เพื่อนของฉินจิ่วเอ๋อร์โยนถุงพลาสติกลงพื้น “ทิ้งไว้ตรงนี้แหละ! เดี๋ยวคนทำความสะอาดก็มาเก็บมันไปเอง”
ในตอนนั้นเองก็มีเสียงประตูเคลื่อนและมีเดินคนเข้ามา
“จิ่วเอ๋อร์เธอเป็นอย่างไรบ้าง? เจ็บมากไหม? ทั้งหมดมันเป็นความผิดของฉันเอง”
เป็นหวังเหลยที่เปิดเข้ามา หวังเหลยเองก็ได้รับบาดเจ็บเช่นกัน มือเขาถูกพันด้วยผ้าก๊อซ
“ไม่ได้เป็นอะไรมากหรอก แค่หัวกระแทกนิดหน่อยเท่านั้น พักรักษาตัวในโรงพยาบาลอีกสองสามวันก็กลับบ้านได้แล้ว” เมื่อเห็นหวังเหลยใบหน้าที่เย็นชาของฉินจิ่วเอ๋อร์ก็เปลี่ยนเป็นยิ้มแย้มทันที
“ทั้งหมดมันเป็นความผิดของฉันเอง ถ้าฉันไม่พาคุณซ้อนมอเตอร์ไซค์เรื่องแบบนี้ก็คงจะไม่เกิดขึ้น”
หวังเหลยกังวลมากเกี่ยวกับฉินจิ่วเอ๋อร์
จางฮุยและคนอื่นๆเมื่อเห็นที่ฉินจิ่วเอ๋อร์ทำกับลู่หยวนแล้ว พวกเขาก็รู้สึกแย่มาก
แม้แต่เหอหมินก็รู้สึกว่าฉินจิ่วเอ๋อร์ทำเกินไปหน่อย
ลู่หยวนมาเยี่ยมฉินจิ่วเอ๋อร์ แม้ว่าสิ่งที่เขานำมาจะดูไม่ค่อยดีนัก แต่ฉินจิ่วเอ๋อร์กับทำเย็นชาต่อเขา
ในทางตรงกันข้ามฉินจิ่วเอ๋อร์กับมอบความอบอุ่นให้กับหวังเหลย ทั้งๆที่เขาต้องเป็นคนที่ต้องรับผิดชอบที่ทำให้ฉินจิ่วเอ๋อร์ได้รับบาดเจ็บ
แม้แต่ฉินจิ่วเอ๋อร์ก็ไม่คิดที่จะโทษเขา
ทั้งๆที่ตอนนั้นเป็นหวังเหลยเองที่เป็นคนชวนฉินจิ่วเอ๋อร์ซ้อนมอเตอร์ไซค์ไปนั่งรถเล่น
แต่ก็ไม่มีใครพูดอะไรได้ เนื่องจากหวังเหลยเป็นคนช่วยครอบครัวของฉินจิ่วเอ๋อร์เอาไว้
“ถ้าอย่างนั้นจิ่วเอ๋อร์พักผ่อนให้มากๆนะ จะได้หายไวๆพวกเราขอตัวกลับก่อน”
เฉินเฟิงรู้ดีว่าถ้าลู่หยวนอยู่ต่อเขาก็จะรู้สึกแย่มากขึ้นเรื่อยๆ และลู่หยวน จางฮุยและซงชุนก็มีคาบเรียนช่วงบ่ายด้วย
พวกเขาออกจากโรงพยาบาล
หลังจากนั้นไม่นานผู้หญิงคนหนึ่งก็รีบวิ่งเข้าไปในวอร์ด
“จิ่วเอ๋อร์เป็นอะไรมากมั้ย น้าได้ยินมาว่าหนูรถล้ม?!”
ผู้หญิงคนนี้ในวัยยี่สิบกว่าสวมกระโปรงสีเหลืองอ่อนรองเท้าแตะส้นสูงและใส่ต่างหูหัวใจสีฟ้าดูสดใส
“คุณน้า!”
