โดดเด่น...ที่จอมปลอม - ตอนที่ 2.3 ใต้เงาฤดูร้อนที่ผันเปลี่ยน
หลังจากที่ไปเที่ยวพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำเกียวโตได้ไม่กี่วัน นานาเสะก็เอาอาหารเย็นมาให้เหมือนอย่างเคย ทันทีที่เปิดประตูห้องผม เธอก็เบิกตากว้างด้วยความตกใจ
「ว้า ร้อนจัง! ซางาระคุง นี่ไม่ได้เปิดแอร์อีกแล้วเหรอ?」
เธอพูดเหมือนกำลังตำหนิ ผมเลยเกาหัวแก้เก้อ
วันนี้อากาศค่อนข้างเย็นสบายกว่าปกติ อีกอย่างอีก 3 ชั่วโมงผมก็ต้องไปทำงานพิเศษแล้ว เลยคิดว่าจะทนอีกสักหน่อย
「ซางาระคุง ลืมเรื่องที่ตัวเองเกือบล้มฟุบไปคราวก่อนแล้วเหรอ?」
พอถูกเธอจ้อง ผมก็เลยพูดอะไรไม่ออก ก็จริงอย่างที่เธอพูด ตอนนั้นผมทำให้นานาเสะลำบากมาก
「ขอโทษ… เดี๋ยวฉันเปิดแอร์」
พอผมยอมแพ้ นานาเสะก็ร้อง 「จริงสิ!」 เหมือนนึกอะไรดีๆ ออก เธอยิ้มอย่างดีใจ แล้วยกมือไหว้ตรงหน้าอก
「มากินข้าวเย็นด้วยกันที่ห้องฉันไหม? เย็นสบายเลยนะ」
ผมอุทาน 「ห๊ะ…」 ออกมาด้วยความตกใจกับข้อเสนอที่ไม่คาดคิด ผมคิดมาตลอดว่าเธอเป็นผู้หญิงที่กะระยะห่างไม่ค่อยเป็น แต่ไม่คิดว่าเธอจะไม่มีเซ้นส์เรื่องการระวังตัวขนาดนี้
「จะ… จะบ้าเหรอ… ชวนผู้ชายเข้าไปในห้องง่ายๆ แบบนี้ได้ยังไง」
「ฉันไม่ได้ชวนง่ายๆ สักหน่อย กับผู้ชายคนอื่น ฉันไม่ทำแบบนี้หรอกนะ」 นานาเสะยิ้มอย่างใสซื่อ ผมถอนหายใจเบาๆ
บางที เธอควรจะรีบๆ หาแฟน ก่อนที่จะมีผู้ชายคนอื่นเข้ามาใกล้เธอมากกว่านี้
「อีกอย่าง คราวก่อนเราก็กินข้าวต้มในห้องของซางาระคุงด้วยกันแล้วนี่」
「มา มากินที่ห้องฉันก็ได้! นะ มาเถอะ」
เมื่อถูกชวนแบบนี้ ผมก็เริ่มรู้สึกว่า ช่างมันเถอะ ยังไงก็ได้ นานาเสะไม่ได้คิดอะไรกับผมอยู่แล้ว และผมเองก็ไม่ได้คิดอะไร ไม่มีทาง ยืนยัน นิดเดียวก็ไม่มี
「เชิญเลย เข้ามา เข้ามา」
ผมเดินตามนานาเสะเข้าไปในห้องเธอ นี่เป็นครั้งที่สองที่ผมมาที่นี่ ครั้งแรกคือวันที่มาช่วยกำจัดแมลงสาบ
ห้องของเธอเย็นสบายเพราะแอร์ ต่างจากห้องผม เธอทำความสะอาดอย่างเรียบร้อย รู้สึกเหมือนจะมีกลิ่นหอมๆ ด้วย ตู้เสื้อผ้าขนาดใหญ่ยังคงกินพื้นที่ส่วนใหญ่ในห้อง ทำให้รู้สึกว่าห้องเธอดูแคบกว่าห้องผม ทั้งๆ ที่ขนาดห้องก็เท่ากัน
「วันนี้ฉันทำแฮมเบิร์ก! ซอสก็ตั้งใจทำเองเลยนะ」
นานาเสะพูด แล้ววางจานแฮมเบิร์กกับข้าวสวยลงบนโต๊ะเตี้ย พอนั่งลง เธอก็พูดว่า 「ขอโทษนะที่ห้องมันแคบ」 แล้วนั่งลงข้างๆ เพราะของเยอะ เลยไม่มีที่นั่งตรงข้าม ระยะห่างที่ใกล้จนผมแอบหวั่นไหว แต่ก็พยายามทำตัวปกติ
「ทานล่ะนะ」
ผมใช้ช้อนหั่นแฮมเบิร์ก แล้วเอาเข้าปาก น้ำซอสชุ่มฉ่ำกระจายไปทั่วปาก จนเผลออุทานออกมา ซอสเดมิกลาสที่เธอทำเองก็อร่อย นานาเสะทำอาหารเก่งจริงๆ
พอผมชมว่า 「อร่อยมาก」 นานาเสะก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก
