“โอร่า~!!”
——เปรี้ยง!!
อาเธอเรียแผดคำราม ตามด้วยเสียงกัมปนาทกึกก้องของเวทมนตร์อัสนีเพลิง ซึ่งถูกปลดปล่อยออกมาผ่านสองกำปั้น ทำให้ผืนแผ่นดินบริเวณนี้กลายเป็นหลุมบ่อขรุขระนับสิบ ชั่วโมงเรียนแห่งศิลปะการต่อสู้ยังคงดำเนินต่อไปตามตารางฝึก ทว่าคู่ฝึกซ้อมของเด็กสาวในตอนนี้หาได้ใช่เลวอนเสียแล้ว
“นี่เจ้าคิดจะฆ่าข้ารึยังไง แล้วทำไมข้าต้องมาฝึกซ้อมวิชาการต่อสู้กับเจ้าด้วย!?”
วลาดโวยวายด้วยสีหน้าท่าทีตะลีตะลาน หลังจากพยายามใช้ทักษะที่มีอยู่ทั้งหมดหลีกหนีการโจมตีต่อเนื่องในสภาพสะบักสะบอม แทบไม่มีโอกาสหาจังหวะคอยสวนกลับต่ออีกฝ่ายได้เลยแม้แต่น้อย ทางด้านเด็กสาวผมสีน้ำตาลเข้มยาวสวยยืนพักหายใจชั่วคราว ก่อนจะให้คำตอบแก่ลูกศิษย์ด้วยรอยยิ้มเลศนัย ทั้งที่ทั่วสรีระและชุดแต่งกายนั้นเปียกชุ่มไปด้วยหยาดเหงื่อ
“ก็แหงสิ ตอนนี้นายกำลังอาศัยร่างของเลวอนอยู่ ฉันเลยต้องติวเข้มฝึกให้นายเป็นกรณีพิเศษด้วย ที่สำคัญนี่ถือเป็นการฝึกอย่างหนึ่งเพื่อให้กล้ามเนื้อจดจำการเคลื่อนไหว รู้จักคำว่า Muscle memory รึเปล่า?”
“ข้าเป็นถึงจอมดาบเวท ขอแค่มีอาวุธอยู่ในมือสักเล่มพร้อมวิชาอาคม แค่นี้ก็เพียงพอสำหรับข้าแล้ว!”
“ก็เพราะมัวแต่พึ่งพาพลังเวทเพียงอย่างเดียว นายถึงเอาชนะจอมมารไซตอนไม่ได้สักทียังไง… ล่ะ!!”
อาเธอเรียง้างหมัดขวาพุ่งเข้าใส่วลาดอีกครั้ง ราวกับต้องการทุ่มพละกำลังทั้งหมดที่มีอยู่มอบให้แก่เขาผ่านกำปั้น วิชาลำนำสัประยุทธ์แห่งเปลวอัสนีพุ่งเฉียดผ่านสีข้างของพ่อมดแวมไพร์อย่างน่าหวาดเสียวชนิดเส้นยาแดงผ่าแปด ก่อนจะกระแทกลงยังพื้นเกิดเสียงสนั่นดังตูม
เคราะห์ดีที่เจ้าชายแห่งวาลาเคียไหวตัวทัน รีบสไลด์ฝีเท้าออกห่างจากปรมาจารย์ผู้สอนสั่งด้วยระยะทางสิบเมตรเพื่อตั้งหลัก ยื่นแขนขวาไปยังคู่ต่อสู้ที่ยืนอยู่ตรงเบื้องหน้า ส่วนมือซ้ายจับยังข้อพับศอกข้างถนัดในท่าเตรียมร่ายเวทมนตร์ และด้วยถ้อยคำดังกล่าวจากปากอาเธอเรียซึ่งสร้างความขุ่นเคืองใจให้แก่ตน เขาจึงคิดอยากจะสั่งสอนเอาคืนเธอขึ้นมา
“แล้วเจ้าจะเสียใจที่พูดกับข้าเช่นนั้น!”
“ห้ามใช้เวทมนตร์รุนแรงเด็ดขาดนะคะ!”
