โดดเด่น...ที่จอมปลอม - ตอนที่ 2.1 ใต้เงาฤดูร้อนที่ผันเปลี่ยน
ในที่สุดหน้าร้อนก็มาถึงจนได้ หน้าร้อนของเกียวโตที่ขึ้นชื่อว่าร้อนสุดขั้ว
พอเข้าเดือนเจ็ด ฝนซาเม็ด เหล่านักศึกษาก็เริ่มคึกคักกันขึ้นมาทันที หลังเลิกคลาสในวันศุกร์ ในห้องวิจัย ผมได้ยินเสียงพวกหนุ่มสาวมีคู่คุยกันสนุกสนานเรื่องไปเทศกาลดนตรีฤดูร้อนมั่งล่ะ ไปเที่ยวทะเลกันบ้างล่ะ เป็นเรื่องที่ผมเองก็ไม่รู้เรื่องด้วยหรอก
ดูเหมือนนานาเสะจะแอบเติมลิปสติกอยู่ตรงมุมที่ห่างจากกลุ่มคนพวกนั้น ผมเห็นเธอยิ้มหวานให้กับกระจกเงาบานเล็ก ถึงรอยยิ้มนั้นจะไม่ได้มีไว้ให้ผมก็เถอะ แต่ผมก็เผลอใจเต้นไปกับมันซะได้
「อ๊ะ! นานาเสะ ไปทะเลด้วยกันไหม!」
จู่ๆ คินามิก็ตะโกนชวนเสียงดังลั่นห้องวิจัย นานาเสะดูตกใจที่อยู่ๆ ก็ถูกชวน เธอสะดุ้งโหยง ก่อนจะตอบกลับเสียงอึกอัก 「อะ…เอ่อ ทะเล?」 「ตอนนี้กำลังคุยกันว่าปิดเทอมฤดูร้อนนี้จะไปเที่ยวกันน่ะ นานาเสะไปด้วยกันสิ!」
พอโดนคินามิตื๊อเข้าหน่อย นานาเสะก็ยกมือเกาแก้มแก้เขิน ก่อนจะส่ายหน้าปฏิเสธ
「ขะ…ขอโทษนะ! ฉันไม่ค่อยสันทัดเรื่องทะเลน่ะ」
「งั้นเหรอ… อ๊ะ! แล้วไปสระว่ายน้ำล่ะ?」
「ฉะ…ฉัน…เอ่อ…คือ…ว่ายน้ำไม่เป็นน่ะ!」
นานาเสะพูดเสียงตะกุกตะกัก ส่วนคินามิก็หัวเราะออกมาอย่างชอบใจ
「ไม่เห็นต้องว่ายน้ำเลยนี่ เวลาไปทะเลหรือสระว่ายน้ำน่ะ?」
นานาเสะเอียงคอ 「งั้นเหรอ?」 เธอทำหน้าสงสัยว่า ถ้าไม่ว่ายน้ำแล้วจะไปทำอะไรกัน พวกคนมีคู่เขาไปสนุกอะไรกันที่ทะเลหรือสระว่ายน้ำนะ เธอคงไม่รู้สินะ เรื่องนั้นผมเองก็ไม่รู้เหมือนกัน
「อีกอย่าง ถึงว่ายน้ำไม่เป็นก็ไม่มีปัญหา! เดี๋ยวฉันจะสอนเธอแบบใกล้ชิดสนิทสนม-」
「พอเลยคินามิ น่ารำคาญ นายแค่อยากเห็นฮารุโกะใส่ชุดว่ายน้ำใช่ไหมล่ะ!」
สุโด้พูดขัดขึ้นพร้อมกับตบหัวคินามิเบาๆ คินามิยิ้มเจื่อนๆ 「โดนจับได้ซะแล้วเหรอ?」 ให้มันได้อย่างนี้สิ…คิดไว้ไม่มีผิด
แต่การได้ไปเที่ยวทะเลกับเพื่อนๆ ในกลุ่มน่าจะเป็นสิ่งที่นานาเสะใฝ่ฝัน เป็นช่วงปิดเทอมฤดูร้อนที่งดงามราวกับภาพวาด แล้วทำไมเธอถึงปฏิเสธไปล่ะ?
เหมือนนานาเสะจะรู้ตัวว่าผมกำลังแอบมอง เธอหันมาสบตาแวบหนึ่ง ผมเลยรีบขยับปากเป็นคำพูดโดยไม่มีเสียง บอกเธอว่า 「อย่ามองมาทางนี้」
ระหว่างทางเดินไปลานจอดรถหลังเลิกคลาสบังคับ ผมก็บังเอิญเห็นแผ่นหลังของนานาเสะเข้า
ผมสีน้ำตาลอ่อนยาวสลวยถูกรวบไว้สูง เผยให้เห็นต่างหูอันใหญ่ที่แกว่งไกว การแต่งตัวก็ดูสดชื่นเหมาะกับหน้าร้อนดี ถึงผมจะไม่ค่อยรู้เรื่องอะไรแบบนี้เท่าไหร่ แต่ก็อดชมไม่ได้ที่เธอแต่งตัวได้เข้ากับฤดูกาล เสื้อผ้าหน้าร้อนของผม ส่วนใหญ่ก็มีแต่เสื้อยืดตัวเดียวทั้งนั้น
ผมเดินตามหลังเธอโดยเว้นระยะห่าง แต่จู่ๆ เธอก็หมุนตัวกลับ
「อ๊ะ! ซางาระคุงจริงๆ ด้วย!」
「เอ๊ะ! อะ…อะไรของเธอเนี่ย?」
「ก็รู้สึกเหมือนว่านายจะอยู่แถวนี้น่ะสิ」
ผมว่าตัวเองก็เป็นคนจืดจางคนหนึ่ง แต่ทำไมนาเสะถึงสังเกตเห็นผมกันนะ?
ในเมื่อนานาเสะหยุดเดินแล้ว ผมก็เลยจำต้องเดินไปข้างๆ เธอ แล้วถามขึ้น
「นานาเสะ วันนี้เธอถูกชวนไปทะเลใช่ไหม ไปก็ดีแล้วนี่」
「เอ๊ะ ไม่มีทางอ่ะ! ไม่ไหวๆ」
นานาเสะโวยวายเสียงดัง ท่าทางปฏิเสธหัวชนฝาของเธอทำเอาผมงงเป็นไก่ตาแตก
「อะไรมันจะขนาดนั้น กลัวคนเห็นตอนใส่ชุดว่ายน้ำเหรอ?」
อืม… ผมเองก็ไม่คิดว่าคนอย่างคินามิสมควรจะเห็นเธอในชุดว่ายน้ำหรอกนะ นานาเสะพูดอ้อมแอ้ม 「นั่นก็ส่วนหนึ่ง…」
「คือ… ทะเล สระว่ายน้ำ… แค่คิดว่าไปที่แบบนั้นแล้วเครื่องสำอางหลุดล่ะก็… สู้ตายซะดีกว่าให้คนอื่นเห็นหน้าสดอ่ะ…」
「อ๋อ… เข้าใจแล้ว เหตุผลนี้นี่เอง」
ดูเหมือนนานาเสะจะหวาดกลัวขั้นสุดกับการที่คนอื่นรู้ว่าหน้าสดเธอเป็นยังไง ทั้งๆ ที่ผมว่าหน้าสดเธอก็ไม่ได้แย่นี่นา ผมว่ามีผู้ชายไม่น้อยเลยนะที่ชอบแบบนั้น อ๊ะ! ไม่ได้หมายความว่าผมเป็นแบบนั้นหรอกนะ
「เออใช่ นานาเสะ ปิดเทอมนี้มีแพลนอะไรหรือเปล่า? สุดท้ายก็เห็นอยู่กับพวกสุโด้ตลอด… ดูเหมือนจะไม่คืบหน้าเลยนะ」
เหมือนจะจี้ใจดำเข้า นานาเสะอุทาน 「อึ่ก!」 พลางยกมือกุมอก แล้วก้มหน้าคอตก
「ปิดเทอมเหรอ… ไม่มีแพลนอะไรเลยอ่ะ คงกลับบ้านช่วงโอบ้งแค่นั้น」
「อืม… งี้นี่เอง」
「แต่ว่านะ! ฉันมีสิ่งที่อยากทำในหน้าร้อนนี้ล่ะ! ฉันจะไปกินทรอปิคอลพาร์เฟต์ที่เป็นเมนูพิเศษช่วงหน้าร้อน ที่ร้านคาเฟ่ใกล้ๆ หอน่ะ!」
เป้าหมายที่เธอประกาศออกมาอย่างภาคภูมิใจนั้น มันช่างเล็กน้อยกว่าที่คิดไว้จนผมแอบหมดแรง
「เรื่องแค่นี้ ไปตอนนี้ยังทันเลย…」
「กะ…ก็ แต่ว่า… ฉันไม่กล้าพอจะสั่งพาร์เฟต์คนเดียวนี่นา」
พูดถึงตรงนี้นานาเสะก็ชะงักไป ก่อนจะตาเป็นประกายแล้วร้องว่า 「จริงสิ!」 ผมรู้สึกถึงลางสังหรณ์ไม่ดี
「ซางาระคุง! ไปกินพาร์เฟต์ด้วยกันตอนนี้เลย!」
「…คิดไว้ไม่ผิด」
「ทำไมต้องเป็นฉันล่ะ…」
「ขอร้องล่ะ! การกินทรอปิคอลพาร์เฟต์คือก้าวแรกชีวิตมหา’ลัยที่สดใส!」 นานาเสะยกมือไหว้ตรงหน้า อ้อนวอนอย่างสุดชีวิต เหมือนกำลังจะจนมุมด้วยเหตุผลแปลกๆ ถ้าโดนตอกกลับว่า 「ก็สัญญาแล้วนี่ว่าจะช่วย」 ผมก็คงปฏิเสธไม่ได้
「คือ… ฉันมีกะทำงานพิเศษตอนกลางคืน… เดี๋ยวก็ต้องรีบกลับแล้วนะ」
นานาเสะร้อง 「เย้!」 แล้วครวญเพลงเพี้ยนๆ พลางขึ้นคร่อมจักรยาน ผมจำใจต้องวิ่งตามนานาเสะที่โบกผมหางม้าสะบัด พร้อมกับขี่จักรยานสีแดงออกไปอย่างรวดเร็ว
