โดดเด่น...ที่จอมปลอม - ตอนที่ 2.2 ใต้เงาฤดูร้อนที่ผันเปลี่ยน
เดือนกรกฎาคม หลังจากฤดูฝนผ่านพ้นไป ช่วงเวลาของการสอบปลายภาคเรียนที่หนึ่งของมหาวิทยาลัยก็มาถึง
「ซางาระคุง ช่วงนี้ดูไม่ค่อยสบายหรือเปล่า?」
นานาเสะที่มาส่งข้าวเย็นให้เหมือนเช่นเคย ถามขึ้นด้วยความเป็นห่วง ผมรับจานบะหมี่เย็นที่พูนจนเหมือนภูเขามา แล้วตอบว่า 「ก็ปกตินี่」 นานาเสะทำหน้าสงสัย แล้วพูดว่า 「งั้นเหรอ…」
ความเคยชินนี่มันน่ากลัวจริงๆ การที่นานาเสะมาส่งข้าวเย็นให้ กลายเป็นเรื่องปกติในชีวิตประจำวันของผมไปแล้ว แต่ผมก็ไม่ได้ลืมความรู้สึกขอบคุณหรอกนะ
「ขอบคุณนะ ช่วยได้เยอะเลย」
「ไม่เป็นไร! ขอโทษนะที่ทำแบบลวกๆ」
ถึงนานาเสะจะพูดแบบนั้น แต่มันก็ไม่ได้ลวกเลยสักนิด แตงกวา แฮม และไข่ถูกหั่นเป็นเส้นอย่างสวยงาม แถมยังมีน้ำซอสที่ดูน่ากินราดมาด้วย ผมชอบน้ำซอสแบบนี้ (น้ำซอสโชยุ) มากกว่าน้ำซอสแบบน้ำมันงา
ดูเหมือนว่าช่วงสอบนานาเสะก็จะทำอาหารกินเอง บะหมี่เย็นในอากาศร้อนๆ แบบนี้ ช่วยได้มากเลย บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปที่ผมซื้อตุนไว้ในราคาถูกก็ใกล้จะหมดแล้ว กำลังคิดอยู่ว่าจะเอายังไงดี
「ช่วงนี้ ทำงานพิเศษทุกวันเลยใช่ไหม? ใกล้สอบแล้ว ไม่เป็นไรเหรอ?」
นานาเสะถาม ผมก็ตอบไปแบบอ้อมๆ แอ้มๆ ว่า 「อืม…」
ผมตั้งใจเรียนมาตลอด เรื่องคะแนนเข้าเรียนก็ไม่มีปัญหาอะไร รายงานก็ส่งไปหมดแล้ว เหลือก็แค่สอบข้อเขียนเท่านั้น
นักศึกษาส่วนใหญ่ พอใกล้สอบก็จะงดทำงานพิเศษแล้วมาตั้งใจอ่านหนังสือ นานาเสะที่เริ่มทำงานพิเศษที่ร้านคาเฟ่ ก็บอกว่าช่วงนี้ไม่ค่อยได้เข้ากะ
แต่สำหรับผม มันทำแบบนั้นไม่ได้ การลดกะทำงานพิเศษ หมายถึงเงินเดือนก็จะลดลง
นั่นหมายความว่ารายได้จะลดลง และสำหรับผมที่ต้องดิ้นรนให้ผ่านไปแต่ละเดือนแบบเดือนชนเดือน นี่คือปัญหาที่เกี่ยวข้องกับความเป็นความตายเลยทีเดียว
ด้วยเหตุนี้ ผมก็เลยต้องทำงานพิเศษเกือบทุกวัน ทั้งๆ ที่ใกล้สอบ ผู้จัดการเองก็ขอบคุณผมมาก บอกว่าช่วยได้เยอะ เพราะขาดคนในช่วงใกล้สอบ
แต่ถึงอย่างนั้น ผมก็ละทิ้งการเรียนไม่ได้ การสอบตกเป็นเรื่องที่ยอมรับไม่ได้ และผมก็อยากทำคะแนนให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้เพื่ออนาคต ผมไม่คิดจะโดดเรียน สุดท้ายก็เลยต้องลดเวลานอนลง
แต่ถึงยังไง อพาร์ตเมนต์ร้อนๆ นี่ ก็ทำให้นอนหลับไม่ค่อยสนิทอยู่ดี
「ใต้ตา คล้ำมากเลย ช่วงนี้นอนไม่ค่อยหลับเหรอ?」
「อืม… นอนไม่ค่อยหลับน่ะ ร้อน…」
จนถึงตอนนี้ ผมก็ยังทนไม่เปิดแอร์ในห้อง มาถึงขนาดนี้แล้ว ไม่รู้ว่าจะทนร้อนไปตลอดฤดูร้อนด้วยพัดลมอย่างเดียวได้หรือเปล่า นานาเสะมองผมอย่างเอือมระอา แล้วถอนหายใจ
「นี่ ฉันว่านายควรจะยอมเปิดแอร์ได้แล้วนะ… เดี๋ยวร่างกายจะพังเอา」
แต่ผมก็ยังคงส่ายหน้าอย่างดื้อรั้น
「ไม่ ไม่เป็นไร ยังไหวอยู่」
「ซางาระคุงนี่ ดื้อในเรื่องแปลกๆ นะ… นี่กำลังสู้กับอะไรอยู่เนี่ย?」
ถ้าจะให้พูดก็ คงเป็นการต่อสู้กับตัวเอง
「เอาเถอะ รีบกลับห้องไปได้แล้ว เธอเองก็ต้องอ่านหนังสือสอบไม่ใช่เหรอ」
ผมพูดพลางดันหลังเธอ นานาเสะหันกลับมามอง เหมือนยังอาลัยอาวรณ์
「นี่ ซางาระคุง ถ้ามีอะไร ก็บอกฉันได้เสมอนะ เราเป็นเพื่อนบ้านกันนี่นา」
「ไม่เป็นไรหรอก ฉันไม่รบกวนเธอหรอกน่า」
「ไม่ใช่อย่างนั้นสักหน่อย!」
ผมนี่ดันนานาเสะที่ยังพูดไม่จบออกจากห้อง เกือบจะบังคับเลยล่ะ
หลังจากประตูห้องปิดลง จู่ๆ ผมก็รู้สึกเหนื่อยขึ้นมาทันที วันนี้ผมยังมีกะทำงานพิเศษตอนเย็น กินบะหมี่เย็นเสร็จแล้ว คงต้องงีบเอาแรงสักหน่อย