ถ้าไม่ใช่เพราะอาการบาดเจ็บที่ศีรษะฉินจิ่วเอ๋อร์แทบจะพุ่งเข้าไปกอดผู้หญิงคนนั้น
ผู้หญิงที่มาคือน้าสาวของฉินจิ่วเอ๋อร์ชื่อว่าหลิงหลาน
แม้ว่าหลิงหลานจะมีศักดิ์เป็นน้าของฉินจิ่วเอ๋อร์แต่เธออายุมากกว่าฉินจิ่วเอ๋อร์เพียงแค่ 3 ปีกล่าวได้ว่าไม่เกินเลยที่จะเป็นเพื่อนกัน ความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองนั้นไม่เหมือนน้ากับหลานแต่เหมือนพี่สาวน้องสาวมากกว่า
หลังจากเกิดอุบัติเหตุฉินจิ่วเอ๋อร์ไม่กล้าคุยกับพ่อแม่ เธอจึงต้องโทรหาหลิงหลานแทน
“คุณน้าหนูไม่ได้เป็นอะไรมาก หมอบอกว่ามีรอยถลอกนิดหน่อยเท่านั้นเองจริงๆแล้วไม่ต้องมาเยี่ยมหนูก็ได้” ฉินจิ่วเอ๋อร์กล่าว
การแสดงออกที่ประหม่าของหลิงหลานในที่สุดก็ผ่อนคลายลงเล็กน้อย
เมื่อเหลือบไปเห็นบาดแผลที่แขนของหวังเหลยหลิงหลานก็ขมวดคิ้ว
“ฉันได้ยินว่ามาคุณเป็นคนพาจิ่วเอ๋อร์ซ้อนรถมอเตอร์ไซค์ไปและยังขับด้วยความเร็วมาก ไม่มีความระมัดระวังเอาสะเลย โชคดีที่ครั้งนี้ไม่ได้เป็นอะไรมาก แต่ถ้ามันเลวร้ายกว่านี้ล่ะ คุณจะรับผิดชอบไหวเหรอ?!”
หลิงหลานรู้สึกเสียใจที่ฉินจิ่วเอ๋อร์ต้องประสบอุบัติเหตุ ด้วยความที่เธอมีอายุมากกว่าและทำงานแล้ว และมีประสบการณ์ทางสังคมมากมาย เธอมองไปที่หวังเหลยด้วยสายตาที่ไม่พอใจอย่างมาก
“คุณน้าอย่ากล่าวโทษหวังเหลยเลยค่ะ พ่อของเขาเป็นคนช่วยจัดการปัญหาให้กับกิจการของครอบครัวหนู” ฉินจิ่วเอ๋อร์รู้ว่าหลิงหลานนั้นพูดเก่งเป็นพิเศษกังวลว่าหวังเหลยจะอารมณ์เสีย ดังนั้นเธอจึงรีบบอกหลิงหลานเกี่ยวกับเรื่องที่หวังเหลยเคยช่วยเธอไว้
แน่นอนว่าหลิงหลานก็รู้เรื่องที่เกิดขึ้นกับกิจการของครอบครัวของฉินจิ่วเอ๋อร์เช่นกัน
ในตอนนั้นเธอเองก็กังวลเกี่ยวกับเรื่องครอบครัวของพี่เขยมาก และได้ขอให้ใครสักคนช่วยแต่มันก็ไม่ได้ผล
ต่อมาเธอก็ได้รับโทรศัพท์จากพี่สาว เหตุการณ์ปกติแล้ว
หลิงหลานรู้สึกโล่งใจ แต่เธอก็สงสัยเช่นกันว่าพี่เขยนั้นพบความสัมพันธ์แบบไหนเขาถึงได้แก้ปัญหาได้อย่างง่ายดาย?
ไม่คาดคิดว่าหวังเหลยเพื่อนรวมชั้นของฉินจิ่วเอ๋อร์นั้นจะเป็นคนช่วย…
หลิงหลานไม่ได้เชื่อคนง่ายเหมือนกับฉินจิ่วเอ๋อร์
“จิ่วเอ๋อร์นี่เป็นแค่การคาดเดาของเธอ” หลิงหลานเธอเป็นผู้ใหญ่และหลังจากได้ฟังจิ่วเอ๋อร์เล่าเรื่องทั้งหมด เธอก็ยังไม่แน่ใจดังนั้นเธอจึงพูดกว่าหวังเหลยว่า “หวังเหลยคุณช่วยโทรหาพ่อของคุณอีกครั้งได้ไหม เพื่อยืนยันว่าพ่อของคุณเป็นคนจัดการเรื่องนี้จริงๆ!?”
