“เป่ายิ้ง… ฉุบ~!”
เลวอน สเตฟาเนีย และเอ็ดเวิร์ด ใช้วิธีการตัดสินด้วยรูปแบบที่เรียบง่ายที่สุด หลังจากที่ทั้งสามคนพยายามบ่ายเบี่ยงเกี่ยงกันไปมาว่าใครจะเป็นผู้สวมผ้าคลุมจอมเวทพาลาดินก่อนคนแรก
ทุกคนต่างรู้ดีว่าพลานุภาพของอาภรณ์ศักดิ์สิทธิ์นั้นมีผลต่อพวกเขาอย่างไรบ้าง แต่ในเมื่อหลีกเลี่ยงไม่ได้ อีกทั้งยังถูกแรงกดดันจากเหล่าผองเพื่อนในชมรมเรียกร้องให้ประสบชะตากรรมร่วมกัน ก็มีแต่ต้องปฏิบัติไปตามธรรมเนียมโดยดุษณี
ผลลัพธ์จากการตัดสินคือ เลวอนและเอ็ดเวิร์ดออกกรรไกร ส่วนสเตฟาเนียออกกระดาษ เด็กสาวถึงกับคิ้วขมวดทันทีเมื่อรู้ว่าตนตกเป็นฝ่ายปราชัย เด็กหนุ่มนัยน์ตาสีอำพันถอนหายใจโล่งอก ส่วนบุรุษวัยเยาว์เสื้อฮู้ดหูแมวกำหมัดทำท่าดีใจ ไม่ใช่เพราะรอดพ้นจากสถานการณ์ในครั้งนี้ แต่เป็นเพราะเขาอยากเห็นพลังและศักยภาพของคนที่ตัวเองแอบหลงใหลอยู่ต่างหาก
“คุณสเตฟาเนีย สู้ ๆ นะครับ”
“พยายามเข้านะ”
เอ็ดเวิร์ดและเลวอนเกริ่นให้กำลังใจตามลำดับ ยุวสตรีเจ้าของเรือนผมสีส้มผงกศีรษะตอบรับ ก่อนจะก้าวเท้ามุ่งหน้าไปยังจุดที่ยาโรสลาฟรอคอยตรงบริเวณโต๊ะครูผู้สอน ซึ่งศาสตราจารย์จอมทะเล้นกำลังยืนยิ้มแป้นรอต้อนรับเธอด้วยความยินดี
ทันทีที่ถึงจุดหมาย สเตฟาเนียก็ได้ยิงคำถามใส่ยาโรสลาฟด้วยสีหน้าน้ำเสียงซึ่งสื่อถึงความกังวลใจ
“เอ่อ… จะให้ฉันสวมมันจริง ๆ น่ะเหรอคะ?”
“จะขอถอนตัวตอนนี้ก็คงไม่ทันแล้วล่ะ” พ่อมดผู้อาวุโสกระซิบกระซาบ “ไม่ต้องห่วง ถ้าหากมีอะไรเกิดขึ้นเดี๋ยวฉันจะช่วยควบคุมสถานการณ์ให้เอง อีกอย่างเธอเองก็มีความใฝ่ฝันอยากจะเป็นจอมเวทพาลาดินเหมือนกับเลวอนด้วยไม่ใช่รึยังไง?”
“แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะต้องสวมผ้าคลุมผืนนี้ต่อหน้าเพื่อน ๆ ทุกคนนี่คะ” คราวนี้แม่มดสาวนักปรุงยาเกริ่นเสียงแผ่วเบาตามเขา “จะว่าไปแล้ว จำได้ว่าหนูยังไม่เคยเล่าเรื่องความฝันในอนาคตให้ท่านปู่ฟังเลย รู้ได้ยังไงกันคะ…?”
“อย่าดูถูกนักสิ แม้แต่เรื่องที่เธอกับฮิคาริแอบทะเลาะกันเมื่อวานซืน ฉันเองยังรู้เลยว่ามันเกิดอะไรขึ้น”
ด้วยความรอบรู้และฉลาดหลักแหลมของยาโรสลาฟ สเตฟาเนียก็ถึงกับหน้าซีดผุดเม็ดเหงื่อด้วยความหวั่นสะพรึง
“ข… เข้าใจแล้วค่ะ หนูยอมให้ความร่วมมือก็ได้ แต่ขอเวลาทำใจสักสองสามนาทีจะได้ไหมคะ?”
