โดดเด่น...ที่จอมปลอม - ตอนที่ 1.4 พบเธอเมื่อยามสายลมพัดผ่าน
ผมถอนหายใจเบาๆ และใช้ตะเกียบคีบไก่ทอดเข้าปาก ความกรอบของแป้งทอดเข้ากันได้ดีกับรสชาติเข้มข้นของเครื่องปรุง ถึงจะไม่ใช่อาหารชั้นเลิศ แต่ก็ทำให้อิ่มท้องได้
นานาเสะดูเพลิดเพลินกับเซ็ตปลาซาบะย่างซีอิ๊วของเธอ เธอยิ้มและพูดขึ้นมาระหว่างคำว่า
[ร้านนี้ไม่เลวเลยใช่ไหมล่ะ!]
ผมพยักหน้าโดยไม่พูดอะไร แล้วตักข้าวใส่ปากเพิ่ม
[เธอพูดน้อยจังเลยนะ]
[แค่ไม่มีอะไรจะพูดน่ะ]
[เหรอ…]
นานาเสะดูเหมือนจะเงียบไปชั่วครู่ แต่ก็กลับมายิ้มได้อย่างรวดเร็ว
[งั้นฉันพูดแทนเอง! รู้ไหมว่าปลาซาบะย่างซีอิ๊วที่นี่ใช้ปลาสดมากเลยนะ ฉันเคยมาหลายครั้งแล้ว เจ้าของร้านยังจำหน้าฉันได้เลย!]
ผมพยักหน้าอีกครั้ง พลางคิดในใจว่าทำไมเธอต้องพยายามชวนผมคุยขนาดนี้
ระหว่างที่เธอพูด ผมเริ่มสังเกตสิ่งรอบตัว ร้านนี้ไม่ได้ดูพิเศษอะไรเลย แต่มีความรู้สึกอบอุ่นเหมือนบ้าน โต๊ะไม้ขัดเงาเก่าๆ กับผ้าม่านสีน้ำเงินที่ขยับตามลม ทำให้ร้านดูสงบ
[โทโมกิคุง เธอไม่คิดจะถามอะไรฉันหน่อยเหรอ?]
[ถามเรื่องอะไรล่ะ?]
[อะไรก็ได้!]
ผมเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะตัดสินใจถามคำถามที่ง่ายที่สุด
[ปลาซาบะย่างซีอิ๊วอร่อยไหม?]
นานาเสะหัวเราะเสียงดัง
[นั่นมันคำถามเบสิคสุดๆ เลยนะ แต่ก็อร่อยจริงๆ น่ะแหละ!]
ผมยิ้มจางๆ นิดหนึ่งโดยไม่ตั้งใจ เธอมีพลังบางอย่างที่ทำให้บรรยากาศรอบตัวสดใสขึ้น
หลังจากกินเสร็จ เราช่วยกันเก็บจานส่งคืนให้พนักงาน แล้วออกจากร้าน
[อร่อยใช่ไหม! ฉันบอกแล้วว่าร้านนี้ดี!]
[ก็ดี]
[งั้นวันพุธหน้ามาอีกนะ ฉันจะเลี้ยงเซ็ตคาราอาเกะเธอเอง!]
[ไม่ต้องหรอก…]
[ไม่ต้องเกรงใจ ฉันเต็มใจ!]