“คุณน้า หนูว่าไม่จำเป็นต้องโทรแล้ว นี่มันก็ชัดเจนมากแล้วทำไมเราต้องโทรไปถามเพื่อยืนยันด้วย?” ฉินจิ่วเอ๋อร์ขมวดคิ้ว
เธอเชื่อไปแล้วว่าหวังเหลยเป็นคนช่วยชีวิตของเธอ ไม่งั้นจะมีใครอีกล่ะ?
เมื่อมองไปที่น้าสาวก็เห็นได้ชัดว่าเธอนั้นไม่เชื่อ ฉินจิ่วเอ๋อร์รู้สึกว่านี่อาจจะทำให้หวังเลยรู้สึกอับอาย
“ได้สิ” หวังเหลยเย้ยหยัน “แต่ไม่จำเป็นต้องโทรหาพ่อฉันเพื่อยืนยันหรอก ลุงฉินยืนยันเองว่าไม่มีใครช่วยได้และญาติของคุณก็ไม่ช่วยเช่นกัน มีเพียงพ่อของฉันเท่านั้นที่ไปพบผอ.หวง นี่มันยังไม่ชัดเจนพออีกเหรอ?”
หวังเหลยจงใจเน้นย้ำว่าไม่มีญาติของตระกูลฉินคนไหนช่วยได้ ซึ่งหลิงหลานนั้นก็เป็นญาติของตระกูลฉินเช่นกัน
แน่นอนว่าประโยคนี้นั้นทำให้หลิงหลานโกรธมาก
“ถ้าคุณมั่นใจขนาดนี้ก็โทรถามอีกครั้งเพื่อยืนยันสิ ถ้าพ่อของคุณเป็นคนช่วยจริงๆเราจะตอบแทนคุณอย่างแน่นอน!” หลิงหลานพยายามระงับความโกรธของเธอและพูดอีกครั้ง
“ฮ่าๆก็ได้ ฉันไม่เคยเห็นคนอวดดีแบบนี้มาก่อน”
หวังเหลยพูดพลางหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาและเริ่มโทรหาพ่อของเขา
เขาไม่รู้สึกกลัวด้วยซ้ำ หวังเหลยมั่นใจว่าต้องเป็นความช่วยเหลือของพ่อเขาแน่
“ฮัลโหลพ่อ!”
พ่อของเขาได้รับสาย
“ว่าไงลูกชาย”
“พ่อผมถามอะไรหน่อย เรื่องที่ผมขอให้พ่อติดต่อคอนเน็คชั่นเพื่อช่วยบริษัทจิ่วเจียงจากการคุกคามของเชิ่งถังกรุ๊ป พ่อบอกผมทีว่าได้ไปติดต่อกับผู้อำนวยการหวงเรียบร้อยแล้ว!” หวังเหลยกล่าว
“เออใช่! พ่อลืมบอกไป” หวังหยิงพูด “วันนี้ที่พ่อไปหาผอ.หวงแต่ก็ไม่ได้คุยกับเขา หลังจากรอนานกว่าสองชั่วโมงเขาก็ออกมาและรีบขึ้นรถออกไป น่าจะมีธุระด่วนเลขาของเขาจึงบอกให้พ่อกลับมาก่อน…”
แน่นอนว่าหวังหยิงไม่รู้ว่าลูกชายของเขาและฉินจิ่วเอ๋อร์นั้นกำลังเข้าใจผิด จึงบอกไปตามความจริง
เมื่อหวังเหลยได้ยินแบบนี้หัวใจของเขาก็เต้นแรง
พ่อไม่ได้เป็นคนช่วย?!
