่วที่มา」
ผมถามกลับไปอย่างงุนงง 「เอ๊ะ?」 เพราะไม่คาดคิดว่าจะได้ยินคำพูดแบบนี้ แม่ก้มหน้า แล้วก็พูดเสียงเบา
「…โทรไปก็ไม่ค่อยรับ เงินที่ส่งไปให้ก็ไม่ยอมเอา」
「…เรื่องนั้น…」
「นึกว่าจะไม่มาที่นี่อีกแล้ว」
น้ำเสียงของแม่ตอนที่พูดประโยคนั้น สั่นเครือเล็กน้อย แล้วเธอก็หันหลังกลับไปอย่างรวดเร็ว เมื่อผมพูดว่า 「ขอโทษครับ」 ก็ได้ยินเสียงสูดน้ำมูกดัง “ฟึด” ผมตกใจที่รู้ว่าเธอกำลังร้องไห้ ทั้งๆ ที่ตอนที่ถูกพ่อทำร้าย เธอก็ไม่เคยร้องไห้ให้เห็นเลย ในที่สุดผมก็ตระหนักได้ว่า ผู้หญิงคนนี้ก่อนที่จะเป็นแม่ของผม เธอก็เป็นคนธรรมดาคนหนึ่ง
แม่รีบปาดน้ำตา แล้วหันกลับมา เธอฝืนยิ้ม ยกมุมปากขึ้นอย่างเก้ๆ กังๆ
「…เอาเถอะ กินข้าวเย็นด้วยกันไหม? จะทำคาราอาเกะให้นะ」
คาราอาเกะเป็นของโปรดของผม แม่ยังจำสิ่งที่ผมชอบได้จนถึงตอนนี้ 「…แม่ครับ」
「อะไรเหรอ?」
「เคยเสียใจที่ให้ผมเกิดมา ไหมครับ?」
เป็นสิ่งที่ผมกลัวที่จะถามมาโดยตลอด
เมื่อถูกผมถามอย่างกะทันหัน แม่ก็อึ้งไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็ก้มหน้าลง
「…ขอโทษนะ โซวเฮย์ ที่แม่… เคยพูดอะไรรุนแรงกับลูกไป」
ถ้าไม่มีโซวเฮย์ก็คงจะดี
เป็นคำพูดที่แม่พลั้งปากพูดออกมาตอนที่ทะเลาะกับพ่อ เป็นคำพูดที่ติดอยู่ในใจของผม เหมือนกับคำสาปแช่ง
「ถึงจะฟังดูเหมือนเป็นการแก้ตัวก็เถอะ… แต่ตอนนั้น แม่ทั้งเหนื่อยทั้งท้อ จนสติหลุดไปเลย」 ผมพยักหน้า 「อืม」 ตอนนี้ผมพอจะเข้าใจแล้ว แม่ก็เป็นคนธรรมดาคนหนึ่ง การที่จิตใจว้าวุ่น จนเผลอพูดอะไรออกไปโดยไม่ทันคิด ก็คงเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้
「แม่เข้าใจนะ ถ้าโชวเฮย์จะไม่ให้อภัยแม่ แต่ขอโอกาสให้แม่ได้พูดอะไรบ้างเถอะนะ」
แม่หยุดพูดไปครู่หนึ่ง จ้องมองมาที่ผมอย่างแน่วแน่ แล้วพูดอย่างหนักแน่นว่า
「ที่ลูกเกิดมาน่ะ… จะให้แม่เสียใจ… เรื่องแบบนั้น ไม่มีทางหรอก」
ในวินาทีนั้น ผมรู้สึกเหมือนกับว่าโซ่ตรวนที่พันธนาการอยู่กลางอกมาตลอด ได้หลุดออกไปอย่างง่ายดาย
ที่นี่อาจจะไม่ใช่ที่ของผมอีกต่อไปแล้ว แต่แม่ก็คงยังรักผมอยู่ แค่ได้รู้แบบนี้ ผมก็ดีใจแล้วที่ได้มาที่นี่
「แม่… ยินดีด้วยนะครับ… กับการแต่งงานใหม่」
เมื่อผมพูดออกไป แม่ก็ยิ้มให้ 「ขอบใจนะ」 เป็นรอยยิ้มที่มีความสุขจากก้นบึ้งหัวใจ เป็นรอยยิ้มที่ไม่ได้เห็นมานานแล้ว
ผมคุยกับแม่สักพัก แล้วก็พูดว่า 「ผมว่าจะกลับแล้วล่ะครับ」 พร้อมกับหยิบเสื้อขนเป็ดมาสวม
「อยู่ต่ออีกสักหน่อยไม่ได้เหรอ」
「ไม่ล่ะ วันนี้… ผมมีเพื่อนรออยู่น่ะครับ」