「จริงเหรอ? จริงๆ ก่อนหน้านี้ทำแล้วมันไม่ค่อยสุก เลยพลาดไป วันนี้ทำได้ดี ค่อยยังชั่ว」
นานาเสะก็มีเรื่องที่ทำพลาดเหมือนกัน แต่ก็จริง เธอเป็นคนที่พยายามอย่างหนัก ฝีมือการทำอาหารของเธอตอนนี้ คงเป็นผลจากการฝึกฝน
ดูเหมือนว่าจะมีชามข้าวแค่ใบเดียว นานาเสะเลยกินข้าวกับถ้วยซุปมิโซะแทน ผมรู้สึกผิดที่เธอต้องสละชามให้
ระหว่างกินข้าว นานาเสะก็พูดขึ้นมา
「ฉัน กะว่าจะกลับบ้านเกิดอาทิตย์หน้าน่ะ」
สีหน้าของนานาเสะดูเศร้าๆ ผมกลืนข้าว แล้วตอบไป 「อืม」
「ช่วงโอบ้ง ที่บ้านบอกให้กลับไป」
ผมนึกว่าจะคุยเรื่องครอบครัวผม แต่นานาเสะก็ไม่ได้พูดถึง เธอกินแฮมเบิร์กต่อ แล้วถอนหายใจ
「ไม่ค่อยอยากกลับเท่าไหร่」
「ทำไมล่ะ」
「พอกลับบ้าน… ยังไงก็ต้องนึกถึงตัวเองในตอนนั้น」
สำหรับนานาเสะ บ้านเกิดคงเป็นที่ที่ทำให้เธอนึกถึงตัวเองในอดีต ถึงจะต่างกัน แต่ผมก็เข้าใจความรู้สึกที่ไม่อยากกลับบ้าน
「แต่ คงไม่เจอใครหรอก ไม่เป็นไร อืม คงไม่มีใครจำฉันได้แล้ว」
นานาเสะพูดเหมือนปลอบใจตัวเอง แล้วหันมายิ้มให้ผม ความกังวลเมื่อครู่หายไปหมดแล้ว
「อ๊ะ ซางาระคุง เอาข้าวเพิ่มไหม? เดี๋ยวฉันตักให้」
นานาเสะยิ้ม รับชามข้าวจากผมไป จังหวะนั้น ไหล่กับแขนก็สัมผัสกันนิดหน่อย
******
ช่วงกลางเดือนสิงหาคม ฉันกลับบ้านเกิดที่นาโกย่า
ช่วง Golden Week ฉันก็ไม่ได้กลับ นี่เลยเป็นการกลับบ้านเกิดครั้งแรกหลังจากเรียนจบ บางทีฉันอาจจะเจอคนรู้จัก แต่ถึงจะเจอ ก็คงไม่มีใครจำฉันได้หรอก ถึงอย่างนั้นฉันก็รู้สึกอึดอัดอยู่ดี
ฉันรู้สึกขอบคุณพ่อกับแม่ ที่อนุญาตให้ออกมาอยู่คนเดียว แถมยังยอมรับการเปลี่ยนแปลงของฉันหลังเรียนจบม.ปลาย 「ก็ฮารุโกะเป็นนักศึกษามหาลัยแล้วนี่นะ」 พ่อกับแม่ยิ้ม
แต่ถึงอย่างนั้นฉันก็ไม่ค่อยอยากกลับมา เพราะการอยู่ที่นี่ ทำให้ฉันนึกถึงตัวเองตอนที่ยังว่างเปล่า
「ยินดีตอนรับกลับ เหนื่อยหน่อยนะ เดินทางไกลเลย」
พอกลับถึงบ้าน คุณแม่ก็ต้อนรับอย่างอบอุ่น ดูเหมือนคุณพ่อจะยังไม่กลับจากที่ทำงาน ฉันยิ้มแล้วตอบว่า 「กลับมาแล้วค่ะ」
「นั่งชินคันเซ็นก็สบายดีหรอก แต่แพงเนอะ ถ้านั่งคินเท็ตสึมาก็น่าจะถูกกว่า」
「ก็มันกลับมาได้เร็วนี่ ก็ดีแล้ว ข้าวยังไม่เสร็จ ไปเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วพักผ่อนก่อนเถอะ」
ฉันลากกระเป๋าเดินทางไปยังห้องตัวเองตามที่คุณแม่บอก
ห้องของฉันที่ไม่ได้กลับมานาน ยังคงเหมือนเดิมไม่เปลี่ยน แต่ฉันกลับรู้สึกเหมือนเป็นห้องของคนอื่น ฉันหยิบเสื้อยืดกับกางเกงขาสั้นจากตู้เสื้อผ้ามาเปลี่ยน แล้วทิ้งตัวลงนอนบนเตียง
…ป่านนี้ ซางาระคุงจะเป็นยังไงบ้างนะ
ตั้งแต่ปิดเทอมฤดูร้อน ดูเหมือนเขาจะยุ่งตลอด ยังคงทำงานพิเศษ ได้ยินเสียงกลับมาตอนเช้ามืดทุกวัน
ไม่มีฉันแล้ว จะกินข้าวบ้างไหมนะ คงกินแต่อุด้งเหมือนเดิม หวังว่าจะไม่ป่วยอีกนะ
