โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ【之全能大師 】 - ตอนที่ 635 - พลังสมาธิเลเวล C7
Ep.635 – พลังสมาธิเลเวล C7
ฉินเฟิงนอนหลับยาว 12 ชั่วโมง อันที่จริงผู้ใช้พลังสามารถฟื้นฟูพละกำลังได้เร็วอยู่แล้ว แต่ฉินเฟิงไม่ได้พักผ่อนมาเป็นเวลานาน ดังนั้นตัดสินใจนอนให้เต็มที่
พอลืมตาตื่น เขารู้สึกว่าทั้งเนื้อทั้งตัวผ่อนคลาย ยิ่งไปกว่านั้น ยังสัมผัสได้ถึงเงื่อนไขของพลังสมาธิที่เกือบถูกเติมเต็ม ใกล้ยกระดับไปอีกขั้น
ฉินเฟิงเลยหยิบผลึกปีศาจโทรลซึ่งเทียบเท่ากับแก่นอบิลิตี้ราชันย์เลเวล C1 ขึ้นมา กำแน่นไว้ในมือ
“พลังพิเศษดูดกลืน!”
ผลึกในมือฉินเฟิงเหือดหายไปในพริบตา!
ยิ่งไปกว่านั้น ฉินเฟิงไม่คิดเลยว่าการดูดกลืนครั้งนี้ จะช่วยให้เขาได้พบอีกสิ่งหนึ่ง –ในผลึก แท้จริงแล้วมีรูนธาตุดินจำนวนหนึ่งห่อหุ้มอยู่รอบๆมัน แต่ธาตุดินพวกนั้นกลับติดตามธาตุไฟ ลงไปพร้อมกันในดาวเคราะห์เพชรของฉินเฟิงได้
“แบบนี้น่าจะหมายความว่า พลังพิเศษดูดกลืนของฉันได้ก้าวหน้าไปอีกขั้นแล้วรึเปล่านะ?”
ในอดีต หากคิดสูบกลืนอักษรรูนไฟ ฉินเฟิงต้องทำให้มันกลายพันธุ์ผ่านศิลานรก แต่ตอนนี้ ดูเหมือนว่าความสามารถในการกลายพันธุ์จะหลอมรวมเข้ากับพลังพิเศษดูดกลืนแล้ว หรือบางทีนั่นอาจเป็นคุณสมบัติของตัวรูนมืดเอง
ส่งผลให้พลังพิเศษกลืนกิน สามารถดูดซับรูนไฟเข้าสู่ดาวเคราะห์เพชรได้เลยโดยตรง
“แบบนี้ก็ดีสิ ถ้ากระทั่งรูนดินยังสามารถดูดกลืนได้ ฉันชักอยากจะรู้บ้างแล้ว ว่าดาวเคราะห์เพชรจะสามารถดูดดซับรูนอื่นได้ด้วยไหม”
ดวงตาของฉินเฟิงเปล่งประกาย คราวนี้เขานำแก่นอบิลิตี้อื่นออกมา มันเป็นผลึกที่เนื้อมีสีม่วง
แก่นสัตว์ร้ายธาตุสายฟ้า!
ธาตุสายฟ้าเป็นหนึ่งในอบิลิตี้ที่ทรงพลังที่สุดในด้านการทำลายล้างและความเร็ว มันเร็วยิ่งว่าธาตุลม หากเขาสามารถเชี่ยวชาญอบิลิตี้นี้ คงมีส่วนช่วยฉินเฟิงได้มาก
“พลังพิเศษดูดกลืน!”
แก่นอบิลิตี้ถูกสูบพลังไปอย่างรวดเร็ว เหือดหายไปในพริบตา
จากนั้นอักษรรูนสีม่วงนับไม่ถ้วนทยอยกันหลั่งไหลเข้าไปยังจักรวาลแห่งจิตสำนึก อย่างไรก็ตาม อักษรรูนเหล่านี้กลับไม่สามารเข้าไปรวมกับดาวเคราะห์เพชรของฉินเฟิงได้ พวกมันแหลกสลาย สักพักจางหายไปมิอาจมองเห็นได้อีกเลย
บทสรุปการทดลองในครั้งนี้ คือล้มเหลว!