“เด็กดี ๆ”
ยาโรสลาฟตบบ่าลูกศิษย์อย่างเอ็นดู หยิบผ้าคลุมจอมเวทพาลาดินสีกรมท่าซึ่งวางอยู่บนโต๊ะทำงานขึ้นมาเพื่อเตรียมสวมให้แก่อีกฝ่าย ขณะเดียวกันสมาชิกทีมประกาศิตแห่งมังกรที่กำลังนั่งจับตาเฝ้าดูอยู่นั้น เอ็ดเวิร์ดได้หันไปซักถามเหล่าแม่มดสาวที่นั่งอยู่ข้าง ๆ เพื่อสอบถามข้อมูลบางสิ่ง
“ใครก็ได้ช่วยบอกอายุ ส่วนสูง น้ำหนัก กรุ๊ปเลือด แล้วก็เชื้อชาติกับสัญชาติของคุณสเตฟาเนียให้ผมทีสิครับ”
“เอ่อ… อายุ 16 ปี สูง 170 เซนติเมตร หนัก 55 กิโลกรัม กรุ๊ปเลือด B เชื้อชาติและสัญชาติเช็กค่ะ”
โมนิก้าซึ่งเป็นเพื่อนสนิทของสเตฟาเนียได้ให้คำตอบตามที่เอ็ดเวิร์ดร้องขอ ไม่ทันไรฮิคาริก็พลันพูดจาถากถางใส่เขา
“ตอนแรกเห็นดูเรียบร้อยเหมือนเจ้าลูกแกะ แต่ที่ไหนได้ นายเนี่ยค่อนข้างนิสัยเสียพอสมควรเลยแฮะ”
“ผมบอกไปแล้วไงครับ ว่าความสามารถของผมมันมีเงื่อนไขจำกัดน่ะ”
“เอาน่า อย่างน้อย ๆ หมอนี่ก็คงไม่กล้าถามเรื่องทรีไซส์ (สัดส่วนร่างกาย) ของพวกเราล่ะนะ”
อาเธอเรียแทรกบทสนทนาไกล่เกลี่ยเพื่อรักษาบรรยากาศ เอ็ดเวิร์ดหัวเราะแห้ง ๆ ก่อนจะขยับนิ้วขวาเนรมิตภาพโฮโลแกรมขึ้นมาแล้วตรวจสอบข้อมูลของสเตฟาเนีย จากนั้นเริ่มอ่านรายละเอียดที่ปรากฏอยู่ในนั้นให้ทุกคนได้สดับรับฟังพอสังเขป
“สเตฟาเนีย เลฮารอฟวา ผลการเรียนเกรดเฉลี่ย 3.92 พลังเวทมนตร์แรงค์ A ความสามารถทางกายภาพแรงค์ B ความรู้พื้นฐานแรงค์ A ความรู้วิชาการเกี่ยวกับเวทมนตร์แรงค์ A ความสามารถในการใช้อาวุธแรงค์ B ความชำนาญแรงค์ B ความคล่องตัวแรงค์ A ความต้านทานผิดปกติแรงค์ B และโชคแรงค์ B… ไม่เลวเหมือนกันนะครับเนี่ย”
เลวอน ออเดรย์ เวสน่า อาเธอเรีย โมนิก้า วัตสัน อิทสึกิ ต่างโน้มตัวเข้าใกล้เอ็ดเวิร์ด จ้องดูข้อมูลค่าสถานะเบื้องต้นด้วยความสนใจ ในขณะที่ฮิคาริกับเซ็ทสึนะชำเลืองตามองอย่างท่าทีสำรวม หลังจากนั้นคลาร่าได้กล่าวเสริมขึ้นมา
“เท่าที่ดูจากสเตตัสแล้วก็สมกับเป็นคุณสเตฟาเนียดีนะคะ ความสามารถของเธอไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจอะไรเลย”
“ก็ไม่อยากจะขัดจังหวะนักหรอกนะ แต่ฉันขอแนะนำอะไรอย่างหนึ่ง อย่าเชื่อค่าสเตตัสที่เห็นอยู่ในตอนนี้จะดีกว่า”
ฮิคาริโต้แย้ง เหล่าสมาชิกประกาศิตแห่งมังกรได้ยินดังนั้นจึงหันมาจ้องมองเธออย่างฉงน โดยที่อิทสึกิเริ่มตั้งข้อสงสัย
“ท่านฮิคาริพูดเหมือนกับว่าตัวเองรู้ความสามารถที่แท้จริงของท่านสเตฟาเนียยังไงยังงั้นเลยนะขอรับ”
“อ-เอ๊ะ!?” ยุวสตรีจอมดาบเวทถึงกับสะดุ้งใจ ก่อนจะพูดจากลบเกลื่อนทันควัน “พูดบ้า ๆ ฉันก็แค่ยกเอาประสบการณ์โดยตรงมาเปรียบเทียบเท่านั้นเอง นายคิดว่าทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกใบนี้ไม่เคยมีข้อผิดพลาดเลยรึยังไง ไม่มีทางหรอกที่คนอื่นจะรู้จักเรื่องของเราได้ดีกว่าตัวเราเองน่ะ”
“ล… เล่นเอาความจริงมาพูดแบบนี้ ข้ารู้สึกเจ็บจี๊ดจนเถียงไม่ออกเลยล่ะขอรับ” อิทสึกิถอดสีหน้าเศร้าสร้อย
“นี่ผมถูกรุ่นพี่ฮิคาริเกลียดขี้หน้าเข้าให้เสียแล้วสิ นึกแล้วเชียวความสามารถแบบนี้อันตรายจริง ๆ ด้วย”
แม้แต่เอ็ดเวิร์ดเองยังต้องแย้มสรวลเจื่อน ๆ ก้มหน้าด้วยความสำนึกผิดเช่นกัน เวสน่าเลยอาสารับหน้าที่ลูบแผ่นหลังปลอบใจเขาด้วยความสงสาร เลวอนอดเห็นใจไม่ได้ จึงเริ่มต้นบทสนทนากับเด็กหนุ่มผมสีม่วงอ่อนด้วยท่าทีอัธยาศัย พร้อมทั้งมอบรอยยิ้มละมุนละไมแก่อีกฝ่าย
“อย่าคิดมากสิ ความสามารถของนายน่ะจะต้องเป็นประโยชน์ให้กับพวกเราอย่างแน่นอน ภายนอกดูเหมือนคุณฮิคาริจะชอบพูดจากระทบกระทั่งก็จริง แต่เนื้อแท้เธอเป็นคนใจดีมากเลยนะ… ถ้าอยากให้เธอยอมรับในฝีมือนายล่ะก็ แนะนำว่าต้องใช้เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์อีกสักหน่อย”
“จ-เจ้าลูกแกะบ้านี่ พูดอะไรไม่เข้าเรื่อง…!”