…ว่าแต่ ซางาระคุงไม่กลับบ้านเกิดเหรอ
ฉันนึกขึ้นได้ เลยลุกขึ้นไปหยิบหนังสือรุ่นตอนม.ปลายจากชั้นหนังสือ จริงๆ แล้ว ตั้งแต่ได้มา ฉันก็ยังไม่เคยเปิดดูเลยสักครั้ง เพราะในหนังสือรุ่นเล่มหนานี้ ไม่มีความทรงจำของฉันอยู่เลย
ฉันเปิดหนังสือรุ่นปกสีเขียวเข้ม ที่มีตัวอักษรสีทองสลักคำว่า “โรงเรียนมัธยมปลายนาโกย่า สาขา 2” อย่างหรูหรา
ฉันอยู่ห้อง 3-4 ในรูปมีผู้หญิงที่ดูจืดชืดและไม่น่ามองคนหนึ่ง ถักเปียผมสีดำ ใส่เสื้อเบลเซอร์สีกรมท่า ผูกเนคไทสีแดง กลัดกระดุมเสื้อเชิ้ตจนถึงเม็ดบน เหมือนกับรูปในคู่มือนักเรียนเป๊ะ เป็น “การแต่งกายที่ถูกต้อง”
หน้าถัดมาเป็นภาพกิจกรรมของโรงเรียนและชมรม แต่ก็ไม่มีฉันอยู่ในนั้น มีรูปเดียวที่ฉันโผล่ไปอยู่ด้วย คือรูปถ่ายรวมของคณะกรรมการห้องสมุด
ต่อมาฉันก็เปิดไปที่หน้าห้อง 3-6 เจอซางาระคุงเร็วอย่างไม่คาดคิด ถึงจะดูไม่ค่อยต่างจากตอนนี้ แต่ผมสั้นกว่านิดหน่อย เขาคงไม่ชอบถ่ายรูป สีหน้าเลยดูเกร็งๆ พอเห็นชื่อที่เขียนอยู่ใต้รูป ฉันก็รู้สึกแปลกใจ
“อิจิมะ โซเฮ คนที่อยู่ในรูปคือซางาระคุง แต่กลับไม่ใช่ซางาระคุง
จริงสิ เหมือนเขาจะเคยบอกว่าเปลี่ยนนามสกุล อาจจะเพราะพ่อแม่หย่ากัน หรือไม่ก็เสียชีวิต ฉันไม่อยากคิดอะไรไปมากกว่านี้ เลยส่ายหัวแล้วเลิกคิด
…ถึงจะคิดว่าสนิทกันแล้ว แต่ฉันกลับไม่รู้อะไรเกี่ยวกับซางาระคุงเลย
พอรู้ความจริงข้อนี้ ฉันก็รู้สึกเหงาขึ้นมา ฉันเก็บหนังสือรุ่นไว้ที่เดิม แล้วกลับไปนอนบนเตียงอีกครั้ง
******
อาทิตย์ที่แล้ว นานาเสะกลับบ้านเกิด
ช่วงที่เพื่อนบ้านไม่อยู่ ผมก็ขยันทำงานพิเศษและอ่านหนังสือ ถึงจะดื่มด่ำกับความโดดเดี่ยวที่ห่างหายไปนานอย่างเต็มที่ แต่พอไม่มีเสียงละครที่ดังลอดกำแพงออกมา หรือเสียงฮัมเพลงงึมงำตอนตากผ้า มันก็รู้สึกขาดอะไรไปบางอย่าง
ทุกครั้งที่กินอุด้งลดราคา เสียงของนานาเสะก็จะดังขึ้นในหัว 「กินอะไรที่มีประโยชน์กว่านี้หน่อยสิ!」 พอนานาเสะไม่อยู่ อาหารการกินของผมก็แย่ลง เห็นทีคงต้องลองหัดทำอาหารเองบ้างแล้ว จะได้พิสูจน์ให้เห็นว่า ถึงไม่มีนานาเสะ ผมก็อยู่ได้
ผมไปซื้อต้นหอมกับชิกุวะ (ลูกชิ้นปลา) ที่ซูเปอร์มาร์เก็ต แล้วหยิบเขียงกับมีดที่ไม่เคยใช้มาก่อน ออกมาจากตู้ ผมหั่นชิกุวะกับต้นหอมอย่างระมัดระวัง แต่พอหั่นเสร็จ ก็เพิ่งรู้ตัวว่าต้นหอมยังติดกันอยู่ ดูท่าว่าผมจะไม่มีพรสวรรค์ด้านการทำอาหาร ผมสบถ แล้วหั่นใหม่อีกรอบ
ผมโยนต้นหอมกับชิกุวะลงในกระทะ ใส่อุด้งราคา 30 เยนลงไปผัด แล้วราดซอส เสร็จแล้ว ยากิอุด้งแบบลวกสุดๆ ถึงจะเทียบกับที่นานาเสะทำไม่ได้ แต่มันก็พอกินได้
กินอุด้งเสร็จ ผมก็ล้างจาน เขียง มีด แล้วก็กระทะ ทำอาหารน่ะไม่เท่าไหร่ แต่ล้างนี่สิ เรื่องใหญ่ นานาเสะทำแบบนี้ทุกวันได้ เก่งจริงๆ ต่อไปนี้ ผมคงต้องรู้สึกขอบคุณให้มากขึ้น
