โชคชะตาตื้นมาก แต่ความรักนั้นลึกซึ้ง - ตอนที่ 181 ปล่อยผ่านไป
ตระกูลฉวน เป็นหนึ่งในครอบครัวที่เก่าแก่ของเมืองz ในช่วงยุคสมัยที่เกิดความวุ่นวายบรรพบุรุษของตระกูลฉวนถูกเดินขบวนขับไล่
แต่หลังจากที่พวกเขารอดจากวิกฤติการณ์นั้นมาได้ พวกเขาก็จัดการกับพวกที่เคยต่อต้านเขาให้หายไปจากเมืองz
งานเลี้ยงวันเกิดถูกจัดขึ้นที่โรงแรมที่ดีที่สุดในเมืองz ‘โรงแรมโรมัน’
อันหรันเดินตามหลังฮั่วเทียนหลัน พวกเขาไม่ได้จับมือกัน เดินเข้าประตูโรงแรมไปโดยปริยาย
พอเดินเข้าไปก็มีคนคอยต้อนรับ
“คุณชายฮั่ว คุณนายฮั่ว เชิญเดินมาทางช่องวีไอพีคะ”
ทั้งสองคนเดินไปทางช่องวีไอพีทางขวา ของชำร่วยต่างๆก็ส่งให้กับคนขับรถไปแล้ว
พอถึงห้องจัดงานเลี้ยง ฮั่วเทียนหลันงอแขนของเขาขึ้นเล็กน้อย และแน่นอนว่าอันหรันก็เข้าใจว่าเขาหมายถึงอะไร
เธอรู้สึกแปลกใจ แต่ก็ไปควงแขนของฮั่วเทียนหลัน
ในที่สาธารณะ ก็ควรที่จะรักษาหน้าตาเอาไว้
ฮั่วเทียนหลันพาอันหรันเข้าไปในงานเลี้ยง พอถึงที่ที่มีคนคุ้นเคยก็ทักทายพวกเขาตามมารยาท หลังจากนั้นทั้งสองก็ปล่อยมือกัน
เขาไม่ได้พูดอะไร แต่อันหรันก็รู้ว่าตัวเองต้องทำอะไรต่อไป การที่ฮั่วเทียนหลันทำแบบนี้คือการให้อันหรันไปหาที่นั่งอยู่สักที่หนึ่ง
เธอไปนั่งอยู่อีกด้านหนึ่ง มองฮั่วเทียนหลันพูดคุย สัมมนากับคนเพื่อนฝูง
เธอนั่งอยู่คนเดียว รู้สึกเหงาเล็กน้อย
เธอนั่งไปสักพัก ก็มีผู้หญิงหน้าตาน่ารักคนหนึ่งเข้ามาให้สายตาของเธอ
“พี่เทียนหลัน!” ผู้หญิงคนนั้นมองดูแล้วอายุประมาณยี่สิบปี เธอเข้ามาควงแขนของฮั่วเทียนหลัน
“ฉีเหลียน กลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่?” เมื่อเห็นผู้หญิงคนนี้ใบหน้าของฮั่วเทียนหลันก็อ่อนโยน และใจดีขึ้นมาทันที ทำให้รู้เลยว่าเขาชอบผู้หญิงคนนี้
เมื่อได้ยินชื่อเขาเธอ อันหรันก็รู้แล้วว่าเธอเป็นใคร
เป็นหลานสาวของตระกูลฉวน ฉวนฉีเหลียน จบปริญญาเอกตอนอายุสิบห้า หลังจากนั้นก็ไปสร้างธุรกิจทางด้านเสริมความงาม ผ่านไปสามปีธุรกิจของเธอก็เติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว ตอนนี้มีเป็นพันๆสาขา เธอเป็นผู้หญิงที่เก่งจนไร้คู่แข่ง
ดวงตาของอันหรันดูเศร้าหมอง แต่ไม่นานมันก็หายไป
อันหรันรู้ดีว่าฮั่วเทียนหลันไม่ได้รักเธอ ดังนั้นเป็นธรรมดาที่จะเห็นผู้หญิงคนอื่นมาอยู่รอบๆตัวเขา ตอนนี้เธอก็รู้สึกชินกับอะไรแบบนี้ไปแล้ว
บางครั้ง การรู้ว่าความจริงก็เป็นสิ่งจำเป็น
เธอลุกขึ้น และหาที่นั่งที่ไกลกว่าเดิม
ฉวนฉีเหลียนกำลังพูดคุยกับฮั่วเทียนหลันอย่างสนุกสนาน ถ้าไม่ใช่คนที่เขาชอบจริงๆ ก็หาได้อยากว่าเขาจะคุยกับใครด้วยอากัปกิริยาแบบนี้
ฮั่วเทียนหลันเห็นอันหรันที่กำลังเดินออกมา ใจของเขาก็รู้สึกโกรธขึ้นเล็กน้อย
เธอทำแบบนี้หมายความว่าไง เธอกำลังคิดอะไรกันอยู่กันแน่?