ที่หมายคือร้านคาเฟ่บรรยากาศสบายๆ ร้านดูไม่วุ่นวายเท่าร้านกาแฟเชนดัง แต่นักศึกษาก็เข้าได้แบบไม่ต้องเกร็ง เมื่อเปิดประตูไม้ที่ดูประณีต กระดิ่งก็ดังกรุ๊งกริ๊ง กลิ่นหอมของกาแฟโชยมาแตะจมูก
「ยินดีต้อนรับค่ะ! มากี่ท่านคะ」
คนที่ออกมาต้อนรับคือพนักงานสาววัยรุ่นที่ดูอายุมากกว่าพวกเราเล็กน้อย นานาเสะตอบกลับด้วยสีหน้าค่อนข้างประหม่าว่า 「สองคนค่ะ」 พวกเรานั่งตรงข้ามกันที่โต๊ะริมหน้าต่างซึ่งพนักงานคนนั้นพาไป โซฟานุ่มนิ่มจนรู้สึกว่าอยู่ที่นี่ทั้งวันก็ยังได้
「นี่ คนเมื่อกี้ สวยเนอะ」
นานาเสะพูดขึ้นมาด้วยท่าทางเคลิบเคลิ้ม ดูเหมือนจะหมายถึงพนักงานสาวคนเมื่อครู่นี้ ผมหันกลับไปมองเพื่อความแน่ใจ เธอก็เป็นคนสวยจริงๆ ด้วย ไฝตรงหางตาคือจุดเด่น แถมมีเสน่ห์แบบบอกไม่ถูก ดูเป็นคนไม่ยอมใคร และมีบรรยากาศคล้ายกับสุโด้ ผมว่านานาเสะสวยกว่า แต่ก็นะ เรื่องแบบนี้มันก็แล้วแต่คนชอบล่ะ
「ร้านคาเฟ่นี้ฉันมานั่งทำการบ้านบ่อยๆ น่ะ เงียบสงบ แถมตกแต่งสวย เป็นร้านโปรดของฉันเลย」
ฉันกางเมนูที่นานาเสะยื่นให้ กาแฟแก้วละตั้ง 600 เยน สำหรับคนที่ปกติกินแต่กาแฟซองกระดาษราคาถูกอย่างผม ราคานี้ถือว่าแพงหูฉี่
「นี่ไง! ทรอปิคอลพาร์เฟต์เฉพาะช่วงหน้าร้อนล่ะー」
นานาเสะชี้ไปที่รูปพาร์เฟต์ พอเห็นราคาผมก็อุทานออกมา 「หือ」
「แพงไป ใครเขาจะจ่ายราคานั้นให้แค่พาร์เฟต์กัน ฉันเอากาแฟก็พอ」
พอเห็นนานาเสะทำหน้าผิดหวังหลังจากที่ผมพูดออกไป ผมก็รู้สึกเสียใจขึ้นมาทันที ดูเหมือนผมจะเผลอขัดความสุขที่เธอตั้งตารอคอยพาร์เฟต์มานาน
「ถ้างั้น… ฉันสั่งพาร์เฟต์นะ ขอโทษนะคะ ขอสั่งอาหารหน่อยค่ะ」
นานาเสะยิ้มแห้งๆ แล้วเรียกพนักงาน ผมที่ไม่รู้จะแก้ตัวยังไงได้แต่ยกน้ำเปล่าขึ้นดื่มเงียบๆ
สักพัก กาแฟที่ผมสั่งกับทรอปิคอลพาร์เฟต์ของนานาเสะก็มาเสิร์ฟ ผลไม้สีสันสดใสถูกจัดวางอย่างพูนจาน อัดแน่นแบบไม่กลัวขาดทุน 「ว้าว น่ารักจัง!」
นานาเสะร้องออกมาอย่างตื่นเต้น ผมเองก็คิดว่ามันดูน่ากิน แต่ไม่ค่อยเข้าใจว่าทำไมถึงต้องชมอาหารว่า “น่ารัก” ด้วย ผู้หญิงนี่ก็เป็นสิ่งมีชีวิตที่เข้าใจยากจริงๆ
นานาเสะถ่ายรูปก่อนจะค่อยๆ ใช้ช้อนตักพาร์เฟต์ที่ดูเหมือนจะกินยาก 「อืม อร่อยมาก!」
นานาเสะพูดพร้อมกับยิ้มอย่างมีความสุข หลังจากได้ใช้เวลาร่วมกันมาพักใหญ่ ผมก็สังเกตว่านานาเสะเป็นคนที่แสดงความรู้สึกออกมาตรงๆ ดีใจ สนุก หรือความรู้สึกด้านบวกอื่นๆ เธอมักจะแสดงออกมาอย่างไม่ปิดบัง ผมว่าจุดนี้แหละที่ทำให้เธอดูไม่น่าเบื่อ
「ฉันน่ะ เล็งพาร์เฟต์ร้านนี้มานานแล้ว แต่ไม่ค่อยกล้าสั่งคนเดียว แฮะๆ ในที่สุดก็ได้กินแล้ว」
สำหรับเธอแล้ว พาร์เฟต์ถ้วยนี้คงมีค่าเกินกว่า 1,500 เยน การให้คุณค่ากับสิ่งต่างๆ นั้นขึ้นอยู่กับแต่ละคน ผมไม่ควรพูดอะไรที่มันขัดคอออกไป
ผมยกกาแฟขึ้นจิบโดยไม่ใส่น้ำตาลหรือนม ได้รสชาติที่ลุ่มลึกต่างจากกาแฟสำเร็จรูป ไหนๆ ก็ราคาตั้ง 600 เยน ขอลิ้มรสให้คุ้มค่าหน่อยละกัน
ถึงจะเป็นวันธรรมดา แต่ร้านก็ค่อนข้างแน่น พนักงานในร้านต่างก็เดินกันขวักไขว่ นานาเสะชะงักมือ แล้วพึมพำออกมาขณะที่จ้องมองไปยังกระดาษรับสมัครพนักงานที่แปะอยู่บนผนัง
「ที่นี่ รับสมัครพนักงานพาร์ทไทม์ด้วยล่ะ…」
จริงสิ นานาเสะเคยบอกว่าไม่เคยทำงานพิเศษมาก่อน
สำหรับผม งานพิเศษเป็นเพียงวิธีการหาเงิน แต่สำหรับนักศึกษาหลายๆ คน มันไม่ใช่แค่นั้น การได้รู้จักผู้คนนอกรั้วมหาวิทยาลัยน่าจะเป็นเรื่องดีสำหรับนานาเสะที่ใฝ่ฝันจะมีชีวิตในรั้วมหาวิทยาลัยอันแสนสดใส
「ทำไมไม่ลองทำงานพิเศษดูล่ะ น่าจะดีออก」
นานาเสะตาโต 「เอ๊ะ?」 แล้วก้มหน้า ใช้ช้อนคนไอศกรีมในถ้วยพาร์เฟต์อย่างลังเล
「กะ…ก็ แต่… ที่นี่มีแต่คนดูดี ฉันไม่น่าจะเหมาะกับที่นี่…」
「เป้าหมายของเธอก็คือการได้สนิทกับคนพวกนั้นไม่ใช่เหรอ」
「อีกอย่าง ฉันไม่เคยทำงานพิเศษมาก่อน… งานบริการลูกค้า ฉันจะทำได้เหรอ」
「งานบริการลูกค้า จริงๆ แล้วมันก็ไม่ได้ยากอะไร สิ่งสำคัญคือต้องรู้จักฆ่าตัวตน」
ผมทำงานพิเศษที่ร้านสะดวกซื้อมาได้สองเดือนแล้ว ถึงจะไม่ค่อยมีมนุษยสัมพันธ์ แต่ก็ทำได้ดีเกินคาด ตอนแรกก็กังวลอยู่บ้าง แต่พอรู้จักฆ่าตัวตนเข้าหน่อย มันก็ไม่ได้ลำบากอะไร ลูกค้าที่ต้องการการปฏิสัมพันธ์มากเกินไปจากพนักงานร้านสะดวกซื้อนั้นมีไม่มากหรอก ถึงแม้ว่าคุณภาพการบริการของร้านสะดวกซื้อกับคาเฟ่จะต่างกันก็เถอะ
「ลอง… มาซ้อมกันหน่อยดีไหม」
นานาเสะกระแอมไอสองสามครั้ง แล้วยืดตัวตรง เธอจ้องมาที่ผมตรงๆ ก่อนจะยิ้มหวาน
「ยินดีต้อนรับค่า…!」
พอผมเงียบ นานาเสะก็ทำหน้าอายๆ แล้วพูดว่า 「ช่วยพูดอะไรหน่อยสิ…」 ผมสะดุ้ง เหมือนเพิ่งรู้สึกตัว เลยยกกาแฟขึ้นดื่มแก้เก้อ
「อืม… ก็ดีแล้วนี่」
「จะ… จริงเหรอ? ฉันจะทำได้จริงๆ เหรอ?」
「ฉันว่า… เธอเหมาะกับงานแบบนี้ออก นานาเสะทั้งสวย ความจำดี แล้วก็ยิ้มแย้ม น่าจะไปได้ดีกับทุกที่นั่นแหละ」
ที่สำคัญ ถ้าร้านนี้มีพนักงานแบบนี้คอยให้บริการ ลูกค้าหลายคนคงยอมจ่าย 600 เยนเพื่อนั่งดื่มกาแฟ คุณค่าของแต่ละสิ่ง ก็ขึ้นอยู่กับมุมมองของแต่ละคนนั่นแหละนะ นานาเสะก้มหน้าคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเงยหน้าขึ้นเหมือนตัดสินใจอะไรบางอย่างได้
「ซางาระคุง! ฉันจะลองสมัครงานพาร์ทไทม์ที่นี่ดู! ขอบคุณนะ ที่ช่วยเชียร์ ฉันให้พาร์เฟต์เป็นการตอบแทน อร่อยนะ」