นี่เท่ากับเป็นการเสียแก่นอบิลิตี้อันมีค่ามหาศาลไปโดยเปล่าประโยชน์ แต่ในตอนนั้นเอง ในที่สุดฉินเฟิงก็สามารถยกระดับไปได้อีกขั้น
พลังสมาธิก้าวขึ้นสู่เลเวล C7 !
พลังสมาธิของฉินเฟิง กวาดกระจายออกไป ไม่นานก็สามารถครอบคลุมเมืองทั้งเมือง
ผลปรากฏว่ามันสามารถแพร่กระจายได้กว้างไกลกว่า 10,000 เมตร หากใช้ในการสำรวจตรวจสอบ คงเป็นอะไรที่สะดวกยิ่ง
และด้วยรัศมีเท่านี้ เลยทำให้ฉินเฟิงสามารถมองเห็นยานพาหนะจำนวนมาก กำลังขับตรงไปยังทิศทางของต้นไม้เพลิง
ฉินเฟิงถอนพลังสมาธิกลับคืน ทว่าการแสดงออกของเขากลับไม่เผยถึงความสุข ตรงกันข้าม มันแสดงออกถึงการครุ่นคิด
“หรือเป็นเพราะผลึกชิ้นนี้เป็นธาตุผสม? ฉันเลยสามารถสูบกลืนธาตุดินที่ติดมาด้วยได้?”
“อย่างตอนที่ฉันสามารถสูบกลืนธาตุไฟเองก็เหมือนกัน มันจำเป็นต้องไปผสมกับศิลานรก ถูกเผาผลาญจนเป็นไฟกลายพันธุ์ แล้วเข้าไปยังดาวเคราะห์เพชรได้ พอลองคิดๆดูแล้วมันก็มีเหตุผลแฮะ”
“ดังนั้น หมายความว่าถ้าฉันต้องการใช้อบิลิตี้ธาตุอื่น ฉันจะต้องตามหาธาตุไฟหรือธาตุมืดที่มีธาตุอื่นๆปะปนอยู่ด้วยใช่ไหม? อย่างเช่นผลึกปีศาจโทรลที่มีธาตุดินผสมอยู่ด้วย”
หากลองจินตนาการตามดูโดยอาศัยหัวข้อนี้ นั่นอาจหมายถึงฉินเฟิงสามารถควบคุมธาตุทุกแขนงได้
แต่ปัญหาก็คือ แก่นอบิลิตี้ที่มีทั้งสองธาตุในเวลาเดียวกัน มันมีอยู่น้อยและหาได้ยากเย็นจริงๆ ที่ฉินเฟิงรู้ เจ้าพวกนี้เกือบทั้งหมดมักถือกำเนิดมาได้จากร่างของสิ่งมีชีวิตกลายพันธุ์
ยังไงก็ตาม โลกใบนี้มันกว้างใหญ่นัก ทุกสิ่งแปลกประหลาดย่อมเกิดขึ้นได้ นับจากนี้ไปฉินเฟิงจะให้ความสนใจในเรื่องนี้มากขึ้น เพราะอาจมีส่วนช่วยในการเสริมความแข็งแกร่งแก่ตนเอง
เอาจริงๆนะ หากเขาเลือกใช้วิธียกระดับแบบธรรมดา ในความเป็นจริงฉินเฟิงเพียงดูดกลืนแก่นอบิลิตี้ไม่กี่ชิ้น เขาก็ยกระดับได้แล้ว แต่เป้าหมายของฉินเฟิง คือการได้กลายเป็นตัวตนทรงอำนาจอย่างแท้จริง เขาับงเกิดความคิดขึ้นมาว่าทำไมมนุษย์ถึงมีขีดจำกัดอยู่แค่ระดับจักรพรรดิ ในขณะที่สัตว์ร้ายเลเวล A ขึ้นไป กลับมีระดับถึงเทวะ
ในเมื่อเป็นแบบนี้ ไม่ใช่หมายความว่า ท่ามกลางเผ่าพันธุ์มนุษย์บนโลกใบนี้ สมควรมีระดับเทวะอยู่ด้วยถูกหรือไม่?