หวังเหลยไม่คิดว่ามันจะเป็นแบบนี้
เขาเข้าใจมาตลอดว่ามันต้องเป็นเพราะคอนเน็คชั่นของพ่อแน่ๆ เพราะถ้าไม่ใช่พ่อเขาจะมีใครอีกล่ะ?
“โอเคผมเข้าใจแล้ว ขอบคุณครับพ่อสำหรับความช่วยเหลือ!” หวังเหลยพูดเสียงดังและวางสายโทรศัพท์
หวังเหลยหันหน้าไปพูดกับหลิงหลานอย่างหยิ่งยโส “ฉันได้ยืนยันกับพ่อของฉันแล้วว่าพ่อของฉันได้ติดต่อกับผอ.หวงของสำนักงานภาษีเพื่อจัดการเรื่องนี้ ตอนนี้คุณเชื่อหรือยัง?”
“หนูเคยบอกคุณน้าไปแล้ว แต่คุณน้าก็ยังไม่เชื่อหนู การที่ขอให้หวังเหลยโทรไปยืนยันกับพ่อของเขาอีกครั้งนั้นมันเสียมารยาทมาก” ฉินจิ่วเอ๋อร์รีบพูด
“โอเคๆ แต่ถึงอย่างนั้นเราก็ต้องยืนยันเรื่องนี้”
ใบหน้าของหลิงหลานแสดงท่าทีลำบากใจและพูดออกมาเบาๆ
เธอเชื่อเพราะคิดว่าหวังเหลยคงไม่กล้าที่จะหลอกลวงพวกเธอ
“โอเคๆน้าจะไม่พูดถึงมันแล้ว ดีแล้วที่หลานไม่ได้เป็นอะไรมาก นี่น้าอุตส่าห์รีบมาจากบริษัทเพื่อมาดูหลานเลยนะ” หลิงหลานพูดขณะที่มองดูของเยี่ยมต่างๆที่วางอยู่บนโต๊ะข้างๆเตียงและต่อพูดพร้อมกับยิ้มว่า “มีคนเอาของมาเยี่ยมเธอเยอะเหมือนกันนะเนี่ย”
“คุณน้าถ้าชอบก็กินได้เลยนะ” ฉินจิ่วเอ๋อร์กล่าว
ถึงหลิงหลานจะเกรงใจ แต่เธอก็ไม่สามารถต้านทานต่อของกินที่อยู่ตรงหน้าได้ “โอ้ว! ทุกอย่างน่ากินไปหมดเลย หือ…. แล้วถุงนี่ทำไมถึงตกอยู่ที่พื้นล่ะ?”
“น้าอย่าไปแตะมัน นั่นมันขยะ!”
ถุงนี้เป็นผลไม้ที่ลู่หยวนนำมาในตอนนั้น ทันใดนั้นฉินจิ่วเอ๋อร์ก็รู้สึกอายเล็กน้อย ถ้าปล่อยให้ใครรู้เข้าว่านี่เป็นของฝากที่มีคนนำมาเยี่ยมมันคงจะสร้างความอับอายให้เธออย่างมาก
แต่มันสายไปแล้ว หลิงหลานเปิดถุงดูแล้ว
“ว้าว!”
หลิงหลานหยิบผลไม้ขึ้นมาและดูมันอย่างระมัดระวัง
ฉินจิ่วเอ๋อร์รู้สึกอายแล้วพูดออกมา “มันเป็นผลไม้ป่า อย่าไปกินมันนะ”
ถ้าเธอรู้ว่าจะเป็นแบบนี้ เธอคงโยนมันทิ้งออกไปตั้งแต่แรกแล้ว
“ผลไม้ป่า…?” หลิงหลานพูดด้วยความประหลาดใจ “นี่คือผลอาเกตของชิลี!”