อันหรันนั่งลง ข้างๆของเธอก็มีผู้หญิงสองสามคนกำลังคุยกัน
หนึ่งในนั้นรู้จักอันหรัน เธอค่อยๆยกนิ้วชี้มาทางอันหรัน
ผู้หญิงพวกนี้อยู่บ้านว่างจนจะบ้า ดังนั้นสิ่งที่พวกเธอชอบมากที่สุดก็คือการซุบซิบนินทาคนอื่น
หลังจากที่เธอเห็นอันหรัน ทันใดนั้นพวกเธอก็มานั่งรอบๆตัวอันหรัน
“คุณนาย เจอกันครั้งแรก ฉันชื่อ หวังชิง จาก Tianyi Investment”
ตอนที่หวังชิงแนะนำตัวเอง หน้าตาของเธอมีท่าทางเยาะเย้ย
อันหรันรู้จัก Tianyi Investment ตอนที่ตระกูลอันวุ่นวาย บริษัท Tianyi ก็มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องในตอนนั้น
“คุณนายหวัง ได้ยินชื่อเสียงมานานแล้ว” อันหรันยิ้มเคี้ยวๆตอบกลับ
หวังชิงมองไปที่ชุดที่อันหรันกำลังสวมอยู่ ตาของเธอก็เปล่งประกาย แล้วถามขึ้นมาว่า “คุณนายฮั่ว ขอถามหน่อยได้ไหม ชุดที่คุณกำลังสวมใส่อยู่ ไม่ทราบว่าไปตัดจากร้านไหนค่ะ?”
อันหรันก้มหน้าลงไปมอง ชุดที่เธอใส่อยู่ เป็นชุดที่หัวเสี่ยวน่าให้เธอมาในครั้งที่แล้ว
เธอบอกว่านี่เป็นชุดที่เธอออกแบบมาล่าสุด ทำมาให้กับอันหรันโดยเฉพาะ ถ้าอันหรันใส่มันรับรองว่าจะต้องสวยมากๆแน่
อันหรันตอบไปด้วยเสียงเบาๆ “นี่เป็นชุดที่น้องสาวของฉันออกแบบมาให้”
หวังชิงขมวดคิ้วเล็กน้อย เม้มปาก อ่า…
เธอดูหมิ่นอันหรัน ทำไมผู้หญิงคนนี้โกหกทั้งทีทำไมไม่หาเหตุผลให้มันดีกว่านี้นะ!
ชุดที่ออกแบบมาได้ละเอียดอ่อนและงดงามขนาดนี้ จะเป็นชุดที่น้องสาวของเธอทำได้อย่างไร? เพื่อให้ตัวเองโดดเด่นอยู่คนเดียว ดังนั้นเลยไอยากบอกคนอื่น ไม่อยากให้คนอื่นดูดีเหมือนตัวเองหละสินะ
แววตาของหวังชิงมองลงมาที่มือของอันหรัน เห็นว่ามันว่างเปล่า และคิดถึงข่าวลือล่าสุดจึงถามออกไปว่า “คุณนายฮั่ว แหวนแต่งงานของคุณหละ? ลืมใส่มาหรอ?”
คำพูดนี้ของเธอ ทำให้แววตาของผู้หญิงรอบๆจดจองมาที่อันหรัน
ช่วงนี้ที่เมืองz มีข่าวฮอต ว่าใครคือลูกสะใภ้ตัวจริงของตระกูลฮั่ว? และใครที่เป็นมือที่สาม?