******
ฉันเดินไปตามทางสู่หอสมุดของมหาวิทยาลัย พลางฟังเสียงร้องจั๊กจั่นที่ดังระงม ฉันหยิบผ้าเช็ดหน้าขนหนูออกจากกระเป๋าสาน แล้วซับเหงื่อที่ผุดขึ้นบนหน้าผาก ถือโอกาสส่องกระจกตลับเพื่อเช็คว่าเครื่องสำอางยังโอเค
ปลายเดือนกรกฎาคม ใกล้ช่วงสอบปลายภาคเรียนที่หนึ่ง จู่ๆ ในมหาวิทยาลัยก็รู้สึกว่าคนเยอะขึ้น
ทั้งๆ ที่ปกติแทบไม่เข้าเรียนกัน แต่ทุกคนก็อยากได้หน่วยกิตกันทั้งนั้น ต่างก็รีบมาเช็คเนื้อหาการสอบ ซีร็อกซ์โน้ตที่ยืมคนอื่นมา ฉันเองก็ถูกคนรู้จักขอถ่ายเอกสารโน้ตเหมือนกัน ถึงจะไม่ว่าอะไรก็เถอะ แต่ถ้ าเข้าเรียนให้ตรงเวลา ก็คงไม่ต้องมาเร่งรีบเอาตอนนี้หรอก
เหลือเวลาอีกหนึ่งสัปดาห์ก่อนสอบปลายภาค แน่นอนว่าฉันเองก็ต้องตั้งใจอ่านหนังสือสอบ วันนี้ฉันก็ตั้งใจจะไปอ่านหนังสือที่หอสมุดที่ทั้งเย็นและเงียบสงบ เป้าหมายคือการคว้าเกรดสูงสุด แน่นอนว่าฉันไม่เคยโดดเรียนหรือขาดเรียน รายงานก็ทำเสร็จอย่างสมบูรณ์แบบ ไม่มีอะไรตกหล่น
ว่าแต่ ซางาระคุงถึงจะใกล้สอบก็ยังทำงานพิเศษทุกวัน เขาอ่านหนังสือสอบบ้างหรือเปล่านะ ช่วงนี้สีหน้าเขาดูไม่ค่อยดี เวลาเดินสวนกันในมหาลัย ก็ดูเหนื่อยๆ บางทีอาจจะเพราะเหนื่อยจากอากาศร้อน
ฉันนึกถึงคำพูดของซางาระคุงที่ว่า “ฉันไม่รบกวนเธอหรอก” แล้วก็รู้สึกหงุดหงิด ฉันไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้นสักหน่อย
ถึงจะคิดว่าสนิทกันมากขึ้นแล้ว แต่ลึกๆ ซางาระคุงก็ยังไม่เปิดใจให้ฉัน รู้สึกเหมือนพอจะข้ามเส้นแบ่งอะไรบางอย่าง เขาก็จะถอยห่างออกไป
ตอนนั้นฉันก็แค่คิดว่าเขารำคาญ แต่ “ความรักสันโดษ” ของเขาอาจจะลึกซึ้งกว่านั้น
คิดอะไรเพลินๆ ก็มาถึงหอสมุด หน้าหอสมุด มีกลุ่มนักศึกษาอยู่ 5-6 คน ยืนจับกลุ่มคุยกัน หนึ่งในนั้น ผู้ชายตัวสูงเห็นฉันเข้า เขายิ้มแล้วโบกมือให้ โฮว โจว คุง นี่นา ฉันโบกมือให้เขากลับเบาๆ โฮวโจวคุง ก็วิ่งมาหา
「โย่ว นานาเสะ มาอ่านหนังสือที่หอสมุดเหรอ?」
「อ๊ะ… อืม โฮวโจวคุง ล่ะ?」
「คุยเล่นกับเพื่อนในชมรมอยู่น่ะ แต่ร้อนชะมัด เลยว่าจะย้ายที่」
คนที่อยู่กับ โฮวโจวคุง น่าจะเป็นคนในชมรมฟุตซอล เขารู้จักคนเยอะ ทั้งต่างคณะ แถมยังมีเพื่อนเยอะทั้งผู้ชายผู้หญิง ได้ยิน ซัจจัง บอกว่า เขาฮอตมาก ชีวิตมหาลัยของเขาคงจะสดใส ฉันคิดในใจ
「นานาเสะ ว่างไหม?」
「เอ่อ ก็…ว่างนะ…」
「งั้นไปกินไอศกรีมกัน เดี๋ยวเลี้ยงเอง」
จู่ๆ ก็โดนชวนแบบนี้ ฉันก็เลยงงๆ ฉันกับ โฮวโจวคุง ก็พอจะรู้จักกันอยู่บ้าง แต่แทบจะไม่เคยคุยกันสองต่อสองเลย เขาคิดอะไรอยู่นะ
ระหว่างที่ฉันกำลังอ้ำๆ อึ้งๆ โฮวโจวคุง ก็พูดว่า 「ไปกันเถอะ」 แล้วเดินไปยังร้านสะดวกซื้อภายในมหาวิทยาลัย ฉันรีบวิ่งตามหลังเขาไป
พวกเราซื้อไอศกรีมที่ร้านสะดวกซื้อ แล้วมานั่งข้างๆ กันที่มุมพักผ่อน ฉันเลือกไอศกรีมบิสกิตแซนด์วิชราคาพิเศษ โฮวโจวคุง หัวเราะแล้วพูดว่า 「นานาเสะ เกรงใจจังนะ เลือกอันที่แพงกว่านี้ก็ได้นะ」
「อะ… เอ่อ คือว่า… มีธุระอะไรกับฉันหรือเปล่า?」
「หือ เซ้นส์ดีนี่」
โฮวโจวคุง พูดพร้อมกับยิ้มเจ้าเล่ห์ บางที โฮวโจวคุง อาจจะอยากยืมโน้ตฉันไปถ่ายเอกสารก็ได้ ฉันให้เขายืมได้ ไม่ต้องเลี้ยงอะไรฉันหรอก
แต่คำขอของเขากลับผิดคาด
「คือเรื่องของ ซัจจัง น่ะ กะว่าจะชวนไปเที่ยวตอนปิดเทอมฤดูร้อนน่ะ」
「อ๋อ อย่างนั้นนี่เอง」
โฮวโจวคุง กับ ซัจจัง สนิทกันจริงๆ ด้วย ช่วงนี้ยิ่งเห็นทั้งสองคนอยู่ด้วยกันบ่อยๆ ฉันรวบรวมความกล้า แล้วถามสิ่งที่สงสัยมานานออกไป
「เอ่อ… โฮวโจวคุง ชอบ ซัจจังเหรอ?」
「อืม ชอบ」
โฮวโจวคุง ตอบอย่างไม่ลังเล แถมยังดูไม่เขินอายเลย แมนมาก!
