โชคชะตาตื้นมาก แต่ความรักนั้นลึกซึ้ง - ตอนที่ 139 งานเลี้ยง
รอจนงานเลี้ยงเลิกลา สติของอันหรันก็เลือนรางจนควบคุมตัวเองไม่ได้ เธอเอนตัวพิงเข้ากับโซฟา ภาพของเหลียวซิรงและหลี่เฉียนตรงหน้าเบลอขึ้นไปเรื่อยๆ
หลี่เฉียนขมวดคิ้วเล็กน้อยพร้อมพูดด้วยน้ำเสียงตำหนิ :“ซิรง ฉันบอกแล้วว่าอย่าให้อันหรันดื่มเยอะ เห็นไหมตอนนี้เธอเมาจนไม่มีสติแล้ว!”
เหลียวซิรงมองไปที่ใบหน้าเล็กของอันหรันที่ตอนนี้มีสีแดงระเรื่อ เธอเมาจนไม่เหลือสติ แต่กลับดูน่ารักขึ้นเป็นพิเศษซะอย่างงั้น :"เมาก็ดีแล้ว เธอดูอันหรันสิ เห็นได้ชัดเลยว่าสภาพจิตใจของเขาไม่ค่อยจะดี เพราะในวงการต่างก็พากันพูดถึงเรื่องที่ฮั่วเทียนหลันไม่ชอบเธอ เรื่องแบบนี้ไม่ใช่ว่าจะเอามาพูดเล่นซี้ซั้ว มันจะต้องมีหลักฐานอยู่แล้ว ทุกวันนี้การที่ได้อยู่ในตระกูลที่ดีร่ำรวยที่มีอิทธิพลแบบนี้ ถ้าไม่มีครอบครัวที่ดี ก็ทำจะให้อยู่ในสังคมแบบนี้ยาก!"
พวกเขาทั้งสองคนเป็นเพื่อนของอันหรัน ดังนั้นพวกเขารู้ดีว่าครอบอันเป็นเช่นไร และทำอะไรกับอันหรันไว้บ้าง
หลี่เฉียนไม่ได้ดื่มเหล้าจึงต้องทำหน้าที่สารถี ส่วนเหลียวซิรงก็ได้ประคองร่างของอันหรันไว้ ยืนรอหลี่เฉียนขับรถมาที่ด้านหน้าโรงแรม
มองไปที่รถคันตรงหน้า อันหรันเริ่มมีท่าทางใจลอย มองเห็นคนที่อยู่ตรงหน้าเป็นภาพซ้อนกันหลายๆคน เขาพูดต่อ:“ ฉ…เฉียน เฉียนเฉียน ทำไม…เยอะขนาดนั้นล่ะ เธอ…”
หลี่เฉียนสีหน้าไม่ค่อยดี เพราะอันหรันที่มีสภาพเมาไร้สติแบบนี้ คนที่มาร่วมงานต่างได้เห็นสภาพเมาไร้สติของเธอ
เพื่อไม่ให้งานเลี้ยงเปลี่ยนเป็นฉากละครมอมเมา หลี่เฉียนและเหลียวซิรงจึงรีบอุ้มอันหรันยัดเข้าไปในรถทันที
อันหรันไม่ได้ขันขืน แต่กลับกลายเป็นว่าคว้าอะไรได้ก็คว้า
ยังดีที่ตัวเธอไม่หนักนัก แต่ถึงอย่างนั้นสองคนที่ช่วยพยุงอันหรันอยู่นาน เมื่อจัดการวางเธอลงที่ได้ หน้าผากก็ชุ่มไปด้วยเหงื่อไม่น้อย
หลี่เฉียนใช้มือปาดเหงื่อที่หน้าผาก หลังจากขึ้นรถแล้วก็ให้เหลียวซิรงนั่งเบาะหลังเพื่อดูแลอันหรัน ไม่นานก็นึกขึ้นมาได้ว่าปัญหาสำคัญในตอนนี้คือพวกเขาไม่รู้ว่าควรจะไปที่ไหนดี
พวกเขาสองคนมองกันไปมาอยู่พักหนึ่ง เหลียวซิรงก็หยิบโทรศัพท์มือถือของอันหรันขึ้นมา ปลดล็อคด้วยใบหน้า จากนั้นดูข้อมูลการติดต่อในโทรศัพท์มือถือของเธอ มีเบอร์โทรหนึ่งซึ่งเป็นเบอร์โทรติดต่อล่าสุด นั่นก็คือเบอร์ของป้าDing เห็นดังนั้นเขาจึงรีบกดโทรออก
หลังจากรู้ที่อยู่จากป้า Ding แล้ว หลี่เฉียนก็ขับรถตรงไปยังคฤหาสน์หลังนั้นทันที
ป้า Ding ออกมายืนรอพวกเขาที่หน้าบ้าน มองเห็นอันหรันในสภาพเมาเละเทะไร้สติแบบนั้น ก็ขมวดคิ้วขึ้นเล็กน้อยแล้วพูดขึ้น:“เฮ้อ นี่มันเกิดอะไรขึ้นหรือคะ ทำไมคุณหนูถึงได้ดื่มเยอะขนาดนี้!”