เธอยิ้มกว้าง ก่อนเดินนำหน้าไป ผมมองตามแผ่นหลังของเธอที่เต็มไปด้วยพลังงานและความตั้งใจ แล้วได้แต่คิดในใจ
“เธอเป็นคนที่แปลกจริงๆ…”
…ทั้งหมดนั่นคือ “นานาเสะ ฮารุโกะ”
ผมนึกย้อนถึงช่วงเวลาต่างๆ ที่ได้เห็นเธอในหลายแง่มุม เธอไม่ใช่แค่ภาพลักษณ์เดียว ไม่ใช่แค่สาวมหา’ลัยที่แต่งตัวสวย หรือคนที่พยายามเข้าสังคม เธอคือคนที่มีหลายด้าน มีความกลัว ความอ่อนแอ และความพยายาม
ผมหยิบแก้วน้ำขึ้นมาดื่ม แล้วพูดออกไป
[ไม่ต้องฝืนหรอก…]
นานาเสะเงยหน้ามองผม ตาเธอเบิกเล็กน้อยเหมือนกับไม่ได้คาดคิด
[…ซางาระคุง…]
[ฉันว่ามันไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนไปเป็นคนที่ไม่ใช่ตัวเอง แค่เป็นนานาเสะ ฮารุโกะ ในแบบที่เธอเป็น… มันก็ดีอยู่แล้ว]
เธอเงียบไป จ้องมองผมด้วยแววตาที่ไม่แน่ใจ
[แต่… ถ้าฉันเป็นตัวเอง… แล้วทุกคนไม่ชอบฉันล่ะ?]
[งั้นก็ไม่ต้องไปสนใจคนพวกนั้น] ผมพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง [คนที่ชอบเธอเพราะเธอพยายามเป็นคนอื่น ไม่ใช่คนที่สำคัญหรอก คนที่สำคัญคือคนที่ชอบเธอในแบบที่เธอเป็น]
เธอเงียบไปอีกครั้ง แล้วจู่ๆ ก็หัวเราะออกมา
[พูดเหมือนง่ายเลยนะ…]
[ก็ง่ายจริงๆ นี่นา ถ้าเขาไม่ชอบ ก็แค่เดินออกมา หรือไม่ก็สั่งเซ็ตคาราอาเกะมากินแก้เครียด]
นานาเสะหัวเราะเบาๆ น้ำเสียงของเธอดูผ่อนคลายขึ้น
[…ขอบคุณนะ ซางาระคุง ฉันไม่รู้ว่าคำพูดนายจะช่วยอะไรได้แค่ไหน แต่… ฉันรู้สึกดีขึ้นล่ะ]
ผมยิ้มเล็กๆ
[งั้นก็ดีแล้วล่ะ]
พอคิดดูอีกที บางที “ตัวตนที่แท้จริง” ของคนเรา อาจไม่ได้มีคำจำกัดความตายตัว มันอาจเป็นส่วนผสมของทุกแง่มุม ทั้งที่เราตั้งใจแสดงออก และที่เราซ่อนเอาไว้
…นานาเสะ ฮารุโกะก็เหมือนกับทุกคน มีแสงสว่างและเงามืด มีรอยยิ้มและน้ำตา
และผม… ผมคิดว่าผมเริ่มชอบเธอในแบบที่เธอเป็นแล้วล่ะ
ทั้งหมดนั่นคือ นานาเสะ ฮารุโกะ
[มีแค่ซางาระคุงเท่านั้นเเหละ ที่รู้จักตัวตนจริงๆของฉัน]
[…เพราะงั้น อยู่กับฉันแล้ว เลยรู้สึกสบายใจ?]
ผมรู้สึกเหมือนมีสัญญาณเตือนดังขึ้นในหัว ชีวิตมหา’ลัยที่สงบสุขของผม กำลังจะพังทลายเพราะผู้หญิงคนนี้
ที่นานาเสะชอบมาวุ่นวายกับผม เพราะผมเป็นคนเดียวที่รู้จักตัวตนที่แท้จริงของเธอ เธอเลยไม่ต้องเสแสร้ง ไม่มีเหตุผลอื่นใดอีก
ผมซดซุปมิโสะจนหมด วางชามลงบนถาด แล้วพูดขึ้น
[…งั้น ฉันจะช่วยเธอเอง]
[เอ๋? ช่วยอะไร?]
[ช่วยให้ชีวิตมหา’ลัยของเธอสดใส]
นานาเสะเอียงคอ [ทำไมล่ะ?]