「แต่ตอนที่ชวนไปงานกิอง ก็โดนบอกว่า “ไปกันหลายๆ คน” ซะงั้น บางทีฉันอาจจะโดน ซัจ จัง ระเเวงอยู่ก็ได้」
「ซะ… ซัจจัง ไม่ได้คิดแบบนั้นหรอก เธอไม่ได้ไม่อยากไปกับ โฮวโจวคุงสองคนสักหน่อย」
ก็เพราะฉันชวนซัจจังไป โฮวโจวคุงเลยอดเดท กับซัจจังในงานกิอง อึก ขอโทษจริงๆ ความรู้สึกผิดแล่นเข้าจู่โจมอย่างจัง
「แต่ว่า อยู่ๆ จะให้ไปกันสองคน ก็คงจะยากไปหน่อย แล้วก็นะ」
โฮวโจวคุง ทำท่าชูสองนิ้วด้วยมือขวา แล้วยื่นมาตรงหน้าฉัน
「นานาเสะ ไปดับเบิลเดทกันไหม?」
ฉันตกใจจนตาโต 「เอ๊ะ?」
「ซัจจัง เอง ถ้าได้ยินว่า นานาเสะ ไปด้วยตั้งแต่แรก ก็น่าจะสบายใจ ส่วนเรื่องแยกกันเดิน ค่อยหาจังหวะเหมาะๆ เอาทีหลังก็ได้」
「เดี๋ยวก่อน ฉัน… ไม่มีคนที่จะไปเดทด้วยสักหน่อย」
พอเข้าใจแผนของ โฮวโจวคุง แล้ว ฉันก็รีบแย้ง โฮวโจวคุง เอียงคอสงสัย
「มีสิ มีอยู่แล้ว」
「ซะ ซางาระคุง ไม่ใช่แบบนั้นสักหน่อย!」
「ฉันยังไม่ได้พูดถึง ซางาระ สักคำ」
โฮวโจวคุง พูดหน้าตาย ฉันก็เลยอึ้ง พอเห็นฉันเงียบ โฮวโจวคุง ก็ยิ้มเจ้าเล่ห์ บางทีเขาอาจจะเป็นคนที่มีนิสัยต่างจากภาพลักษณ์ที่ดูสดใส
「เอาเถอะ ตรงนั้นไม่ใช่ปัญหา ชวนใครก็ได้ ตามสะดวก」
「แต่… ทำไมต้องเป็นฉันล่ะ」
โฮวโจวคุง มีเพื่อนเยอะแยะ ไม่จำเป็นต้องขอร้องฉัน เพื่อนที่จะมาดับเบิลเดทด้วย น่าจะมีตั้งเยอะแยะ
พอฉันถาม โฮวโจวคุง ก็จ้องมาที่ฉัน สายตาของเขาเหมือนจะมองทะลุเข้าไปถึงตัวตนที่แท้จริงของฉัน จนฉันรู้สึกไม่สบายใจ เหมือนกับว่าตัวตนจริงๆ ของฉันกำลังจะถูกเปิดเผย
「นานาเสะ ดูไม่ใช่คนที่จะเอาเรื่องใครชอบใครไปพูดต่อ เรื่องเซ้นส์พวกนี้ ฉันค่อนข้างแม่นนะ」
「คะ… คือ… แน่นอน ไม่พูดอยู่แล้ว」
「เอาเป็นว่า ฉันไว้ใจเธอก็แล้วกัน ถ้าไม่อยากทำก็ปฏิเสธได้นะ แต่ นานาเสะ กินไอศกรีมไปแล้วนะ ฉันเลี้ยงเองด้วย」
…ค่ะ กินไปแล้ว
อีกอย่าง พอได้ยินว่าเขาไว้ใจ ฉันก็ปฏิเสธไม่ลง ถึงจะไม่ได้สนิทกับ โฮวโจวคุง มาก แต่ถ้าฉันช่วยได้ ก็จะพยายาม อีกอย่าง ฉันเองก็ทำลายโอกาสเดทในงานกิองของเขาไปแล้ว นี่ถือเป็นการชดเชยก็แล้วกัน
「อืม… ตกลง」
「จริงเหรอ? ดีใจจัง งั้นเอาเป็นหลังสอบ… ช่วงปิดเทอมฤดูร้อนก็แล้วกัน เดี๋ยวติดต่อมาอีกทีนะ」
โฮวโจวคุง ยิ้ม แล้วโบกมือ เดินจากไป
ฉันมองตามหลังเขาไป แล้วคิดว่า เอาไงดีล่ะ ถึงเขาจะบอกว่าใครก็ได้ แต่ในหัวฉันกลับคิดถึงแต่ ซางาระคุง
******
หลังจากทำงานจนถึงสามทุ่ม ผมก็อ้าปากหาว ยืดเส้นยืดสาย จังหวะนั้นเอง คุณอิโตคาวะก็เดินเข้ามาในห้องพักพนักงาน แล้วทักทาย
「โอ๊ะ ซางาระคุง ดูเหนื่อยจังเลยนะ」
ผมตอบรับว่า 「ครับ」 พลางกลั้นหาวที่กำลังจะออกมาอีกรอบ
เมื่อวานผมทำงานพิเศษจนถึงเช้า แล้วก็ไปมหาวิทยาลัยต่อโดยไม่ได้นอน วันนี้เข้ากะตั้งแต่สิบโมงเช้าถึงสามทุ่ม จากนี้กลับไปก็ยังพอมีเวลาอ่านหนังสือ แต่ร่างกายมันล้าไปหมด แถมยังรู้สึกปวดหัว อาจจะเพราะผมนอนไม่พอ
「ซางาระคุง ใกล้สอบแล้วแท้ๆ ยังเข้ากะทุกวันเลย ได้อ่านหนังสือบ้างหรือเปล่า? ถ้าเป็นวิชาเศรษฐศาสตร์สังคมล่ะก็ ฉันมีโน้ตนะ ให้ยืมเอาไหม?」
「ไม่เป็นไรครับ ผมจดโน้ตไว้เรียบร้อยแล้ว」
「งั้นเหรอ ก็ ซางาระคุงเป็นคนขยันนี่นะ」
「ก็ต้องขยันหน่อยล่ะครับ」
「แต่ว่า ซางาระคุง ดูหน้าซีดๆ นะ ไม่สบายหรือเปล่า?」
…จริงสิ นานาเสะเองก็เคยพูดอะไรคล้ายๆ แบบนี้
ผมส่องกระจกที่แขวนอยู่บนผนัง ถึงจะถูกทักแบบนั้น แต่ก็คิดว่าตัวเองก็ดูปกตินะ หรืออาจจะดูซีดกว่าปกติ แต่เดิมทีผมก็ดูไม่ค่อยแข็งแรงอยู่แล้ว
「ผมก็เป็นแบบนี้ประจำอยู่แล้วครับ」
「พูดแบบนี้ก็อาจจะใช่… มั้งนะ」
「งั้น เลิกงานแล้วนะครับ」
「จ้า เลิกงานแล้ว กลับดีๆ ล่ะ อย่าลืมพักผ่อนด้วยนะ」
คุณอิโตคาวะส่งผมที่ประตูด้านหลังร้านสะดวกซื้อ พอออกมาข้างนอก ก็รู้สึกได้ถึงอากาศร้อนอบอ้าว ถึงจะกลางคืนแล้ว แต่อุณหภูมิก็ไม่ลดลงเลย คิดว่าคืนนี้คงเป็นอีกคืนที่ร้อนจนนอนไม่หลับ
ระหว่างทางเดินกลับอพาร์ตเมนต์ เหงื่อก็ไหลออกมาจากหน้าผากไม่หยุด ถึงจะเดือนกรกฎาคมก็เถอะ แต่ร้อนขนาดนี้มันก็เกินไปแล้ว รู้สึกว่าหัวมันตื้อๆ