ล้างจานเสร็จ กำลังคิดว่าจะนอนเอาแรงก่อนไปทำงาน ก็ได้ยินเสียงคนเดินขึ้นบันไดอพาร์ตเมนต์ พร้อมกับเสียงล้อกระเป๋าเดินทางดังขึ้น
ไม่นาน ก็ได้ยินเสียงเปิดประตูห้องข้างๆ แล้วก็เสียงพูดว่า 「กลับมาแล้ว」 โดยไม่ได้เจาะจงว่าพูดกับใคร นานาเสะกลับมาแล้วนี่เอง
ผมปิดตา แล้วเสียงอินเตอร์คอมในห้องก็ดังขึ้น ผมลุกขึ้น แล้วเปิดประตู
「อ๊ะ ซางาระคุง ไม่ได้เจอกันนานเลย」
นานาเสะนี่เอง เธอยังไม่ได้ล้างเครื่องสำอาง เลยยังอยู่ในโหมด “สาวสวย”
ถึงจะบอกว่า ไม่ได้เจอกันนาน แต่จริงๆ แล้วมันนานขนาดนั้นเลยเหรอ? นานาเสะเพิ่งกลับบ้านไปได้แค่อาทิตย์เดียวเอง
แต่พอนานาเสะยิ้ม ผมก็คิดว่า อาจจะนานจริงๆ ก็ได้
「ช่วงที่กลับบ้าน ‘โกซังโนะโอคุริบิ’ ก็จบไปแล้ว ฉันอยากดูแท้ๆ」 (โกซังโนะโอคุริบิ คือ การจุดไฟเผาฟืนเป็นตัวอักษรขนาดใหญ่บนภูเขาห้าลูก)
「อืม… จริงด้วย เหมือนจะมีอะไรแบบนั้น」
「ซางาระคุง ได้ดูไหม? จากแถวๆ อพาร์ตเมนต์ น่าจะมองเห็นนะ」
「เปล่า ทำงานพิเศษน่ะ」
ผมตอบ แล้วกลั้นหาว เมื่อคืนก็มีงานพิเศษ เลยแทบไม่ได้นอน
「ขอโทษนะ กำลังจะนอนหรือเปล่า?」
「อืม… ไม่เป็นไร」
ผมตอบ นานาเสะก็ยื่นถุงกระดาษมาให้ 「นี่ ของฝาก」 ผมจำโลโก้บนถุงกระดาษได้ เป็นร้านขนมอุโระ (ขนมคล้ายโมจิ) ชื่อดังของนาโกย่า
「ปกติแล้ว คนที่เป็นคนจังหวัดเดียวกัน เขาซื้ออุโระมาฝากกันเหรอ?」
「อยู่ นาโกย่า ก็ไม่ค่อยได้กินหรอก จริงไหม?」
ก็จริงอย่างที่นานาเสะพูด ผมเองก็ไม่ค่อยได้กินเท่าไหร่ งั้นก็รับไว้ด้วยความขอบคุณก็แล้วกัน
จริงสิ ก่อนกลับเธอดูไม่ค่อยสบายใจ ไม่รู้ว่าจะเป็นอะไรหรือเปล่า ผมเลือกใช้คำพูดอย่างระมัดระวัง แล้วถามนานาเสะ
「กลับบ้าน เป็นยังไงบ้าง…」
「อืม ก็ดีนะ ไม่ได้เจอคนรู้จักแถวบ้านเลย ได้กินข้าวฝีมือแม่ อร่อยมาก ไปไหว้พระกับที่บ้าน ขากลับแวะไปหาคุณยาย คุณยายฉันอยู่ที่มิคาวะล่ะ…」
นานาเสะเล่าให้ฟังอย่างอารมณ์ดี ผมได้แต่นั่งฟังเงียบๆ
ดูเหมือนว่าครอบครัวของเธอจะอบอุ่นดี นานาเสะคงได้รับความรักจากพ่อแม่ และเธอก็คงรักพ่อแม่มากเช่นกัน ครอบครัวที่เต็มไปด้วยความรัก เป็นยังไงกันนะ ผมนึกภาพไม่ออก
นานาเสะที่เล่าเรื่องความทรงจำเกี่ยวกับคุณยายจบ ก็หยุดพูด แล้วขยับปากเหมือนอยากจะพูดอะไรบางอย่าง ผมเลยถามว่า 「อะไรเหรอ?」
「ซางาระคุง ไม่กลับบ้านเหรอ?」
ผมชะงักกับคำถามของนานาเสะ หลังจากที่ริมฝีปากชื้นเล็กน้อย ผมก็ตอบกลับไป
「ไม่อยากกลับ」
「ทำไมล่ะ?」
นี่เป็นครั้งแรกที่นานาเสะถามเรื่องครอบครัวของผม ปกติเธอจะรับรู้ได้ถึงบรรยากาศ และเลี่ยงที่จะไม่พูดถึง
「ไม่เกี่ยวกับเธอ ช่างเถอะ」
น้ำเสียงผมแข็งกระด้างกว่าที่คิด ผมรู้สึกตัว แต่ก็สายไปแล้ว นานาเสะเบิกตากว้าง แล้วถอยหลังไปหนึ่งก้าว
「ขะ… ขอโทษ」