[บอกไว้ก่อนนะ ฉันไม่ได้ทำเพื่อเธอหรอก ถ้าเธอกลายเป็นคนที่เข้ากับคนอื่นได้ เธอก็คงไม่ต้องมายุ่งกับฉันอีก]
ผมยอมรับว่าผมติดหนี้บุญคุณเธอ ตอน ม.ปลาย แต่… เหตุผลหลักๆ คือผมอยากมีชีวิตที่สงบสุข
ถ้านานาเสะกลายเป็นคนที่เข้าสังคมเก่งๆ มีชีวิตมหา’ลัยที่สดใส เธอก็คงลืมผมไปเลย ผมก็จะมีชีวิตที่สงบสุข เป็นแผนการที่ยอดเยี่ยม
[…ซางาระคุงไม่อยากยุ่งกับฉันเหรอ?]
นานาเสะถาม ด้วยสีหน้าจริงจัง ผมตกใจ รีบแก้ตัว
[อะ… เปล่า คือ… ฉัน ไม่อยากยุ่งกับใครทั้งนั้น]
[หมายความว่ายังไง?]
[…ฉันไม่อยากให้ใครเข้ามาในโลกของฉัน ฉันไม่อยากเสียเวลากับ เรื่องวุ่นวาย ฉันเลยไม่อยากยุ่งกับใคร]
[ฉันดีใจนะ ที่นายจะช่วย แต่… ซางาระคุง นายแปลกจัง…]
นานาเสะมองผม ด้วยสายตาเอือมระอา ผมไม่สนใจ พูดต่อ [เอาล่ะ]
[เพราะงั้น ฉันจะช่วยเธอ เพื่อตัวฉันเอง]
นานาเสะคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วพยักหน้า [เข้าใจแล้ว]
[ฉันจะพยายามเป็นคนที่เข้ากับคนอื่นให้ได้! ไปด้วยกันนะ ซางาระคุง]
[อะ… อืม]
[ฝากตัวด้วยนะ]
นานาเสะยิ้ม แล้วยื่นมือขวาออกมา ผมไม่ได้จับมือเธอ แต่พนมมือไหว้ แล้วพูดว่า [ขอบคุณสำหรับอาหารครับ]
[ซางาระคุง!]
ไม่กี่วันหลังจากที่ไปกินข้าว ตอนพักกลางวัน ผมกำลังจะไปหาอะไรกินคนเดียว นานาเสะก็เข้ามาทัก เธอแต่งหน้าเต็ม สวย เปล่งประกายเหมือนเดิม
ผมตกใจ รีบมองไปรอบๆ โชคดีที่ไม่เจอคนรู้จัก
[กำลังจะไปกินข้าวเหรอ? กินด้วยกันสิ]
ผมไม่สนใจนานาเสะ แล้วเดินหนี
[เดี๋ยว! รอด้วย!]
เธอรีบวิ่งตามมา ผมเดินมาจนถึงหลังตึกเรียนที่ไม่มีคน แล้วหยุดเดิน
[…ทำไมเธอถึงเข้ามาทักฉันล่ะ?]
[เอ๋? ไม่ได้เหรอ?]
นานาเสะทำหน้าเศร้า ผมรู้สึกผิด ทำไมเธอต้องทำหน้าแบบนั้นด้วย? ทั้งที่ผมก็พูดเพื่อเธอแท้ๆ
[เธออยากมีชีวิตมหา’ลัยที่สดใสจริงๆ ใช่ไหม?]
[อยากสิ! อยากมาก!]