พูดจบเธอก็ยื่นช้อนมาให้ผม ผมเผลอรับมา แล้วก็นึกขึ้นได้ว่า นี่มัน…จูบทางอ้อมชัดๆ หรือว่าผมคิดมากไปเอง? เฮ้อ… ช่างเถอะ ยังไงยัยนี่ก็คงไม่ได้คิดอะไรอยู่แล้ว
ผมเลยตัดใจตักเนื้อพีช ครีม แล้วก็ไอศกรีมเข้าปากคำโต ถึงมันจะอร่อย แต่ผมก็ไม่ค่อยรับรู้รสชาติเท่าไหร่
「นี่ อร่อยใช่ไหมล่ะ」
นานาเสะที่กำลังยิ้มแย้มส่งช้อนคืนให้ผม เธอทำหน้าเฉยๆ แล้วกินพาร์เฟต์ต่อ ส่วนผมก็ยกกาแฟขึ้นดื่มกลบเกลื่อนความเขิน รู้สึกว่าร่างกายมันร้อนวูบวาบขึ้นมาจนอดคิดไม่ได้ว่า รู้งี้สั่งกาแฟเย็นก็ดีหรอก
และแล้ว ไม่กี่วันต่อมา นานาเสะที่เพิ่งไปสัมภาษณ์งานพาร์ทไทม์เสร็จ ก็มาที่ห้องผม แล้วชูสองนิ้ว 「ผ่านแล้วล่ะ!」 ถ้าสิ่งนี้จะช่วยเปิดโลกของเธอให้กว้างขึ้น และได้เข้าใกล้ชีวิตในรั้วมหาวิทยาลัยอันแสนสดใส กาแฟราคา 600 เยนที่ผมจ่ายไป ก็ถือว่าคุ้มค่าแล้ว
******
กิองมัตสึริ คือเทศกาลที่เป็นสัญลักษณ์ประจำฤดูร้อนของเกียวโต พอเข้าเดือนกรกฎาคม ยามาโบโกะ (ซุ้มเกี้ยว) จะถูกตั้งเรียงรายอยู่ตามถนนชิโจและถนนคาราสุมะ ซึ่งเป็นใจกลางของเกียวโต พร้อมกับเสียงดนตรี “คอนจิกิชิน” จากเทศกาลกิองที่ดังกึกก้อง ในวันที่ 17 กรกฎาคม จะมีอีเวนต์ที่เรียกว่า ยามาโบโกะจุนโค ขบวนแห่ยามาโบโกะไปรอบๆ เมืองเกียวโต ส่วนตอนกลางคืนของวันที่ 24-30 กรกฎาคม จะถูกเรียกว่า โยอิยามะ มีร้านแผงลอยมากมายตั้งเรียงรายอยู่ตามถนนสายหลัก นักศึกษาเกียวโตที่พูดว่า “จะไปกิองมัตสึริ” ส่วนใหญ่มักจะหมายถึง โยอิยามะนี่แหละ
…ทั้งหมดนี้ ฉันได้ยินมาจาก สึกุมิจัง สาวเกียวโตแท้ๆ ผู้เกิดและเติบโตที่นี่ การใส่ชุดยูกาตะแล้วไปเดินงานกิองมัตสึริกับแฟน ดูเหมือนจะเป็นสเตตัสของสาวเกียวโต อาจจะเพราะเหตุนี้ พอใกล้ถึงช่วงเทศกาล จำนวนคู่รักแบบฉาบฉวยก็เลยเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
「แต่คนเยอะมาก ส่วนใหญ่ก็เลยทะเลาะแล้วเลิกกันตรงนั้นเลย」
ฉันดูดฟราเปชิโน่พลางพยักหน้าหงึกหงักกับคำอธิบายของสึกุมิจัง ก็ไม่รู้หรอกนะว่าเรื่องที่เธอเล่ามันจริงเท็จแค่ไหน บางทีนี่อาจจะเป็นอคติส่วนตัวของเธอก็ได้
วันอาทิตย์แรกของเดือนกรกฎาคม ถึงจะยังไม่มีประกาศสิ้นสุดฤดูฝนอย่างเป็นทางการ แต่แดดก็แรงจนแทบไหม้ อากาศดีสุดๆ ฉันถูกสึกุมิจังชวนมาซื้อของ ที่ชิโจคาวาระมาจิ ซึ่งเป็นย่านช้อปปิ้งในเกียวโต มีห้างสรรพสินค้าแฟชั่นสำหรับวัยรุ่น และตอนนี้ก็กำลังเริ่มพรีเซลล์สินค้าฤดูร้อน
ฉันตัดสินใจซื้อชุดเดรสที่ลดราคา 1 วันมา แต่ก็แอบเสียดายที่ไม่ได้ซื้อชุดเดรสที่อยากได้จริงๆ เพราะราคาไม่น่ารักเอาซะเลย แต่ยังไงการช็อปปิ้งก็สนุก ถ้ามีเงินมากกว่านี้ คงจะสนุกกว่านี้อีก
หลังช็อปปิ้งเสร็จ พวกเราก็แวะไปที่ร้านกาแฟริมสะพานซันโจ ฉันสั่งฟราเปชิโน่รสพีชที่เป็นเมนูพิเศษเฉพาะช่วง รสชาติสดชื่นอร่อยลงตัว แต่ราคาก็เอาเรื่องอยู่ ถ้าซางาระคุงรู้ราคา คงทำหน้าเอือมๆ แล้วพูดประมาณว่า 「แพงขนาดนี้ ไปกินข้าวที่โรงอาหาร แถมยังมีเงินทอน」 แน่ๆ แค่คิดก็ขำแล้ว
แต่ไม่ว่าซางาระคุงจะคิดยังไง สำหรับฉันแล้ว การได้ดื่มฟราเปชิโน่กับเพื่อน มันเป็นอะไรที่ประเมินค่าไม่ได้
แม่น้ำคาโมะที่ไหลผ่านนอกร้าน สะท้อนแสงแดดจ้าอย่างไม่ปรานีปราศรัย คู่รักที่นั่งเรียงรายเว้นระยะเท่าๆ กันตรงริมแม่น้ำ เป็นเหมือนสัญลักษณ์ของแม่น้ำคาโมะก็จริง แต่ในสภาพอากาศร้อนแทบละลายแบบนี้ แทนที่จะรู้สึกอิจฉา ฉันกลับคิดว่า 「ร้อนแย่เลย」 แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังมีบางคู่นั่งอิงแอบแนบชิดกันอยู่ จิตใจช่างแข็งแกร่งจริงๆ
「ฮารุจัง จะไปงานกิองมัตสึริเหรอ?」
「เอ่อ… ยังไม่มีแพลนอะไรเลย…」
พอฉันตอบไป สึกุมิจังก็พูดว่า 「งั้นเหรอ」 แล้วดูดฟราเปชิโน่ต่อ ถ้าจะให้พูดตามตรง ฉันเองก็อยากไปงานกิองมัตสึริเหมือนกัน
ที่ผ่านมา ฉันไม่เคยไปร่วมงานเทศกาลท้องถิ่นเลยสักครั้ง เวลาที่เพื่อนร่วมห้องคุยกันว่า 「ไปงานเทศกาลกันเถอะ!」 ฉันก็จะแสร้งทำเป็นไม่สนใจ ทั้งๆ ที่ความจริงแล้ว ฉันเองก็อยากใส่ชุดยูกาตะน่ารักๆ ไปถ่ายรูปกับเพื่อน กินแอปเปิ้ลเคลือบน้ำตาล สัมผัสบรรยากาศที่ต่างออกไปจากทุกวัน
ถ้าเป็น ซัจจัง ล่ะก็ ในสถานการณ์แบบนี้ เธอคงพูดอย่างสบายๆ ว่า 「ไปด้วยกันสิ」 สินะ ถึงจะเข้ามหาวิทยาลัยมาได้สามเดือนแล้ว แต่ฉันก็ยังไม่กล้าชวนเพื่อนไปเที่ยว แค่คิดว่าถ้าโดนปฏิเสธขึ้นมาจะทำยังไง ฉันก็กลัวจนไม่กล้าชวนแล้ว ขนาดวันนี้ สึกุมิจังยังเป็นฝ่ายชวนฉันมาซื้อของเลย
แต่ว่า ถ้าอยากจะมีชีวิตในรั้วมหาวิทยาลัยอันแสนสดใส ฉันอาจจะต้องเป็นฝ่ายชวนบ้างแล้ว ถ้าซางาระคุงอยู่ที่นี่ ก็คงจะบอกให้ฉันลองชวนดู
ฉันรวบรวมความกล้า แล้วเอ่ยปาก
「เอ่อ คือว่านะ สึกุมิจัง」
「อ๊ะ จริงสิ ซัจจังจะไปงานกิองมัตสึริกับฮิโรกิคุงหรือเปล่านะ รู้สึกว่าฮิโรกิคุงจะชวนซัจจังอยู่น่ะ」
ความกล้าที่รวบรวมมาถูกทำลายลง ฉันกลืนคำพูดที่กำลังจะเอ่ยออกไป แล้วดูดฟราเปชิโน่ที่แทบจะละลายหมดแล้ว พลางถามกลับ
「ทำไมถึงเป็น โฮวโจวคุงล่ะ?」
「ก็เหมือนว่า อีกไม่นานน่าจะคบกันแล้วล่ะ」
ฉันเผลออุทาน 「เอ๊ะ」 แล้วยกมือปิดปาก โฮวโจวคุงกับซัจจังเป็นเพื่อนสนิทกัน แต่ฉันนึกว่าไม่ได้มีอะไรเกินเลยซะอีก หรือว่า ฉันเป็นคนเดียวที่ไม่รู้เรื่องนี้?