โมนิก้าที่นั่งดูการฝึกซ้อมอยู่ห่าง ๆ บนผืนหญ้าพลันส่งเสียงห้ามปราม ทำให้วลาดจำต้องหยุดชะงักเพียงชั่วขณะหนึ่งแล้วหันไปสนใจในถ้อยคำของเด็กสาวแทนด้วยท่าทีกระอักกระอ่วน โดยไม่ทันได้เนรมิตวิชาร่ายเสาเสียบประจานใด ๆ ขึ้นมาเลยแม้เพียงสักต้นเดียว
“เสร็จฉันล่ะ~!!”
พลั่ก!!
อาเธอเรียสบโอกาสนี้ยกเลิกมนตราลำนำสัประยุทธ์ รีบพุ่งเข้าประชิดตัว แล้วใช้กำปั้นซ้ายซัดใส่หน้าท้องของราชันผีดูดเลือดอย่างไม่รีรอ ร่างของบุรุษวีรชนกระเด็นถอยหลังลอยออกห่างจากคู่ฝึกซ้อมไกลเกือบยี่สิบเมตร แผ่นหลังกระแทกลงกับพุ่มหญ้าอย่างจัง ส่งผลทำให้เขาสิ้นสติสัมปชัญญะในท้ายที่สุด
การฝึกซ้อมวิชาศิลปะการต่อสู้ระหว่างอาเธอเรียและวลาดจึงต้องยุติลงแต่เพียงเท่านี้
“……อือ”
พ่อมดหนุ่มผมสีขาวแซมเทาเข้มอยู่ในสภาวะไร้การตอบสนองใด ๆ เป็นเวลาเกือบสามสิบนาที เขาเริ่มรู้สึกตัวโดยการลืมตาตื่นขึ้นมาอย่างช้า ๆ สิ่งแรกที่พบเห็นคือท้องฟ้าสีส้มอมเหลืองแก่ในช่วงเวลาแห่งอัสดง อีกทั้งยังสัมผัสได้ถึงกลิ่นทับทิมอันหอมหวาน ตามด้วยใบหน้าของแม่มดสาวนักพยากรณ์ซึ่งกำลังก้มศีรษะจ้องมองตนลงมาด้วยแววตากังวลใจ
วลาดกำลังนอนหนุนตักโมนิก้าในอิริยาบถผ่อนคลาย ฮิคาริ สเตฟาเนีย และอาเธอเรีย ซึ่งนั่งพับเข่าคอยสังเกตเฝ้าดูอาการอยู่เคียงข้างต่างพากันถอนหายใจโล่งอก เมื่อเห็นว่าเขาไม่ได้รับอันตรายร้ายแรงจากการฝึกซ้อมในวันนี้ ยุวสตรีเจ้าของเรือนผมสีน้ำตาลอ่อนร่างอรชรจึงเริ่มเกริ่นสนทนาด้วยน้ำเสียงอ่อนละมุน
“ได้สติแล้วเหรอคะ?”
“ข้าไม่เข้าใจ ทำไมเจ้าถึงต้องห้ามปรามไม่ให้ข้าใช้เวทมนตร์ที่ตนเองถนัดในระหว่างการฝึกฝนด้วย?”
จอมเวทแวมไพร์ซักถามอย่างกังขา แต่ก็ไม่ได้ใช้ถ้อยคำที่ฟังดูแข็งกร้าวเหมือนแต่ก่อน โมนิก้าส่ายหน้าปฏิเสธแนวคิดการต่อต้านครูผู้สอนด้วยความรุนแรง พลางแสดงสีหน้าคิ้วขมวดใส่แล้วกล่าวตักเตือนต่อเขาอย่างใจเย็น
“ถือเป็นการฝึกฝนด้านความอดทนค่ะ การเข้าใจศาสตร์แห่งเวทมนตร์อย่างลึกซึ้งนั้นเป็นสิ่งที่สมควรทำก็จริง แต่การทำให้ร่างกายและจิตใจมีความแข็งแกร่งตามไปด้วย จะทำให้ตนเองมีความน่าเคารพยำเกรง และสามารถฝ่าฟันอุปสรรคต่าง ๆ ได้อย่างสมชายชาตรีนะคะ”
“ต้องให้เด็กสาวอย่างเจ้าคอยสั่งสอน แถมยังได้นอนหนุนตักเยี่ยงนี้อีก ในฐานะราชาแล้วนี่ถือเป็นเรื่องน่าละอายที่สุดสำหรับข้าเลยกระมัง”
“อ-เอ๊ะ!? ไม่ใช่อย่างที่คุณคิดนะคะ ฉันเห็นว่าร่างกายของคุณเลวอนบอบช้ำก็เลย…!”