ผมมองนานาเสะที่กำมือแน่น
[งั้นเธอก็ไม่ควรมาทักฉัน ผู้หญิงที่เข้ากับคนอื่นได้ เขาไม่ยุ่งกับคนอย่างฉันหรอก]
[เอ๋~ ไม่เห็นจะจริงเลย…]
นานาเสะทำท่าไม่พอใจ ผมมองไปรอบๆ แล้วดึงมือเธอ
[ตามมา]
ผมพานานาเสะมาที่ตึกหก ซึ่งอยู่สุดมุมของมหา’ลัย เราเข้าไปในห้องเรียนที่ไม่มีคนอยู่ นานาเสะมองไปรอบๆ ห้อง
[เห~ เพิ่งเคยมาตึกหกครั้งแรกเลย]
ตึกหกเป็นตึกใหม่ที่สุดในมหา’ลัย คณะเศรษฐศาสตร์แทบจะไม่ได้ใช้ตึกนี้ ส่วนใหญ่จะเป็นคณะสารสนเทศ ที่เพิ่งเปิดใหม่เมื่อปีที่แล้วที่ใช้
ตึกนี้อยู่ไกลจากตึกหนึ่ง ซึ่งเป็นตึกเรียนของเรา โอกาสที่จะเจอคนรู้จักก็น้อยมาก
เป็นที่หลบภัยชั้นยอดสำหรับคนที่ชอบอยู่คนเดียว… อย่างผม
…เสียดาย ที่ต้องบอกที่นี่ให้นานาเสะรู้
แต่ก็จำเป็น
[ฉันสงสัยว่า ซางาระคุงชอบไปกินข้าวที่ไหนที่แท้นายก็อยู่ที่นี่เอง]
[ช่างเถอะน่า นั่งลงก่อน]
นานาเสะนั่งลง ผมก็นั่งลงฝั่งตรงข้าม เธอนั่งตัวตรง ทำหน้าจริงจัง ผมรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นคนสัมภาษณ์งาน
[ที่เธอพูดว่าอยากมีชีวิตมหา’ลัยที่สดใสน่ะ]
[ค่ะ!]
[มันหมายความว่ายังไง? มันคลุมเครือเกินไป ฉันไม่เข้าใจ]
การตั้งเป้าหมายที่ชัดเจน เป็นก้าวแรกสู่ความสำเร็จ แต่นานาเสะคงไม่ได้คิดอะไรมาก
เธอทำหน้าลำบากใจ
[…ก็… มีเพื่อนเยอะๆ…?]
ผมฟังคำตอบเธอแล้วก็หมดแรง แค่นั้นเองเหรอ? อยากมีเพื่อนเยอะๆ เนี่ยนะ?
มันเหมือนเป้าหมายของเด็กประถมเลย
เธออยากจะไปนั่งกินข้าวปั้นบนยอดเขา รึไง?
แต่การมีเพื่อนเยอะๆ ก็คงทำให้ชีวิตมหา’ลัยของเธอสดใสขึ้น
ผมชี้ไปที่มือถือนานาเสะ ที่วางอยู่บนโต๊ะ แล้วถาม
[…ในไลน์เธอมีเพื่อนกี่คน ไม่รวมครอบครัว]
นานาเสะเช็คมือถือ แล้วยกนิ้วขึ้นมาเจ็ดนิ้ว ด้วยท่าทางเขินๆ
[เจ็ดสิบคน?]
[เปล่า เจ็ดคน]
น้อยกว่าที่ผมคิด ผมแทบจะตกเก้าอี้
[…ทะ… เธอแทบจะไม่มีเพื่อนเลยนี่นา!]
[กะ… ก็ฉันบอกแล้วไง หนึ่งในนั้นก็คือนาย]
งั้นก็เหลือแค่หกคน
นานาเสะเห็นผมมองเธอ ก็รีบแก้ตัว
[ชมรมเรามีผู้หญิงน้อย แล้วฉันก็ยังไม่ได้ทำงานพิเศษ]
[…งั้น ตั้งเป้าหมายให้ชัดเจน ภายในหนึ่งอาทิตย์ ต้องเพิ่มเพื่อนในไลน์ให้ได้ห้าคน]
ผมว่ามันน้อยไปหน่อย แต่ถ้ากำหนดเวลาแค่หนึ่งอาทิตย์ก็น่าจะพอไหว
การตั้งเป้าหมายที่เป็นไปได้เป็นเรื่องสำคัญ
[ห้ะ… ห้าคน… ทำได้เหรอ…]
นานาเสะทำท่าครุ่นคิด แล้วก็อุทานขึ้น
[อ๊ะ!]