เหลียวซิรงและหลี่เฉียนมองตากันอยู่ครู่หนึ่ง ใบหน้าของพวกเขาทั้งสองแฝงไปด้วยรอยยิ้มเก้อเขิน จากนั้นก็เริ่มหาข้ออ้างเพื่อที่จะขอตัวลากลับก่อน
แต่ทว่าเหลียวซิรงยังไม่ทันได้ก้าวเท้าเดินออกไป เสื้อของเขาก็ถูกจับเอาไว้อย่างแน่น อันหรันรู้สึกเพียงว่ารอบตัวเธอกำลังหมุน แต่ในความรู้สึกก็ยังจำได้ว่ามีคนสองคนพาเธอมาส่ง
“เฉียน เฉียนเฉียน เข้ามาดื่มกาแฟสักแก้ว แล้วค่อยกลับละกัน”
อันหรันพูดจบ ก็รู้สึกว่าลิ้มของเธอเริ่มไม่ฟังคำสั่งเอาเสียแล้ว
สักพักหนึ่งหลี่เฉียนก็หันหลัง จับมือของอันหรันอย่างเบาที่สุดจากบนเสื้อของเธอวางลง แล้วจึงเอ่ยขึ้น:“หรันหรัน เธอพักผ่อนเยอะๆนะ ทีหลังถ้าดื่มไม่ได้ ก็ไม่ต้องดื่มแล้ว เธอดูสภาพตัวเองในตอนนี้สิ ทุกคนต่างเป็นห่วงเธอทั้งนั้นเลยนะ! ”
ได้ยินเขาพูดมาแบบนั้น ปกติหลังจากที่ดื่มเหล้าก็จะมีอารมณ์เปราะบางอยู่แล้ว ทันใดนั้นอารมณ์ของอันหรันก็เริ่มประทุขึ้นมาเล็กน้อย
“ใครเป็นห่วง ไม่เห็นมีใครเป็นห่วงฉันเลย ฉันทำอะไรด้วยตัวเองตลอด ที่นี่ก็มีแต่ป้า Ding เท่านั้นแหละที่ดีกับฉันน่ะ ถ้าพวกเธอมีหนุ่มหล่อก็แนะนำมาให้ฉันหน่อยละกันนะ สามีของฉันก็เป็นแค่ของวางตกแต่ง….”
อันหรันยังไม่ทันพูดจบก็ถูกป้า Ding ที่กำลังเริ่มจะทนไม่ไหว ยื่นมือขึ้นมาปิดปากของเธอเอาไว้
หากเธอยังพูดต่อไป ยิ่งจะทำให้ตระกูลฮัวอับอายขายขี้หน้าขึ้นไปใหญ่
ป้า Ding หัวเราะขึ้นก่อนจะเอ่ยลา:“ดึกขนาดนี้ ลำบากพวกคุณสองคนแย่ เดี๋ยวป้าขอพาคุณหนูขึ้นไปพักผ่อนก่อนนะคะ”
เธอพูดจบ ก็พยายามบังคับลากพาตัวอันหรันเดินเข้าไปในบ้าน
หลี่เฉียนและเหลียวซิรงยังคงยืนอยู่ที่เดิม เมื่อเห็นว่าอันหรันเข้าไปในบ้านแล้ว พวกเธอถึงขึ้นรถเตรียมขับออกไป
แต่เพิ่งสตาร์ทรถได้สักพัก แสงสว่างจ้าด้านหน้าส่องเข้ามาในตาของพวกเธอ ตามมาด้วยเสียงเครื่องยนต์ที่เริ่มชัดขึ้นมาเรื่อยๆ
รถยนต์คันนั้นขับมาอย่างรวดเร็ว จากนั้นตรงเข้ามาจอดต่อท้ายรถของเหลียวซิรง
เหลียวซิรงออึ้งอยู่พักหนึ่ง เธอมองไปที่เหตุการณ์ตรงหน้า ราวกับว่าร่างกายหยุดการตอบสนอง ถ้าหากเธอมองไม่ผิดรถคันนั้นน่าจะเป็น Rolls-Royce Phantom
รถยนต์เชิงพาณิชย์คันนี้ ทำไมถึงได้ขับเข้ามาอย่างกับรถแข่งยังงั้นล่ะ
เธอพอจะเดาได้ว่าคนข้างหลังคือใคร เขาเดินลงมาจากรถ ก่อนจะขมวดคิ้วจ้องมองมาที่รถของเธอ แล้วจึงเดินเข้าไปในบ้าน
