โชคชะตาที่ล่วงหล่น - ตอนที่ 3 แฟนเก่าในห้องเรียน
ตอนที่ 3 แฟนเก่าในห้องเรียน
“ลู่หยวนตอนนี้นายอยู่ไหน? คลาสเรียนการจัดการกำลังจะเริ่มแล้ว รีบมาเลยนะเดี๋ยวไม่ทัน!” ข้อความจากจางฮุย
อาจารย์สอนคลาสเรียนนี้ชื่อว่าเจิ้งกู่ เขาเป็นอาจารย์ที่ค่อนข้างเข้มงวด ว่ากันว่าหากนักเรียนคนไหนมาสายสามครั้งจะถูกปัดตกวิชาที่เขาสอนทันที
ในตอนแรกลู่หยวนกะว่าจะเอาถุงเงินล้านไปเก็บที่พอพักก่อน แต่เมื่อเห็นข้อความจากจางฮุย เขาจึงรีบตรงไปมหาลัยพร้อมกับถุงพลาสติกเงินล้านในมือทันที
“ขออนุญาตครับ”
ในตอนนี้ลู่หยวนได้มายืนอยู่ที่หน้าประตูห้องเรียนแล้ว เขารับรู้ได้ถึงสายตาที่คนทั้งห้องจ้องมองมา
เจิ้งกูยังคงบรรยายอยู่อย่างนั้นโดยที่ไม่ได้สนใจลู่หยวนเลยสักนิด
ดูเหมือนว่าเจิ้งกู่จะไม่สนใจลู่หยวนโดยสิ้นเชิง บรรยากาศตอนนี้มันช่างน่าอับอาบเสียจริง
“ที่เธอมาสายเพราะมัวแต่ไปเก็บขยะถุงนั้นมาเหรอ? ตอนนี้แยกไม่ออกแล้วว่าเธอเป็นนักเรียนหรือคนจรจัดกันแน่”
เจิ้งกู่ขยับแว่นตาและมองลู่หยวนด้วยสายตาเหน็บแนม
เห็นได้ชัดว่าคำถามเหล่านี้ไม่จำเป็นต้องตอบมันเป็นเพียงคำพูดดูถูก
ทุกคนจ้องมองไปที่ถุงพลาสติกใบใหญ่นั้น ซึ่งมันเด่นมากเพราะในนั้นมีเงินถึงหนึ่งล้านหยวน!
คำพูดของอาจารย์ทำให้นักเรียนส่วนใหญ่ในห้องเรียนเริ่มหัวเราะ และยิ่งไปกว่านั้นเสื้อผ้าที่เก่าของลู่หยวนเมื่ออยู่คู่กับถุงพลาสติกใบนี้แล้ว มันดูเหมือนกับว่าเขาเป็นคนเก็บขยะจริงๆ
“เปิดถุงขยะออกแสดงให้ทุกคนได้เห็นสิว่าเธอไปเก็บขยะอะไรมา” เจิ้งกู่พูดเหน็บแนมอีกครั้ง
“เปิดเลย เปิดเลย” เสียงโหวกเหวกของนักเรียนชายดังมาจากด้านในห้อง
“ผมไม่จำเป็นที่จะต้องเปิดให้พวกคุณดูว่าข้างในมีอะไร” ลู่หยวนกล่าว
เจิ้งกู่เป็นอาจารย์ที่มีนิสัยชอบดูถูกนักเรียนที่ยากจน แต่สำหรับนักเรียนที่มีฐานะครอบครัวที่ดี เขาจะปฏิบัติตนเป็นมิตรด้วยเสมอ
ว่าง่ายๆ คือเจิ้งกู่นั้นเป็นอาจารย์ที่มี 2 มาตรฐาน
“ฮึ่ม! ไปนั่งที่ของเธอซะและจำไว้ว่าหากมาสายอีกครั้ง เธอจะตกวิชาที่ฉันสอนทันที ยิ่งเธอยากจนมากเท่าไหร่เธอยิ่งไม่มีโอกาศมากเท่านั้น!” เจิ้งกู่ตะโกน
ลู่หยวนไม่ได้ตอบโต้อะไร เขาเดินเข้าไปนั่งที่โต๊ะของตัวเองเงียบๆ
นักเรียนในชั้นเรียนกระซิบกระซาบกันจากนั้นก็หัวเราะเยาะเบาๆ พวกเขาคงเข้าใจว่าในถุงดำนั้นเป็นขยะที่ลู่หยวนไปเก็บมาจริงๆ
เมื่อไปถึงที่นั่งลู่หยวนก็ฟุบหลับ เขารู้สึกเหนื่อยจากเหตุการณ์ในวันนี้
ขณะที่ลู่หยวนกำลังหลับอยู่นั้นเขาก็รู้สึกว่าแขนถูกสะกิด
เมื่อเขาลืมตาขึ้นก็พบว่าเป็นหลี่เมิ่งเหยาที่ยืนอยู่ข้างๆ
“เงินในถุงนี่เป็นของนายเหรอ?”