ไม่ เดี๋ยวก่อน ผมอยากจะแก้ตัว แต่กลับไม่รู้จะพูดยังไง
「งั้น… งั้นฉัน กลับห้องก่อนนะ บาย」
นานาเสะพูดเร็วๆ แล้วหันหลัง ออกจากห้องผมไป
ถึงจะเป็นเรื่องที่ไม่อยากให้ใครมายุ่ง แต่คำว่า “ไม่เกี่ยว” มันก็แรงไป แต่เดี๋ยวนะ? มันก็ไม่เกี่ยวกับนานาเสะจริงๆ ผมไม่ได้พูดอะไรผิดสักหน่อย แล้วทำไมผมต้องมาคิดมากด้วย ให้ตายสิ เรื่องคนอื่นนี่มันวุ่นวายจริงๆ
…เฮ้อ อย่าไปยุ่งเกี่ยวกับใครเลยดีกว่า
ผมนอนแผ่บนฟูก หลับตา พยายามกลบความรู้สึกอึดอัดที่อยู่ข้างใน
ฉันกลับมาที่ห้อง นั่งกอดเข่า แล้วก็ทบทวนสิ่งที่เกิดขึ้น
“ไม่เกี่ยวกับเธอ ช่างเถอะ”
เมื่อกี้เขาแสดงออกชัดเจนว่า รังเกียจฉัน เหมือนกับที่ฉันไม่อยากให้ใครรู้ตัวตนที่แท้จริง ซางาระคุงเองก็คงมีเรื่องที่ไม่อยากให้ใครมายุ่ง ฉันไม่ควรถามอะไรแบบนั้น
ที่ผ่านมา ฉันอาจจะพึ่งพาซางาระคุงมากเกินไป
กับเพื่อนคนอื่น ฉันมักจะกลัวว่า “ถ้าทำแบบนี้ เขาจะเกลียดฉันไหมนะ” แล้วก็ไม่กล้า แต่กับซางาระคุง ฉันกลับพูดออกไปได้ ฉันเผยตัวตนที่แท้จริง ให้แค่เขาเห็น ถึงเขาจะทำหน้าเหมือนเบื่อหน่าย แต่ก็คอยช่วยเหลือฉัน
…แต่ สุดท้ายก็โดนเกลียด สินะ…
<นานาเสะกลับมาแล้วเหรอ?>
หลังจากปิดเทอมฤดูร้อน คินามิคุงก็ส่งข้อความมาหาฉันเป็นครั้งคราว เนื้อหาส่วนใหญ่ก็ไม่มีอะไรมาก แต่ฉันก็ไม่รู้จะตัดบทสนทนายังไง เลยตามน้ำไปเรื่อยๆ
ฉันลังเลว่าจะตอบกลับเลยดีไหม แต่ก็รู้สึกอยากเปลี่ยนบรรยากาศที่กำลังหดหู่นี้
ฉันเลยส่งข้อความไปว่า <อืม กลับมาวันนี้แหละ>
<ว่างมั้ย? ไปดูหนังกัน>
มี URL แนบมาใต้ข้อความ พอลองเปิดดู เป็นหนังไลฟ์แอ็กชันรีเมคของดิสนีย์แอนิเมชัน ฉันจำได้ว่าเคยดู DVD ตอนเด็กๆ เป็นเรื่องที่ฉันชอบ
เอาไงดี ฉันกังวล นี่เป็นครั้งแรกที่ฉันถูกผู้ชายชวนไปเที่ยวสองต่อสอง แต่คิดอีกที ฉันอาจจะคิดมากไปเอง คินามิคุงอาจจะไม่ได้คิดชวนไปสองคน พรุ่งนี้ฉันก็ไม่ได้ทำงานพิเศษ ถ้ามีซัจจังหรือคนอื่นๆ ไปด้วย ก็ถือว่าไปเปลี่ยนบรรยากาศก็แล้วกัน
ฉันเลี่ยงที่จะตอบตรงๆ แล้วส่งข้อความไปว่า <น่าสนใจดีนะ> ข้อความก็ถูกส่งกลับมาแทบจะทันที
<นานาเสะ อยู่แถวฮันคิวใช่ไหม? นัดเจอกันที่คาวาระมาจิ โอเคไหม?>
ทั้งๆ ที่ฉันยังไม่ได้ตอบตกลงว่าจะไป แต่เขากลับกำหนดสถานที่นัดหมายเรียบร้อย ฉันกำลังร้อนรน ก็มีข้อความส่งมาอีกว่า <จองตั๋วสองที่แล้วนะ! รอบบ่ายสอง!> รวบรัดเกินไปแล้ว อ่า ทำไงดี
ฉันก้มหน้า ถือสมาร์ทโฟนไว้ในมือ รู้สึกผิดต่อเขา แต่ก็ไม่อยากไป ระหว่างที่กำลังคิดหนัก ฉันก็พึมพำกับตัวเองเบาๆ “ฉันนี่มันแย่จริงๆ”
「หนังสนุกมากเลย! ตอนเด็กๆ เคยดูแล้วล่ะ แต่ลืมเนื้อเรื่องไปหมดแล้ว พอได้ดูอีกทีก็ อ๋อ เรื่องมันเป็นแบบนี้นี่เอง」
หลังจากออกจากโรงหนัง พวกเราก็แวะไปที่คาเฟ่ใกล้ๆ คินามิคุงดื่มกาแฟเย็น ส่วนฉันดื่มโกโก้ร้อน