กว่าจะเดินกลับมาถึงอพาร์ตเมนต์ ผมก็แทบหมดแรง ลากขาที่หนักอึ้งเหมือนตะกั่วขึ้นบันได หยิบกุญแจออกมาไขประตู ถอดรองเท้าผ้าใบโยนทิ้งไว้ แล้วตรงไปที่ห้องครัวเพื่อหาน้ำดื่ม แต่ก็เสียหลักล้มลง กาต้มน้ำที่วางอยู่บนเตาร่วงลงมา ส่งเสียงดัง ผมล้มลงไปกองกับพื้นเสื่อทาทามิ
อ่า… แย่แล้ว แย่แน่ๆ
พยายามจะลุกขึ้น แต่ก็รู้สึกวิงเวียน ร่างกายรู้สึกร้อนไปหมด แถมยังไม่มีแรง รู้สึกได้ว่าร่างกายทุกส่วนมันไม่ไหวแล้ว ส่งสัญญาณขอความช่วยเหลือ ภาพพาดหัวข่าว “นักศึกษามหาวิทยาลัย… เสียชีวิตในห้องพัก” แวบเข้ามาในหัว
ใกล้สอบอยู่แล้วแท้ๆ ดันมาป่วย แย่ชะมัด แต่ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไป คงไม่ได้ไปสอบแน่ๆ ผมเอื้อมมือไปหยิบสมาร์ทโฟนที่ตกอยู่บนเสื่อ แต่ก็คว้าไม่ถึง ผมจะตายแบบนี้จริงๆ เหรอ ตอนนั้นเองที่ความคิดนั้นแวบเข้ามาในหัว
กริ๊ง เสียงอินเตอร์คอมดังขึ้น ผมไม่มีแรงจะลุกขึ้น เลยปล่อยไว้แบบนั้น สักพักก็ได้ยินเสียงดังมาจากหน้าประตู
「ซางาระคุง? เมื่อกี้ได้ยินเสียงดัง เป็นอะไรหรือเปล่า?」
เสียงนานาเสะนี่ ผมไม่มีแรงแม้แต่จะตอบ เลยได้แต่อึกอัก 「อือ…」 「ขอเข้าไปนะ!」 นานาเสะพูด ประตูเปิดออก แสงไฟจากข้างนอกสาดเข้ามา พร้อมกับเสียงร้องดังลั่น
「ซะ… ซางาระคุง!」
นานาเสะวิ่งเข้ามา แล้วเขย่าตัวผม พอสบตากัน เธอก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก แล้วพูดว่า 「ค่อยยังชั่ว ยังไม่ตาย」 ดวงตาหลังแว่นหนาๆ ดูเหมือนจะเอ่อคลอ
「เรียกรถพยาบาลดีไหม?」
「มะ… ไม่ต้องขนาดนั้น… ไหวอยู่」
พอผมพูด นานาเสะก็พูดว่า 「ถ้างั้น ค่อยยังชั่ว」 แล้วจับมือผมเบาๆ วินาทีที่มือเล็กๆ เย็นๆ นั้นสัมผัสมือผม ผมก็รู้สึกวางใจอย่างบอกไม่ถูก
「ขอโทษนะ เดี๋ยวฉันเปิดแอร์ให้」
หลังจากแน่ใจว่าผมพยักหน้าแล้ว นานาเสะก็เปิดแอร์ แล้วเปิดพัดลม ลมเย็นๆ พัดมาพร้อมกับกลิ่นอับๆ เธอรีบปูฟูก แล้วยื่นผ้าขนหนูชุบน้ำมาให้
「เช็ดตัวแล้วเปลี่ยนเสื้อผ้าเถอะ ให้ฉันช่วยไหม?」
「มะ… ไม่เป็นไร! ทำเองได้…」
จะให้นานาเสะมาช่วยอะไรแบบนี้ได้ยังไง ถึงร่างกายจะล้า แต่ผมก็พยายามพยุงตัวลุกขึ้นนั่ง ระหว่างที่ผมกำลังเปลี่ยนเสื้อผ้า นานาเสะก็ไปเอาน้ำแข็งกับเครื่องดื่มเกลือแร่จากห้องเธอมาให้
「อ่ะ ดื่มนี่ก่อน」
ผมรับขวดเครื่องดื่มเกลือแร่มา แล้วดื่ม ของเหลวเย็นๆ รสหวาน ไหลลงสู่ท้อง วางน้ำแข็งไว้ที่ใต้คอ แล้วนอนลงบนฟูก ค่อยรู้สึกดีขึ้น
「…ขอโทษ ที่ทำให้ลำบาก… ขอบคุณนะ」
ผมพูดเสียงแผ่ว นานาเสะยิ้มบางๆ
「ไม่ได้ลำบากอะไรสักหน่อย ฉันตกใจแทบแย่ นึกว่านายจะตายซะแล้ว」
「โทษที」
「อีกอย่าง เวลาลำบากก็ต้องช่วยเหลือกัน ซางาระคุงเองก็เคยช่วยฉันกำจัดแมลงสาบ」
จริงสิ เคยมีเรื่องแบบนั้นด้วย ตอนนั้นเป็นครั้งแรกที่ผมเห็นหน้าสดของนานาเสะ ผ่านมาสองเดือนแล้วสินะ
「แถมยังช่วยฉันอีกตั้งหลายอย่าง」
นานาเสะเอื้อมมือมาแตะหน้าผากผมเบาๆ เพราะอุณหภูมิร่างกายผมสูง มือเธอเลยรู้สึกเย็นสบาย
「ตัวร้อนนิดหน่อยนะ อาจจะเป็นเพราะโรคลมแดด อีกอย่าง ทำงานหนักเกินไปแล้ว」
「…เหงื่อฉันออกนะ」
「ไม่เป็นไร เดี๋ยวฉันวางเครื่องดื่มเกลือแร่ไว้ตรงหัวเตียงนะ พรุ่งนี้จะมาดูอาการอีกที เปิดประตูไว้ด้วยล่ะ งั้น ราตรีสวัสดิ์」
พูดจบ นานาเสะก็เดินออกจากห้องไป ผมนอนคิดอะไรเรื่อยเปื่อย
การใช้ชีวิตคนเดียว มันยากจังนะ
ตอนที่เห็นหน้านานาเสะตอนเธอเข้ามาในห้อง ผมรู้สึกโล่งอกอย่างบอกไม่ถูก ตอนนี้ไม่มีแม่แล้ว รู้สึกใจคอไม่ค่อยดี สัมผัสของมือเธอที่จับกันแน่น ยังคงวนเวียนอยู่ในความคิด
…ให้ตายสิ คิดอะไรอยู่เนี่ย ตั้งแต่จบม.ปลาย ผมตั้งใจว่าจะใช้ชีวิตคนเดียว โดยไม่พึ่งพาใคร
ระหว่างที่นอนอยู่ จู่ๆ ก็รู้สึกง่วงขึ้นมา เรื่องข้อสอบแวบเข้ามาในหัว แต่ตอนนี้ รักษาตัวให้หายก่อนน่าจะดีกว่า ผมหลับตาลง แล้วก็ผล็อยหลับไปทันที
เสียงกริ่งอินเตอร์คอมดังขึ้น ผมเลยตื่น
ข้างนอกหน้าต่าง พระอาทิตย์ขึ้นแล้ว แสงแดดส่องผ่านม่านบางๆ น้ำแข็งที่วางไว้ใต้คอก็ละลายหมดแล้ว ผมค่อยๆ ลุกขึ้นนั่งบนฟูก