[ว่าแต่ วันศุกร์นี้มีงานเลี้ยงรุ่นของเด็กปีหนึ่งคณะเศรษฐศาสตร์นี่นา
เหมือนว่าจะรวมกับชมรมอื่นๆ ด้วย แล้วก็กินข้าวด้วยกัน]
[งั้นก็ไปสิ เธอก็จะได้เพื่อนห้าคน ง่ายๆ เลย]
นานาเสะมองผมด้วยสีหน้ากังวล
[…ซางาระคุง ไปงานเลี้ยงรุ่นด้วยกันไหม?]
[ไม่มีทาง]
แค่ได้ยินคำว่า [งานเลี้ยงรุ่น] ผมก็ขนลุกแล้ว ทำไมผมต้องเสียเงิน เสียเวลาไปเข้าสังคมกับคนอื่นด้วย?
อีกอย่าง ต่อให้ผมไป ผมก็คงเป็นส่วนเกิน
แต่นานาเสะก็ยังไม่ยอมแพ้ ตื๊อไม่เลิก
[นะ ขอร้องล่ะ ไปเป็นเพื่อนฉันหน่อย]
[หา? ทำไมล่ะ?]
[ก็… ซากิจังบอกว่าติดงาน ไปไม่ได้ ฉันแทบจะไม่รู้จักใครเลย… ถ้านายไปด้วย ฉันจะอุ่นใจ]
[แต่ฉัน…]
[…นายบอกว่าจะช่วยฉันไม่ใช่เหรอ?]
นานาเสะพูด แล้วจ้องหน้าผม
ผมพูดไม่ออก
…จริงสิ ผมสัญญากับเธอไว้
ไม่มีทางเลือก ผมต้องทำเพื่อให้นานาเสะมีชีวิตมหา’ลัยที่สดใส และเพื่อให้ผมได้กลับไปใช้ชีวิตแบบสันโดษ
[…ห้ามทักฉันเด็ดขาด]
ผมถอนหายใจ
นานาเสะยิ้มกว้าง
[ตกลง! แค่ไปด้วย ฉันก็ดีใจแล้ว! ขอบคุณนะ!]
เธอใช้ผมเป็นที่พึ่งทางใจ แบบนี้ เธอจะใช้ชีวิตแบบคนอื่นได้ยังไง?
ผมเริ่มไม่แน่ใจแล้วว่าเธอจะทำได้
วันศุกร์ หกโมงเย็น
หลังเลิกเรียน ผมกลับห้องแล้วมาที่ชิโจ คาวาระมาจิ
ย่านช็อปปิ้งในเกียวโต
ผมเดินจากถนนคาวาระมาจิ มาที่ถนนคิยามาจิ
ที่มีแม่น้ำทาคาเสะไหลผ่าน
ที่นี่เป็นย่านร้านเหล้า
มีร้านอาหารมากมายเรียงรายตั้งแต่ถนนซันโจไปจนถึงถนนชิโจ
รุ่นพี่ที่ทำงานเคยบอกว่าแถวนี้มีร้านอาหารให้เลือกเยอะ
ทั้งร้านหรูๆ และร้านธรรมดาๆ ที่นักศึกษาอย่างเราๆ เข้าได้
ผมไม่เคยมาที่นี่ เพราะชอบปฏิเสธคำชวนไปงานเลี้ยงรุ่น
ผมกำลังจะหยิบมือถือขึ้นมาดูแผนที่
ก็เห็นผู้หญิงคนหนึ่งยืนอยู่ใต้ต้นไม้ริมแม่น้ำ
…นานาเสะ
วันนี้เธอถักเปีย ใส่เดรสลูกไม้สีขาว ดูตั้งใจแต่งตัวเป็นพิเศษ
แม้แต่ผมที่ไม่ค่อยรู้เรื่องแฟชั่นก็ยังดูออก
เธอมองหน้าจอ แล้วก็มองซ้ายมองขวา สงสัยเธอคงหลงทาง
ถึงเราจะไปที่เดียวกัน แต่ผมคงเดินไปกับเธอไม่ได้
ผมกำลังจะเดินผ่านเธอไป ก็เห็นกลุ่มผู้ชายรุ่นราวคราวเดียวกับผมมองนานาเสะ แล้วยิ้ม
ผมไม่ชอบสายตาพวกนั้นเลย เลยเดินเข้าไปบังนานาเสะ
[นานาเสะ]
นานาเสะเงยหน้าขึ้นจากมือถือ เห็นผม แล้วโบกมือพร้อมรอยยิ้มกว้าง [อ๊ะ ซางาระคุง!]