ฮิคาริบ่นพึมพำโดยที่ทั้งสองแก้มแดงระเรื่อ ก่อนจะเชิดหน้าหันไปทางอื่นด้วยความเขินอาย เซ็ทสึนะสังเกตเห็นท่าทีดังกล่าวก็ถึงกับประหลาดใจ เพราะนี่ถือเป็นครั้งแรกที่ได้เห็นอีกฝ่ายออกอาการและแสดงสีหน้าเช่นนี้ พร้อมทั้งสลับจับจ้องมองเลวอนอย่างคลางแคลงใจ
“บางทีผมอาจกลายเป็นตัวถ่วงเหมือนอย่างที่อัลเบิร์ตพูดมาก็ได้นะครับ” เอ็ดเวิร์ดตัดพ้อ
“ถึงขนาดหลบการโจมตีของอัลเบิร์ตได้ก็นับว่าไม่ธรรมดาแล้วล่ะ” พ่อมดหนุ่มนัยน์ตาสีอำพันปลอบประโลม “อาจจะเป็นคำพูดที่ไม่ดีสำหรับนายสักเท่าไหร่ แต่ขอสารภาพตามตรง ผมน่ะแอบอิจฉาความสามารถของนายมาก ๆ เลย… เพราะงั้นนายควรภาคภูมิใจไปกับมันนะ เพียงแต่ต้องดูสถานการณ์และควรใช้ให้ถูกจังหวะอีกสักหน่อย”
“ขอบคุณมากนะครับรุ่นพี่”
เอ็ดเวิร์ดเงยศีรษะขึ้นพร้อมทั้งแย้มสรวลมุมปาก เลวอนเห็นดังนั้นจึงโล่งใจ เวสน่าซึ่งเฝ้ามองดูสองเด็กหนุ่มสนทนากันอย่างเงียบเชียบแอบเผยรอยยิ้มอันอบอุ่น โดยที่สายตายังคงจับจ้องบุรุษหนุ่มผู้แสนสุภาพด้วยความเอ็นดู
“คุณเลวอนในตอนนี้ ดูเหมือนศาสตราจารย์ยาโรสลาฟมาก ๆ เลยล่ะค่ะ” นักพรตสาวกล่าวชื่นชม
“ม-ไม่เลยครับซิสเตอร์ ถ้าหากเป็นศาสตราจารย์ล่ะก็คงน่าจะพูดได้ดีกว่าผม”
“รุ่นพี่เท่สุด ๆ ไปเลยครับ~!”
ยิ่งโดนเอ็ดเวิร์ดและเวสน่ามอบถ้อยคำชมเชยเช่นนี้ ก็ยิ่งทำให้เลวอนอายม้วนต้วนวางไม้วางมือไม่ค่อยถูก
——ครืน!