พอเห็นฉันช็อค สึกุมิจังก็รีบพูดแก้ตัว
「อ๊ะ ฉันก็ไม่ได้ยินซัจจังพูดหรอกนะ แค่รู้สึกว่าสองคนนั้นดูเข้ากันดีน่ะ」
「งะ… งั้นเหรอ…」
ซัจจัง กับ โฮวโจวคุง จะคบกัน สองคนนั้นก็ดูเหมาะสมกันดี น่าจะกลายเป็นคู่รักที่วิเศษไปเลย แต่ทำไม ฉันถึงรู้สึกช็อคนิดๆ กันนะ ทั้งๆ ที่ควรจะยินดี แต่กลับรู้สึก…เหงา
ถ้าซัจจังไปงานกิองมัตสึริกับโฮวโจวคุง ฉันก็คงทำตัวเกะกะเปล่าๆ สึกุมิจังกับนามิจังเองก็มีแฟนแล้ว ฉันไม่ควรพูดอะไรออกไปจะดีกว่า
「นี่ๆ ฮารุจัง เมื่อกี้ฉันลืมดูชุดเดรสที่ตอนแรกว่าจะซื้อแล้วไม่ได้ซื้อน่ะ ขอกลับไปดูอีกรอบได้ไหม」
「อ๊ะ… ได้สิ! ฉันเองก็อยากไปดูเสื้อตัวนั้นอีกรอบเหมือนกัน!」
หลังจากนั้น ฉันกับสึกุมิจังก็กลับไปที่ห้างสรรพสินค้าอีกครั้ง แล้วสุดท้ายฉันก็ซื้อเสื้อตัวที่อยากได้ ถึงแม้ราคาจะไม่น่ารักเลยก็ตาม สงสัยฉันคงต้องเรียนแบบซางาระคุง ประหยัดให้มากขึ้น แล้วก็เพิ่มกะทำงานพิเศษด้วย
******
หลังจากเลิกงานพาร์ทไทม์จนถึงเย็น พอกลับมาถึงอพาร์ตเมนต์ ผมก็ต้องท้อแท้กับอากาศร้อนสุดๆ ภายในห้องที่ปิดหน้าต่างไว้ อบอวลไปด้วยความร้อนจากตอนกลางวัน ผมรีบเปิดหน้าต่าง แล้วกดสวิตช์พัดลม พัดลมเก่าๆ ส่งเสียงดังแปลกๆ “แกร่กๆๆ” ขณะที่มันเริ่มหมุน
พัดลมตัวนี้ ผมได้มาจากรุ่นพี่ที่ทำงานพิเศษ ถึงจะดูเก่าไปหน่อย แต่พี่เขาก็บอกว่า “มีก็ยังดีกว่าไม่มีนะ” ด้วยสีหน้าลำบากใจ ซึ่งผมก็ขอบคุณและรับมาใช้อย่างยินดี
ผมรู้สึกได้ถึงลมเอื่อยๆ ที่พัดมา แล้วก็ต้องก้มหน้าอย่างหมดแรง
ถึงอพาร์ตเมนต์ซอมซ่อที่ผมอยู่จะมีแอร์ติดตั้งไว้ก็เถอะ แต่ผมก็รู้ดีว่า ควรจะเปิดแอร์ได้แล้ว… แต่สำหรับผมที่ต้องใช้ชีวิตแบบยาจกขั้นสุดในทุกๆ วัน ค่าไฟเป็นอะไรที่ประมาทไม่ได้เลย ผมไม่ยอมให้เงินเดือนทั้งหมดปลิวไปกับค่าไฟหรอกนะ
ผมคิดว่าจะอดทนไปจนถึงเดือนสิงหาคม แต่แล้วเสียงอินเตอร์คอมก็ดังขึ้น ผมเลยจำใจลุกขึ้นไปเปิดประตู
「ซางาระคุง สวัสดีตอนเย็น… เอ๊ะ ไม่ได้เปิดแอร์เหรอ?」
ตามคาด คนที่ยืนอยู่ตรงนั้นคือ นานาเสะในสภาพหน้าสด อาจจะเพราะเข้าหน้าร้อนแล้ว พักหลังๆ มานี้ เธอเลยใส่เสื้อยืดแขนสั้นกับกางเกงขาสั้นแทนชุดวอร์ม ดูเหมือนชุดพละตอนสมัยม.ปลายเลย
「วันนี้อุณหภูมิสูงสุด 35 องศาเลยนะ… ฉันว่านายควรจะเปิดแอร์ได้แล้วนะ」 「เปลืองค่าไฟ」
「เดี๋ยวก็เป็นลมแดดหรอก… ซางาระคุง ลำบากเรื่องเงินเหรอ? เห็นทำงานพิเศษตลอดเลย」
「อืม… ไม่ได้เงินค่าขนมจากที่บ้าน… ค่าเช่าห้อง ค่าครองชีพ ต้องจ่ายเองหมด」
「เอ๊ะ อย่างนั้นเหรอ เก่งจัง」
「ไม่หรอก… ไม่ได้เก่งอะไร」
「อ๊ะ จะกิน นิกุจะกะ (มันฝรั่งต้มเนื้อ) ไหม? ฉันทำเยอะเกินไปน่ะ」
นานาเสะพูดพลางยื่นหม้อขนาดเล็กที่ถือมาให้ ผมกล่าวขอบคุณแล้วรับมา
จริงสิ อาหารญี่ปุ่น ไม่ได้กินมานานแค่ไหนแล้วนะ รู้สึกขอบคุณจริงๆ แต่ว่า ผมรู้สึกเหมือนได้รับความช่วยเหลือจากเธอมากเกินไปแล้ว ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไป ผมคงติดหนี้เธอมากเกินไปจนชดใช้ไม่ไหว
「เอ่อ… คือว่า เธอไม่จำเป็นต้องลำบากเอาอาหารมาให้ฉันก็ได้นะ…」
「ไม่เลย ฉันไม่ได้ลำบากอะไรเลย อีกอย่างนะ ซางาระคุง ถ้าปล่อยไว้ นายก็คงกินแต่อุด้งใช่ไหม? ฉันไม่อยากเห็นเพื่อนบ้านตัวเองต้องล้มป่วยเพราะขาดสารอาหารนะ」
ผมถึงกับพูดไม่ออก ก็จริงอย่างที่เธอพูด เมื่อวานผมก็กินอุด้งไปทั้งสามมื้อ บางทีผมควรจะหัดทำอาหารกินเองบ้าง เหมือนอย่างนานาเสะ
หลังจากที่ผมรับนิกุจะกะมาแล้ว นานาเสะก็ยังคงยืนอ้ำอึ้งอยู่ตรงนั้น ดูเหมือนเธออยากจะพูดอะไรบางอย่าง ผมเลยถามขึ้นว่า 「มีอะไร?」
「คือว่า… ซางาระคุง จะไปงานกิองมัตสึริไหม?」
「ไม่ไป」
ผมตอบกลับทันที ทั้งไม่ได้สนใจ และอีกอย่างผมก็มีกะทำงานพิเศษด้วย
ดูเหมือนว่างานกิองมัตสึริจะเป็นงานใหญ่สำหรับคนเกียวโต พอเข้าเดือนกรกฎาคม