ดวงตาของฉินเฟิงคล้ายมืดบอด มิอาจมองเห็นหนทางอย่างสิ้นเชิง เพราะในชีวิตที่แล้ว เขาไม่เคยพบเจอสัตว์ร้ายเทวะมาก่อนเลย ดังนั้นสิ่งที่เขาต้องใช้ประกอบข้อสันนิษฐาน มันมีมากเกินไป
“เอาล่ะ อันดับแรกอย่าเพิ่งคิดไปไกล มาดูสถานการณ์ในตอนนี้กันก่อนดีกว่า”
ฉินเฟิงลุกขึ้น แต่ไม่พบจิ้งจอกน้อยอยู่ข้างกาย อดรู้สึกแปลกใจไม่ได้
ฉินเฟิงเปิดอุปกรณ์สื่อสาร โทรหาหมายเลขของไป๋หลี หลังจากเชื่อมต่อ ใบหน้าของไป๋หลีได้ปรากฏขึ้น แต่ภาพพื้นหลังของเธอ กลับเป็นอาคารสำนักงานอย่างกะทันหัน
“เธอไปเที่ยวเล่นที่นั่นทำไม ไม่พักผ่อนหรอ?” ฉินเฟิงเอ่ยถาม
“ก็ฉันไม่ง่วงนี่ อีกอย่างมีใครบางคนกำลังคิดสร้างปัญหา ฉันเลยต้องมาคอยจัดการ” ในสนามรบ ไป๋หลีแทบไม่ได้ออกแรง ดังนั้นเธอจะเหนื่อยได้อย่างไร
ยิ่งไปกว่านั้น ฉินเฟิงยังปล่อยให้ไป๋หลีกลับขึ้นมาพักผ่อนบนเรือเหาะอยู่หลายครั้ง สำหรับประโยคท่อนแรก ฉินเฟิงเข้าใจและไม่ว่าอะไร แต่พอได้ยินประโยคที่สอง สองคิ้วของเขาต้องขมวดเข้าหากัน
“เกิดอะไรขึ้น มีใครคิดสร้างปัญหา?” ฉินเฟิงกล่าวเสียงหม่น
ไป๋หลีตอบ “น่าจะเป็นคนจากกองกำลังมืด พวกเขานำคนเลเวล C มาที่นี่ กล้าดียังไงมาเหยียบถิ่นของพวกเรา ให้ฉันไปจัดการพวกมัน แล้วโยนเป็นอาหารกับต้นไม้เพลิงเลยไหม”
“ว้าว ฉันไม่คิดเลยแฮะว่าจิ้งจอกน้อยจะตั้งใจทำงาน ฮึกเหิมถึงขนาดนี้” ฉินเฟิงหัวเราะพลางสรรเสริญชื่นชม
ไป๋หลีเชิดคางขึ้นทันที และกล่าว “ที่นี่คือสนามหญ้าสำหรับวิ่งเล่นของฉัน ฉันไม่ต้องการให้ใครมาสร้างปัญหา!”
ฉินเฟิงเกือบหลุดหัวเราะออกมา แต่ฝืนเอาไว้ “โอเค ฉันจะไปหาเธอเดี๋ยวนี้แหละ อันดับแรกขอให้เธอคอยปกป้องดูแลเมืองไปก่อน”
“อื้ม รับทราบ ฉันจะคอยจับตาดูอย่างใกล้ชิด”
ไป๋หลีพยักหน้าจริงจัง
ภายในห้องโถง คนอื่นๆมองหน้ากันด้วยความตกใจ ส่วนใหญ่ทำอะไรไม่ถูก ก่อนที่ไป๋หลีจะสอดมือเข้ามาคุมที่นี่ พวกเขาได้เห็นผ่านจอมอนิเตอร์แล้วว่าไป๋หลีสามารถทุบตีเลเวล C ได้อย่างง่ายดาย
เรื่องราวมันเริ่มขึ้นตั้งแต่ช่วง 12 ชั่วโมงที่ผ่านมา ผู้ใช้พลังเริ่มทยอยกันปรากฏตัวขึ้น ทั้งหมดต่างสอบถามเกี่ยวกับสถานการณ์ของต้นไม้เพลิง
หลายคนอารมณ์ร้อน เปล่งวาจาไม่สุภาพกับชาวเมือง ไป๋หลีจึงปรากฏกายขึ้นและทุบตีพวกเขา เป็นการแสดงให้คนอื่นเห็นว่า ใครกันแน่ที่เป็นเจ้าของเมืองๆนี้