หลี่เมิ่งเหยาชี้ไปที่ถุงพลาสติกสีดำที่ตอนนี้มันเปิดอยู่เผยให้เห็นสิ่งที่อยู่ภายในนั้น
ในตอนนี้ใบหน้าของหลี่เมิ่งเหยาไม่ได้เย็นชาและดูถูกเหมือนกับตอนที่เธอบอกเลิกลู่หยวนอีกต่อไป แต่กลับกลายเป็นใบหน้าที่ลุ่มหลง
ลู่หยวนไม่ได้ตอบอะไร เขาหยิบถุงดำและลุกเดินออกไป
“ที่รัก ที่รัก!” หลี่เมิ่งเหยาตะโกนเรียกลู่หยวนจากด้านหลัง
ประโยคนี้ทำให้ลู่หยวนใจอ่อนลง เขายังจำได้ว่าคืนที่พวกเขาทั้งสองตกลงที่จะเป็นแฟนกัน หลี่เมิ่งเหยาไม่ได้เรียกเขาว่าลู่หยวนอีกต่อไป แต่เรียกเขาว่า ‘ที่รัก‘
เมื่อถูกผู้หญิงที่รักเรียกด้วยคำนั้น เขาก็พร้อมที่จะยอมทำทุกอย่างเพื่อดูแลผู้หญิงคนนั้นไปชั่วชีวิต
อีกครั้งที่ลู่หยวนถูกเรียกด้วยคำๆ นี้ เขาอดไม่ได้ที่จะหยุดเดินแล้วหันกลับไปมองเจ้าของเสียงนี้
ทันทีที่ลู่หยวนหันหลังกลับไป เสียงหัวเราะก็ดังเข้ามาในหูของเขา
จริงๆ แล้วลู่หยวนไม่ได้ลุกเดินไปไหน แต่อยู่ที่เดิมที่เปลี่ยนไปคือเขายืนขึ้น
ถุงพลาสติกใบนั้นยังคงอยู่ที่เดิมมันไม่ได้ถูกเปิดออกและหลี่เมิ่งเหยาก็ไม่ได้เดินมาสะกิดเขา
ฉากเมื่อกี้มันเป็นเพียงแค่ความฝัน ส่วนสิ่งที่เป็นความจริงคือ หลี่เมิ่งเหยากำลังตะโกนว่า “ที่รัก”
แต่คนที่เธอหมายถึงนั้นไม่ใช่ลู่หยวน แต่เป็นผู้ชายที่ยืนถือดอกไม้ช่อใหญ่อยู่ที่ประตู
เมื่อเห็นผู้ชายคนนี้ลู่หยวนรู้ก็สึกอึดอัดขึ้นมา
ผู้ชายคนนี้มีชื่อว่าตู้เหลียง เป็นแฟนใหม่ของหลี่เมิ่งเหยา
ตู้เหลียงไม่ได้หน้าตาดี ใบหน้าของเขาหยาบกร้านและรูปร่างของเขาอ้วนท้วม แต่เสื้อผ้าเครื่องแต่งกายของเขานั้นล้วนเป็นแบรนด์ที่มีชื่อเสียงอย่าง Levi’s และ Louis Vuitton
เขาเป็นลูกชายของครอบครัวที่มีฐานะร่ำรวย เป็นที่รู้จักในนาม “เจ้าชายน้อย”
ตู้เหลียงมาที่นี่เพื่อรับหลี่เมิ่งเหยา เมื่อหลี่เมิ่งเหยาเห็นตู้เหลียงเธอจึงตะโกนเรียกว่าที่รัก
คำพูดที่เคยใช้เรียกและเสียงที่คุณเคยนั้นทำให้ลู่หยวนเข้าใจผิดคิดว่าเธอนั้นเรียกเขา
ดังนั้นเขาจึงสะดุ้งตื่นและยืนขึ้นโดยไม่รู้ตัว
ท่าทางของลู่หยวนทำให้คนในห้องเรียนส่งเสียงหัวเราะอีกครั้ง
ทุกคนในห้องรู้เรื่องของลู่หยวนและหลี่เมิ่งเหยาว่าทั้งสองคนนั้นเคยคบกัน
“โอ๊ย ฉันเรียกแฟนของฉัน นายจะยืนขึ้นทำไมกัน?”