ผมได้ยินเสียงซุบซิบ [ชิ] แล้วก็เสียง [น่าอิจฉา] แว่วมาจากกลุ่มผู้ชายโต๊ะข้าง ๆ ผมขมวดคิ้วเล็กน้อย ไม่เข้าใจว่าน่าอิจฉาตรงไหน
[ดีจัง เจอตัวจนได้ ฉันหาทางไปไม่ถูกน่ะ] นานาเสะพูดพลางหัวเราะ เธอไม่รู้ตัวเลยว่าโดนผู้ชายมอง ผมถอนหายใจเบา ๆ กับความไร้เดียงสาของเธอ ก่อนจะบอก [น่าจะทางนี้] แล้วเดินนำ
งานเลี้ยงรุ่นจัดขึ้นในตรอกเล็ก ๆ ใกล้ ๆ ถนนคิยามาจิ หน้าร้านมีผ้าม่านเล็ก ๆ เขียนบอกทาง สังเกตเห็นยากมาก ข้างในเป็นร้านอาหารญี่ปุ่น ตกแต่งแบบเรียบง่าย ให้บรรยากาศสบาย ๆ มีกลิ่นหอมของไม้ และเสียงเพลงคลอเบา ๆ
เราเดินขึ้นไปชั้นสอง เป็นห้องเสื่อทาทามิ มีโต๊ะหลายตัว มีคนมานั่งรออยู่ก่อนแล้ว พวกเขามองมาที่เรา สายตาบางคู่จ้องมาที่นานาเสะ ทำให้ผมรู้สึกอึดอัด
…แย่ล่ะ ฉันไม่น่ามาพร้อมกับนานาเสะเลย
ผมทำเป็นเหมือนมาคนเดียว แล้วนั่งลงตรงมุมห้อง นานาเสะจะมานั่งข้าง ๆ ผมเลยมองเธอ แล้วทำท่าไล่ นานาเสะเบะปาก น้ำตาคลอ ก่อนจะเดินคอตกไปนั่งโต๊ะที่อยู่ไกลจากผมที่สุด
…เยี่ยม อย่างน้อยก็รอดตัวไปที
พอถึงเวลา โต๊ะก็เต็ม รุ่นพี่ที่เป็นคนจัดงาน พูดเปิดงาน แล้วก็เริ่มเสิร์ฟอาหาร เป็นคอร์ส อาหารแต่ละจานดูน่าทานมาก แต่ผมกลับไม่มีกะจิตกะใจจะกิน
[เอ่อ… ทุกคนอยู่ชมรมไหนกันบ้าง?]
มีคนเริ่มพูดคุยกัน บรรยากาศคึกคัก แต่ผมไม่ได้พูดอะไร เอาแต่นั่งกินข้าวเงียบ ๆ รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นส่วนเกินในงานนี้
คนที่นั่งใกล้ ๆ ผม มองผม ที่เอาแต่เก็บตัว พวกเขาคงคิดว่า [หมอนี่มาทำไม] ผมก็คงคิดแบบนั้น ถ้าเห็นคนอื่นทำแบบนี้
นานาเสะเป็นยังไงบ้างนะ
ผมแอบมองเธอ เห็นเธอนั่งก้มหน้า จิบน้ำส้ม มีผู้หญิงสองคนนั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม แต่พวกเธอคุยกันเอง ไม่สนใจนานาเสะ มีผู้ชายคนหนึ่งนั่งข้าง ๆ เธอ ชวนเธอคุยไม่หยุด แต่นานาเสะทำหน้าลำบากใจ ผมเห็นเธอกำลังพยายามบ่ายเบี่ยง แต่ผู้ชายคนนั้นก็ยังตื๊อไม่เลิก
ผู้ชายคนนั้นคงเบื่อ ที่นานาเสะไม่ค่อยคุยด้วย เลยลุกออกไป ผมเลยถือโอกาส เดินไปหานานาเสะ ผมตบบ่าเธอ เธอหันมา ยิ้มกว้าง แต่พอเห็นเป็นผม รอยยิ้มก็หายไป
[ซางาระ… อ๊ะ]
เธอนึกขึ้นได้ว่าผมห้ามเธอทัก เลยรีบปิดปาก ผมทำท่าทาง [ตามมา] แล้วพาเธอออกจากห้อง หวังว่าจะไม่มีใครเห็นนะ
[…เธอทำอะไรอยู่?]