โมนิก้ารีบสรรหาประโยคแก้ต่างด้วยท่าทีลนลานทั้งที่สองแก้มแดงก่ำไปจนถึงใบหู วลาดเห็นดังนั้นก็ถึงกับถอนหายใจอย่างผิดหวัง แล้วเอ่ยถ้อยคำอันแสนแผ่วเบาต่อเธอราวกับกระซิบกระซาบ
“…เป็นห่วงเด็กหนุ่มที่ชื่อเลวอนอย่างนั้นสินะ”
บุรุษหนุ่มผู้มีดวงตาสีฟ้าน้ำทะเลค่อย ๆ ปิดเปลือกตาลง เวลาผ่านไปไม่ถึงสิบวินาทีจึงเริ่มเบิกเนตรขึ้นอีกครั้ง คราวนี้นัยน์ตาของเขากลับกลายมาเป็นสีอำพัน ในขณะที่เรือนผมเองก็มีสีขาวโพลนบริสุทธิ์เหมือนดั่งเฉกเช่นที่ผ่าน “เลวอน ทาวิเทียน” ได้รับการคืนร่างเดิมโดยสมบูรณ์ พร้อมด้วยประโยคทักทายถ้อยคำแรกท่ามกลางความสับสนงุนงง
“โมนิก้า? ทุกคน?”
“อ้าว ไหงยอมคืนร่างให้เลวอนง่าย ๆ เฉยเลย?”
“ดูเหมือนว่าเจ้าผีดูดเลือดนี่จะทำตัวเชื่องกับโมนิก้าซะเหลือเกินนะ”
“ก็ดีแล้วนี่คะ คุณวลาดจะได้ไม่ต้องใช้ร่างของคุณเลวอนทำเรื่องแปดเปื้อนมลทินกับคนอื่น ๆ อีก”
อาเธอเรียประหลาดใจเล็กน้อย ฮิคาริถือโอกาสเกริ่นแซว ส่วนสเตฟาเนียกล่าวกระแหนะกระแหนทิ้งท้ายทั้งที่เจ้าชายแห่งวาลาเคียคืนร่างให้แก่เลวอนไปแล้ว โมนิก้าส่งเสียงหัวเราะในลำคอด้วยความโล่งอก ก่อนจะเริ่มต้นสนทนากับพ่อมดหนุ่มผู้แสนสุภาพตามปกติ
“จวนจะได้เวลาแยกย้ายกันกลับบ้านแล้ว คุณเลวอนลุกไหวหรือเปล่าคะ?”
เลวอนไม่ได้ให้คำตอบใด ๆ เขาเริ่มขยับตัวอยู่ในท่านั่งชันเข่าซ้ายเพื่อพยุงตนเองให้ลุกขึ้นยืน โดยมีโมนิก้าคอยใช้สองมือประคองแผ่นหลังร่างสูงแกร่ง และได้ฮิคาริช่วยจับแขนฉุดดึงตนเอาไว้
ขณะนี้เป็นเวลาหกโมงเย็น เหล่าสี่แม่มดสาวพร้อมที่จะก้าวเท้าแยกย้ายกันกลับไปยังที่พักอาศัย ทว่าสภาพร่างกายของเด็กหนุ่มยังไม่ค่อยสู้ดีนัก ไม่ทันไรก็พลันออกอาการเซถลาให้เห็นเสียแล้ว
“เลวอน!? /คุณเลวอน!?” ฮิคาริ อาเธอเรีย สเตฟาเนีย และโมนิก้าต่างร้องอุทานด้วยความเป็นห่วง
“ม… ไม่เป็นไรครับ แค่รู้สึกเหนื่อยมากกว่าปกติก็เท่านั้นเอง”
บุรุษหนุ่มดวงตาสีอำพันตอบรับด้วยรอยยิ้มเจือจางเพื่อไม่ให้พวกเธอรู้สึกเป็นกังวล พร้อมทั้งยกมือขวาขึ้นกุมกลางอกค่อนซ้ายเล็กน้อยด้วยความเจ็บแปลบ เป็นผลจากการที่สภาพร่างกายแบกภาระมากเกินไป ไม่ว่าจะเป็นช่วงเวลาตอนฝึกซ้อม หรือแม้กระทั่งการถูกดวงวิญญาณของวลาดเข้าแทรกแซง