รอมยิ้มเย้ยหยันปรากฏขึ้นที่มุมปากของหลี่เมิ่งเหยา เธอกอดแขนของตู้เหลียงอย่างพิศวาส เธอมองลู่หยวนราวกับว่ากำลังมองคนที่โง่เขลา
“นี่! ไอ้คนเก็บขยะ ถ้าแกกล้ามารบกวนเหยาเหยาของฉันอีกครั้ง ฉันจะบอกให้ผอ.ไล่แกออกซะ!” ตู้เหลียงพูดพร้อมกับชี้หน้าลู่หยวน
“ฉันไม่ได้แค่ร่ำรวยเท่านั้นนะ แต่ฉันยังอยู่ในเมืองจินหลิงอีกด้วย ฉันรู้จักนักเลงในเมืองมากมาย หากฉันต้องการจัดการใครสักคน ฉันสามารถเรียกใช้นักเลงพวกนั้นได้ทันทีเมื่อต้องการ”
แน่นอนว่าลู่หยวนไม่ได้สนใจคำพูดของตู้เหลียง เมื่อเห็นเช่นนั้นตู้เหลียงจึงอารมณ์เสียอย่างมาก
ความจริงทุกคนแทบจะไม่ได้สนใจลู่หยวนเลยด้วยซ้ำ แต่ตู้เหลียงทำแบบนั้นก็เพื่ออวดนักเรียนคนอื่นๆ ถึงความร่ำรวยและอำนาจของตน เพื่อตอบสนองความรู้สึกที่อยู่ภายในใจให้ตัวเองดูสูงขึ้นและเพื่อให้ลู่หยวนดูแย่ลง
“อย่าไปสนใจเลยที่รัก เขาก็เป็นแค่คนจรจัดที่ไม่มีแม้แต่เงินที่จะซื้อเสื้อผ้าดีๆ ใส่” หลี่เมิ่งเหยามองลู่หยวนด้วยสายตาดูถูก
“นี่เมิ่งเหยา พอได้แล้ว!”
ผู้หญิงคนหนึ่งลุกขึ้นยืนและพูดว่า “มันมากเกินไปแล้วนะเมิ่งเหยา ฉันคิดไม่ถึงเลยนะว่าเธอจะใจร้ายได้ถึงขนาดนี้ ที่เธอทิ้งเขาไปมันยังไม่มากพออีกเหรอ?!” ดูเหมือนว่าผู้หญิงคนนี้จะอดทนฟังมาสักพักแล้ว ใบหน้าของเธอเต็มไปด้วยความโกรธ
ผู้หญิงคนนี้มีชื่อว่า จางเซี่ย เธอเคยเป็นเพื่อนสนิทของลู่หยวนและหลี่เมิ่งเหยา
ตอนที่ทั้งสองยังคบกันอยู่ ทั้งสามคนไปไหนมาไหนด้วยกันบ่อยๆ และบางครั้งพวกเขาก็นัดกันไปทานอาหารเย็น
“จางเซี่ย นี่เธอ!” คำพูดของจางเซี่ยทำให้หลี่เมิ่งเหยารู้สึกขายหน้า
“เมิ่งเหยาฉันรู้ว่าเธอเป็นคนประเภทที่ไม่แคร์ใคร แต่ก็ไม่คิดว่าเธอจะใจร้ายได้ถึงขนาดนี้ เธอไม่รู้หรือไงว่าตู้เหลียงคนนี้เห็นผู้หญิงเป็นแค่ของเล่น ที่เขาตามใจเธอก็เพราะว่าเธอยังใหม่อยู่ก็เท่านั้น เธอเห็นแก่เงินจนถึงขั้นทำร้ายลู่หยวนเลยเหรอ?” จางเซี่ยมองหลี่เมิ่งเหยาด้วยสายตาผิดหวัง
“เธอยังจำวันนั้นได้ไหม? วันที่เธอไม่สบายกลางดึกแต่เราไม่มีเงินที่จะนั่งรถแท็กซี่ ลู่หยวนแบกเธอขึ้นหลังตั้งหลายกิโลเพื่อพาเธอไปส่งที่โรงพยาบาล เขาถอดชุดคลุมของเขาสวมให้เธอเพราะอากาศมันหนาว เขายืนสั่นอยู่ที่หน้าโรงพยาบาลระหว่างที่รอเธอเข้าตรวจ เธอลืมมันไปแล้วหรือไง!? ต่อมาหลังจากกลับจากโรงพยาบาล เธอบอกว่าเธออยากกินโจ๊กถึงแม้ว่ามันจะดึกมากแล้ว แต่เขาก็ยังออกไปซื้อมาให้เธอ เธอลืมทั้งหมดนี่ไปหมดแล้วเหรอ?”