อันหรันเป็นคนที่แต่งงานอย่างเป็นทางการกับฮั่วเทียนหลัน แต่ว่าฮั่วเทียนหลันไม่ได้รักเธอ
คนที่ฮั่วเทียนหลันรักมาตลอดก็คือมู่เหว่ย ถ้าเกิดไม่มีอันหรัน ลูกสะใภ้ของตระกูลฮั่วก็ต้องเป็นเธออย่างแน่นอน
อันหรันยิ้มออกมาเล็กน้อย นี่เป็นเรื่องที่เธอคิดไว้อยู่แล้ว
งานเลี้ยงวันเกิดใหญ่ขนาดนี้ ต้องมีคนที่อยากรู้เรื่องของเธอแน่นอน
เธอทักทายพนักงานเสิร์ฟ ให้หยิบกล่องที่เธอฝากไว้ออกมา
ด้านในนั้นมีกล่องเล็ก ภายในกล่องมีแหวนเล็กอยู่หลายวง
แหวนวงเล็กๆเหล่านั้น ถ้าคนที่รู้จักสิ่งของนี้มาเห็นเข้า ก็รู้ได้ทันทีว่าเป็นของที่มีมูลค่ามาก
ตระกูลฮั่วร่ำรวย ถึงแม้ว่าฮั่วเทียนหลันจะไม่ได้ซื้ออะไรให้อันหรัน แต่หลี่รูยา เมื่อเธอเห็นของดีๆ เธอก็มันจะซื้อของเหล่านั้นมาให้อันหรัน
ถึงแม้ในด้านความรู้สึกมันอาจจะไม่ได้ช่วยอะไร แต่เมื่อเทียบกับหน้าตาในสังคม อันหรันเป็นสะใภ้ที่มีเกียรติที่สุดของตระกูลฮั่ว
อันหรันหยิบแหวนวงที่แวววาวที่สุดออกมาสวม จากนั้นเธอสะบัดนิ้ว นั้นทำให้ผู้หญิงที่กำลังจ้องมองเธออยู่รอบๆ เกือบจะถูกแสงที่เปล่งออกมาจากแหวนทำให้ตาบอด
หวังชิงทำงานเกี่ยวกับการลงทุน เกี่ยวกับพวกอัญมณีเธอก็ศีกษามาไม่น้อย แค่มองเธอก็รู้แล้ว แหวนวงนี้ปรากฏอยู่ในงานประมูล LD เมื่อเดือนที่แล้ว โดยราคาเริ่มต้นของมันคือ 9 หลัก
นี่เป็นการโต้กลับอย่างโจ่งแจ้ง ทำให้หวังชิงหน้าแตก
เธอยิ้มออกมาด้วยอาการเสียหน้า พร้อมพูดออกมาว่า “คุณนี่ช่างโชคดีจริงๆ ที่ฮั่วเทียนหลันเอ็นดูคุณขนาดนี้”
บรรยากาศเต็มไปด้วยความอึดอัด แต่โชคดีที่งานเลี้ยงวันเกิดก็เริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการ
อันหรันเดินมานั่งข้างๆฮั่วเทียนหลัน เธอนั่งอยู่ด้านขวาของฮั่วเทียนหลัน และอีกด้านหนึ่งของฮั่วเทียนหลันก็คือฉวนฉีเหลียน
ตงหยงซี่นั่งอยู่อีกด้านหนึ่งของอันหรัน เขาเห็นการนั่งแบบนี้ก็คิดว่ามันแปลกๆ
ในฐานะที่เป็นลูกพี่ลูกน้องของฮั่วเทียนหลัน แน่นอนเขารู้ว่าฉวนฉีเหลียนคิดอย่างไรกับฮั่วเทียนหลัน
เขาไอออกมาเบาๆ “ฉีเหลียน งานวันเกิดนี้คนมามากมาย เธอไม่ไปช่วยประคองคุณปู่ของเธอหน่อยหรอ?”
ฉวนฉีเหลียนไม่ใช่เด็กหัวอ่อน เธอสามารถทำตัวน่ารักเมื่ออยู่ต่อหน้าฮั่วเทียนหลัน แต่ว่าสำหรับคนอื่น เธอไม่สนใจ
“ลูกพี่ตง คุณจะมาห่วงอะไรมากมาย? ฉันไม่ได้เจอกับพี่ฮั่วเทียนหลันมาตั้งนาน นั่งคุยกับเขาสักเดี๋ยวพี่มีปัญหาหรอ?”
อันหรันถึงกับอุ้ง เรียกกันว่า ลูกพี่ตง ทำให้เธอคิดว่ามันก็น่ารักดีนะ
ตงหยงซี่ถึงกับหน้าแดง เขากำลังจะพูดอะไรสักอย่าง แต่เมื่อได้ยินเสียงไอของฮั่วเทียนหลันเขาก็หยุดความคิดนั้น
ดังนั้นเขาจึงทำได้แค่มองไปที่ฉวนฉีเหลียนด้วยสายตาที่หมั่นไส้ เขานั่งลงพร้อมพูดว่า “พี่สะใภ้ คุณกับพี่รองเดี๋ยวนี้ค่อยดูเหมือนสามีภรรยากันหน่อย!”
ใจของอันหรันรู้สึกโดดเดี่ยว เธอรู้ว่าที่ตงหยงซี่พูดออกมาก็แค่พูดเป็นพิธีเท่านั้น
เกี่ยวกับความสัมพันธ์ เธอคิดว่าสำหรับฮั่วเทียนหลันแล้วมู่เหว่ยคงเป็นคนที่เหมาะสมที่สุด!