ฮั่วเทียนหลันรู้ว่ารถคันนี้เป็นของใคร ทะเบียนของรถคันนี้มีอยู่ในข้อมูลที่ครอบครัวฮัวได้เคยให้ไว้ คือรถของเหลียวซิรง
ดึกดื่นขนาดนี้เธอมาทำอะไรที่นี่ มาขอความช่วยเหลือจากอันหรันอย่างงั้นหรอ
ถ้าเป็นอย่างนั้นจริงๆ เกรงว่าเธอคงจะคิดผิดซะแล้วล่ะ สำหรับเขาแล้วอันหรันเปรียบได้กับการมีอยู่ของประตูเท่านั้นแหละ
ฮั่วเทียนหลันเดินจนถึงหน้าประตู ถึงนึกขึ้นได้ว่าหยิบลืมกุญแจมาด้วย
เขายื่นเคาะประตูอยู่ครู่หนึ่ง แต่ก็ไม่มีใครมาเปิดให้สักที
ฮั่วเทียวหลันจึงกดโทรหาป้า Ding แต่ก็โทรไม่ติด
เขาเริ่มโมโหขึ้นมาเล็กน้อย แค่เพราะเขาไม่ค่อยได้กลับมาบ่อย ไม่ได้หมายความว่าเขาจะไม่กลับมาเลยนี่ ต้องถึงกับไม่มาเปิดประตูให้กันเลยหรือไง
และยิ่งกว่านั้นคือตอนนี้ไฟในบ้านยังคงส่งว่างอยู่ แน่นอนว่าต้องมีคนอยู่ข้างในอยู่แล้ว แต่กลับไม่มีใครสนใจที่จะมาเปิดให้เขา ดูก็รู้ว่าตั้งใจกลั้นแกล้งกันชัดๆ
ฮั่วเทียนหลันกดกริ่งที่หน้าประตู ไปพร้อมกับทุบประตูเสียงดังโครมคราม จนได้ยินเสียงพูดขึ้นมา คิดว่าน่าจะเป็นเสียงของป้า Ding สักพักประตูก็ถูกเปิดออก
ฮั่วเทียนหลันมองป้า Ding อย่างตกใจนิดหน่อย เขาไม่เข้าใจว่าทำไมป้า Ding ถึงได้แต่งตัวแบบนี้
ป้า Ding โอบอุ้มชามใส่น้ำไว้ในอ้อมแขน บนตัวของเธอมีผ้าขนหนูหลายผืนพาดเอาไว้
“ป้าDing มีอะไรหรือเปล่าครับ” ฮั่วเทียนหลันเอ่ยปากถาม
ป้า Ding ส่ายหัว ก่อนจะพูดขึ้น : “ไม่มีอะไรหรอกค่ะ แค่คุณหนูเธอดื่มมาเยอะ เมื่อกี้เธออ้วกใส่ห้องนอน ป้าขอตัวไปจัดการแป๊ปนึงนะคะ”
สีหน้าของฮั่วเทียนหลันขรึมลงในทันที เธอเมาอย่างั้นเหรอ
“ป้า Dingครับ ป้ารออยู่ข้างล่างก่อน อย่าพึ่งขึ้นไป”
ฮั่วเทียนหลันเดินผ่านป้า Ding ไปเพื่อที่จะเดินขึ้นไปข้างบน
ป้า Ding รู้จักนิสัยของฮั่วเทียนหลันดี เธอจึงรีบตะโกนขึ้น :“เทียนหลัน อย่าดุเกินไปนักเลย”
ฮั่วเทียนหลันในตอนนี้ถูกความโกรธเข้าครอบงำจนน่ากลัว เขาใช้เท้ายันประตูห้องนอนจนเกิดเสียงดัง
โครม!อันหรันลืมตาขึ้นอย่างงงงวย มองดูแขกที่ไม่ได้รับเชิญตรงหน้า
“คุณ คุณเป็นใครกัน!”
ฮั่วเทียนหลันหน้านิ่งขลึม ก่อนจะเดินเข้าไปใกล้อันหรัน
“ใครให้เธอดื่มเยอะขนาดนี้”
อันหรันได้ยินเสียงที่คุ้นหูเอ่ยขึ้น มันเป็นเสียงที่เธอรู้สึกกลัวเป็นอย่างมาก แต่นึกเท่าไหร่ก็นึกไม่ออกว่าเป็นเสียงของใคร
เธอส่ายหัวไปมาอยู่บนเตียง ก่อนจะเอ่ยขึ้น : "ฉัน ฉันดื่มเหล้า แล้วมันเกี่ยวอะไรกับคุณล่ะ อย่ามายุ่งให้มันมากนักนะ! "