ในโรงหนังแอร์เย็นมาก จนฉันรู้สึกหนาวไปทั้งตัว ที่นี่ก็มีแอร์อยู่เหนือหัว ลมแอร์พัดลงมาโดนตัวตรงๆ จนรู้สึกหนาว ฉันลูบแขนตัวเองที่โผล่พ้นแขนเสื้อ คิดว่าน่าจะเอาเสื้อคลุมมาด้วย
คินามิคุงที่ใส่เสื้อยืดสีเขียวขี้ม้ากับกางเกงขาสั้น พูดถึงความรู้สึกหลังดูหนังจบอย่างอารมณ์ดี ฉันนั่งฟังอยู่ตรงข้าม แล้วก็พยักหน้า ตอนแรกฉันก็กังวลว่า ถ้าอยู่กับคินามิคุงสองคนจะเป็นยังไง แต่เพราะเขาเป็นคนช่างพูด ฉันก็เลยแค่พยักหน้า ก็เลยไม่ได้รู้สึกกดดันอย่างที่คิด
ภายในร้านที่ตกแต่งด้วยกระจก เต็มไปด้วยเสียงพูดคุยอย่างสนุกสนาน มีคู่รักที่ดูสนิทสนมกันนั่งอยู่ด้วย ฉันคิดว่า คนอื่นจะมองฉันกับคินามิคุงแบบนั้นหรือเปล่านะ
「นานาเสะ สนิทกับซางาระคุงใช่ไหม」
「เอ๊ะ เอ่อ…」
จู่ๆ ชื่อของซางาระคุงก็โผล่ขึ้นมา ทำให้ฉันตกใจ คินามิคุงมองมา เหมือนกำลังหยั่งเชิง
「คบกันอยู่เหรอ?」
「อ๊ะ… เปล่า」
ฉันส่ายหัว คินามิคุงก็ยิ้มอย่างดีใจ 「งั้นเหรอ! ค่อยยังชั่ว!」
「ช่วงนี้มีคนที่คบอยู่ หรือว่าคนที่ชอบไหม?」
「มะ… ไม่มีหรอก」
คินามิคุงพูดติดตลก พลางคนกาแฟเย็นในแก้วด้วยหลอด
「งั้น มาคบกับฉันไหมล่ะ」
ฉันหน้านิ่งค้าง ยิ้มค้างเติ่ง ได้แต่ก้มหน้าก้มตา แล้วจ้องมองโกโก้ร้อนที่ยังคงส่งควันกรุ่น
…นี่มัน สารภาพรัก นี่นา ถ้างั้น นี่ก็เป็นครั้งแรกในชีวิตเลย ที่ฉันถูกผู้ชายสารภาพรัก
ชีวิตมหาลัยที่สดใส สิ่งสำคัญก็คือ การมีแฟน
ถึงคินามิคุงจะดูเป็นคนไม่ค่อยเอาถ่าน แต่เขาก็เป็นคนร่าเริง เป็นผู้ชายที่สนุกสนาน หน้าตาก็ไม่เลว แถมยังเอาใจใส่ อย่างตอนที่เปิดประตูร้านกาแฟให้ฉัน เมื่อมองจากมุมมองของคนอื่น สำหรับฉัน เขาก็ถือว่าดูดีเกินไปด้วยซ้ำ ถ้าเป็นฉันตอนอยู่ม.ปลาย คงไม่มีทางที่คินามิคุงจะมาสนใจ ถ้าได้คบกับคินามิคุง ฉันอาจจะเข้าใกล้ชีวิตมหาลัยที่สดใสไปอีกขั้น
ฉันสูดหายใจเข้าเบาๆ แล้วตอบกลับไป
「ขอโทษนะ ฉัน คบกับคินามิคุงไม่ได้」
คินามิคุงที่นั่งอยู่ตรงข้าม ทำหน้าเศร้าแวบหนึ่ง แต่ก็กลับมายิ้มในทันที 「งั้นเหรอ ขอโทษเหมือนกันนะ」
เขาไม่ได้เซ้าซี้ถามเหตุผล เขาก็เป็นคนดีแบบนี้แหละ
…แต่ทำไม ตอนนี้ ฉันถึงนึกถึงแต่หน้าของซางาระคุงกันนะ
ตรงข้ามกับคินามิคุงที่ยิ้มแย้ม ซางาระคุงมักจะทำหน้าบึ้งตึง ถึงจะใจดี แต่ก็แสดงออกไม่เก่ง แถมยังซื่อบื้อ เขาคอยจะรักษาระยะห่าง ฉันเลยต้องรีบเดินตามหลังเขา
แต่ทำไมก็ไม่รู้ เวลาที่อยู่ข้างๆ ซางาระคุง ฉันกลับรู้สึกสบายใจ
ฉันพูด 「ขอโทษ」 อีกครั้ง แล้วค่อยๆ ละเลียดโกโก้ที่จืดชืดไปแล้ว โกโก้หวานเลี่ยน ติดอยู่ในลำคอ รู้สึกอึดอัดอย่างบอกไม่ถูก
******
แสงแดดอ่อนๆ ที่ลอดผ่านม่านหน้าต่างเข้ามา ทำให้ผมตื่น
