โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ【之全能大師 】 - ตอนที่ 638 - เลเวล B เอ่ยถาม
Ep.638 – เลเวล B เอ่ยถาม
เลเวล B กลุ่มแรกที่มาเยือน ฉินเฟิงรู้จักพวกเขาเป็นอย่างดี คนเหล่านี้บางคนประจำการอยู่ในเมืองเป่ยหัวตลอดทั้งปี และภายในเมืองเป่ยหัว มีตัวเชื่อมต่อมิติคอยรองรับอยู่ถึง 13 รัฐ ดังนั้นพวกเขาไม่รอช้า รีบใช้งานมันเพื่อมายังที่นี่เป็นคนแรกๆ
และทั้งสามคน อาจกล่าวได้ว่าเป็นคนว่างงานอยู่พอดี พวกเขาก็คือ–
–ฟูเหวินจู , เหอเล่อหมิง และสุดท้าย คนเฝ้าประตูหุบเหวตอนเหนือ หยางเป่ย
เริ่มจากฟูเหวินจู อันที่จริงเขาเพิ่งกลับมาจากภารกิจปิดล้อม ทั้งยังได้รับบาดเจ็บสาหัส แม้แต่ตอนนี้ร่างกายก็ยังรู้สึกปวดอยู่ แต่เจ้าตัวคิดว่ามันน่าจะเพียงพอสำหรับการกำจัดศัตรูเลเวล C
ส่วนเหอเล่อหมิง เขาประจำการอยู่ในเมืองหัวเป่ยตลอดเวลาในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา
สุดท้ายหยางเป่ย เดิมเขารับหน้าที่เฝ้าหน้าประตูหุบเหวตอนเหนือทั้งปี แต่เมื่อฉินเฟิงจากไป เขาพบว่าภายในหุบเหวสงบลงมาก จากการสืบสวนเล็กน้อย เลยพบคำตอบว่าที่เกิดขึ้นเป็นเพราะฉินเฟิงไล่สังหารพวกมันมากเกินไป จนหุบเหวตอนเหนือบังเกิดความสงบ ไม่จำเป็นต้องมีเขาเฝ้าอีก และคราวนี้เมื่อทราบว่ามีโอกาสดีๆเกิดขึ้น เขาเลยมาทันที
เพียงแต่เมื่อมาถึงเมืองลาวาเดือด เรือเหาะบนน่านฟ้าก็ปรากฏสู่สายตา อีกทั้งแต่ละลำยังสลักคำว่าเฟิงหลีบนเรือ พอเห็นแบบนั้น สีหน้าของพวกเขาก็แปรเปลี่ยนไปเล็กน้อย
“ดูเหมือนว่าฉินเฟิงก็มาที่นี่แล้ว?”
“ไม่นะ ฉันว่าไม่น่าใช่”
“รัฐทะเลเหนือคืออาณาเขตของฉินเฟิง ดังนั้นการมีเรือเหาะของกลุ่มเขาประจำอยู่ที่นี่ คงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร”
สนทนากันสักพักพวกเขาก็เข้าไปเช็คอินโรงแรม และบังเอิญได้ยินพนักงานต้อนรับกระซิบกระซาบกัน
“โอ้สวรรค์ นายเห็นนั่นไหม พวกเขาคือตัวตนทรงพลังเลเวล B !”
“จะใช่อ่อ ทำไมดูไม่ค่อยแข็งแกร่งเท่าไหร่เลย พวกเขาดูปกติ มีหนึ่งจมูกสองตาไม่ต่างจากพวกเรา!”
ทั้งสามถึงกับพูดไม่ออก แต่พวกพนักงานทั้งชีวิตคงไม่เคยพบเห็นเลเวล B มาก่อน ฉะนั้นไม่น่าแปลกใจอะไร อีกอย่างทั้งสามมีอายุพอสมควรแล้ว ดังนั้นมีบุคลิกที่สงบ ใจเย็นกว่าในช่วงวัยรุ่นเยอะ เลยไม่คิดมีปากเสียงกับคนธรรมดา
“หยุดพูดไร้สาระได้แล้ว พวกเขาก็เป็นมนุษย์เหมือนกับพวกเรานี่แหละ แต่ฉันแค่สงสัยว่าถ้าเทียบกับเจ้าเมืองฉิน ใครจะแข็งแกร่งกว่ากัน?”