แต่ว่าก็ไม่ควรไปทำร้ายน้ำใจเขา อันหรันจึงหัวเราะออกมาเบาๆ พูดออกมาแบบอ่อนโยนว่า “หยงซี่ หญิงสาวที่นั่งอยู่ข้างๆนาย ก็เหมาะสมกับนายไม่น้อยนะ!”
ข้างกายของตงหยงซี่มี่ผู้หญิงนั่งอยู่หนึ่งคน เธอสวย มีนิสัยที่อ่อนโยน แต่ดูเหมือนว่าเธอไม่ชินกับที่ที่มีคนพลุกพล่าน มือทั้งสองข้างของเธอประสานกันอย่างแน่น
มีเสียงที่เย็นชาดังออกมา ฉวนฉีเหลียนไม่ได้สนใจกับคำพูดพวกนี้แม้แต่น้อย เธอพูดออกมาว่า “ลูกพี่ตง คุณไปเรียนรู้วิธีประจบสอพลอมาตั้งแต่เมื่อไหร่?”
ใบหน้าของตงหยงซี่แดงขึ้นอย่างรวดเร็ว และพูดออกมาด้วยความโกรธว่า “ฉีเหลียน เธอเรียกฉันแบบนี้อีกแล้วนะ….”
เขายังพูดไม่ทันจบ แต่ฉวนฉีเหลียนก็พูดออกมาเรื่อยๆว่า “ลูกพี่ตง ลูกพี่ตง ลูกพี่ตง….”
พูดติดต่อกันเจ็ดถึงแปดครั้ง ทำให้คนในโต๊ะรู้สึกขบขันกับท่าทางที่น่ารักของเธอ
มีแต่อันหรันที่รู้ ในตอนที่เธอพูดว่าประจบสอพลอ แววตาของเธอมองมาที่อันหรันด้วยความดูถูก
ฉวนฉีเหลียนลุกขึ้นยืนพร้อมกับยกแก้วไวน์ขึ้นมาจะชนกับอันหรัน “พี่สะใภ้ เจอกันครั้งแรก ตอนที่ฉันเป็นเด็กฉันชอบพี่เทียนหลันเอามากๆ และคิดมาโดยตลอดว่าจะมาเป็นผู้หญิงของเขา ไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะมาโดนเธอแย่งไป พี่เทียนหลันเป็นผู้ชายที่ฉลาด หวังว่าเธอคงจะรักษาเขาไว้ให้ดีนะ!”
คำพูดทั้งหมดของฉวนฉีเหลียน เต็มไปด้วยความริษยาและเหน็บแนม แน่นอนว่าอันหรันก็รับรู้ได้
เธอยิ้มออกมาเบาๆ ยกแก้วไวน์ขึ้นมาชนกับฉวนฉีเหลียนพร้อมพูดว่า “ดูเหมือนว่าฉันจะแย่งเทพบุตรของสาวๆทุกคนมาแล้ว งั้นฉันหวังว่าสาวๆที่เหลือจะหาคนที่ดีกว่าเขาได้นะ”
พูดจบ อันหรันก็ค่อยๆเม้มปาก และเธอก็ไม่ได้พูดอะไรต่อ
ตอนแรกที่ฉวนฉีเหลียนพูดออกมา เธอคิดที่จะไว้หน้าฮั่วเทียนหลัน แต่หลังจากที่ได้ยินคำพูดของอันหรัน ตอนนี้เธอรู้สึกเจ็บปวดไม่น้อย
ตงหยงซี่พยายามเตือนสติฉวนฉีเหลียนหลายครั้ง จนเกือบจะทำให้เธอรำคาญ
ตั้งแต่แรกจนถึงตอนนี้ฮั่วเทียนหลันยังคงเงียบมาโดยตลอด มากสุดก็แค่พยักหน้า ราวกับเขาไม่สนใจว่าผู้หญิงที่ถูกว่าร้ายคือผู้หญิงของเขา
ในตอนนี้ มีคนเอามือมาแตะเบาๆที่หลังของฉวนฉีเหลียน พร้อมพูดออกมาว่า “ฉวนฉีเหลียน มาคารวะเหล้ากับปู่!”
ฉวนฉีเหลียนหันกลับไปมอง เห็นว่าเป็นคุณปู่ ใบหน้าของเธอก็ยิ้มด้วยความสดใส “คุณปู่ค่ะ หนูอยากอยู่นี่กับพี่เทียนหลัน!”
คุณปู่มองมาที่หน้าของฮั่วเทียนหลัน ทันใดนั้นฮั่วเทียนหลันก็พูดออกมาคำแรกว่า “ฉีเหลียน ฟังที่คูณปู่ท่านพูดสิ!”