“ลู่หยวนรักเธอมากและดูแลเธออย่างดีมาตลอด เธอบอกว่าเธออยากได้โทรศัพท์มือถือเครื่องใหม่ เขาก็ตั้งใจทำงานที่ร้านอาหารอย่างหนักเป็นเดือนๆ เพื่อซื้อโทรศัพท์มือถือให้เธอ วันที่เขาไปซื้อฉันก็ไปกับเขา เธอรู้มั้ยว่าวันนั้นเขาดีใจและมีความสุขมากแค่ไหนที่จะได้ซื้อโทรศัพท์เครื่องใหม่ที่เธอต้องการมากกว่าการซื้อให้ตัวเองเสียอีก!”
“พอได้แล้ว! จางเซี่ยถ้าเธอยังอยากเป็นเพื่อนกับฉันอยู่ก็หยุดพูดซะ!” หลี่เมิ่งเหยารู้สึกอับอายจนใบหน้ากลายเป็นสีแดง
“ใช่! ฉันเป็นคนทิ้งลู่หยวนเอง ถึงแม้ว่าเขาจะพยายามขนาดนั้นก็ตาม แล้วยังไงมันก็แค่โทรศัพท์ oppo ราคาถูกเท่านั้น เทียบกับตู้เหลียงที่ซื้อ Apple X ให้ฉันไม่ได้สักนิด ขอโทษละกันที่ฉันชอบ Apple X มากกว่า oppo”
“เมิ่งเหยาเธอเปลี่ยนไปมากเลยนะ ทำไมเธอถึงได้กลายเป็นผู้หญิงหน้าเงินและสิ้นคิดได้ถึงขนาดนี้” จางเซี่ยกล่าว
“จางเซี่ย เธอมีสิทธิอะไรมาตัดสินฉัน! เธอคิดว่าฉันอยากเป็นเพื่อนกับเธอนักเหรอ? ฉันเคยคิดว่าพ่อของเธอเป็นหัวหน้าฝ่ายเพราะงั้นฉันถึงได้ยอมเป็นเพื่อนกับเธอ แต่ความจริงแล้วพ่อของเธอเป็นแค่เลขา ถ้ารู้แบบนี้ฉันไม่น่าไปเป็นเพื่อนกับเธอตั้งแต่แรกเลย ไม่ต้องพูดอะไรอีกแล้ว นับตั้งแต่วันนี้เราไม่ใช่เพื่อนกันอีกต่อไป!”
หลังจากพูดจบหลี่เมิ่งเหยาก็จับมือตู้เหลียงและพูดขึ้นว่า “ที่รักเราไปกันเถอะ อย่าไปสนใจเสียงนกเสียงกาเลย ว่าแต่คืนนี้เราจะไปกินสเต็กกันใช่ไหม?” หลี่เมิ่งเหยาเดินควงแขนตู้เหลียงออกไปด้วยท่าทางหยิ่งผยอง
“อย่าไปสนใจคำพูดเธอเลยลู่หยวน” จางเซี่ยเข้าใจความรู้สึกของลู่หยวนดี “ฉันรู้ว่ามันเจ็บปวดที่นายต้องสูญเสียคนรักไป ไม่คุยเรื่องนี้แล้วดีกว่า วันนี้ฉันจะพานายไปเลี้ยงอาหารเย็นที่ร้านไป่เชิ่งหยวนเอง” (ร้านไป่เชิ่งหยวนเป็นร้านอาหารที่ดีที่สุดในระแวกนั้น)
“ขอโทษนะวันนี้ฉันไม่อยากไปไหนทั้งนั้น ไว้วันหลังฉันจะพาเธอไปเลี้ยงที่ร้านมิชลินแทนก็แล้วกัน” ลู่หยวนกล่าว
“จริงเหรอ?!” จางเซี่ยถามอย่างตื่นเต้น
“จริงสิ”
“ฮ่าฮ่าฉันจะรอวันที่นายพาฉันไปนะ ตั้งแแต่เกิดมาฉันไม่เคยไปกินที่ร้านมิชลินมาก่อนเลย!”