ร่างกายยังล้าอยู่นิดหน่อย แต่หัวโล่ง คงเป็นเพราะแอร์ ทำให้ผมนอนหลับสนิท เครื่องใช้ไฟฟ้าสมัยนี้นี่มันสุดยอดจริงๆ ต่อไปนี้คงต้องเลิกทำตัวผอมแห้งแล้วล่ะ
พอเปิดประตู ก็เจอนานาเสะแต่งหน้าจัดเต็มยืนอยู่ ในมือถือหม้อขนาดเล็ก
「อรุณสวัสดิ์ เป็นยังไงบ้าง?」
「ดีขึ้นเยอะเลย」
「ค่อยยังชั่ว ฉันทำข้าวต้มมา กินด้วยกันนะ」
นานาเสะเข้ามาในห้อง หยิบชามออกมา แล้วตักข้าวต้มใส่ กลิ่นน้ำซุปหอมฟุ้ง
พอได้กิน ผมก็เพิ่งรู้ตัวว่าตัวเองหิวมาก กินหมดเกลี้ยงในพริบตา นานาเสะเห็นแบบนั้นก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก
「ค่อยยังชั่ว ดูโอเคแล้ว」
ระหว่างที่กินข้าวต้มถ้วยที่สอง ผมก็พยักหน้า คิดว่าน่าจะไปเรียน ไปทำงานไหว แต่ว่าครั้งนี้ สร้างความลำบากให้นานาเสะมากเลย
「ขอโทษนะ ขอบคุณจริงๆ ที่ช่วย」
ถ้าไม่มีนานาเสะ ผมอาจจะตายไปแล้วก็ได้ ทำไมถึงกล้าพูดว่าจะใช้ชีวิตคนเดียวได้นะ ต่อไปนี้คงต้องระวังเรื่องสุขภาพให้มากๆ
「เดี๋ยวคราวหน้า จะตอบแทนแน่นอน」
「อย่าคิดมากสิ เราต่างก็ช่วยเหลือกัน ฉันบอกแล้วไง」
「แต่ฉันไม่ได้ทำอะไรเลย…」
ถ้านับสิ่งที่นานาเสะทำให้ กับสิ่งที่ผมทำให้เธอ มันเทียบกันไม่ได้เลย ผมเป็นหนี้เธอ จะปล่อยไว้แบบนี้ไม่ได้
「ถ้าเป็นสิ่งที่ฉันพอจะทำได้ ก็จะพยายามทำ… บอกมาได้เลย」
ทันใดนั้น นานาเสะก็เบิกตากว้าง เหมือนนึกอะไรขึ้นได้ หลังจากขยับมือบนตัก เธอก็พูดขึ้นมาอย่างลำบากใจ
「งั้น… ขออย่างหนึ่งได้ไหม?」
「ได้สิ ว่ามาเลย」
ครั้งนี้ไม่ว่าเธอจะขออะไร ผมก็จะทำให้เต็มที่
ผมนิ่งรอฟังคำขอ นานาเสะจับมือทั้งสองข้างของผมแน่น ดวงตาคู่โตที่จ้องมองมา ดูจริงจัง
「ซางาระคุง ปิดเทอมฤดูร้อนนี้ ไปเดทกับฉันได้ไหม?」
「หะ… หา!?」
คำขอที่เหนือความคาดหมาย ทำให้ผมอุทานออกมาอย่างตกใจ นานาเสะยังคงมีสีหน้าจริงจัง จ้องมองมาที่ผมเขม็ง
ฤดูร้อนของผม ที่คิดไว้ว่าจะไม่เป็นไปตามแผน กำลังจะเริ่มต้นขึ้น
การสอบผ่านไปด้วยดี ปิดเทอมฤดูร้อนผ่านมาหนึ่งอาทิตย์แล้ว
ผมนั่งรถเมล์มาตามคำขอร้องของ นานาเสะ ที่ว่า 「ขอให้มาเดทกัน โดยไม่ต้องถามอะไรทั้งนั้น」 ถึงกับต้องลางานพิเศษเพื่อการนี้ จุดหมายคือพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำเกียวโต ที่อยู่แถวๆ อุเมะโคจิ
ผมนั่งข้างๆ นานาเสะ แล้วแอบมองเธอ วันนี้เธอใส่ชุดเดรสยาวประมาณเข่า และมัดผมเป็นมวยไว้บนศีรษะ อาจจะเพราะเป็นช่วงปิดเทอม บรรยากาศรอบตัวเธอเลยดูต่างไปจากตอนอยู่ที่มหา’ลัย
「นี่ นานาเสะ…」
นานาเสะ ที่แต่งหน้ามาอย่างจัดเต็ม ยิ้มแล้วถามว่า 「อะไรเหรอ?」 สุดท้ายผมก็ไม่กล้าถามอะไรออกไป เลยตอบว่า 「ไม่มีอะไร」 แล้วหันไปมองนอกหน้าต่าง คำถามที่ไม่ได้พูดออกไป ดังก้องอยู่ในหัว
ทำไม ถึงชวนฉันล่ะ?
โดยทั่วไปแล้ว การเดทคือการที่คนสองคนที่มีความสัมพันธ์แบบคนรัก หรือใกล้เคียงกับคนรัก ออกไปเที่ยวด้วยกันสองคน หรือว่า นานาเสะ จะ… ไม่สิ ไม่หรอก ผมไม่อยากยุ่งเกี่ยวกับใคร และไม่ได้คิดจะมีแฟน
คิดไปคิดมา ก็รู้สึกว่าตัวเองจะหลงตัวเองเกินไปแล้ว นานาเสะ ที่ใฝ่ฝันถึงชีวิตในรั้วมหาวิทยาลัยอันแสนสดใส และอยากจะมีแฟน ไม่มีทางชอบผู้ชายแบบผมหรอก ผมมันเป็นคนที่อยู่ตรงข้ามกับคำว่า “ดูดี”
ระหว่างที่กำลังคิดอะไรเรื่อยเปื่อย รถเมล์ก็จอด 「ถึงแล้วล่ะ ลงกันเถอะ」 นานาเสะ พูด ผมเดินตามหลังเธอลงจากรถ
ตรงหน้าพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำเกียวโต มีสวนสาธารณะขนาดใหญ่ชื่อว่า อุเมะโคจิ ถึงแม้แดดจะแรง แต่ลานกว้างก็เต็มไปด้วยครอบครัว กลุ่มนักศึกษา และคู่รัก ตรงทางเข้าพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำ ผมเห็นคู่ชายหญิงที่คุ้นหน้ายืนอยู่
「อ๊ะ ฮารุโกะ! ทางนี้ ทางนี้!」
สุโด้โบกมือมาทางนี้ ผู้ชายหน้าตาดีที่ยืนอยู่ข้างๆ เธอ ก็คือ โฮวโจวนั่นเอง …นี่มันอะไรสถานการณ์แบบนี้
ผมหันไปมอง นานาเสะ เหมือนต้องการคำอธิบาย เธอยิ้มแหยๆ แล้วพูดว่า 「ขอโทษนะ」 โฮวโจว มองมาที่ผม แล้วยิ้มอย่างมีเลศนัย ผมเลยพอจะเข้าใจสถานการณ์