“ต้องเป็นเจ้าเมืองฉิน! ฉันได้ยินมาว่าเจ้าเมืองฉินมีฝีมือระดับเดียวกับเลเวล B และแค่เอ่ยปากว่าจะฆ่า เขาก็สามารถฆ่าได้!”
“เจ้าเมืองฉินช่างร้ายกาจ!”
“แน่นอนว่าร้ายกาจ! ถ้าไม่แกร่งพอ มีหรือเขาจะสามารถสร้างเมืองนี้ขึ้นมาได้ ว่ากันว่าวิกฤตนอกเมืองน่ากลัวมาก แต่ท่านเจ้าเมืองสามารถรับมือกับมันเพียงลำพังได้นานถึงเจ็ดวันเจ็ดคืน!”
“ฉันเองก็เคยได้ยินเรื่องนี้มาบ้างเหมือนกัน แต่จะยังไงก็ช่าง ต้องขอบคุณท่านเจ้าเมืองที่สร้างเมืองนี้ขึ้น ฉันน่ะอยู่ในหมู่บ้านเล็กๆแถวๆนี้มาก่อน แต่ต่อไปสามารถได้ใช้ชีวิตอยู่อย่างปลอดภัยแล้ว”
สำหรับผู้คนในรัฐล้าหลัง พวกเขาแทบไม่เคยประสบกับวิกฤต ดังนั้นตามปกติกระทั่งเลเวล C ยังมีโอกาสน้อยนักที่ได้เจอ
และผู้ที่แต่เดิมอาศัยอยู่รอบๆที่ตั้งรอบๆเมืองลาวาเดือด หลังจากย้ายเข้ามาในเมือง หลายสิ่งช่างเปิดหูเปิดตาพวกเขา จึงไม่น่าแปลกใจที่ทั้งสองพล่ามไม่หยุดด้วยความตื่นเต้น
เพราะเมืองลาวาเดือดในทุกวันนี้ มีเลเวล C เดินขวักไขว่เต็มไปหมด ส่วนเลเวล D หันไปทางไหนก็เจอไม่ต่างจากพวกหมาพวกแมว
และปัจจุบัน แม้แต่เลเวล B ยังมาเยี่ยมเยือน ทั้งๆที่เมื่อก่อนพวกเขาแค่เห็นผู้ใช้พลังเลเวล E ก็สั่นงันงกด้วยความยำเกรงแล้ว สำหรับคนธรรมดาในสถานชุมชนเล็กๆที่เลเวล F ถือว่าอยู่บนจุดสูงสุดแล้ว การเข้าร่วมกับเมืองลาวาเดือดถือว่าเปิดหูเปิดตาของพวกเขามาก
–การมีผู้ใช้พลังที่แข็งแกร่งมาเยือน นั่นคือตัวแทนบ่งบอกถึงความเจริญรุ่งเรืองของเมืองในอนาคต!
แน่นอน ในฐานะที่ลูกค้าเป็นเลเวล B ดังนั้นพนักงานย่อมมีความเคารพยำเกรง แต่หาได้หวาดกลัวไม่ นั่นเพราะพวกเขาบังเกิดความรู้สึกว่าเจ้าเมืองของตนก็แข็งแกร่งเช่นกัน หากเกิดปัญหาก็สามารถพึ่งพาได้
เมื่อได้ยิน ดั่งอัสนีบาตฟาดผ่าเข้ากลางหู เหล่าสหายเลเวล B ฝีเท้าหยุดกึก ชะงักงันไปพักหนึ่ง
“ไม่น่าจะบังเอิญขนาดนั้นหรอกกระมัง เมืองนี้ก็เป็นฉินเฟิงที่สร้างขึ้นใหม่หรือ?” สีหน้าของฟูเหวินจูซีดขาวลงเล็กน้อย สองคิ้วขมวดเข้าหากัน
“เสียใจด้วยนะ ไม่น่าจะผิดพลาดแล้วล่ะ พวกเรารีบมาที่นี่จากเมืองฉิงที่อยู่ใกล้ที่สุด แต่พอมาถึงกลับพบว่าเมืองนี้มันยังดูใหม่และเข้มแข็งมาก ดูเหมือนเพิ่งสร้างขึ้นเร็วๆนี้จริงๆ เพราะยังไม่มีป้ายบอกเส้นทางตามถนนเลย” เหอเล่อหมิงอึ้งไม่แพ้กัน
“ช่างเป็นโอกาสที่สวรรค์ประทานให้แก่เขาโดยแท้”