ทันใดนั้นเอง แรงอัดอากาศปริศนาได้พุ่งกระแทกเข้าใส่เหล่าบรรดาพ่อมดแม่มดในชั้นเรียน จนชุดแต่งกายและปลายเส้นผมของแต่ละคนพัดปลิวไสว ตามด้วยแสงสว่างอันเจิดจ้า สายตาของทุกคนรีบจับจ้องมองไปยังจุดเกิดเหตุด้วยความตะลึงพรึงเพริด เมื่อรู้ว่ามีบางสิ่งผิดปกติกำลังปะทุขึ้นมา
เกิดเหตุการณ์อัศจรรย์บางอย่างต่อสเตฟาเนีย หลังจากที่ยาโรสลาฟคลุมอาภรณ์ศักดิ์สิทธิ์ให้แก่เธอ ทั่วร่างปกคลุมไปด้วยออร่า ตามด้วยกระแสไฟฟ้าสามสี ได้แก่สีขาว ดำทมิฬ และม่วงเข้ม เล็บมือทั้งสองข้างแหลมยาวกว่าปกติเล็กน้อย นัยน์ตาแปรเปลี่ยนเป็นสีม่วงสุกสกาว อีกทั้งฟันเขี้ยวแหลมคมคล้ายดั่งผีดูดเลือดเสียกระนั้น
ชุดแต่งกายแม่มดสาวนักปรุงยา หรือ “บุตรีแห่งไซตอน” มีลักษณะเปลี่ยนไปจากเดิมด้วยคาถา “Pythonissa modus (อาภรณ์แม่มด) ” มีลักษณะสีดำทมิฬเหมือนตอนที่ได้ต่อสู้กับปีศาจนักเชิดมนุษย์ Aka Manah ทุกประการภายใต้ผ้าคลุมจอมเวทพาลาดิน ท่ามกลางสายลมกรรโชกดุจดั่งพายุฝนลูกใหญ่ซึ่งพัดสิ่งของที่อยู่ภายในห้องเรียนปลิวว่อนไปทั่ว
เหล่านักเรียนพ่อมดแม่มดพากันส่งเสียงกรีดร้องด้วยความหวาดกลัว และตกอยู่ในอาการกระสับกระส่าย แสงสว่างวูบวาบจากกระแสไฟฟ้าสรรพสี ทำให้ทุกคนมองเห็นรูปลักษณ์ที่แท้จริงของสเตฟาเนียได้ไม่ชัดเจนนัก ในขณะที่ยาโรสลาฟกลับยืนรับชมความอลังการซึ่งอยู่ตรงเบื้องหน้าอย่างไม่สะทกสะท้าน
ฮิคาริเคยเห็นสเตฟาเนียในร่างของบุตรีแห่งไซตอนมาแล้วครั้งหนึ่งถึงขั้นขนลุกซู่ใจสั่นสะท้าน ส่วนเลวอนนั้นแม้ว่าเขาจะรู้อยู่แก่ใจตั้งแต่แรกแล้วว่าตัวจริงของเด็กสาวเจ้าของเรือนผมสีส้มคนนี้เป็นใคร แต่ก็มิอาจอดตื่นเต้นได้อยู่ดี เด็กหนุ่มสัมผัสได้ถึงแรงกดดันอันคุ้นเคย และหวนรำลึกถึงตอนที่เธอเคยต่อสู้กับมิโนทอร์ในวันที่ฝนพรำขึ้นมาทันที
“อ-อะไรน่ะ พายุเข้ารึไง!?” ออเดรย์อุทาน
“ก… เกิดอะไรขึ้นกับสเตฟก้ากันแน่!?”
อาเธอเรียรีบหันไปซักถามเอ็ดเวิร์ด เด็กหนุ่มผมสีม่วงอ่อนพยายามเบิกตาอ่านข้อมูลบนภาพโฮโลแกรม แล้วรายงานสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดด้วยสีหน้าน้ำเสียงกระตือรือร้นปนประหลาดใจ
“สุดยอด สุดยอดไปเลย…! จู่ ๆ ค่าสเตตัสของคุณสเตฟาเนียก็พุ่งสูงขึ้น ทั้งพลังเวทมนตร์ ความสามารถทางกายภาพ ความสามารถในการใช้อาวุธ ความชำนาญ ความคล่องตัว และความต้านทานผิดปกติ กลายเป็นแรงค์ S ทั้งหมด!”
“บ-บ้าไปแล้วขอรับ แบบนี้เขาเรียกว่าปีศาจชัด ๆ !”
“สถานการณ์แบบนี้ยังมีกะจิตกะใจมานั่งอ่านสเตตัสคนอื่นอีกเหรอฟะ!?”
อิทสึกิและวัตสันส่งเสียงตามลำดับ ไม่เว้นแม้แต่เซ็ทสึนะด้วย แม่มดสาวนัยน์ตาสีชาดรีบซักถามฮิคาริอย่างร้อนรนใจ ทั้งที่สายตายังคงพยายามเพ่งเล็งต้นกำเนิดแห่งแสงสว่างนั้นแบบสุดความสามารถ แต่ภาพทุกอย่างกลับพร่ามัวไปเสียหมด
“ท-ท่านพี่ เธอคนนั้นเป็นใครกันแน่คะ ทั้งพลังเวทและพลังจิตรุนแรงเหลือเกิน!”
ทว่ายุวสตรีจอมดาบเวทกลับไม่ได้ให้คำตอบใด ๆ แก่ลูกพี่ลูกน้องของตนเลย เซ็ทสึนะยังคงเฝ้าดูสถานการณ์ที่อยู่ตรงเบื้องหน้าต่อไป แล้วพบว่ายาโรสลาฟกำลังเผยรอยยิ้มอย่างมีเลศนัย ชวนให้เธออดนึกสงสัยไม่ได้ว่าทำไมเขาถึงมีท่าทีเช่นนี้
“ม… ไม่ไหว ร่างกายมันหนักอึ้งไปหมด เริ่มควบคุมตัวเองไม่อยู่แล้ว…!”