ถึงจะไม่รู้เหตุผล แต่ดูเหมือน นานาเสะ จะถูก โฮวโจว ขอให้พาผมมาด้วย
อืม… ถ้าแบบนั้นมันก็ไม่ใช่เดทแล้วนี่นา ทำไมต้องพูดอะไรให้ยุ่งยากด้วย
「เข้าไปข้างในกันเถอะ ฉันซื้อตั๋วไว้แล้ว เดี๋ยวค่อยเก็บเงินทีหลังนะ」
「ฮารุโกะ ฮารุโกะ! ไปถ่ายรูปกับโอซันโชวโอะกัน!」
สุโด้ที่ดูตื่นเต้นผิดปกติ จูงมือนานาเสะแล้ววิ่งออกไป ส่วนโฮวโจวหันมายิ้มสดใสให้กับผมที่ยืนอ้างว้างอยู่คนเดียว รอยยิ้มนั้น ถ้าโดนผู้หญิงแถวนี้เข้า คงมีคนตายกันบ้างล่ะ
ภายในตู้ปลาที่ขัดเงาจนแวววาว มีปลากระเบนขนาดใหญ่กำลังว่ายน้ำอย่างสง่างาม รอบๆ ตัวมัน มีฝูงปลาอิวาชิตัวเล็กๆ ว่ายวนอยู่ ภายในพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำค่อนข้างมืด มีเพียงตู้ปลาเท่านั้นที่สว่างเป็นสีฟ้าเรืองรอง ผมจ้องมอง แล้วคิดว่า ท่าทางจะอร่อยดี ทันใดนั้น โฮวโจวก็พูดขึ้น เส้นผมที่ปรกหน้าผาก ไหวเล็กน้อย
「นี่ๆ รู้หรือเปล่า? ว่ากันว่า ปลากระเบนน่ะ มีพิษอยู่ที่หางนะ」
…ทำไมผมต้องมาเที่ยวพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำกับผู้ชายหน้าตาดีในวันหยุดฤดูร้อนด้วยเนี่ย
พอเห็นสีหน้าไม่สบอารมณ์ของผม โฮวโจวก็พูดว่า 「อย่าทำหน้าแบบนั้นสิ」 แล้วตบหลังผม
นานาเสะกับสุโด้ยืนอยู่ห่างออกไป กำลังถ่ายรูปกับตู้ปลาอย่างสนุกสนาน ผมมองพวกเธอ แล้วคิดว่า ผู้หญิงนี่ชอบถ่ายรูปกันจริงๆ ทันใดนั้น โฮวโจวก็พูดขึ้น
「ที่นานาเสะชวน ก็เพราะเป็นซางาระ ทั้งๆ ที่บอกว่าใครก็ได้แท้ๆ」
「 “ก็เพราะ” อะไรล่ะ」
「ขอโทษนะ ที่ดึงนายมาเกี่ยวกับเรื่องของฉันด้วย」
「นี่ ตกลงนายเป็นคนชวนเหรอ เรื่องนี้」
พอผมพูด โฮวโจวก็ทำหน้าเหมือนแปลกใจ
「อ๊ะ นานาเสะไม่ได้เล่าอะไรให้ฟังเหรอ? ฉันก็บอกไปว่าให้เก็บเป็นความลับ แต่จริงๆ จะบอกซางาระคุงก็ได้นะ」
「…เธอบอกให้มาเดท โดยไม่ต้องถามอะไร」
ผมตอบหน้านิ่ง โฮวโจวยิ้มกว้าง
「อืม งี้นี่เอง งี้นี่เอง สรุปว่าซางาระคุงคิดว่ามาเดทกับนานาเสะสองคน แย่จังนะ ดันมีพวกเรามาด้วย」
ผมรู้สึกหงุดหงิดกับคำพูดจาหยอกล้อของเขา แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าผมคิดแบบนั้นจริงๆ ผมน่ะ ถามโฮวโจว พลางถลึงตาใส่เขาเล็กน้อย
「เรื่องอะไร」
ในเมื่อมาถึงขนาดนี้แล้ว ผมน่าจะมีสิทธิ์ได้รู้ ไม่เพียงแต่ลางานพิเศษ ผมยังต้องเสียค่ารถ แถมยังต้องจ่ายค่าเข้าที่นี่อีก
เมื่อผมถาม โฮวโจวก็ตอบกลับอย่างง่ายๆ
「ฉันขอนานาเสะไว้เอง บอกว่าชอบซัจจัง ขอให้ช่วยหน่อย」
「เอ๊ะ จริงเหรอ?」
ผมไม่รู้เรื่องนี้เลย ผมเผลอหันไปมองทางสุโด้ ถึงจะไม่ต้องให้นานาเสะช่วย หมอนี่ก็น่าจะจีบใครก็ได้ด้วยตัวเองอยู่แล้ว หรือว่าสุโด้จะเป็นผู้หญิงที่ร้ายกาจขนาดนั้น?
「ก็ประมาณนั้นแหละ ถ้าได้จังหวะเหมาะๆ ก็อยากจะขอแยกไปกันสองคน ฝากด้วยนะ」
「ทำไมไม่ไปกันสองคนตั้งแต่แรกล่ะ」
「ถ้าจู่ๆ ชวน ก็ต้องโดนระวังตัวอยู่แล้ว อีกอย่าง ฉันก็อยากเที่ยวกับซางาระกับนานาเสะด้วย」
โฮวโจวพูดพร้อมกับยิ้มสดใส นานาเสะก็เรื่องหนึ่ง แต่ผู้ชายแสนจะธรรมดาอย่างผมนี่นะ จะมาเที่ยวด้วยแล้วสนุกตรงไหน ผมไม่เข้าใจความคิดของหมอนี่เลยจริงๆ
นานาเสะกับสุโด้ถ่ายรูปกันจนพอใจแล้ว ก็โบกมือมาทางนี้
「ฮิโรกิกับซางาระคุง มาถ่ายรูปด้วยกันเถอะ!」
ก่อนที่ผมจะทันปฏิเสธว่า “ไม่ล่ะ” โฮวโจวก็ลากผมไป ถูกบังคับให้ยืนหน้าตู้ปลา ส่วนสุโด้ก็กดชัตเตอร์สมาร์ทโฟนรัวๆ 「เอ้า ถ่ายล่ะนะ」 ผมไม่รู้จะทำหน้ายังไง ก็เลยทำหน้านิ่งๆ ผมไม่ค่อยชอบถูกถ่ายรูปเท่าไหร่
ถึงโฮวโจวจะเป็นคนเฉื่อยๆ เรื่องแฟชั่น แต่ผมก็ดูออกว่าอีก 3 คนนั้นแต่งตัวดีและดูดีมีสไตล์ ยิ่งทำให้ชุดเสื้อเชิ้ตสีดำทะมึนของผมดูลอยออกมาจากกลุ่ม
…ยังไง คิดยังไง ผมก็เป็นตัวเกะกะ ให้คินามิมาแทนน่าจะดีกว่า
「นี่ๆ รูปที่ถ่ายกันสี่คน อัพลงอินสตาแกรมได้ป่ะ?」
「ไม่ได้ ฉันจะฟ้องเรื่องละเมิดสิทธิ์ส่วนบุคคล」
พอผมปฏิเสธแบบเต็มที่ สุโด้ก็ทำหน้ามุ่ย 「ขี้งก!」