และเนื่องด้วยอาการดังกล่าวนี้เอง เลยทำให้เหล่าผองเพื่อนไม่อาจผ่อนคลายความทุกข์ร้อนใจลงได้
ในขณะที่สเตฟาเนียกำลังช่วยเลวอนหอบสัมภาระ ทั้งกระเป๋าสะพาย ดาบคาตานะ รวมถึงผ้าคลุมของอีกฝ่าย ฮิคาริก็ได้เอ่ยอาสาต่อพ่อมดหนุ่มอย่างไม่รอช้า เนื่องจากที่พักอาศัยของเธอและเขาต่างก็อยู่ติดชิดกันโดยประจวบเหมาะพอดี
“ให้ตายสิ ช่วยไม่ได้แฮะ ถ้างั้นเดี๋ยวฉันจะแบกพานายไปส่งถึงบ้านเอง”
“ทางนี้ยังมีแรงเหลือเฟืออยู่ ให้ฉันทำหน้าที่นี้แทนดีกว่านะ”
อาเธอเรียรีบกล่าวเสนอน้ำใจด้วยเช่นเดียวกัน ทว่าในช่วงวินาทีนั้นเองโมนิก้าได้ส่งเสียงขัดจังหวะแทรกบทสนทนาต่อทุกคนด้วยสีหน้าท่าทีแลดูจริงจัง
“อ… เอ่อ คืนนี้คุณฮิคาริกับคุณอาเธอเรียมีธุระสำคัญต้องรีบไปจัดการให้เสร็จไม่ใช่เหรอคะ?”
“พูดเรื่องอะไรน่ะ วันนี้ฉันไม่ได้…”
ไม่ทันที่ซามูไรหญิงจะโต้แย้งจบประโยค เธอและวีรสตรีจอมห้าวก็ได้ถูกเด็กสาวนักพยากรณ์ดึงตัวมาเพื่อซุบซิบอะไรบางอย่าง โมนิก้าอธิบายถึงเหตุผลสั้น ๆ จนทั้งคู่ต่างเข้าใจถึงจุดประสงค์ เมื่อเสร็จสิ้นแล้วอาเธอเรียจึงหันไปบอกกล่าวต่อสเตฟาเนียด้วยสีหน้ายิ้มแย้มชอบใจ
“ฮะฮะฮะ นั่นสิลืมไปซะสนิทเลย โทษทีนะสเตฟก้า เธอช่วยพาเลวอนไปส่งถึงบ้านที”
“ถึงจะน่าหงุดหงิดแต่ฉันขอฝากเธอด้วยก็แล้วกัน ไว้เจอกันพรุ่งนี้เช้านะ”
ฮิคาริยอมเสียสละหน้าที่นี้ให้แก่แม่มดสาวนักปรุงยาอย่างไม่ค่อยเต็มใจนัก พลางสะบัดหันหน้าเดินทางออกจากพื้นที่นอกเขตของหมู่บ้านด้วยสีหน้าบึ้งตึงเพียงเล็กน้อย โมนิก้าจึงเป็นตัวแทนกล่าวคำอำลาต่อสองหนุ่มสาวเพื่อเตรียมแยกย้ายจากกันตามมารยาท
“พวกเราขอตัวก่อนนะคะ ราตรีสวัสดิ์ค่ะคุณเลวอน สเตฟก้า”
“ราตรีสวัสดิ์ค่ะ/เดินทางปลอดภัยนะทุกคน”
สเตฟาเนียและเลวอนตอบกลับพร้อมทั้งโบกมืออำลา โมนิก้าและอาเธอเรียเองต่างก็ปฏิบัติเช่นนั้นเหมือนกัน ก่อนจะเดินไล่ตามแผ่นหลังฮิคาริแล้วมุ่งตรงสู่ถนนทางเดินเท้า โดยเปิดโอกาสให้สองพ่อมดแม่มดวัยใสได้อยู่ด้วยกันตามลำพัง
ไม่ทันที่พวกอาเธอเรียจะพลันลับสายตาไป โมนิก้าได้ชะงักฝีเท้าหมุนตัวหันกลับมาทางนี้อีกครั้ง เธอขยับริมฝีปากพูดประโยคสั้น ๆ โดยไม่ได้เปล่งน้ำเสียงออกมา เลวอนเห็นดังนั้นจึงจับใจความได้ทันทีว่า เธอกำลังบอกกล่าวต่อเขาด้วยถ้อยคำที่หมายถึง “พยายามเข้านะคะ” นั่นเอง