หยางเป่ยถอนหายใจเฮือกหนึ่ง เจ้าเด็กลูกรักของพระเจ้าคนนี้ พอกลับมารัฐทะเลเหนือได้ไม่นานก็สร้างเมืองใหม่โดยไม่ขออนุญาต แต่ไม่อยากจะเชื่อเลยว่ากลับมีโชคจากฟ้าหล่นใส่เขา
โชคดีขนาดนี้ เหมาะสมแล้วจริงๆเขาสมญาลูกรักของพระเจ้า หากคนอื่นเอ่ยถามว่าใครเหมาะสมกับฉายานี้ที่สุด คำตอบเพียงหนึ่งเดียวของหยางเป่ยคือฉินเฟิง
“ติดต่อหาฉินเฟิงก่อนแล้วกัน เพราะนี่มันเป็นถิ่นเขา”
จากนั้น ในบรรดาทั้งสามคน เหอเล่อหมิงที่มีความสัมพันธ์อันดีที่สุดกับฉินเฟิง เลยรับหน้าที่ติดต่อฉินเฟิง
ฉินเฟิงรับสายอย่างรวดเร็ว เมื่อได้ยินว่าเหอเล่อหมิงมาเยือน เขาก็ไม่ได้แปลกใจอะไร
ฉินเฟิงกล่าวว่า “พี่เหอโปรดรอสักครู่ ผมจะรีบไปที่นั่นทันที”
อันที่จริงฉินเฟิงได้รับข้อมูลจากผู้ใต้บังคับบัญชาของเขาก่อนแล้ว แต่เลเวล B ที่มาเยือนเหล่านี้ หากให้พูดตรงๆคือพวกเขามาเพื่อกอบโกยทรัพยากร ถึงฉินเฟิงจะไม่ได้ว่าอะไร แต่ก็ไม่เป็นฝ่ายติดต่อไปเอง เพราะเกรงว่าพวกเขาจะลำบากใจ
แต่ตอนนี้ กลับเป็นทั้งสามที่ติดต่อหาเขาก่อนอย่างตรงไปตรงมา
ใช้เวลาไม่ถึง 10 นาที ฉินเฟิงก็ปรากฏตัวขึ้นในโรงแรมที่ทั้งสามจับจองเอาไว้ ทั้งสามคนนั่งรออยู่ในห้องโถง กำลังใช้อุปกรณ์สื่อสารเพื่อทำความเข้าใจกับสถานการณ์ในปัจจุบัน
พอฉินเฟิงมาถึง ทั้งสามก็สังเกตเห็นเขาได้ทันที
พูดก็พูดเถอะ นี่ก็ผ่านไปกว่าสามเดือนแล้วนับจากพวกเขาแยกกับฉินเฟิง แต่พอได้เห็นฉินเฟิงอีกครั้งที่นี่ ทุกคนกลับสามารถสัมผัสได้ถึงแรงกดดันมหาศาลที่ออกมาจากร่างของฉินเฟิง
ผ่านไปแค่สามเดือนนับจากฉินเฟิงไปเยือนเมืองเป่ยหัว หลังปราบปรามกองทัพสัตว์ร้าย ตอนนั้นฉินเฟิงยังมีเลเวลแค่ C2 อยู่เลย แต่ตอนนี้ กำลังภายในของเขากลับมาถึงเลเวล B แล้ว พลังสมาธิเองก็ไปถึงเลเวล C7 ส่วนความแข็งแกร่งทางกายภาพ อยู่ในเลเวล C6
จาก C2 ถึง C6 ห่างกันถึง4ขั้นย่อย เลเวล B กลุ่มนี้ลองคิดว่าหากเป็นตัวเองในวัยเยาว์ คงต้องใช้เวลากว่าสิบปีถึงจะเดินไปถึงจุดนั้น แต่ไม่คาดฝันเลยว่าฉินเฟิงกลับใช้เวลาแค่ไม่ถึงสี่เดือน
ช่างเป็นพรสวรรค์ที่น่าสะพรึงกลัวจริงๆ
“น้องฉิน ความแข็งแกร่งของคุณในตอนนี้ มันยากเกินจะยอมรับได้จริงๆ” เหอเล่อหมิงเร่งกล่าว
ฉินเฟิงกับอีกสามคนเชคแฮนด์กัน “พี่เหอเองก็แข็งแกร่งขึ้นเหมือนกัน มิสเตอร์ฟูกับนายพลหยางก็ด้วย!”
ฟูเหวินจูส่ายหัว กล่าวด้วยรอยยิ้มขม “แต่พอได้มาเห็นคุณแล้ว ของฉันคงไม่อาจเรียกว่าแข็งแกร่งขึ้นหรอก!”