ในตู้ปลากลมๆ มีแมงกะพรุนโปร่งแสงเคลื่อนไหวแปลกๆ หนวดเส้นเล็กๆ ของมัน แกว่งไกวอยู่ในน้ำ
ผมไม่เคยมาพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำ นี่เป็นครั้งแรกที่ได้เห็นแมงกะพรุนใกล้ๆ พอมาดูแบบนี้แล้ว ก็รู้สึกว่ามันน่าสนใจดี มองเห็นอวัยวะภายในได้ด้วย เห็นหัวใจมันเต้นตุบๆ ผมเผลอมองตาม แล้วก็ตั้งใจสังเกตแมงกะพรุน
「ซางาระคุง」
พอได้ยินเสียงเรียก ผมก็หันกลับไป เห็นนานาเสะยืนอยู่ข้างหลัง
「โฮวโจวกับสุโด้ล่ะ?」
「อยู่ตรงมุมปลาทะเลน้ำลึกตรงนั้นน่ะ เห็นซางาระคุงตั้งใจดูแมงกะพรุนมาก เลยไม่อยากจะเร่งน่ะ ชอบแมงกะพรุนเหรอ?」
「ก็ไม่ได้ชอบอะไร」
「น่ารักดีออก ฉันชอบอะไรที่มันตัวเล็กๆ กลมๆ」
จะว่าน่ารักมันก็น่ารักอยู่หรอก แต่นี่เหรอ…น่ารัก? สำหรับผม มันออกจะดูแปลกๆ พิลึก แถมยังมองเห็นอวัยวะภายใน นานาเสะกับผมคงมีรสนิยมต่างกัน
ผมแอบมองนานาเสะแวบหนึ่ง แล้วหันกลับไปมองแมงกะพรุน
「ได้ยินโฮวโจวพูด เธอถูกเขาหลอกใช้เป็นข้ออ้างเพื่อจะไปเที่ยวกับสุโด้สินะ」
นานาเสะทำหน้าเหมือนเอือมระอาเล็กน้อย
「นี่ คิดอะไรอยู่เนี่ย… โฮวโจวคุงไม่ใช่คนเลวร้ายขนาดนั้นสักหน่อย」
「ทำไม ต้องเป็นฉันล่ะ」
นานาเสะเอียงคอ 「เอ๊ะ?」 ดวงตาโตๆ ใสๆ สะท้อนแสงสีฟ้าจากตู้ปลา ดูเป็นประกาย
「ก็ ยังไงก็ดูแปลกแยกอยู่แล้ว ในสถานการณ์แบบนี้ ถ้าจะชวน… น่าจะชวนคนอื่นมากกว่า」
「ไม่เห็นแปลก ฉันเลือกจะชวนซางาระคุงเอง」
นานาเสะตอบกลับอย่างหนักแน่น ถึงจริงๆ แล้วเธออาจจะไม่มีเพื่อนผู้ชายคนอื่น และไม่ได้คิดอะไรลึกซึ้ง แต่ผมก็รู้สึกคันๆ ยิบๆ ในใจ
นานาเสะลดเสียงลง แล้วพูดต่อ
「นี่ คิดว่าถึงเวลาที่ฉันควรถอยออกมา เพื่อให้สองคนนั้นอยู่ด้วยกันหรือยัง?」
เมื่อได้ยินคำพูดของนานาเสะ ผมก็หันไปมองสองคนที่ยืนอยู่หน้าตู้ปลาทะเลน้ำลึก
โฮวโจวกำลังพูดอะไรบางอย่างกับสุโด้ แล้วสุโด้ก็หัวเราะ สายตาของโฮวโจวที่มองสุโด้นั้น ผิดกับตอนที่มองผมกับนานาเสะ
「โฮวโจวคุง ชอบซัจจังจริงๆ สินะ」
「ก็คงงั้นมั้ง ฉันไม่ค่อยเข้าใจหรอก」
「ถ้าปล่อยไว้เฉยๆ เดี๋ยวจะดูจงใจเกินไป… จะอธิบายกับซัจจังยังไงดีล่ะ」
「ฉันหิวแล้ว 」
ระหว่างที่กำลังกระซิบกระซาบกัน สุโด้ก็หันมา แล้วตะโกนด้วยน้ำเสียงสดใส
「นี่ๆ! อีกเดี๋ยวจะมีโชว์โลมาแล้วนะ! ไปดูกันไหม?」
สุโด้กวักมือเรียก พวกเราเลยจำใจต้องเดินไปหา จริงๆ แล้วผมน่าจะได้ดูแมงกะพรุนอีกสักหน่อย
พวกเราทั้งสี่คนดูโชว์โลมา เดินดูรอบๆ แล้วก็ไปนั่งพักที่คาเฟ่ในพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำ นานาเสะกับสุโด้สั่งซาลาเปาไส้ตัวซาลาแมนเดอร์ยักษ์ แล้วก็ตื่นเต้นกันใหญ่ว่า 「น่ารักจัง~!」 ส่วนผมสั่งแค่กาแฟเย็น
「ไม่ได้มาพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำตั้งแต่สมัยม.ต้น สนุกจัง」
สุโด้พูดอย่างพึงพอใจ โฮวโจวยิ้มแล้วตอบว่า 「ดีแล้วล่ะ」
「ฉัน เพิ่งเคยมาพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำครั้งแรก」
ผมเอ่ยขึ้นมาลอยๆ นานาเสะได้ยินก็พูดอย่างแปลกใจ
「เอ๊ะ ตอนประถม ไม่ได้ไปทัศนศึกษากับโรงเรียนที่พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำท่าเรือนาโกย่าเหรอ?」
「ไม่ได้ไป ไปหมู่บ้านเมจิ (พิพิธภัณฑ์กลางแจ้ง) มา」
「อ๊ะ คิดถึงจัง」
โฮวโจวที่ได้ยินบทสนทนา ก็พูดขึ้นเหมือนเพิ่งนึกอะไรขึ้นได้
「อ๊ะ จริงสิ สองคนนี้มาจากที่เดียวกันนี่นา ถึงว่าสนิทกัน」
ถึงจะไม่ได้สนิทอะไรกัน แต่ตอนนี้พูดไปก็คงจะยุ่งยาก เลยปล่อยเลยตามเลย
「เห็นว่าเรียนม.ปลายที่เดียวกันด้วยนี่!」
เมื่อสุโด้พูด นานาเสะก็ตอบกลับอ้อมแอ้มว่า 「อืม… ก็ประมาณนั้น」 สำหรับนานาเสะแล้ว เรื่องสมัยม.ปลายคงเป็นหัวข้อที่อยากจะหลีกเลี่ยง
「สองคนสนิทกันตั้งแต่สมัยม.ปลายเหรอ?」
พอถูกโฮวโจวถาม นานาเสะก็แสดงท่าทีลุกลี้ลุกลน เป็นปฏิกิริยาที่ชัดเจนเกินไป ผมเลยช่วยแก้สถานการณ์ โดยวางแก้วกาแฟลงบนโต๊ะ แล้วพูดขึ้น
「ไม่หรอก ก็รู้จักกันอยู่หรอก แต่ไม่ได้เกี่ยวข้องกัน」
「งั้นเหรอ ฮารุโกะตอนอยู่ม.ปลายเป็นยังไงบ้าง? น่ารักเหมือนเดิมป่ะ?」