ไม่นานนัก แม่มดสาวเจ้าของเรือนผมสีน้ำตาลอ่อนจึงหันหลังเดินออกห่างจากพื้นที่แห่งนี้ไป และเพื่อไม่ให้บรรยากาศแลดูวังเวง สเตฟาเนียจึงเกริ่นพึมพำด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา ทั้งที่สายตายังคงจับจ้องมองแผ่นหลังเหล่าสหายหญิงซึ่งอยู่ห่างไกลจากจุดนี้ออกไป ท่ามกลางท้องฟ้าที่ค่อย ๆ ลับแสงตะวันและเริ่มต้นเข้าสู่ยามวิกาล
“เหลือแค่พวกเราสองคนแล้วนะคะ”
“อื้ม นั่นสินะ”
“อาการเป็นยังไงบ้างคะ รู้สึกเจ็บหน้าอกอยู่รึเปล่า?”
แม่มดสาวเจ้าของเรือนผมสีส้มหันมาสบสายตามองอีกฝ่ายด้วยความห่วงใย แม้นว่าการแสดงอารมณ์ผ่านทางสีหน้าจะราบเรียบราวกับตุ๊กตาที่ปราศจากวิญญาณก็ตามที บุรุษหนุ่มผู้แสนสุภาพสูดลมหายใจเข้าออกให้เต็มปอดสองสามครั้งเพื่อบรรเทาความเมื่อยล้าทั้งหมด ก่อนจะแย้มสรวลจาง ๆ ออกมาอย่างสุขุม
“ผมไม่เป็นไรแล้วล่ะ ขอโทษด้วยนะที่ทำให้ทุกคนต้องเดือดร้อน เดี๋ยวผมจะเดินทางกลับบ้านเอง ตอนนี้เริ่มมืดค่ำแล้วเพราะงั้นสเตฟก้ารีบกลับไปก่อนเถอะ”
“พูดเรื่องอะไรน่ะ คิดว่าฉันจะยอมปล่อยให้คนป่วยอย่างคุณเดินทางกลับบ้านคนเดียวงั้นเหรอ?”
คราวนี้สเตฟาเนียออกอาการคิ้วขมวดใส่ ทำให้เลวอนไม่อาจปฏิเสธความหวังดีจากเธอได้อีก
“ข… ขอโทษครับ”
“ฉันไม่อยากให้เลฟต้องเป็นลมล้มพับระหว่างทาง เพราะงั้นฉันจะเดินไปส่งคุณถึงบ้านเองค่ะ”
สเตฟาเนียเรียกชื่อเล่นของเลวอนด้วยท่าทีสนิทสนมเล็กน้อย เมื่อเห็นว่าเธอได้มีโอกาสอยู่เคียงข้างเขาตามลำพังสองต่อสองอีกครั้ง เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลาเด็กสาวจึงเริ่มก้าวเท้าออกเดินทาง และรับหน้าที่คอยแบกสัมภาระของอีกฝ่ายอย่างขะมักเขม้น ในระหว่างนั้นเองพ่อมดหนุ่มจอมดาบเวทก็พลันเกริ่นทักท้วงออกไป หลังจากฉุกคิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้
“สเตฟก้า ช่วยส่งกระเป๋ามาให้ผมหน่อยสิ พอดีผมต้องการหยิบของสำคัญบางอย่างน่ะ”
“ไม่ใช่ว่าแกล้งรับของสัมภาระทั้งหมดจากฉันแล้วชิ่งหนีกลับบ้านคนเดียวหรอกนะคะ?”