“แต่การที่คุณยังสามารถเดินเหินหรือวิ่งได้ มันก็ถือยังแข็งแรงดีไม่ใช่หรือ?”
“ฮะ … ฮะฮ่า นั่นสินะ ตอนนี้ฉันยังรอดชีวิตมาได้ก็ถือเป็นเรื่องที่ดีแล้ว!” ฟูเหวินจูจู่ๆก็รู้สึกใจสั่นขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก
ฉินเฟิงยิ้มและกล่าวชักชวน “ไม่ต้องพักในโรงแรมหรอก เมืองของผมเพิ่งตั้งขึ้นใหม่ ยังเหลือวิลล่าอีกหลายหลัง หากเป็นไปได้ ผมขอมอบมันให้พวกคุณดูแลสักพักหนึ่ง”
“แบบนั้นก็ดีนะ แต่กินบนเรือนต้องไม่ขี้บนหลังคา ระหว่างพักอาศัยฉันจะช่วยคุณจัดการปัญหาต่างๆที่นี่เอง เชิญนำทาง!” เหอเล่อหมิงไม่คิดเกรงใจ เนื่องด้วยสถานะของพวกเขาแตกต่างจากคนอื่นๆ หากเลเวล C คนอื่นมาเห็นเข้า คงบังเกิดความคิดต่างๆนาๆอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ หากยังอยู่โรงแรมซึ่งเป็นพื้นที่รวมต่อไปคงไม่สงบแล้ว!
ฉินเฟิงจัดแจงวิลล่าให้แก่ทั้งสามคน ทั้งสี่เดินชมวิลล่าของฉินเฟิงอย่างสบายอารมณ์ คล้ายไม่สนใจวิกฤตภายนอก แต่สุดท้าย ทั้งสามก็เอ่ยถามสถานการณ์แก่ฉินเฟิง
และฉินเฟิงก็ไม่ได้ปิดบัง บอกกล่าวตามความจริง นี่เล่นเอาสีหน้าของทั้งสามถึงกับแปรเปลี่ยนไป
“ที่แท้ข่าวในเครือข่ายนักสู้ก็เป็นเรื่องจริง พวกปีศาจโทรลลาวาเดือดไม่แข็งแกร่งอะไรมากมาย แต่ทุกตัวกลับสามารถผลิตแก่นอบิลิตี้ระดับราชันย์เลเวล C1 ได้ เรื่องนี้มัน …”
ฉินเฟิงกล่าว “สำหรับเลเวล B เจ้าพวกนี้ไม่แข็งแกร่งเท่าไหร่ก็จริง แต่สำหรับเลเวล C ถือว่ายากต่อการรับมือ จะกำจัดมันได้รึเปล่าล้วนขึ้นอยู่กับโชค อีกอย่าง ปัจจุบันสภาพแวดล้อมทางภูมิศาสตร์อยู่ในสภาพทับซ้อน พื้นดินเต็มไปด้วยแอ่งลาวา อีกอย่างพื้นที่นี้เมื่อก่อนเคยรกร้างว่างเปล่า แต่ความจริงแล้วมีกองกำลังมืดมากมายหลบซ่อนตัวอยู่ บางทีในสายตาพันธมิตรองค์กรมืด ที่นี่คงเป็นพื้นที่สีเทา เป็นอาณาเขตที่พวกมันยึดครองอยู่!”
นี่เองคือเหตุผลที่ว่าทำไมคนจากกลุ่มกองกำลังมืดถึงได้สามหาว กล้าปรากฏตัวอย่างผ่าเผย
หน้าผากของเหอเล่อหมิงยับย่นลงเล็กน้อย แต่สักพักก็คลายออก ถอนหายใจเฮือกหนึ่ง “รู้สึกว่าการอยู่ที่นี่อย่างสงบจะไม่ใช่เรื่องง่ายซะแล้ว น้องฉินคิดอะไรอยู่กันแน่ ถึงสร้างเมืองขึ้นที่นี่?”
อันที่จริง ยังมีอีกเรื่องที่ทุกคนต้องการทราบมากที่สุด นั่นคือทำไมฉินเฟิงไม่คิดคว้าโอกาสรับทรัพย์ตรงหน้านี้ไว้เพียงลำพัง?
เพราะหากอาศัยความแข็งแกร่งของฉินเฟิง ทุกคนเชื่อว่าเขาสามารถทำได้จริงๆ!