สุโด้ถามอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย ไหล่ของนานาเสะสั่น ผมเลยเพิ่มระดับเสียงขึ้นเล็กน้อย แล้วตอบอย่างชัดเจน
「ก็เหมือนตอนนี้แหละ ไม่เปลี่ยนไปหรอก」
นานาเสะที่นั่งอยู่ข้างๆ หันมามองผมแวบหนึ่ง แล้วก็ก้มหน้าเหมือนจะขอโทษ
…ยัยบ้า ทำตัวปกติสิ ถ้าทำตัวแปลกๆ เดี๋ยวก็ถูกสงสัยหรอก
ระหว่างที่ผมกำลังกังวลอยู่ โฮวโจวก็เปลี่ยนหัวข้อสนทนา 「แล้วจะไปไหนต่อ?」 สุโด้ก็ไม่ได้ซักไซ้อะไรต่อ ผมเลยถอนหายใจอย่างโล่งอก
ก่อนออกจากพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำ สุโด้พูดว่า 「ขอไปเข้าห้องน้ำแป๊บนึง」 แล้วก็แยกตัวออกไป ผมเลยถือโอกาสนี้พูดกับโฮวโจว
「งั้น ฉันกลับก่อนนะ」
「เอ๊ะ ไหนๆ ก็มาแล้ว ไปเที่ยวต่ออีกหน่อยสิ」
「พอแล้ว นานาเสะ ไปกันเถอะ」
นานาเสะทำหน้างง 「ไปไหน?」 ยัยนี่ ลืมจุดประสงค์หลักแล้วเหรอ
「มาทำอะไรที่นี่ ก็เพื่อจะให้โฮวโจวกับสุโด้อยู่ด้วยกันสองต่อสองไม่ใช่เหรอ」
「อ๊ะ จริงด้วย! งั้นโฮวโจวคุง สู้ๆ นะ! พยายามเข้านะ!」
เหมือนจะเพิ่งนึกขึ้นได้ นานาเสะชูกำปั้นให้กำลังใจ โฮวโจวตอบกลับว่า 「ขอบใจนะ」 แล้วก็โบกมือ
ออกจากพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำ พวกเราก็เดินไปที่ป้ายรถเมล์ นานาเสะดูเป็นห่วงสุโด้ หันหลังกลับไปมองหลายครั้ง
「จะเป็นอะไรไหมนะ เดี๋ยวฉันลองส่ง LINE หาซัจจังดีกว่า」
「ถ้าไม่อยากอยู่ ก็คงหนีกลับไปแล้วล่ะ」
「ซัจจังเองก็ไม่ได้ไม่อยากอยู่หรอก อาจจะ…」
นานาเสะพูดพลางกางร่ม สำหรับผมแล้ว ไม่ว่าสองคนนั้นจะเป็นยังไงก็ช่าง แต่การที่ต้องมาเกี่ยวข้องด้วยนี่ ไม่เอาอีกแล้ว ถ้าเป็นไปได้ก็อยากให้รีบๆ คบกันไปเลย
「โฮวโจวคุงก็หน้าตาดี ซัจจังก็สวย เหมาะสมกันมากเลยนะ」
「อืม… ก็คงงั้นมั้ง」
ทันใดนั้นผมก็นึกขึ้นได้ โฮวโจวเคยพูดว่า นานาเสะกับผม “เหมาะสมกัน”
ผมหันไปมองนานาเสะที่เดินอยู่ข้างๆ ไม่ว่าจะมองมุมไหน เธอก็เป็นผู้หญิงที่สวยจนไม่เหมาะกับผม ต่อให้กลับหัวคิด ก็ไม่มีทางเป็นไปได้
เดินมาสักพัก ก็ถึงป้ายรถเมล์ รถเมล์ที่พวกเราจะขึ้น จะมาถึงในอีก 5 นาที แต่รถเมล์ของเกียวโตไม่เคยมาตรงเวลาอยู่แล้ว ม้านั่งที่โดนแดดเผาจนร้อน คงจะนั่งไม่ไหวแน่ๆ
「ร้อนจริงๆ คอแห้งไปหมดแล้ว」
นานาเสะพูด แล้วซื้อน้ำอัดลมรสเลม่อน ที่ดูสดชื่นเหมาะกับหน้าร้อนจากตู้ขายเครื่องดื่มอัตโนมัติข้างๆ ป้ายรถเมล์ ผมเองก็คิดจะซื้อบ้าง แต่ไม่มีเศษเหรียญ เลยล้มเลิกความตั้งใจ
นานาเสะเปิดขวด แล้วดื่มอย่างระมัดระวัง ผมเห็นลิปสติกสีชมพูอ่อนๆ ติดอยู่ที่ปากขวด รู้สึกแปลกๆ
「ซางาระคุง เมื่อกี้ ขอโทษนะ」
ตอนนั้นเอง นานาเสะก็พูดขึ้น เสียงของเธอดูแผ่วเบา เหมือนจะถูกกลบด้วยเสียงของจักจั่น ร่มสีดำ ทำให้ใบหน้าของเธออยู่ในเงา
「ฉันก็แค่… โกหกเพิ่มไปนิดหน่อย 」
「อ่า… ช่างมันเถอะ อย่าไปคิดมากเลย」
ผมเองก็มีหนี้บุญคุณกับนานาเสะอยู่ อีกอย่าง แค่เรื่องโกหกเล็กๆ น้อยๆ ผมไม่เจ็บปวดอะไรหรอก ถ้ามันจะช่วยรักษาสถานะอันสงบสุขของนานาเสะไว้ได้ ก็ถือว่าคุ้มค่า …แล้วก็
「…มันก็ไม่ได้ โกหกไปซะทั้งหมดหรอก」
นานาเสะเปลี่ยนไป แต่ก็มีบางอย่างที่ไม่เปลี่ยน บุคลิกที่ดูมั่นคง ความตั้งใจทำงาน สิ่งเหล่านี้ ไม่เปลี่ยนไปจากสมัยม.ปลายเลย
ผมก้มหน้ามองปลายเท้า ขณะที่เตะพื้นคอนกรีตไปเรื่อยๆ แล้วพูดต่อ
「ทั้งตอนนี้ ทั้งเมื่อก่อน เธอก็เป็นคนจริงจัง แล้วก็พยายามมากๆ」
「อย่างนั้น… เหรอ」
「อืม… ก็แค่ เธอเปลี่ยน “สิ่งที่พยายาม” ไปจากเมื่อก่อน… แต่ตัวตนจริงๆ ก็ไม่ได้เปลี่ยนไปเลยสักนิด」
ผมเงยหน้าขึ้น เห็นนานาเสะกำลังตั้งใจฟัง เธอยิ้มบางๆ เป็นรอยยิ้มที่ดูไร้เดียงสาเหมือนกับเด็กๆ
「ขอบคุณนะ」
「มะ… ไม่ต้องขอบคุณหรอก」
นานาเสะมองหน้าผม แล้วขยับเข้ามาใกล้ พร้อมกับพูดว่า 「เอ๋」 แล้วยื่นขวดน้ำอัดลมมาแตะที่หน้าผม
「อ๊ะ! อะไรเนี่ย」
「ซางาระคุง ตาแดงก่ำเลย… เป็นลมแดดอีกแล้วเหรอ?」
น้ำอัดลมรสเลม่อนที่แตะอยู่บนแก้ม รู้สึกเย็นสดชื่น ตอนนั้นเองที่ผมเพิ่งรู้ตัวว่า หน้าตัวเองร้อนมาก