สเตฟาเนียสาธยายความรู้สึกด้วยสีหน้าน้ำเสียงทรมาน พร้อมที่จะกรีดร้องและระเบิดพลังออกมาได้ทุกเมื่อ พ่อมดผู้อาวุโสเห็นท่าไม่ดีจึงเร่งวางฝ่ามือประทับลงบนแผ่นหลังร่างบาง เสี้ยววินาทีนั้นเองอาภรณ์แม่มดสีดำของเด็กสาวก็ได้สูญสลายกลายเป็นขนนกสีดำกระจายไปทั่วบริเวณห้องเรียนอย่างน่าอัศจรรย์ ในขณะที่ลมกรรโชกและแสงสว่างหลากสีพลันสงบนิ่งลง
นัยน์ตาของบุตรีแห่งไซตอนกลายเป็นสีส้ม ร่างกายกลับเป็นเหมือนเดิม และอยู่ในชุดนักเรียนจอมเวทตามปกติ ก่อนจะทรุดเข่านั่งพับเพียบลงไปในสภาพอิดโรยพลางหายใจเหนื่อยหอบทั้งน้ำตาคลอ ยาโรสลาฟถอดอาภรณ์ศักดิ์สิทธิ์ที่สวมคลุมบนร่างของเธอออก ลงมือร่ายคาถาฟื้นฟูพละกำลังให้แก่อีกฝ่าย แล้วพูดคุยกับลูกศิษย์คนโปรดด้วยรอยยิ้มพึงพอใจ
“ยังเร็วเกินไปที่จะสวมผ้าคลุมผืนนี้งั้นสินะ แต่ถึงขนาดคลายผนึกชั้นแรกได้เองโดยไม่ต้องใช้แรงใจแบบนี้ แสดงว่าเธอยังคู่ควรที่จะเป็นจอมเวทระดับชั้นพาลาดินอยู่”
“ข… ขอบคุณที่ช่วยห้ามไม่ให้หนูเผยปีกเซราฟิมออกมานะคะ ว่าแต่ครั้งหน้าอย่าให้หนูทำอะไรแผลง ๆ แบบนี้ต่อหน้าทุกคนอีกเด็ดขาดเชียว ไม่งั้นความแตกแน่ ๆ”
“เอาน่า ถือเสียว่าเป็นการแสดงพลังที่แท้จริงให้เพื่อนร่วมชมรมเห็นสักหน่อยก็แล้วกัน จะได้ไม่ต้องถูกคนอื่นพูดจาสบประมาทอีกยังไงล่ะ”
“มีแต่จะทำให้พวกคุณเลวอนไม่กล้าเข้าใกล้ตัวหนูมากกว่าเดิมน่ะสิคะ คนอื่น ๆ เขาไม่รู้เรื่องราวเกี่ยวกับตัวหนูก็จริง แต่กับเพื่อนที่ใกล้ชิดเนี่ยสิ พวกเขาอาจเริ่มคลางแคลงใจในตัวหนูไปแล้วก็ได้…”
สเตฟาเนียเผยสีหน้าบึ้งตึงใส่ยาโรสลาฟ แล้วกวาดสายตามองดูเพื่อนร่วมชมรมด้วยความกังวลใจ เหล่าพ่อมดแม่มดฝึกหัดหลายคนต่างพากันจับจ้องเธออย่างหวั่นเกรง ไม่อาจสรรหาถ้อยคำใดมาบรรยายต่อสิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้นได้ชัดเจน รู้สึกตัวอีกทีก็พบว่าร่างกายของทุกคนปกคลุมไปด้วยขนนกสีดำเกาะอยู่ตามเสื้อผ้าหน้าผมเสียแล้ว จึงเร่งใช้มือปัดออกด้วยอาการเสียขวัญ
“สเตฟก้า!/สเตฟาเนีย!/คุณสเตฟาเนีย!”
ยกเว้นเลวอน อิทสึกิ วัตสัน อาเธอเรีย โมนิก้า ออเดรย์ เวสน่า คลาร่า และฮิคาริเท่านั้น ที่รีบลุกขึ้นจากเก้าอี้พุ่งตัวเข้าหาสเตฟาเนียด้วยความเป็นห่วง เพราะเกรงว่าเธออาจได้รับภัยอันตรายหรือผลกระทบจากเสื้อคลุมเจ้าปัญหา โดยไม่ได้สนใจเศษขนนกที่เกาะอยู่ตามร่างกายเลยสักนิด แม้ว่าภายในใจส่วนหนึ่งจะยังอกสั่นขวัญแขวนต่อสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อสักครู่นี้ก็ตาม
“แต่ถึงอย่างนั้น พวกเขาก็ยังไม่ได้ทอดทิ้งเธอไปเสียทีเดียวนี่”
ยาโรสลาฟเกริ่นสั้น ๆ ก่อนจะหันหน้าไปยังเหล่าสมาชิกประกาศิตแห่งมังกรด้วยความชื่นชม สเตฟาเนียเห็นปฏิกิริยาท่าทีของเหล่ามิตรสหายดังนั้นก็ถึงกับอ้ำอึ้งแปลกประหลาดใจเล็กน้อย ก่อนจะแสดงอาการผ่อนคลายความวิตกลง ไม่นานนักบุรุษจอมเวทผู้ยิ่งใหญ่ก็ได้พูดคุยกับเธอเป็นการส่วนตัวอีกครั้ง
“ถือเป็นสี่สิบสี่วินาทีที่คุ้มค่าดีใช่ไหมล่ะ?”