ผมยืนเหงื่อท่วมอยู่ตรงแผงลอยที่ตั้งอยู่หน้า ร้านสะดวกซื้อ ตรงถนนคาราสุมะที่ปกติรถวิ่งกันขวักไขว่ ตอนนี้กลายเป็นถนนคนเดิน ท่ามกลางเสียงดนตรีกิองบาโยชิ มีเสียงของเด็กผู้หญิงตะโกนว่า 「จิมากิ เชิญทางนี้ค่า」 โยอิยามะของงานกิองมัตสึรินั้น คนเยอะกว่าที่คิดไว้ถึงสามเท่า ฝูงชนแออัดยัดเยียดกันอยู่ระหว่างทางเดินกับแผงลอย แค่จะเดินยังลำบากเลย แค่คิดก็หายใจไม่ออกแล้ว ดูเหมือนว่างานกิองมัตสึริจะเป็นงานใหญ่สำหรับคนเกียวโต พอเข้าเดือนกรกฎาคม ไม่ว่าจะเป็นห้างสรรพสินค้า ซูเปอร์มาร์เก็ต หรือแม้แต่ร้านสะดวกซื้อ ต่างก็ตกอยู่ในบรรยากาศของงานกิองมัตสึริ ตอนแรกผมก็คิดว่ามันก็ดูมีเอกลักษณ์ดี แต่พอได้ยินทุกวันเข้า ก็เริ่มจะเอียน
ผมเป็นคนนาโกย่า ไม่เคยไปงานกิองมัตสึริ เคยเห็นแค่ในข่าว รู้แค่ว่าคนเยอะมาก ตอนนั้นผมมองภาพคนเยอะเหมือนปลากระป๋อง แล้วคิดว่า “ใครมันจะอยากไปที่แบบนี้” ขนาดเทศกาลท้องถิ่น ผมยังไม่ได้ไปมาตั้งแต่สมัยประถมแล้ว
「ฉันน่ะ อยากลองไปงานกิองมัตสึริสักครั้ง…」
「อืม ก็ไปสิ」
「ซางาระคุง ไปด้วยกันไหม?」
ผมเกือบทำหม้อเนื้อตุ๋นหลุดมือ รีบวางมันลงบนเตาอย่างรวดเร็ว
「หะ… หา? ทะ… ทำไมล่ะ」
ถึงจะไม่เข้าใจ แต่ผู้ชายกับผู้หญิงไปงานเทศกาลฤดูร้อนด้วยกัน มันก็ต้องมีความหมายแฝงต่างจากการไปกินข้าวที่ร้านอาหารตามสั่งหรือร้านคาเฟ่ด้วยกันสองต่อสองอยู่แล้ว เธอชวนผมนี่ คิดอะไรอยู่กันแน่
「ก็ไหนบอกว่าจะช่วยให้ชีวิตในรั้วมหาวิทยาลัยของฉันสดใสไง…」
นานาเสะทำหน้าเหมือนเด็กโดนขัดใจ แก้มป่องลม ผมล่ะเอือมกับคำนี้จริงๆ
「นี่ ฉันไปกับเธอ มันก็ไม่ช่วยให้สดใสขึ้นมาหรอก ชวนสุโด้สิ」
ถึงผมจะไม่อยากไปสุดๆ แต่เด็กมหาลัยฯ ที่นานาเสะใฝ่ฝัน คงจะไปงานกิองมัตสึริกับเพื่อนฝูงหรือแฟน ถ้าไม่มีแฟนไปด้วย ก็ชวนพวกสุโด้ไปสิ
แต่นานาเสะกลับทำหน้าเศร้าแล้วพูดว่า
「แต่ว่า ซัจจังอาจจะไปกับโฮวโจวคุง… คงจะเกะกะเปล่าๆ」
「เธอได้ยินเขาพูดเองเลยเหรอ?」
นานาเสะส่ายหน้าเบาๆ 「เปล่า…」
「งั้นก็ถามเจ้าตัวไปตรงๆ สิ?」
นานาเสะก้มหน้า แล้วตอบเสียงแผ่วเบา
「ฉัน… ไม่ค่อยกล้าชวนเพื่อนไปเที่ยว…」
แต่ตอนที่ชวนผมไปกินข้าวกลางวัน ก็ดูรุกเร้าพอสมควรเลยนะ แต่ว่านั่นคงเป็นเพราะเธอรู้ว่าผมรู้ตัวตนที่แท้จริงของเธอ นานาเสะคงจะกลัวที่จะถูกพวกสุโด้ปฏิเสธ เธอกลัวการกลับไปเป็นเด็กที่ไม่มีเพื่อน กลัวการอยู่คนเดียว ซึ่งต่างกับผมที่ชอบอยู่คนเดียว
「นี่นานาเสะ เธอลองทำตัวกับคนอื่นๆ เหมือนที่ทำกับฉันก็ได้นะ กับฉันน่ะ เธอไม่เห็นต้องเกรงใจ รุกเข้าใส่เต็มที่เลย」
「ระ… รุกเหรอ? ขะ… ขอโทษนะ… ซางาระคุง ลำบากใจเหรอ?」
「ฉะ… ฉันไม่เป็นไร ช่างเถอะ」
ทั้งๆ ที่ไม่เคยมีเพื่อนมาก่อน แต่นานาเสะเป็นคนสดใส จริงใจ และพยายามสุดๆ ผมคิดว่าคนส่วนใหญ่คงไม่รู้สึกแย่ ถ้าถูกคนแบบนี้ชวนไปไหน
「ไม่มีใครคิดว่าเธอลำบากใจหรอก ถ้าถูกเธอชวนน่ะ」
「จริงเหรอ?… จะดีเหรอ?」
ผมเลยเสริมไปว่า 「น่าจะนะ」 นานาเสะยิ้มบางๆ แล้วพูดว่า 「พูดเหมือนไม่ค่อยมั่นใจเลยนะ」
「แต่… อืม จริงด้วย ลองไม่คิดมาก แล้วชวนดู!」
นานาเสะพูด แล้วหยิบสมาร์ทโฟนออกมาจากกระเป๋ากางเกงขาสั้น เธอเลื่อนนิ้วไปมา สูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วกดส่งข้อความพร้อมกับตะโกนว่า 「เอาล่ะ!」
ผมแอบดูที่หน้าจอ เห็นข้อความว่า 「อยากไปงานกิองกับทุกคน!」 ดูเหมือนเธอจะส่งข้อความไปในกลุ่มแชทของเพื่อนๆ
แล้วข้อความก็เด้งมาแทบจะทันที
「ไป—-! ไปด้วยกันนะ!」
จากสุโด้ ตามด้วยสติกเกอร์รูปแพนด้ากอดหัวใจ
ดวงตาของนานาเสะที่เงยหน้าขึ้นมาเป็นประกายวิบวับ ผิดกับเมื่อกี้อย่างกับคนละคน
「ซะ… ซางาระคุง! ซัจจังบอกว่า “ไปงานกิองด้วยกันเถอะ”! ดีใจจัง! ขอบคุณซางาระคุงนะ ฉันเลยกล้าชวน!」
นานาเสะพูดไปพลางจับมือทั้งสองข้างของผมแล้วเขย่าอย่างแรง สัมผัสนุ่มนิ่มของมือเธอทำเอาหัวใจผมเต้นแรง เธอยังคงจับมือผมที่แข็งทื่อเขย่าไปมา ถึงมือเธอจะเล็กกว่าผม แต่แรงเยอะจนน่าตกใจ
「ขอบคุณนะ ซางาระคุง!」
「อะ… เอ่อ ฉัน… ไม่ได้ทำอะไรสักหน่อย ปะ… ปล่อยมือได้แล้ว」
กว่าจะแกะมือนานาเสะออกได้ หัวใจผมก็ค่อยๆ เต้นช้าลง
ยัยนี่ กะระยะห่างไม่เป็นจริงๆ ด้วย ปกติแล้ว อยู่ๆ จะไปจับมือผู้ชายได้ยังไง? หรือเพราะไม่เคยมีเพื่อนมาก่อน เลยไม่รู้วิธีรักษาระยะห่างกับคนอื่น?