ต้องรู้นะว่าผู้ใช้พลังมีหน้าที่และความรับผิดชอบที่สูงมาก ดังนั้นเป็นเรื่องธรรมดาที่จะต้องมีน้ำใจ ปกป้องบุคคลทั่วไป นี่เองเป็นเหตุให้ไป๋หลีลงมือ จนได้รับคำยกย่องและคำขอบคุณจากฝูงชน
ยามบังเกิดความรู้สึกอิ่มเอมใจ หลังจบเรื่อง ไป๋หลีเลยตัดสินใจมุ่งหน้ามายังโถงสำนักงาน และเฝ้ารอให้มีผู้กระทำผิดปรากฏขึ้นบนหน้าจอ
ไป๋หลีลงมือเช่นนี้ ส่งผลให้ผู้ใช้พลังมากมายที่มาเยือน มีอยู่หลายคนที่ถูกทุบตี ไม่เว้นกระทั่งผู้ใช้พลังเลเวล D จนตอนนี้ทุกคนหดหางไม่กล้าแสดงท่าทีก้าวร้าวอีก นี่นับเป็นเรื่องตลกเรื่องหนึ่ง
เกรงว่าหากฉินเฟิงเยินยอเธออีกคน ไป๋หลีคงเชิดหน้ายิ่งหน้าชูคอจนหงายล้มตกไปข้างหลัง
ถึงฉินเฟิงจะไม่ทราบเรื่องราวที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้โดยละเอียด แต่สิ่งที่ไป๋หลีทำนับว่าถูกต้อง ดังนั้นคู่ควรกับการได้รับคำยกย่องจากชาวเมืองแล้ว
หลังวางสายสนทนา ฉินเฟิงล้างหน้าล้างตาเล็กน้อย เดินออกจากวิลล่าที่เพิ่งสร้างใหม่ ใช้เวลาไม่ถึง 10 นาที เขาก็มาถึงโถงสำนักงานเมืองลาวาเดือด
ตามรายทาง ฉินเฟิงสามารถเห็นได้อย่างชัดเจน ถึงความีชีวิตชีวาของตัวเมือง ผู้คนมากหน้าหลายตาพลุกพล่าน ประดับรอยยิ้มบนใบหน้าพวกเขา เห็นได้ชัดว่าชีวิตกำลังดำเนินไปด้วยดี
เนื่องจากมาตรการรักษาความลับก่อนหน้านี้ของฉินเฟิงทำได้อย่างดีเยี่ยม ส่งผลให้แม้ในตอนที่รอยแยกมิติเปิดออก ในเมืองจะเกิดความโกลาหลวุ่นวาย แต่ก็สงบลงในอีกไม่กี่วันต่อมา
เพราะท้ายที่สุดแล้ว หากเป็นวิกฤตระดับทำลายล้างเมือง มันคงจะมาเยือนพวกเขาตั้งนานแล้ว แต่ปัจจุบันผ่านมากว่า 7 วัน ก็ยังไม่เกิดการรุกรานแม้แต่ครั้งเดียว ทุกคนเลยตระหนักว่า นี่เป็นแค่เสียงฟ้าร้อง แต่ยังไม่ถึงกับฝนตก ดังนั้นสมควรสงบใจและกลับมาทำงานของตน
หลังกินอิ่มนอนอุ่น ทุกคนก็เหมือนจะลืมเลือนไปแล้ว ว่ามีสิ่งมีชีวิตที่น่าหวาดกลัวกำลังสร้างอาณาจักรของพวกมันอยู่ข้างนอกนั่น
แต่ก็ปล่อยให้พวกเขามีความสุขไปเถอะ และเนื่องจากมีผู้คนเดินทางมาไม่ขาดสาย บางคนจึงเริ่มเปิดร้านอาหาร บ้างก็เริ่มเปิดโรงแรมขนาดเล็ก รายได้ก็เพิ่มมากขึ้น เมืองลาวาเดือดเริ่มเจริญขึ้นเรื่อยๆ