“…ค่ะ”
สเตฟาเนียแย้มสรวลมุมปากเล็ก ๆ ส่งท้าย จากนั้นบุรุษจอมเวทผู้ยิ่งใหญ่ได้ส่งมอบแม่มดสาวนักปรุงยาให้กับสมาชิกทีมประกาศิตแห่งมังกร เพื่อให้พวกเขาประคองตัวพาเธอกลับไปนั่งพักผ่อนบนเก้าอี้พับตามปกติ
ในขณะที่เซ็ทสึนะยังคงจ้องมองสเตฟาเนียอย่างตกตะลึง แล้วกวาดสายตาไปยังภาพข้อมูลบนโฮโลแกรมซึ่งเอ็ดเวิร์ดกำลังฉายอยู่ พบว่าค่าความสามารถของยุวสตรีผมสีส้มนั้นกลับคืนสู่สภาวะปกติ ราวกับว่าสิ่งมหัศจรรย์ที่เพิ่งเกิดขึ้นทั้งหมดนี้ล้วนเป็นเรื่องปาหี่ แต่ก็มิอาจปฏิเสธได้ว่าทั้งพลังจิตและพลังเวทซึ่งมากมายมหาศาลนั้นเป็นของจริง
ก่อนที่เซ็ทสึนะจะเพ่งเล็งไปยังยาโรสลาฟด้วยความกังขาปนคลางแคลงใจ เธอลงความเห็นว่าอีกฝ่ายอาจมีเป้าหมายอะไรบางอย่างซ่อนเร้นอยู่ เพียงแต่ไม่ทราบถึงจุดประสงค์ที่แน่ชัด ทันใดนั้นเองศาสตราจารย์จอมปราดเปรื่องได้เหลือบสายตามาทางนี้ รอยยิ้มซึ่งแฝงเร้นถึงความร้ายกาจของเขา เล่นทำเอาเด็กสาวคิ้วสั้นหนาถึงกับขนพองสยองเกล้ารีบเบือนหน้าหนีทันที
ผู้ชายคนนี้เป็นตัวอันตราย นี่คือสิ่งที่องเมียวจิสาวนัยน์ตาสีชาดแอบนึกครึ้มในใจ
เลวอน และโมนิก้า นำพาสเตฟาเนียนั่งลงบนเก้าอี้พับเพื่อให้อีกฝ่ายพักผ่อน ระหว่างนั้นเองวัตสันได้เกริ่นเหน็บแนม แต่ก็ยังมีน้ำใจส่งหลอดน้ำยาฟื้นฟูสมรรถภาพร่างกายให้แก่เธอตามประสาเพื่อนร่วมทีมไปพลาง
“ยัยบ้าเอ๊ย รู้ทั้งรู้ว่าตัวเองไม่มีความสามารถในการดูดซับพลังเวทตามธรรมชาติแท้ ๆ เป็นไงล่ะ ใช้พลังจนเกือบหมดเกลี้ยงเลยล่ะสิ… เอ้านี่ ค่อย ๆ ดื่มมันไปนะ”
“ขอบคุณมากค่ะ ถ้ารุ่นพี่วัตสันไม่พูดจาซ้ำเติมด้วย บางทีฉันคงอาจทำตัวเป็นรุ่นน้องที่ดีให้กับคุณมากกว่าอีกนี้ก็ได้”
“อ-เอ๊ะ…!? ปัดโธ่เอ๊ย เมื่อกี้นี้ถือซะว่าฉันไม่เคยพูดก็แล้วกันนะ”
“ไม่ทันแล้วล่ะค่ะ”
สเตฟาเนียคว้าหลอดแก้วจากมืออีกฝ่าย แล้วเปิดฝาดื่มของเหลวสีแดงใสที่อยู่ในขวดจนหมด ส่วนวัตสันแอบส่งเสียงเดาะลิ้นด้วยความเสียดาย ขณะเดียวกันเหล่าสมาชิกทีมประกาศิตแห่งมังกร ก็ได้ยิงคำถามใส่เธอด้วยความสงสัยปนตื่นเต้น
“สเตฟก้า เมื่อกี้นี้เกิดอะไรขึ้นกับเธอกันแน่?”