นานาเสะที่กำลังดูหน้าจอสมาร์ทโฟน ดูเหมือนจะไม่รู้ตัวเลยว่าผมกำลังสับสน เธอร้องออกมาอย่างตื่นเต้น 「อ๊ะ! สึกุมิจังกับนามิจังก็ไปด้วยกันได้!」
「อ๊ะ ดีใจจัง ใส่ชุดยูกาตะแบบไหนดีน้า」
คำว่า ยูกาตะ ทำให้ผมสะดุ้ง เผลอถามออกไป
「จะ… ใส่ชุดยูกาตะเหรอ?」
「เอ๊ะ? อืม ฉันยังไม่มีเลย ต้องไปซื้อแล้วล่ะ」
ผมเผลอจินตนาการถึงนานาเสะในชุดยูกาตะ นานาเสะสังเกตเห็นผมที่กำลังเหม่อ เลยถามขึ้นอย่างสงสัย
「นี่ หรือว่าซางาระคุง… ชอบชุดยูกาตะเหรอ?」
「ปะ… เปล่า」
ผมรีบตอบ แต่นานาเสะกลับพยักหน้า 「อ๋อ อย่างนี้นี่เอง」 ด้วยสีหน้าเหมือนรู้ทัน
******
แถวๆ ชิโจ ชินมาจิ ที่เป็นศูนย์กลางของงานกิองมัตสึริ มีร้านสะดวกซื้อที่เป็นเชนเดียวกับร้านที่ผมทำงานพิเศษอยู่ ปกติแล้วผมจะทำงานที่ร้านอื่นซึ่งอยู่ห่างออกไป แต่วันนี้ผมถูกเรียกตัวมาช่วยงาน
「ถือว่าได้สัมผัสบรรยากาศงานกิองมัตสึริไปด้วย ดีจะตาย ซางาระคุง สู้ๆ นะ!」
ผู้จัดการพูดแบบนั้นตอนส่งผมออกมา แต่บอกตรงๆ ว่าผมไม่ได้รู้สึกสนุกเลยสักนิด
โยอิยามะของงานกิองมัตสึรินั้น คนเยอะกว่าที่คิดไว้ถึงสามเท่า ฝูงชนแออัดยัดเยียดกันอยู่ระหว่างทางเดินกับแผงลอย แค่จะเดินยังลำบากเลย แค่คิดก็หายใจไม่ออกแล้ว ท่ามกลางเสียงดนตรีกิองบาโยชิ มีเสียงของเด็กผู้หญิงตะโกนว่า 「จิมากิ เชิญทางนี้ค่า」
ถนนคาราสุมะที่ปกติรถวิ่งกันขวักไขว่ ตอนนี้กลายเป็นถนนคนเดิน ผมยืนเหงื่อท่วมอยู่ตรงแผงลอยที่ตั้งอยู่หน้าร้านสะดวกซื้อ แผงลอยขายของทอดและเครื่องดื่มบรรจุขวด ซึ่งตั้งราคาแพงกว่าปกติหลายเท่า เป็นการค้ากำไรเกินควรที่อาศัยช่วงเทศกาลกิอง
แต่ยังไงก็ ร้อนจริงๆ ยืนมาไม่ถึงชั่วโมง ผมก็เริ่มคิดถึงแอร์เย็นๆ ในร้านแล้ว ทั้งๆ ที่อยู่ห้องตัวเองยังทนไม่เปิดแอร์ได้ แต่กลับต้องมาทนร้อนตอนทำงานพิเศษ แย่ชะมัด
「ขอโทษค่ะ ขออันนี้ค่ะ」
ตอนนั้นเอง ผู้หญิงที่ใส่ชุดยูกาตะสีแดงก็เดินมาซื้อเครื่องดื่ม
ผมรับเงินหนึ่งพันเยนมา แล้วยื่นขวดน้ำพร้อมกับเงินทอนให้ 「ขอบคุณครับ」 ผมก้มหัว พูดขอบคุณลูกค้าตามมารยาท
ผู้หญิงคนนั้นยิ้ม แล้วเดินกลับไปยังกลุ่มเพื่อนที่น่าจะมาด้วยกัน ผมมองตามแผ่นหลังในชุดยูกาตะ พร้อมกับคิดในใจว่า ก็ดูดีเหมือนกันนะ
ถึงจะพูดกับนานาเสะไปแบบนั้น แต่จริงๆ แล้วผมค่อนข้างชอบชุดยูกาตะ ถึงจะไม่ได้โชว์เนื้อหนังอะไรมาก แต่ก็ดูมีเสน่ห์อย่างบอกไม่ถูก ผมคิดว่าผู้หญิงที่ใส่ชุดยูกาตะจะดูดีขึ้น 30%
ผมไม่ชอบเข้าไปเบียดเสียดกับฝูงชน ไม่คิดจะเสียเงินไปกับของแพงๆ จากร้านแผงลอย และค่อนข้างเอียนกับเสียงดนตรีกิองบาโยชิที่ได้ยินอยู่ทุกที่ แต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธเทศกาลกิองมัตสึริ การได้เห็นผู้หญิงในชุดยูกาตะจำนวนมาก ก็ถือเป็นเรื่องดี
ตอนนี้ก็สามทุ่มครึ่งแล้ว ป่านนี้นานาเสะเองก็คงใส่ชุดยูกาตะเดินเล่นอยู่ที่ไหนสักแห่ง
「ตั้งตารองานกิองจังเลย โฮวโจวคุงกับคินามิคุงก็จะไปด้วยนะ」
เมื่อวานตอนเจอกันที่มหาลัย นานาเสะพูดแบบนั้น คินามิดูเหมือนจะชอบนานาเสะอยู่ ตอนนี้คงกำลังตื่นเต้นดีใจที่ได้เห็นนานาเสะในชุดยูกาตะ ผมรู้สึกหงุดหงิด อิจฉา และไม่พอใจอย่างบอกไม่ถูก
ตอนนั้นเอง สมาร์ทโฟนในกระเป๋าก็สั่น ผมแอบดูหน้าจอ เห็นข้อความ LINE เด้งมา จากโฮวโจว「เหนื่อยหน่อยนะ」「เดี๋ยวแบ่งรูปนานาเสะในชุดยูกาตะให้ดูนะ!」
ตามด้วยข้อความ 「รูปภาพได้ถูกส่งแล้ว」 เขาคิดอะไรกันนะ ส่งรูปมาแบบนี้ คิดว่าผมจะดีใจหรือไง ถ้าคิดแบบนั้น ก็เข้าใจผิดถนัด
แต่ผมก็เผลอเปิดแอพ LINE ขึ้นมา เหมือนมีอะไรบางอย่างดลใจ ไม่ใช่ว่าสนใจอะไรหรอกนะ แต่ในเมื่อส่งมาแล้ว ก็ต้องเช็คให้แน่ใจ
ผมเปิดห้องแชทของโฮวโจว แต่รูปนานาเสะในชุดยูกาตะที่ควรจะปรากฏอยู่ใต้ข้อความ กลับไม่ขึ้น ผ่านไปนานแค่ไหน มันก็ยังคงหมุนโหลดอยู่อย่างนั้น
…พยายามหน่อยสิ มือถือฉัน!
ดูเหมือนว่าคนจะเยอะเกินไป สัญญาณเลยแย่มาก อีกอย่าง ผมใช้ซิมราคาประหยัด ความเร็วเน็ตก็ช้าอยู่แล้ว แถมมือถือก็ยังเป็นรุ่นเก่าหลายปีแล้วด้วย ให้ตายสิ สงสัยต้องเปลี่ยนมือถือใหม่แล้วมั้ง…
ผมก้มหน้าอย่างผิดหวัง ตอนนั้นเอง ก็มีคนมาแตะที่หลังผมเบาๆ 「ซางาระคุง ทำงานเหนื่อยหน่อยนะ」
「อ๊ะ คุณอิโตคาวะ เหนื่อยหน่อยนะครับ」
รุ่นพี่ที่ทำงานพิเศษ อิโตคาวะ คาซึฮะ เธอกำลังเรียนอยู่คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยเดียวกับผม เป็นรุ่นพี่ปี 3 ที่อายุมากกว่าผมสองปี เธอเป็นคนสวย ร่าเริง ใจดี และดูแลเอาใจใส่คนอื่นดี ปกติแล้วเธอจะทำงานอยู่ที่ร้านเดียวกับผม แต่ดูเหมือนวันนี้จะถูกเรียกมาช่วยงานที่นี่เหมือนกัน
「ไปพักสักชั่วโมงเถอะ อากาศร้อน อย่าลืมดื่มน้ำด้วยล่ะ」
วันนี้ต้องทำงานยาวถึงแปดชั่วโมง เลยมีเวลาพักให้หนึ่งชั่วโมง ผมถอนหายใจอย่างโล่งอก ในที่สุดก็จะได้หนีจากความร้อนสักที
「ว่าแต่ซางาระคุง ไม่ได้เป็นคนเกียวโตใช่ไหม? ไม่ไปสนุกกับงานกิองเหรอ?」
「อ่า… ไม่ดีกว่าครับ」
แค่เห็นคนเยอะขนาดนี้ ผมก็เอียนแล้ว ตอนนั้นเอง ผมตอบกลับไปว่าจะขอพักในห้องเก็บของหลังร้าน