แม่พูดว่า 「งั้นเหรอ」 ด้วยสีหน้าผิดหวังเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้รั้งอะไรผมไว้
「เดี๋ยวคราวหน้าจะมาใหม่นะครับ …ก็… ต้องทักทาย คนที่จะแต่งงานด้วย… อะไรแบบนั้นใช่ไหมครับ」
เมื่อผมพูดออกไป แม่ก็พยักหน้ารับ 「เข้าใจแล้ว」 ด้วยสีหน้ายินดี เห็นว่าว่าที่น้องสาวอายุก็ไม่ใช่น้อยๆ แล้ว ผมก็คงไม่คิดจะกลับมาบ่อยๆ หรอก แต่นานๆ ที มาเยี่ยมบ้างก็คงจะดี
ผมใส่รองเท้าผ้าใบ แล้วเดินออกจากบ้าน
ข้างนอกยังคงหนาวจัด ลมหายใจแทบจะจับตัวเป็นน้ำแข็ง แต่แสงอาทิตย์สาดส่องลงมาจากช่องว่างระหว่างก้อนเมฆสีเทา สะท้อนกับหิมะที่ยังละลายไม่หมด ส่องประกายสีขาวระยิบระยับ ความคิดถึงนานาเสะเอ่อล้นขึ้นมาในใจ อยากจะเจอเธอเร็วๆ แล้ว ผมจึงรีบเดินโดยไม่รู้ตัว
ทันใดนั้น ผมก็เห็นใครบางคนอยู่ที่ป้ายรถเมล์ ผู้หญิงผมยาวคนหนึ่ง กำลังยืนอยู่!
「…นานาเสะ!」
ผมตะโกนเรียกชื่อเธอ นานาเสะที่สังเกตเห็นผม ก็รีบวิ่งมาหา
「…ทำไม มาอยู่ตรงนี้ล่ะ …ฉันบอกให้ไปรอที่ไหนสักที่แล้วนี่」
「…อืม ก็มันอดกังวลไม่ได้นี่นา…」
「หนาวแย่เลย!」
นานาเสะตอบกลับมาว่า 「ไม่เป็นไร」 พร้อมกับพ่นลมหายใจออกมาเป็นไอสีขาว แต่จมูกของเธอกลับแดงก่ำ ผมจับมือเธอ และพบว่ามันเย็นเฉียบเหมือนน้ำแข็ง
…ท่ามกลางอากาศหนาวๆ แบบนี้ เธอรอผม… มาตลอดเลยเหรอ
ผมกุมมือที่เย็นเฉียบของเธอไว้แน่น หวังจะให้มันอุ่นขึ้น นานาเสะจับมือผมตอบ แล้วถามอย่างลังเล
「…ซางาระคุง คือว่า… เป็นยังไงบ้าง?」
「…อืม ที่ของฉัน… ก็คงไม่มีอยู่ที่นั่นแล้วล่ะ」
เมื่อผมตอบออกไป นานาเสะก็ก้มหน้าลง แล้วก็ถอนหายใจออกมาอย่างเศร้าสร้อย
「งั้น…เหรอ ขอโทษนะ… ฉัน ทำอะไรเกินไปหรือเปล่า…」
「…เปล่า ไม่ใช่แบบนั้น」
นานาเสะต่างหากที่เป็นคนคลายปมในใจของผม ที่ถูกความดื้อรั้นพันธนาการไว้จนแน่น เพราะนานาเสะ ผมถึงได้กล้าเผชิญหน้ากับแม่
「ตอนนี้… ฉันโอเคแล้วล่ะ」
「…จริงเหรอ? ถ้าอย่างนั้นก็…」
ก่อนที่นานาเสะจะพูดจบ ผมก็ดึงมือเธอ แล้วรวบตัวเธอเข้ามากอดไว้ในอ้อมแขน กอดร่างที่อยู่ในอ้อมแขนนั้นไว้แน่น เส้นผมสีน้ำตาลเกาลัดยาว ส่งกลิ่นหอมหวาน
「…นานาเสะ ฉัน…」
ทั้งๆ ที่มีเรื่องมากมายที่อยากจะพูด แต่ผมกลับพูดอะไรไม่ออก ทำได้เพียงแค่กอดเธอเอาไว้ ตามความรู้สึกที่เอ่อล้นออกมา
หลังจากนั้นครู่หนึ่ง มือของนานาเสะก็ค่อยๆ โอบรอบแผ่นหลังของผม ท่ามกลางอากาศที่หนาวเย็นจนแทบจะทิ่มแทงผิวหนัง มีเพียงส่วนที่สัมผัสกับนานาเสะเท่านั้นที่ร้อนผ่าว
ตอนนี้ผมไม่อยากจะปล่อยอ้อมกอดอันแสนอบอุ่นนี้ไป จึงกอดเธอให้แน่นขึ้น