“ม-ไม่ทำแบบนั้นหรอกน่า!” เลวอนโต้แย้ง “อีกอย่างถึงจะยังป่วยอยู่แต่ผมเองก็เป็นลูกผู้ชายคนหนึ่งเหมือนกัน เพราะงั้นให้ผมได้ช่วยสเตฟก้าแบ่งเบาสัมภาระบ้างเถอะนะ”
“เข้าใจแล้วค่ะ”
แม่มดวัยเยาว์ตัดสินใจมอบกระเป๋าสะพายส่งคืนเลวอน เพราะเห็นว่าอีกฝ่ายไม่ได้มีเจตนาคิดหลอกลวง อีกทั้งตัวเธอไม่อาจปฏิเสธน้ำใจจากเขาได้ด้วยเช่นกัน สิ่งที่ตนรับฝากเอาไว้จึงมีแค่เพียงผ้าคลุมกับดาบคาตานะเท่านั้น ทันทีที่เขาเดินเข้าไปรับสัมภาระส่วนตัวจากสเตฟาเนีย ก็รีบเร่งค้นหาสิ่งของอะไรบางอย่างจากในนั้นอย่างไม่รีรอช้า
เลวอนหยิบถุงผ้าซองสีแดงขนาดเล็กกว่าฝ่ามือซึ่งมัดเชือกอย่างดีขึ้นมา ก่อนจะส่งมอบให้กับสเตฟาเนีย พร้อมกล่าวต่อคู่สนทนาด้วยท่าทีเหนียมอายพอประมาณ
“ก่อนหน้านี้ผมกับโมนิก้าได้แวะเที่ยวชมตลาดใจกลางหมู่บ้าน จนเผอิญพบเห็นสิ่งนี้เข้าในร้านขายอุปกรณ์เวทมนตร์ ก็เลยซื้อมาเพื่อเป็นของขวัญแก่สเตฟก้าน่ะ… ลองแกะเชือกดูสิ”
สเตฟาเนียจ้องมองดูสิ่งของชิ้นดังกล่าวด้วยความสงสัยใคร่รู้เพียงครู่หนึ่ง เธอตัดสินใจรับมันมาจากเขาอย่างไม่ลังเล ลงมือคลายเชือกสีขาวที่มัดปากถุง แล้วหยิบวัตถุปริศนาซึ่งอยู่ในนั้นขึ้นมา
สิ่งนี้คือเครื่องประดับต่างหูรูปพระจันทร์เสี้ยวสีทองส่องประกายแวววับ เป็นไอเท็มที่มีมูลค่าราคาแพงและหายากมาก ด้วยเหตุนี้เองแม่มดสาวจึงออกอาการเผยสีหน้าประหลาดใจอย่างเห็นได้ชัด
“น… นี่มัน?”
“ปกติแล้วสเตฟก้าจะดูดซับพลังเวทตามธรรมชาติไม่ได้ใช่ไหมล่ะ เว้นเสียแต่ต้องแสดงพลังที่แท้จริงออกมา แต่ถ้าไม่ทำแบบนั้นเธออาจต้องหมดสติลงเพราะสูญเสียพลังเวทไปมากแน่ ๆ ก็เลยคิดว่าต่างหูชิ้นนี้น่าจะมีประโยชน์สำหรับเธอ แถมยังเป็นเครื่องรางที่ช่วยให้ความปรารถนาของผู้สวมใส่เป็นจริงอีกด้วย”
“ค… คนอย่างฉันไม่สมควรได้รับสิ่งของราคาแพงแบบนี้ ฉันไม่กล้าใส่มันหรอกนะคะ”
สเตฟาเนียรีบกล่าวปฏิเสธด้วยความเกรงใจ เลวอนเห็นว่าตัวเองได้เผลอทำเรื่องที่น่าผิดพลาดลงไป ก็เริ่มออกอาการยิ้มเจื่อนอย่างผิดหวัง พลางยกปลายนิ้วชี้ขวาขึ้นมาเกาแก้มตนอย่างประหม่าตามลักษณะนิสัยประจำตัว
“แหะ ๆ ขอโทษด้วยนะถ้าหากว่าผมเลือกของขวัญไม่ถูกใจเธอ”
“ไม่ใช่แบบนั้นสักหน่อย!”