สายตาของผม ก็เหลือบไปเห็นแผ่นหลังของผู้หญิงคนหนึ่งในชุดยูกาตะ
ถึงจะไม่เห็นหน้า แต่ผมคิดว่า ต้องสวยแน่ๆ ที่สำคัญคือ ท่วงท่าสง่างาม ชุดยูกาตะสีกรมท่าลายดอกอาซากาโอะ (ดอกผักบุ้ง) สีขาว โอบิสีแดงถูกมัดเป็นโบว์สวยงามตรงบั้นเอว ผมสีน้ำตาลถูกเกล้าขึ้น ปอยผมด้านหลังดัดเป็นลอนอ่อนๆ ลำคอขาวผ่องอย่างน่าตกตะลึง
ผมเหม่อมองเธอโดยไม่รู้ตัว ผู้หญิงคนนั้นค่อยๆ หันมา เมื่อสบตากัน เธอก็ยกมือขึ้นปิดริมฝีปากสีแดง แล้วยิ้ม
คนที่ยืนอยู่ตรงนั้น คือสาวสวยที่ไม่ทำให้ผิดหวัง สวยมากจริงๆ
「อ๊ะ ซางาระคุง!」
พอถูกเรียกชื่อ ผมก็รู้สึกตัว เธอยิ้มกว้าง โบกมือให้
「ตกใจหมดเลย มาทำอะไรที่นี่เหรอ?」
สาวสวยในชุดยูกาตะก็คือ นานาเสะ นั่นเอง เธอวิ่งมาหาผม พร้อมกับเสียงเกี๊ยะดัง “เกาะๆ” พอนานาเสะเอียงคอ ดอกไม้ที่ประดับบนผมก็ไหวไปมา
「อะ… เอ่อ ทำงานพิเศษน่ะ」
กว่าจะตอบออกไปได้ก็ลำบาก ผมรู้สึกคอแห้ง เลยต้องกลืนน้ำลาย แล้วเธอล่ะ มาทำอะไรคนเดียว
รอบตัวเธอไม่เห็นมีสุโด้หรือโฮวโจวอยู่เลย นานาเสะยิ้มเจื่อนๆ
「คือว่า ฉันพลัดหลงกับพวกเขาน่ะ เมื่อกี้เพิ่งติดต่อกันได้ กำลังจะไปเจอกัน เห็นว่าอยู่แถวๆ… เอ่อ… โจคุบัง? แถวๆ นั้นน่ะ」
「อ๋อ อย่างนั้นเหรอ…」
「อะไรกันๆ? สาวสวยที่ไหนเนี่ย หรือว่าจะเป็นแฟนของซางาระคุง?」
ตอนนั้นเอง คุณอิโตคาวะก็พูดแซวขึ้นมา พร้อมกับใช้ศอกสะกิดผมเบาๆ ผมรีบปฏิเสธ 「มะ ไม่ใช่ครับ」
「ฉันเป็นเพื่อนร่วมคลาสกับซางาระคุงค่ะ」
นานาเสะตอบกลับอย่างสุภาพ ไม่ได้มีท่าทีโกรธเคือง คุณอิโตคาวะยิ้มมีเลศนัย เหมือนจะตีความความสัมพันธ์ของเราไปอีกแบบ
「ซางาระคุง ตอนนี้กำลังจะพักพอดี ไหนๆ ก็ไหนๆ ลองไปเดินเที่ยวงานด้วยกันสิ」
「จริงเหรอ? ถ้าไม่รังเกียจ ไปด้วยกันสักหน่อยนะ!」
นานาเสะพูดอย่างดีใจ พร้อมกับยกมือไหว้ตรงหน้าอก
ล้อเล่นหรือเปล่า ถ้าเกิดมีใครเห็นผมเดินอยู่กับนานาเสะในชุดยูกาตะ คราวนี้ได้เข้าใจผิดกันไปใหญ่แน่ๆ
ระหว่างที่กำลังจะปฏิเสธว่า “ไม่ไป” คุณอิโตคาวะก็พูดขึ้น
「อีกอย่างนะ ถ้าปล่อยให้สาวน้อยน่ารักแบบนี้เดินคนเดียว เดี๋ยวก็โดนจีบหรอก อันตรายนะ อย่าประมาทงานกิองเชียว」
「อือ…」
นั่นสินะ ก็จริงอย่างที่เธอพูด ตอนนี้มีผู้ชายสองคนยืนอยู่ไม่ไกล คอยชำเลืองมองนานาเสะอยู่เรื่อยๆ … ดูท่าว่าผมคงจะยังไม่ได้พักในที่เย็นๆ สบายๆ
「ฉันมีเวลาพักหนึ่งชั่วโมง แค่เดินไปส่งเธอที่กลุ่มของสุโด้ แล้วก็เดินกลับ แค่นั้นนะ」
นานาเสะทำหน้าดีใจ แล้วตอบกลับอย่างร่าเริง 「อื้ม!」 ผมตัดสินใจ แล้วก้าวเข้าไปในฝูงชนพร้อมกับนานาเสะ
ไม่ว่าจะมองไปทางไหนก็มีแต่คน คน และคน กำแพงมนุษย์ขวางกั้น แค่จะเดินตรงๆ ยังลำบาก ทั้งๆ ที่อากาศก็ร้อนอบอ้าวอยู่แล้ว ยังต้องมาหายใจไม่ออกจากไอความร้อนของผู้คน
จากถนนชินมาจิตรงหน้าร้านสะดวกซื้อ ไปยังจุดที่พวกสุโด้อยู่ ปกติแล้วใช้เวลาไม่ถึง 10 นาที แต่ในสภาพที่คนเยอะขนาดนี้ คงยากที่จะเดินไปได้ตามใจคิด
ผมรู้สึกได้ว่านานาเสะที่เดินตามหลังมาครึ่งก้าว กำลังจับชายเสื้อยืดของผมอยู่ หัวใจผมเต้นแรงขึ้นมาแวบหนึ่ง พอหันกลับไป เธอก็มองมาด้วยสีหน้าเหมือนจะขอโทษ
「ขอโทษนะ กลัวว่าจะพลัดหลงกันอีก…」
「อืม… ไม่เป็นไร」
แก้มนานาเสะแดงก่ำ อาจจะเพราะอากาศร้อน ริมฝีปากเผยอขึ้นเล็กน้อย หายใจหอบ ดูแล้ว ผมเริ่มรู้สึก… แปลกๆ
เหมือนนานาเสะจะรู้ตัวว่าผมกำลังมองอยู่ เธอเลยเริ่มเขี่ยผมหน้าม้าอย่างประหม่า
「ฉะ… ฉันดูโอเคไหม? เครื่องสำอางไม่เยิ้มใช่ไหม? ขนตายังติดดีอยู่ใช่ไหม?」
「ก็… เหมือนทุกทีน่ะแหละ」
ผมตอบ เหมือนจะย้ำกับตัวเอง นานาเสะถอนหายใจอย่างโล่งอก แล้วพูดว่า 「ค่อยยังชั่ว」
「แต่คนเยอะขนาดนี้ ไม่คิดมาก่อนเลยนะเนี่ย… อ๊ะ! ฉันอยากลองกินแอปเปิ้ลเคลือบน้ำตาลมานานแล้ว! ซางาระคุง ขอฉันซื้อหน่อยได้ไหม?」
นานาเสะร้องออกมาอย่างตื่นเต้น แล้วดึงชายเสื้อผม ผมเลยจำใจเดินตามเธอไปยังแผงขายแอปเปิ้ลเคลือบน้ำตาล
「เอาอันหนึ่งค่ะ」
「ขอบคุณนะ」
แอปเปิ้ลเคลือบน้ำตาลเสียบไม้ ราคาตั้ง 500 เยน ผมคิดในใจว่า นี่มันราคาขูดเลือดชัดๆ แต่พอเห็นนานาเสะรับแอปเปิ้ลเคลือบน้ำตาลมาด้วยแววตาเป็นประกาย ผมก็เลยเลือกที่จะไม่พูดอะไรออกไป
มองไปไกลๆ เห็นยามาโบโกะ (ซุ้มเกี้ยว) ขนาดใหญ่ตั้งตระหง่านอยู่ ยามค่ำคืนที่อาบไปด้วยแสงไฟจากงานเทศกาล ทำให้รู้สึกเหมือนหลุดเข้าไปในอีกโลกหนึ่ง ผู้หญิงที่เดินอยู่ข้างๆ ยังคงจับชายเสื้อเชิ้ตของผมอยู่ แค่เพียงเท่านั้น ทำไมผมถึงได้รู้สึกประหม่าขนาดนี้ อาจเป็นเพราะเธอแต่งตัวต่างไปจากทุกที
「เพิ่งได้กินแอปเปิ้ลเคลือบน้ำตาลครั้งแรก ฉันคิดมาตลอดว่ามันดูสวยดี… แต่รสชาติเป็นแบบนี้นี่เอง」 นานาเสะพึมพำ น้ำเสียงแผ่วเบาจนแทบจะถูกกลืนหายไปกับเสียงอึกทึกของงานเทศกาล
「ฉันน่ะ ไม่เคยไปงานเทศกาลฤดูร้อนเลย แม้แต่งานแถวบ้าน ก็ไม่เคยไป เพราะว่าไม่มีเพื่อน」
「เหรอ…」
「พอได้ใส่ชุดยูกาตะ แล้วมางานเทศกาลกับเพื่อนแบบนี้ ดีใจจัง ฉันคิดถูกจริงๆ ที่พยายาม ขอบคุณนะ ซางาระคุง」
ผมไม่ได้พูดอะไร และคิดว่านานาเสะเองก็คงไม่ได้ต้องการคำตอบอะไร