พอเราอยู่กันสองคน ผมก็ถาม นานาเสะหน้าแดงก่ำ [อายจัง…]
[ฉันคิดว่าการไปขอไลน์ผู้ชาย มันยาก เลยไปนั่งโต๊ะที่มีผู้หญิง… แต่… พวกเธอก็เป็นเพื่อนกันอยู่แล้ว]
[เธอก็เข้าไปคุยกับพวกเขาสิ]
[อืม แต่… พวกเขาคุยเรื่องที่ฉันไม่รู้… ฉันคุยกับพวกเขาไม่ได้…]
[… ตรงกลางห้องมีผู้หญิงนั่งอยู่ ลองไปคุยกับพวกเขาดูสิ]
[อืม… จะลองดู!]
นานาเสะเงยหน้าขึ้น กำมือแน่น เธอมองผม แล้วพูดว่า [ดูฉันนะ!] จากนั้นก็เดินกลับเข้าไปในห้อง ไปนั่งข้างๆ ผู้หญิงผมสั้น
[สะ… สวัสดีค่ะ!]
นานาเสะยิ้มแห้งๆ ผู้หญิงคนนั้นหัวเราะ [ทำไมดูเกร็งจัง?] เยี่ยม เริ่มต้นได้ไม่เลว
ผมทำตัวลีบ นั่งอยู่มุมห้อง ไม่มีใครสนใจผม ที่เหมือนจะกลายเป็นส่วนหนึ่งของผนังไปแล้ว
ผมนั่งจิบชาอู่หลง มองนานาเสะ ดูเหมือนเธอจะเข้ากับผู้หญิงคนนั้นได้ เธอยิ้ม พยักหน้า ดูมีความสุข โต๊ะของเธอดูคึกคักที่สุดในห้อง ผู้ชายที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามเธอ น่าจะเป็นผู้ชายหน้าตาดี คนนั้น ที่อยู่ชมรมเดียวกับเรา ผมจำชื่อเขาไม่ได้ แต่ถ้าเธอสนิทกับผู้ชายแบบนั้นได้ เธอก็น่าจะเข้าใกล้ชีวิตมหา’ลัยที่สดใสขึ้นอีกเยอะ
งานเลี้ยงรุ่นจบลงหลังจากผ่านไปสองชั่วโมงครึ่ง ผมจ่ายเงินค่าเข้าร่วม แล้วรีบออกจากร้าน ผมได้ยินเสียงคนตะโกนว่า [ใครจะไปร้องคาราโอเกะต่อบ้าง!] แต่ผมไม่สนใจ เดินออกมา
ถนนคิยามาจิ ตอนสามทุ่ม คึกคัก เต็มไปด้วยผู้คน ต่างจากตอนที่ผมมา ผมเดินผ่านคนแจกใบปลิว แล้วก็มีคนเรียก [ซางาระคุง!]
[ฉันขอไลน์เพื่อนมาได้ห้าคนแล้ว! บรรลุเป้าหมาย!]
นานาเสะวิ่งตามมา ยกมือถือขึ้นโชว์ ผมทิ้งเธอไว้คนเดียวไม่ได้ เลยชะลอฝีเท้า
[เด็กผู้หญิงที่ฉันเพิ่งรู้จัก ชื่อสึคุมิจัง เธอบอกว่ารู้จักซากิจังด้วย!]