ความเงียบสงัดภายในสถานที่อันโล่งกว้าง ได้ถูกทำลายลงฉับพลันด้วยน้ำเสียงแหลมเล็กของสเตฟาเนีย นัยน์ตาของเธอแปรเปลี่ยนกลายเป็นสีม่วงสุกสกาว เนื่องจากตนนั้นได้ปลดปล่อยอารมณ์ที่แท้จริง จนเผยเอกลักษณ์เด่นบางอย่างของบุตรีแห่งไซตอนออกมา
เลวอนถึงกับตะลึงพรึงเพริดต่อกิริยาท่าทีของอีกฝ่าย เพราะน้อยครั้งนักที่จะได้เห็นแม่มดสาวผู้แสนเย็นชาอย่างเธอส่งเสียงดัง ในระหว่างนั้นเองสเตฟาเนียแอบนึกกังวลใจเพราะกลัวว่าพ่อมดหนุ่มจะเข้าใจตนผิดไป จึงรีบอธิบายเหตุผลพร้อมทั้งระบายความรู้สึกที่แท้จริงซึ่งเก็บซุกซ่อนเอาไว้ออกมาทันที
“จริง ๆ แล้วฉันดีใจมากเลยล่ะค่ะที่เลฟซื้อของขวัญให้ แต่คนอย่างฉันไม่สมควรได้รับสิ่งของราคาแพงแบบนี้ มิหนำซ้ำฉันเองก็เคยทำเรื่องไม่ดีต่อคุณเอาไว้ถึงสองสามครั้ง ทั้งตอนที่ตบหน้าเพื่อเตือนสติคุณเมื่อวานซืน หรือแม้กระทั่งวันนี้ฉันได้ร่ายคาถาสายฟ้าโจมตีใส่วลาดที่ยึดครองร่างคุณ เพราะกลัวว่าเขาจะเปิดโปงความลับเรื่องที่ตัวฉันเป็นใครมาจากไหนด้วย
นอกจากวันเกิดแล้ว ตลอดเวลาที่ผ่านมาฉันยังไม่เคยได้รับของขวัญจากเพื่อนเนื่องในโอกาสอื่น ๆ เลย เว้นเสียแต่คนในครอบครัวและท่านปู่ยาโรสลาฟเท่านั้น ฉันกลัวว่าถ้าหากตัวเองรับสิ่งของชิ้นนี้จากคุณ ในอนาคตข้างหน้าฉันอาจทำให้คุณต้องรู้สึกผิดหวัง เหมือนอย่างที่ตัวเองเคยทำกับคนอื่น ๆ มาก่อน… เพราะงั้นไม่จำเป็นต้องทำเพื่อฉันถึงขนาดนั้นก็ได้นะคะ”
สเตฟาเนียก้มศีรษะหลบสายตาคู่สนทนาพอประมาณอย่างทุกข์ทรมานใจ สองอุ้งมือบางยังคงประคองเครื่องประดับชิ้นเล็กด้วยท่าทีสับสน พยายามหักห้ามใจไม่รับต่างหูรูปพระจันทร์เสี้ยวชิ้นนี้ แต่ในอีกความรู้สึกหนึ่งแล้วตนไม่อยากจะขว้างทิ้งน้ำใจอันแสนบริสุทธิ์จากเลวอนเช่นเดียวกัน
ถึงกระนั้นแล้ว พ่อมดหนุ่มรูปงามก็ได้เอ่ยประโยคสั้น ๆ อีกครั้งด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“สเตฟก้าคือคนสำคัญสำหรับผม เพราะงั้นเลยอยากมอบของขวัญชิ้นนี้ให้กับเธอ”
“…!!” บุตรีแห่งไซตอนรีบเงยหน้าสบตามองคู่สนทนาทันที
“ผมน่ะได้เรียนรู้อะไรหลาย ๆ อย่างจากสเตฟก้าตั้งมากมายเชียวนะ ไม่ว่าจะเป็นวิชาการปรุงยา คอยพูดเตือนสติและให้คำแนะนำที่เป็นประโยชน์ในยามคับขัน อีกทั้งคอยปลอบโยนในยามทุกข์ใจ ทำให้ผมได้รู้ซึ้งว่าการให้ความสำคัญกับชีวิตของตนเองและผู้อื่นนั้น มันช่างสวยงามและอบอุ่นใจมากขนาดไหน