พอเธอจัดการแอปเปิ้ลเคลือบน้ำตาลเสร็จ พวกเราก็มาถึงโจคุบัง ผู้หญิงที่ใส่ชุดยูกาตะสีฟ้าอ่อนโบกมือหยอยๆ น่าจะเป็นสุโด้ข้างๆ กันนั้นคือโฮวโจว ดูเหมือนจะเจอกันแล้ว ค่อยยังชั่ว เท่านี้หน้าที่ของผมก็เสร็จสิ้น
「งั้น ฉันกลับไปทำงานก่อนนะ ไปล่ะ」
「อ๊ะ ซางาระคุง… เดี๋ยวก่อน รอแป๊บนึง」
「อะไรอีกล่ะ」
「เอ่อ คือว่า คือ… ฉะ… ฉัน…」
ตอนนั้นเอง ที่นานาเสะกำลังจะพูดอะไรบางอย่าง
「นานาเสะ! ในที่สุดก็เจอ!」
เสียงผู้ชายดังขึ้นจากที่ห่างออกไปเล็กน้อย คนที่แหวกฝ่าฝูงชน ตรงมาหาพวกเราก็คือ คินามินั่นเอง นานาเสะทำหน้าลำบากใจเล็กน้อย แล้วกำชายเสื้อผมแน่นขึ้น 「เป็นอะไรไป」
นานาเสะอึกอัก 「อะ… เอ่อ คือ…」 ผมเลยถามแทนเธอไปก่อน
「บางทีนานาเสะอาจจะไม่ชอบคินามิหรือเปล่า?」
นานาเสะยิ้มเจื่อนๆ แล้วพยักหน้า 「นิดหน่อย…」
อืม ก็คิดอยู่แล้วว่าน่าจะเป็นแบบนั้น คินามิที่ดูเหมือนจะชอบนานาเสะก็ดูน่าสงสารอยู่หรอก แต่ในคลาสงานกลุ่ม เขาก็ไม่ค่อยให้ความร่วมมือ ก็สมควรแล้วล่ะ
「อ๊ะ!」
จู่ๆ ใบหน้าของนานาเสะก็เข้ามาอยู่ตรงหน้าผม จนหัวใจแทบจะหยุดเต้น
「นะ… นานาเสะ」
ผู้หญิงที่ซบหน้ากับอกของผม ทั้งๆ ที่ควรจะเหงื่อออก แต่กลับมีกลิ่นหอมอย่างไม่น่าเชื่อ มือซ้ายที่ไม่รู้จะวางไว้ตรงไหน ก็ได้แต่ลอยเคว้งคว้างอยู่ในอากาศ 「ดะ… เดี๋ยว เป็นอะไร」
「ขะ… ขนตา」
「ห๊ะ?」
「ขนตาปลอม… หลุดไปแล้ว…」
นานาเสะพูดเสียงแผ่วเบา ดูเหมือนว่าตอนที่ชนกับผู้ชายคนนั้น ขนตาปลอมที่ติดไว้คงจะหลุดออก ผมถอนหายใจอย่างเอือมระอา
「แค่ขนตา จะเป็นอะไรไป…」
「มะ… ไม่ได้! มีกับไม่มี มันต่างกันนะ! ทะ… ทำไงดี ไม่อยากให้ใครเห็นเด็ดขาด」
ไหล่ของนานาเสะสั่นเทา ถึงผมจะไม่เข้าใจก็เถอะ แต่สำหรับเธอดูเหมือนว่าการมีหรือไม่มีขนตาบนเปลือกตา จะเป็นเรื่องใหญ่และร้ายแรงมาก
ระหว่างที่ผมกำลังคิดไม่ตกว่าจะทำยังไง คินามิก็เดินมาถึงตรงหน้าพวกเราพอดี พอเห็นนานาเสะที่กำลังซบ(เหมือนจะ) ผมอยู่ เขาก็ขมวดคิ้วด้วยความสงสัย
「อะไร นึกว่าใคร ซางาระนี่เอง ทำอะไรกันอยู่น่ะ?」
น้ำเสียงของเขาแฝงความไม่พอใจที่เห็นผมอยู่กับนานาเสะ
「……ก็แค่ บังเอิญเจอกันตรงนั้น」
「อ้อ เหรอ นานาเสะ เป็นอะไรหรือเปล่า?」
「…รู้สึก ไม่ค่อยสบายน่ะ」
ผมตอบปัดๆ ไป คินามิก็ร้องว่า 「จริงเหรอ?」 ด้วยน้ำเสียงเป็นห่วง
「นานาเสะ ไหวไหม? ไปหาที่อื่นนั่งพักไหม?」
คินามิเอื้อมมือมาหานานาเสะที่ยังคงซบหน้ากับอกผมอยู่ ไหล่ของนานาเสะสั่น มือที่กำชายเสื้อผมอยู่ก็สั่นระริก
ก่อนที่มือของไอ้หมอนี่จะแตะตัวเธอ ผมก็ปัดมือมันออกอย่างแรง
「เฮ้ย ทำอะไรวะ」
คินามิดูหงุดหงิดกับการกระทำของผม เขาทำหน้าไม่พอใจ แล้วมองมาที่ผม แต่เพื่อนานาเสะ ผมยอมให้ไม่ได้หรอก
「เดี๋ยวฉันพาไปเอง โอเคนะ นานาเสะ」
นานาเสะพยักหน้าหงึกๆ โดยไม่พูดอะไร ตอนที่กำลังจะเดินจากไป ก็ได้ยินเสียงบ่นตามหลังว่า 「อะไรของมันวะ」 ดูเหมือนผมจะสร้างศัตรูเพิ่มโดยไม่จำเป็นซะแล้ว แต่ก็ช่วยไม่ได้
******
ซางาระคุงพาฉันมาที่ห้องน้ำของสถานีรถไฟใต้ดินชิโจ ฉันรีบติดขนตาปลอมให้เข้าที่ แล้วก็จัดแจงเติมแป้ง ปัดแก้ม แล้วก็ทาลิปสติกใหม่ พอรู้สึกว่าหน้าตากลับมาดูได้ ก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก
เมื่อกี้อันตรายมาก เกือบไปแล้ว นึกภาพว่าถ้าซัจจังกับคนอื่นๆ เห็นหน้าเมื่อกี้ของฉันเข้า ก็สยองแล้ว
ซางาระคุงช่วยพูดกลบเกลื่อนสถานการณ์ตรงนั้น แล้วพาฉันออกมา พอคิดว่าตัวเองเผลอซบเขาไป หน้าก็ร้อนขึ้นมา จริงสิ เมื่อกี้เขากำลังพักอยู่ ต้องรีบกลับไปแล้ว
พอรีบออกจากห้องน้ำ ก็เห็นซางาระคุงยืนเหม่อพิงเสาอยู่ ฉันเห็นเขามองตามผู้หญิงที่ใส่ชุดยูกาตะเดินผ่านไป รู้สึกไม่ค่อยชอบใจเท่าไหร่
「ซางาระคุง ชอบผู้หญิงใส่ชุดยูกาตะเหรอ?」
「ปะ… เปล่า」
ซางาระคุงคงจะชอบผู้หญิงในชุดยูกาตะ ฉันเริ่มจับทางได้แล้วว่า “เปล่า” ของเขาน่ะ ก็คือ “ใช่” นั่นแหละ
ฉันหยิบกระจกตลับขึ้นมาเช็คตาอีกครั้ง แล้วก็ดูว่าโอบิของชุดยูกาตะเรียบร้อยดี จากนั้นก็เรียกชื่อเขาเสียงดัง
「ซางาระคุง!」
ในที่สุดซางาระคุงก็หันมา เขาทำตาเหมือนเห็นอะไรบางอย่างที่น่าทึ่ง ฉันเดินไปหาเขา พลางระวังชายกระโปรงชุดยูกาตะ
「ขอโทษนะ ขอบคุณซางาระคุงจริงๆ ที่ช่วยฉันไว้ ไม่งั้นชีวิตมหา’ลัย ของฉันคงจบสิ้นลงตรงนี้แน่ๆ… ขอบคุณนะ」
「เวอร์ไปเเล้ว」
ซางาระคุงทำไหล่ห่อเหมือนระอา แล้วพูดว่า 「งั้น คราวนี้กลับไปได้แล้วนะ」 ฉันเผลอจับเสื้อเชิ้ตของเขาที่กำลังหันหลังจะเดินไป
พอเขาหันกลับมามองอย่างสงสัย ฉันก็ถามออกไป 「คือว่า… มีเรื่องจะถามอะไรหน่อย…」
「ชุดยูกาตะของฉัน เหมาะกับฉันไหม?… นะ… น่ารักไหม?」
จริงๆ แล้ว ฉันอยากถามเขาตั้งแต่ที่เจอกันครั้งแรกแล้ว
ตอนที่เลือกชุดยูกาตะ ตอนที่จัดแต่งทรงผม ฉันก็คิดอยู่ตลอดว่าซางาระคุงจะชอบแบบไหน เพื่อนคนอื่นๆ ต่างก็ชมว่าน่ารัก แต่ฉันก็อยากรู้ว่าซางาระคุงคิดยังไง
ฉันยืนรอคำตอบอย่างใจจดใจจ่อ ซางาระคุงค่อยๆ ทำหน้าบึ้ง
「เฉยๆ」
ฉันรู้อยู่แล้ว “เฉยๆ” ของซางาระคุง ก็คือ “น่ารัก” นั่นแหละ
พอเห็นปฏิกิริยาที่เข้าใจยากแต่ก็ดูออกง่ายๆ ของเขา ฉันก็หัวเราะออกมา
เพจผู้เเปล Suraの夜