[เหรอ ดีจังนะ]
[ซางาระคุง จะกลับรถบัส? หรือรถไฟ กลับด้วยกันนะ!]
ผมมองนานาเสะ ที่ยิ้มแย้ม ผมปฏิเสธเธอไม่ได้ ผมไม่ใจร้ายพอจะปล่อยให้เธอกลับคนเดียว
…แต่ เธอไม่ไปต่อเหรอ?
[นานาเสะ… เธอไม่ไป ร้องคาราโอเกะต่อเหรอ?]
ถ้าอยากมีชีวิตแบบคนอื่นๆ เธอก็ควรจะไปต่อ มันเป็นโอกาสที่จะได้รู้จักเพื่อนใหม่ๆ แต่นานาเสะกลับขมวดคิ้ว
[อืม… ฉันร้องเพลงไม่เก่ง แล้วก็ไม่รู้จักเพลงใหม่ๆ ด้วย… แล้วก็ ฉันเหนื่อยแล้ว ถึงจะสนุกก็เถอะ]
ผมเห็นว่าเธอเหนื่อยจริงๆ นานาเสะเงยหน้าขึ้นมองผม ยิ้ม เหมือนจะหลับ ถึงจะแต่งหน้าอยู่ แต่เธอก็ดูเหมือนตอนหน้าสด
[วันนี้ฉันสนุกมาก ขอบคุณนายนะ ที่ทำให้ฉันก้าวไปข้างหน้าได้ ขอบคุณจริงๆ]
ผมไม่ได้ทำอะไรมากมายเลย ผมรู้สึกแปลกๆ ที่เธอขอบคุณผม ผมไม่คุ้นเคยกับเรื่องแบบนี้
ผมกับนานาเสะขึ้นรถบัสที่ป้ายชิโจ คาวาระมาจิ รถบัสในเกียวโตคิดราคา 230 เยน จ่ายตอนลง ผมรู้สึกเซ็งๆ ที่ต้องเสียเงิน
ในรถไม่ได้แน่นมาก อาจเป็นเพราะยังไม่ถึงเวลาเลิกงาน มีที่นั่งว่างห้าที่ตรงแถวหลังสุด ผมนั่งริมหน้าต่าง นานาเสะนั่งข้างๆ
ผมมองออกไปนอกหน้าต่าง แล้วก็รู้สึกว่ามีอะไรมาพิงไหล่ ผมหันไปมอง เห็นนานาเสะหลับ เอาหัวพิงไหล่ผม เธอคงเหนื่อยมากจริงๆ
…เธอก็พยายามมากนี่นา…
ถึงจะไม่พอใจที่เธอมาหนุนไหล่ แต่ผมก็ไม่ได้ปลุกเธอ ผมจะปล่อยให้เธอนอนจนกว่าจะถึงป้าย
ผมหลับตาลง สัมผัสได้ถึงขนตาปลอมที่ปัดมาอย่างดี ขนตาปลอมงอนงาม ติดแน่นกับเปลือกตา
ตัวนานาเสะอุ่นๆ น้ำหนักตัวของเธอมาพิงผม เธอไม่ได้หนัก แต่… ใกล้เกินไป เวลาที่รถเบรก หน้าอกเธอก็จะชนแขนผม
นุ่มนิ่ม… มันนุ่มมาก… ไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นคนเหมือนกัน
ผมไม่มีส่วนไหนในร่างกายที่นุ่มขนาดนี้ ผมคิดในใจ [ใหญ่กว่าที่คิด] แล้วก็ขอโทษเธอในใจ
ผมรู้สึกเหมือนได้ยินเสียงหัวใจของเธอ เต้นอยู่ใกล้ๆ
…หรือว่า… นั่นจะเป็นเสียงหัวใจของฉัน?
ถึงจะรู้สึกผิดต่อนานาเสะ แต่ผมก็อดไม่ได้ที่จะมองเธอ จนกว่าเธอจะตื่น
นี่แหละนะ… วิถีของผู้ชายที่น่าเศร้า