“พลังเวทกับพลังจิตแตกต่างจากตอนที่สู้กับ Aka Manah หรือวลาดที่สามลิบลับเลยขอรับ!”
“ที่บอกว่าดูดซับพลังเวทตามธรรมชาติไม่ได้ ไม่ใช่เพราะแอบเก็บซ่อนพลังที่แท้จริงเอาไว้หรอกเหรอคะ?”
“พวกเราพอจะเดาออกแล้วล่ะว่าตัวจริงของสเตฟก้าเป็นใคร”
“หลังจากจบคาบเรียนนี้ ดูเหมือนว่าพวกเรามีเรื่องที่ต้องพูดคุยกันแล้วล่ะค่ะ”
“ถ้าหากมีเรื่องที่ไม่สามารถบอกกับทุกคนได้ ฉันในฐานะผู้รับใช้พระองค์ยินดีรับฟังคำสารภาพให้เองค่ะ”
อาเธอเรีย อิทสึกิ คลาร่า ออเดรย์ โมนิก้า และเวสน่ากล่าวตามลำดับ ดูเหมือนว่าสมาชิกทีมประกาศิตแห่งมังกรจะรู้ถึงตัวจริงของสเตฟาเนียเข้าให้แล้ว (ยกเว้นเซ็ทสึนะ เอ็ดเวิร์ด และเพื่อนร่วมชมรม) แม่มดสาวออกอาการอ้ำอึ้งไม่อาจสรรหาคำแก้ตัวใด ๆ ได้อีก เพราะไม่มีประโยชน์ที่จะต้องทำเช่นนั้นแล้ว ก่อนจะกวาดสายตามองไปยังฮิคาริด้วยสีหน้าผิดหวังอย่างแรง
“ย… อย่ามองฉันด้วยสายตาแบบนี้สิยะ ฉันเปล่านะ!” ซามูไรสาวเลิกลั่กรีบปฏิเสธทันควัน
“นี่ไม่ใช่เวลามาสอบสวนกันนะครับ ปล่อยให้เธอได้นอนพักผ่อนอีกสักหน่อยไม่ได้รึยังไง…!?”
เลวอนส่งเสียงเอ็ดใส่ ทำให้เหล่าผองเพื่อนต่างสะดุ้งตกใจเล็กน้อยพร้อมทั้งชะงักไปพักหนึ่ง ทุกคนรู้สึกผิดทันทีที่เผลอทำเรื่องเสียมารยาทลงไป เพราะนั่นไม่ใช่เรื่องที่จะนำมาพูดคุยกันต่อหน้าสาธารณชน เมื่อสถานการณ์ทุกอย่างเริ่มสงบลงแล้ว บุรุษหนุ่มผมสีขาวโพลนก็ได้หันไปสนทนากับสเตฟาเนีย ด้วยสีหน้าน้ำเสียงสลดปนเจ็บปวดใจ
“ขอโทษนะสเตฟก้า ถ้ารู้ว่าจะต้องเกิดเรื่องแบบนี้ ผมขอยอมออกไปเป็นคนแรกยังจะดีเสียกว่า”
“ไม่ใช่ความผิดของคุณเลวอนสักหน่อย ฉันต่างหากล่ะคะที่บ้าจี้ทำตามคำขอจากศาสตราจารย์… เอาไว้หลังจบคาบเรียนแล้วเดี๋ยวฉันจะสารภาพเรื่องนี้กับทุกคนเองค่ะ”
สเตฟาเนียยกปลายนิ้วชี้ขวาแตะริมฝีปากเลวอนอย่างแผ่วเบา หวังให้อีกฝ่ายหยุดพูดจาตำหนิตัวเอง เธอแอบดีใจอยู่ลึก ๆ ที่เขานั้นได้คำนึงถึงความรู้สึกของตนก่อนเป็นอันดับแรก มากกว่าการตั้งคำถามร้อยแปดพันเก้าเพื่อซักไซ้สนองความใคร่รู้ ส่วนบุรุษหนุ่มจอมดาบเวทผู้แสนสุภาพแย้มสรวลมุมปากอย่างเศร้าสลด
เอ็ดเวิร์ดแอบนึกอิจฉาอยู่ไม่น้อยต่อท่าทีของสเตฟาเนียซึ่งมีให้แก่เลวอน และเพื่อไม่ให้บทสนทนาดูกร่อย เขาจึงเกริ่นขึ้นพร้อมทั้งแสดงกิริยาท่าทีกระตือรือร้น แล้วชี้ไปยังภาพโฮโลแกรมซึ่งฉายภาพตอนที่แม่มดสาวนักปรุงยากำลังสำแดงเดชด้วยผ้าคลุมจอมเวทพาลาดินอย่างโจ่งแจ้งชัดเจน
“ผมไม่รู้หรอกนะว่าทุกคนกำลังพูดเรื่องอะไรกันอยู่ แต่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อกี้นี้ผมได้บันทึกวิดีโอเอาไว้เรียบร้อยแล้ว เท่มากเลยล่ะครับคุณสเตฟาเนีย~!”