คำพูดของเธอได้ช่วยชีวิตผมให้หลุดพ้นจากการทำร้ายตัวเอง ทำให้ผมค้นพบเป้าหมายของการมีชีวิตอยู่ต่อไป ถึงจะรู้อยู่แก่ใจดีว่าเส้นทางโชคชะตาข้างหน้านั้นจะมีจุดจบเช่นไร ต่อให้พูดว่า ‘ไม่จำเป็นต้องทำเพื่อฉันถึงขนาดนั้นก็ได้’ สักกี่ครั้ง ผมก็จะขอยืนกรานให้ความช่วยเหลือแก่สเตฟก้าต่อไปอยู่ดี
ผมอยากให้ต่างหูชิ้นนี้เป็นของขวัญตอบแทนแก่เธอ เป็นสัญลักษณ์คอยย้ำเตือนเพื่อไม่ให้ผมลืมสิ่งสำคัญ ที่ผ่านมาผมเคยสูญเสียเพื่อนสมัยเด็กทั้งที่ไม่มีโอกาสได้กล่าวขอโทษ และเมื่อไม่กี่วันก่อนหน้านี้เองผมเกือบจะพรากชีวิตของโมนิก้าไปแล้วครั้งหนึ่ง ผมน่ะไม่อยากจะสูญเสียใครอีกต่อไปแล้ว
ทั้งสเตฟก้าและทุกคน ไม่ว่ายังไงผมก็จะต้องปกป้องพวกเธอเอาไว้ให้ได้ ถ้าหากผู้หญิงคนสำคัญของตัวเองยังไม่อาจปกป้องหรือรักษาชีวิตเอาไว้ได้ การเป็นจอมเวทพาลาดินเพื่อช่วยเหลือโลกใบนี้ก็คงไม่มีความหมายอะไรอีกแล้ว… เพราะงั้นได้โปรดช่วยรับของขวัญชิ้นนี้เอาไว้ด้วยเถอะนะ”
ทั้งถ้อยคำและรอยยิ้มอันแสนละมุนของเลวอน ทำให้สเตฟาเนียถึงกับต้องหลั่งน้ำตาแห่งความปลื้มปีติซึ่งแน่นล้นอยู่ภายในอกออกมาโดยไม่รู้ตัว สิ่งที่เด็กหนุ่มได้บรรยายออกมาด้วยเจตนาบริสุทธิ์ใจนั้น สำหรับเธอแล้วมันมีค่ายิ่งกว่าของขวัญที่ได้รับในวันคล้ายวันเกิด หรือเครื่องประดับราคาแพงที่หาชมได้ยากเสียอีก
เลวอนคือผู้ชายคนแรกที่เข้ามาทลายกำแพงหัวใจของสเตฟาเนียจนหมดสิ้น
“เลฟ ไม่ต้องพูดอะไรแล้วล่ะ”
แม่มดสาวเจ้าของเรือนผมสีส้มนำสองมือบางกุมต่างหูรูปพระจันทร์เสี้ยวเอาไว้ให้มั่น แล้วประทับลงบนกลางอกอย่างอบอุ่นใจ ก่อนจะตอบกลับด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาพร้อมแย้มสรวลจาง ๆ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความสุขที่เปี่ยมล้นชัดเจน
“ขอบคุณมากนะคะ ฉันจะเก็บรักษามันเอาไว้เป็นอย่างดีเลย”
สเตฟาเนียขยับฝีเท้าเข้าใกล้โดยที่ไม่ทันให้เลวอนได้กล่าวถ้อยคำใด ๆ เอื้อมสองแขนสวมกอดต้นคอร่างสูงแกร่งแล้วประทับริมฝีปากเข้าหากันอย่างแนบชิด สุภาพบุรุษวัยเยาว์เผยสีหน้าตาโตเล็กน้อยจนเผลอทิ้งกระเป๋าสะพายลงพื้น ก่อนที่ทั้งสองจะโอบกอดรัดเอวพลางปิดเปลือกตาลง เพื่อลิ้มรสชาติจุมพิตอันแสนหอมหวานระหว่างกันภายใต้ท้องฟ้ายามพลบค่ำ โดยที่ดวงไฟตามบ้านเรือนต่าง ๆ เริ่มสว่างไสวไปทั่ว
ของขวัญชิ้นสำคัญที่บุตรีแห่งไซตอนได้รับมาในค่ำคืนนี้ ไม่อาจมีสิ่งใดเปรียบเทียบได้อีกแล้ว
MANGA DISCUSSION