“ผลอาเกตจากชีลีมันคืออะไร?” ฉินจิ่วเอ๋อร์ตะลึง
“โอ้ นี่คือเบอร์รี่ชั้นยอดที่พบได้เฉพาะในอเมริกาใต้ ส่วนใหญ่ปลูกในชิลี เบอร์รี่ชนิดนี้หายากมาก น้าเคยเห็นมันแค่ครั้งเดียวตอนที่เจ้าของบริษัทพาไปทานอาหารเย็นที่โรงแรมปี่ลี่ เขาเสิร์ฟผลไม้ชนิดนี้เป็นเมนูสุดท้ายเพราะว่ามันแพงมาก มีไม่กี่คนที่จะได้กินมัน รสชาตินั้นกล่อมกล่อมให้ความรู้สึกหอมนุ่มในปากหลังทาน”
หลิงหลานยังพูดต่อ “บอกตามตรงว่าน้าหลงใหลในรสชาติของมันมาก แต่ก็ไม่เคยได้กินมันอีกเลยเพราะว่ามันแพงเกินไปและก็หายากมาก แต่นี่มันเยอะมาก คนที่นำมันมาให้เธอต้องเป็นคนรวยรุ่นที่สองอย่างแน่นอนใช่มั้ย?”
อะไรนะ?
ฉินจิ่วเอ๋อร์ตะลึง
นี่เป็นสิ่งที่ลู่หยวนนำมา เขาเป็นรุ่นที่สองที่ร่ำรวยที่ไหนกัน?
เขาเป็นแค่คนจน มันจะเป็นไปได้เหรอที่จะเอาผลไม้ล้ำค่านี้มาเยี่ยม
“คุณน้าไม่ได้หลอกหนูใช่ไหม?” ฉินจิ่วเอ๋อร์ยังคงไม่เชื่อ
“หลานจะเชื่อเอง เมื่อหลานได้ลองกินมัน” ขณะที่หลิงหลานพูดเธอก็หยิบเบอร์รี่เข้าปากด้วยสีหน้ามีความสุข “มันอร่อยมาก!”
เมื่อเห็นว่าน้าของเธอกินใกล้จะหมดแล้ว ฉินจิ่วเอ๋อร์จึงลองกัดไปครึ่งคำด้วยความไม่เชื่อ
เมื่อได้ลองชิมฉินจิ่วเอ๋อร์ก็ตกใจกับรสชาติเหมือนกัน ว้าว! มันอร่อยและหอมมาก
ในเวลานี้ เหอหมินและคนอื่นๆก็จ้องมองด้วยความอยากรู้อยากเห็นและเข้ามาลองชิม
“อร่อยจัง!”
“ใช่ มันหวานมาก”
ไม่นานผลไม้ทั้งถุงที่ลู่หยวนนำมาก็หายวับไปกับตา
“ดูเหมือนว่าการโดดงานครั้งนี้จะไม่ขาดทุนแล้ว ฉันได้กินของอร่อยๆแบบนี้ดีจริงๆ” หลิงหลานเลียริมฝีปากของเธอและพูดด้วยรอยยิ้ม “เอาล่ะถึงเวลาที่น้าจะต้องกลับแล้ว”
หลิงหลานเดินไปที่ประตูและหันกลับมาพูดกับฉินจิ่วเอ๋อร์ว่า “อย่าลืมไปขอบคุณคนที่นำผลไม้นี้มาให้ด้วยล่ะ มันช่างเป็นของฝากที่ราคาแพงมาก”
หลังจากที่หลิงหลานจากไปเหอหมินก็พูดว่า “จิ่วเอ๋อร์เธอเขาใจลู่หยวนผิดไปมากแล้ว เขาอุตส่าห์เอาของฝากราคาแพงนี้มาให้ แต่เธอยังไปพูดแบบนั้นกับเขา ฉันคิดว่าเธอควรจะต้องไปขอโทษเขานะ”
“นี่……”
ฉินจิ่วเอ๋อร์ก็พูดไม่ออกเหมือนกัน แต่เธอก็ยังมั่นใจ “หึ! คิดว่าคนจนอย่างเขาจะมีปัญหาซื้อของแพงๆแบบนี้ได้งั้นเหรอ? บางทีเขาอาจจะไปขโมยมันมาก็ได้”
ตอนนี้กลายเป็นเหอหมินที่พูดไม่ออก
ก็จริงอย่างที่ฉินจิ่วเอ๋อร์พูด คนจนๆอย่างลู่หยวนจะซื้อของมีค่าอย่างนี้ได้ยังไง?
MANGA DISCUSSION