“เจ้าบ้านี่ หัดดูบรรยากาศบ้างสิฟะ!”
อาเธอเรีย วัตสัน และออเดรย์ ส่งเสียงดุใส่โดยพร้อมเพรียงกัน สเตฟาเนียได้ยินเช่นนี้ก็ถึงกับตัวแข็งทื่อไปชั่วขณะหนึ่ง ค่อย ๆ เหลือบสายตาจ้องเขม็งเล็งใส่เด็กหนุ่มเสื้อฮู้ดหูแมวอย่างเย็นชา ทว่าน้ำเสียงแผ่วเบาแฝงไว้ซึ่งความเกรี้ยวกราดนั้นกลับทิ่มแทงลึกลงไปยังขั้วหัวใจราวกับมีดที่คมกริบ
“ลบทิ้งเดี๋ยวนี้เลยค่ะ ไม่งั้นฉันโกรธจริง ๆ ด้วย”
“เอ๊ะ~!?”
เอ็ดเวิร์ดสะดุ้งเฮือก ก่อนจะใช้ปลายนิ้วกดปุ่มคำสั่งบนภาพโฮโลแกรม แล้วลบวิดีโอที่ถ่ายเอาไว้ด้วยความเสียดายยิ่ง แน่นอนว่าพวกคลาร่าเองก็เห็นพ้องกับคำสั่งนี้ เพราะไม่ต้องการให้ความลับของสเตฟาเนียรั่วไหลไปถึงหูชาวบ้านนั่นเอง
ในขณะที่เซ็ทสึนะมีข้อสงสัยอยู่ภายในใจหลายอย่าง และเต็มไปด้วยคำถามมากมายซึ่งอยากจะซักไซ้ต่อสมาชิกกลุ่มประกาศิตแห่งมังกร แต่ก็ต้องเก็บใส่กรุเอาไว้อย่างสงบเสงี่ยม หาไม่แล้วเธออาจโดนฮิคาริตำหนิได้ว่าทำเรื่องเสียมารยาทอีกคน
ยาโรสลาฟกระแอมไอเพื่อเรียกความสนใจจากเหล่าพ่อมดแม่มดฝึกหัดอีกครั้ง
“อะแฮ่ม! สิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อสักครู่นี้ถือเป็นเรื่องปกติสำหรับการทดสอบ ผู้ที่เข้าใกล้คุณสมบัติการเป็นจอมเวทระดับชั้นพาลาดินมากที่สุดมักมีเหตุอัศจรรย์ปรากฏขึ้นอยู่เสมอ โดยแต่ละคนมีรูปแบบที่แตกต่างกันออกไป… ในกรณีของสเตฟาเนียนั้นถือว่าสอบผ่าน แต่เพื่อไม่ให้ห้องเรียนเละเทะมากไปกว่านี้ ฉันเลยถือวิสาสะหยุดการทดสอบเอาไว้ก่อน”
“ศาสตราจารย์ ก่อนอื่นช่วยจัดการเจ้าขนนกพวกนี้ให้เรียบร้อยทีสิครับ” วัตสันยกมือทักท้วง
“โอ๊ะ…! ลืมเสียสนิทเลย ขอโทษ ๆ”
พ่อมดผู้ทรงเกียรติในชุดครุยสีกรมท่า ยกมือขวาขึ้นดีดนิ้วร่ายเวทมนตร์ Retrorsum converti เนรมิตสิ่งของที่กระจัดกระจายอยู่ตามพื้นห้อง ให้ย้อนกลับคืนสู่สภาพเดิมเหมือนไม่เคยมีเรื่องอะไรเกิดขึ้น และซ่อมแซมอุปกรณ์บางส่วนที่เสียหายให้อยู่ในสภาพเหมือนใหม่ สร้างความตื่นตาตื่นใจให้แก่สมาชิกในชมรมยิ่งนัก
ส่วนขนนกสีดำซึ่งเกาะอยู่ตามเสื้อผ้าหน้าผมของเหล่านักศึกษานั้น ก็ได้อันตรธานกลายเป็นละอองแสงไปจนหมดสิ้น
“เอาล่ะ เหลือแค่พวกเธอสองคนแล้วนะ… เลวอน เอ็ดเวิร์ด”
ไม่ทันที่ทุกคนจะได้พักหายใจ ยาโรสลาฟก็เริ่มเกริ่นบทสนทนากับสองบุรุษหนุ่มวัยเยาว์ที่ยังเหลือรอดอยู่ ด้วยสายตาและรอยยิ้มอันอบอุ่น เลวอน และเอ็ดเวิร์ด ต่างหันหน้าสบตามองกันพลางส่งเสียงหัวเราะแห้ง ๆ ในลำคอ เมื่อรู้ว่าตนคงหลีกหนีชะตากรรมไม่พ้นแล้ว มีแต่ต้องลุยไปข้างหน้าให้ถึงที่สุดเท่านั้น
MANGA DISCUSSION