เดือนสิงหาคมผ่านพ้นไป ความร้อนระอุเริ่มบรรเทาลงบ้าง แต่พอหน้าร้อนหมดไป ก็ต้องกังวลกับหน้าหนาวต่อ ได้ยินว่าเกียวโตหนาวมาก เพราะเป็นที่ราบแอ่งกระทะ ความร้อนกับความเย็นเลยขังอยู่ หน้าร้อนก็ร้อน หน้าหนาวก็หนาว อะไรกันเนี่ย แย่ชะมัด
ผมหยิบมือถือข้างหมอนขึ้นมาดูเวลา เที่ยงตรง วันนี้มีกะทำงานพิเศษตอน 17:00 น. กินข้าวเที่ยงก่อนก็แล้วกัน
ระหว่างที่กำลังคิดว่าจะกินอะไรดี ก็เหลือบไปเห็นถุงกระดาษที่วางทิ้งไว้ตรงมุมห้อง ผมค่อยๆ ลุกขึ้น แล้วหยิบของข้างในออกมา มันคือขนมอุอิโระ ของฝากจากเพื่อนบ้าน
ข้าวเที่ยง กินนี่ก็ได้ สุดท้ายก็ยังรับของจากนานาเสะมาอีกจนได้ ผมรู้สึกแย่นิดๆ
ผมนึกถึงเสียงขอโทษของนานาเสะ ความรู้สึกผิดชอบชั่วดีแผดเผาในอก
หลังจากวันนั้น ผมก็ไม่ได้เจอหน้านานาเสะอีก ห้องข้างๆ ก็ไม่มีเสียงอะไรเลย ดูเหมือนว่าตอนนี้เธอจะออกไปข้างนอก ผมแกะห่อขนมอุอิโระ แล้วกัดเข้าไป
“ซางาระคุง ไม่กลับบ้านเหรอ?”
…ไม่ใช่ไม่กลับ แต่ไม่อยากกลับ ตั้งแต่ตอนนั้น ตอนที่ขลุกตัวอยู่ในห้องสมุด
「…ซางาระคุง ซางาระคุง」
ผมสะดุ้ง เหมือนเพิ่งรู้สึกตัว เมื่อถูกสะกิดที่ไหล่ คุณอิโตคาวะกำลังโบกมืออยู่ตรงหน้าผม …แย่แล้ว เผลอใจลอยตอนทำงาน ตอนนี้ก็สามทุ่มใกล้เลิกงานแล้ว
「เป็นอะไรหรือเปล่า? เงินในเครื่องตรงไหม?」
「อ๊ะ… ครับ ตรงครับ…」
ผมเกือบทำกล่องเงินหล่น เลยต้องรีบคว้าไว้ คุณอิโตคาวะหัวเราะแห้งๆ 「อุ๊ย」 แล้วช่วยเก็บเหรียญที่หล่นเกลื่อน ผมขอโทษคุณอิโตคาวะ พยายามเก็บเหรียญใส่กล่อง แล้วคิดเงินใหม่อีกรอบอย่างทุลักทุเล คุณอิโตคาวะก็พูดขึ้นอย่างเป็นห่วง
「ซางาระคุง ปกติแล้วเป็นคนละเอียด วันนี้ดูแปลกๆ นะ เป็นอะไรหรือเปล่า?」
「อ๊ะ… เอ่อ คือ…」
「อ๋อ ทะเลาะกับแฟนมาเหรอ?」
「มะ ไม่ใช่แฟนครับ! ก็แค่ คนข้างห้อง…」
ผมเผลอพูดอะไรเกินจำเป็นออกไป เลยรีบปิดปาก คุณอิโตคาวะหัวเราะ แล้วถามว่า 「หรือว่า เป็นเด็กผู้หญิงน่ารักๆ ที่เจอตอนงานกิอง?」 ผมพยักหน้า ทั้งๆ ที่ยังอายอยู่
「ทะเลาะ… ก็ไม่เชิง เขาแค่…ไปยุ่งเรื่องที่ผมไม่อยากให้ยุ่ง แล้วก็พูดจาไม่ดีไป ก็เลยทำให้เขาเสียใจ…」
คุณอิโตคาวะตั้งใจฟัง แล้วก็พยักหน้า เธอเป็นคนที่มีทั้งความสุขุม และก็ดูใจดี จนผมเผลออยากจะปรึกษา
「ถ้าอยากขอโทษ ก็ขอโทษเถอะ」
คำแนะนำที่แสนจะธรรมดา ผมก้มหน้า แล้วตอบว่า 「ครับ」
「อ๊ะ งั้นก็ซื้อของหวานไปฝากสิ?」
「ของหวาน?」
ผมหยุดคิด แล้วถามกลับไป คุณอิโตคาวะตอบด้วยสีหน้าจริงจัง
「ใช่ๆ ฉันเองก็ทะเลาะกับแฟนบ่อยๆ ส่วนใหญ่ก็ง้อด้วยไอศกรีม」
ได้ยินมาว่า เธออยู่กับแฟนที่คบกันมาตั้งแต่สมัยม.ปลาย สำหรับผมที่ไม่เข้าใจจิตใจผู้หญิงเลย นี่เป็นคำแนะนำที่มีค่ามาก
「อีกอย่าง เด็กคนนั้นชอบช็อกโกแลตนี่」
「เอ๊ะ? ทำไม ถึง…」
ทำไมคุณอิโตคาวะถึงรู้เรื่องนี้ได้ ผมเอียงคอสงสัย คุณอิโตคาวะก็พูดต่อ