จางเซี่ยอยู่แก่ใจว่ามันเป็นไปไม่ได้ที่ลู่หยวนจะพาเธอไปที่ร้านนั้น เพราะมิชลินเป็นร้านอาหารที่มีชื่อเสียงในระดับสากล และสาขาจินหลิงยังเป็นร้านมิชลินระดับ 3 ดาวอีกด้วย ราคาอาหารที่นั่นสูงมาก ราคาต่อจานอย่างต่ำก็ 800 หยวน
จางเซี่ยคิดว่าลู่หยวนคงพูดเล่น เธอจึงไม่ได้เซ้าซี้อะไรต่อ เธอรู้ว่าตอนนี้ลู่หยวนต้องการที่จะอยู่เงียบๆ มากกว่า
แต่ในความจริง ลู่หยวนสามารถจ่ายได้อย่างสบายมาก ถึงแม้ว่ามิชลินจะเป็นร้านอาหารชั้นนำของโลก แต่ลู่หยวนเขาสามารถทานมันได้ทั้งสามมื้อในแต่ละวัน
ระหว่างทางกลับหอพักลู่หยวนก็บังเอิญพบกับจางฮุยและซงชุน เขาเดินกลับหอพักไปพร้อมกับทั้งสองพร้อมกับถุงดำที่อยู่ในมือ
เมื่อมาถึงทางเข้าหอก็มีเสียงชายที่คุ้นเคยดังออกมา
“เฮ้ ทำไมไม่มีใครอยู่เลยฉันกลับมาแล้วพี่น้อง ทุกคนรีบมากินข้าวกันได้แล้ว!” เสียงชายหนุ่มดังมาจากห้อง 306
“นั่นเสียงเฉินเฟิงนี่เขากลับมาแล้วเหรอ ลู่หยวนเรารีบไปกินอาหารดีๆ กันเถอะ!”
“ครั้งนี้เขาจะต้องมีอะไรอร่อยๆ มาด้วยอีกแน่นอน” จางฮุยและซงชุนรีบวิ่งไปที่ห้อง
เฉินเฟิง จางฮุย ลู่หยวนและซงชุนอยู่หอพักเดียวกัน แต่ไม่ได้อยู่เรียนอยู่คณะเดียวกัน
ลู่หยวน จางฮุยและซงชุนเรียนอยู่คณะบริหาร แต่เฉินเฟิงเรียนอยู่คณะศิลปศาสตร์
หอพักคณะที่เฉินเฟิงเรียนอยู่มีไม่เพียงพอสำหรับรองรับนักศึกษา จึงถูกย้ายมาอยู่หอพักของคณะบริหารแทน
เนื่องจากเฉินเฟิงเรียนอยู่ในคณะศิลปศาสตร์ ทางคณะจะจัดภาพร่างจากทั่วประเทศ เขามักจะได้ออกไปข้างนอกเป็นเวลานานๆ และทุกๆ หนึ่งเดือนเขาก็จะกลับมาพร้อมกับอาหารท้องถิ่นจากพื้นที่ต่างๆ ที่เขาได้ไปมา
“วันนี้มีอะไรอร่อยๆ มาฝากพวกเราหรือเปล่าน้า” ทันทีที่เปิดประตูเข้าไปจางฮุยก็หยุดนิ่ง
ซงชุนสงสัยจึงแทรกตัวตามจางฮุยเข้าไป
ทั้งสองมองหน้ากันอย่างสงสัย เพราะบนเตียงของเฉินเฟิงมีผู้หญิงคนหนึ่งนั่งอยู่