「เด็กคนนั้น เวลาที่ซางาระคุงไม่อยู่ ก็จะมาที่นี่บ่อยๆ แล้วก็ซื้อช็อกโกแลตชิ้นเล็กๆ」
คุณอิโตคาวะชี้ไปที่ขนมช็อกโกแลตที่วางอยู่ข้างๆ เครื่องคิดเงิน
นี่เป็นร้านสะดวกซื้อที่ใกล้กับอพาร์ตเมนต์ที่สุด นานาเสะก็เลยมาบ่อย แต่ผมเพิ่งจะรู้ว่าเธอชอบช็อกโกแลต
พอคิดดูแล้ว ผมไม่รู้อะไรเกี่ยวกับนานาเสะเลย ทั้งเรื่องที่ชอบ เรื่องที่เกลียด ก็เพราะไม่เคยคิดอยากรู้
「อ๊ะ ดูเหมือนเงินจะตรงแล้วนะ งั้นก็ เลิกงานได้แล้ว」
ผมก้มหัวขอบคุณคุณอิโตคาวะ แล้วเข้าไปเปลี่ยนเสื้อผ้าในห้องพักพนักงาน กำลังจะเดินออกไปข้างนอก ก็นึกอะไรขึ้นได้ เลยกลับเข้าไปในร้าน
ผมจ้องมองชั้นวางขนมที่เรียงราย แล้วเลือกอย่างจริงจัง หลังจากที่ลังเลอยู่นาน ผมก็หยิบขนมช็อกโกแลตรูปเห็ดขึ้นมา แล้วเดินไปที่เครื่องคิดเงิน
พอกลับมาถึงอพาร์ตเมนต์ ก็เห็นไฟห้องข้างๆ เปิดอยู่ ผมสูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วกดกริ่ง ไม่นาน นานาเสะก็ออกมา เธออยู่ในสภาพหน้าสด แล้วก็รีบจับแว่นที่กำลังจะหล่น
「ซะ… ซางาระคุง?」
ผมยื่นถุงจากร้านสะดวกซื้อให้โดยไม่พูดอะไร นานาเสะมองเข้าไปในถุงอย่างงงๆ 「ขนมเหรอเนี่ย」 พอเห็นเธอทำหน้าดีใจ ผมก็รู้สึกโล่งอก
「ให้ฉันเหรอ? อยู่ๆ มีอะไรหรือเปล่า?」
「…ก็ ซื้อมา」
ผมตอบไม่ตรงคำถาม นานาเสะก็ไม่ได้ซักไซ้อะไรต่อ เธอยิ้ม 「ขอบคุณนะ」 แล้วกอดถุงไว้แนบอก ผมนึกเป็นห่วงว่าช็อกโกแลตจะละลาย
ผมก้มหน้า เกาท้ายทอย แล้วพูดเร็วๆ
「วันนั้นน่ะ ขอโทษนะ」
นานาเสะตาโต แล้วขมวดคิ้ว กระพริบตา
「อืม… ไม่เป็นไร ฉันเองก็ขอโทษ ที่ถามอะไรไม่เข้าท่า」
「เปล่า ฉันผิดเอง อารมณ์ไม่ค่อยดี เลยเผลอพาลใส่เธอ」
พอผมพูด นานาเสะก็ยื่นมือขวาออกมา
「ถ้างั้น… คืนดีกันนะ」
ผมลังเล แล้วค่อยๆ จับมือเล็กๆ ที่ยื่นมา มือนานาเสะอุ่น หรือว่ามือผมเย็นเกินไป? ถ้าไม่ได้จับมือคนอื่นแบบนี้ ก็คงไม่รู้
นี่เป็นการทะเลาะและคืนดีกับใครสักคนในรอบกี่ปีแล้วนะ
ผมไม่อยากสร้างความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งกับใคร ไม่อยากทำร้ายใคร และไม่อยากถูกทำร้าย แต่ทำไม ผมถึงได้คิดมากเรื่องนานาเสะขนาดนี้ ผู้หญิงที่ไม่ค่อยคล่องแคล่ว พยายาม ดูแล้วอันตราย แถมยังจริงจังคนนี้ ดูเหมือนจะเข้ามาอยู่ในใจผม ตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้
และตอนนี้ ผมก็เริ่มคิดว่า แบบนั้นก็ไม่เลว
「นี่… นานาเสะ ชอบช็อกโกแลตเหรอ?」
「อืม ชอบมากเลย แต่จริงๆ แล้ว ชอบ ‘ทาเคโนโกะ’ มากกว่า ‘คิโนโกะ’ นะ」
「จริงเหรอ รสนิยมไม่ตรงกันเลย」
「ซางาระคุง มากินอันนี้ด้วยกันเถอะ กินหมดนี่ตอนนี้อ้วนแน่ๆ」
นานาเสะพูดแล้วยิ้มกว้าง พอนานาเสะไม่แต่งหน้า เวลาหัวเราะตาจะปิด ผมชินกับภาพนั้นแล้ว
ลมเย็นๆ พัดผ่านระหว่างเราสองคน เป็นสัญญาณว่าฤดูร้อนกำลังจะสิ้นสุดลง
{จบตอนที่ 2 }