“เลิกทำอะไรตามอำเภอใจสักทีเถอะค่ะ!”
โมนิก้าแผดเสียงดุดันเพื่อห้ามปราม ชายฉกรรจ์ผู้ซึ่งได้รับสมญานามราชันจอมเสียบจึงเบี่ยงเบนความสนใจ เหลือบสายตาไปยังเด็กสาวร่างเล็กจนเธอขนลุกซู่ด้วยความยำเกรง สเตฟาเนียและฮิคาริเห็นท่าไม่ดี เลยตัดสินใจที่จะเนรมิตคาถาเพื่อเปิดฉากโจมตีใส่โดยปราศจากการนัดแนะส่งสัญญาณใด ๆ ทว่า…
วูบ…!
ร่างของเด็กหนุ่มผมสีขาวแกมเทาได้อันตรธานหายไป ก่อนจะปรากฏตัวอยู่ตรงเบื้องหน้าโมนิก้าเพียงชั่วพริบตาเดียวด้วยเวทมนตร์เคลื่อนย้าย สร้างความประหลาดใจให้แก่ยุวสตรีจอมดาบเวท และแม่มดนักปรุงยามิใช่น้อย แม้กระทั่งเด็กสาวจอมพลังอย่างอาเธอเรียซึ่งอยู่ห่างไกลเกินกว่าจะยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือทัน ก็ทำได้แค่เพียงส่งเสียงร้องเตือนออกมาเท่านั้น
“อันตราย!”
——เคร้ง! เปรี้ยง!
ฮิคาริ และสเตฟาเนีย รีบหมุนตัวกลับหลังหันชิงลงมือจู่โจมใส่ศัตรู ใช้ศัสตราวุธประจำตัวเข้าฟาดฟันแผ่นหลังร่างสูงโปร่งอย่างไม่รีรอ น่าเสียดายที่แรงปะทะดังกล่าวถูกหักล้างด้วยเสาหนามอันแหลมเรียวยาวทั้งสองเล่มซึ่งผุดขึ้นมาจากผืนปฐพี ทำให้ดาบคาตานะกับไม้กวาดอาบลำแสงอาคมของพวกเธอถูกสะท้อนกลับคืนมา จนเกิดประกายไฟระยิบระยับ
วลาดใช้เวทมนตร์สร้างเกราะคุ้มภัยขึ้นมา เมื่อเห็นว่าสองแม่มดสาวสูญเสียจังหวะการเคลื่อนไหว จึงฉวยโอกาสนี้ยื่นแขนขวาออกไปเพื่อไขว่คว้าต้นคอของโมนิก้า ด้วยท่าทีที่แสดงตนเป็นปฏิปักษ์ชัดเจน
ปึ้ด…!
“แย่แล้ว!/โมนิก้า!”
สเตฟาเนีย และฮิคาริกรีดเสียงร้องลั่น เกรงว่าเพื่อนของตนจะต้องประสบกับภัยอันตราย อาเธอเรียที่กำลังเร่งฝีเท้าวิ่งเข้ามาหาเพื่อช่วยเหลือจำต้องหยุดชะงักการเคลื่อนไหวชั่วคราว ทุกคนต่างแน่นิ่งไม่กล้าลงมือทำอะไรบุ่มบ่ามเกินกว่านั้น หาไม่แล้วชีวิตของโมนิก้าอาจถึงคราวจบสิ้นลงด้วยน้ำมือของราชันผีดูดเลือดเป็นแน่
ทุกสิ่งทุกอย่างอยู่ในท่ามกลางความเงียบสงบและเต็มไปด้วยแรงกดดัน เหล่าบรรดาเด็กสาวทั้งสี่พยายามตั้งสติแล้วเพ่งดูเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอีกครั้ง พบว่าเจ้าชายแห่งวาลาเคียเองก็หาได้ขยับเคลื่อนไหว หรือลงมือแตะต้องเป้าหมายเลยแม้แต่ปลายเส้นผม เล็บอันแหลมคมฝั่งขวามือที่เหลืออีกแค่เพียงคืบเดียวก็จะสัมผัสเข้ากับต้นคอโมนิก้าแล้วนั้น กลับถูกหยุดยั้งเอาไว้ด้วยมือซ้ายของตนพร้อมทั้งสั่นระริก
เด็กสาวนัยน์ตาสีฟ้าสังเกตเห็นดังนั้นจึงฉุกคิดขึ้นมาได้ทันทีว่า เหตุที่วลาดหยุดการจู่โจมเสียกะทันหันนี้ คงเป็นเพราะสติสัมปชัญญะของเลวอนกำลังต่อต้านแวมไพร์หนุ่ม พยายามใช้แรงใจเข้าควบคุมร่างตนซึ่งถูกยึดครองอย่างสุดความสามารถ ส่งผลทำให้เธอรอดพ้นจากภัยอันตรายที่พุ่งตรงเข้ามาชนิดเส้นยาแดงผ่าแปด
“ค… คุณเลวอน”
โมนิก้าเกริ่นน้ำเสียงแผ่วเบา ทั้งที่ตัวเธอยังคงยืนหยัดอยู่ตรงเบื้องหน้าวลาดด้วยท่าทีสั่นสู้ สายตาคอยจับจ้องมองอีกฝ่ายซึ่งใกล้ชิดตนอย่างเป็นกังวล ไม่ใช่เพราะความหวั่นสะพรึงกลัวที่มีต่อราชันผีดูดเลือด แต่เป็นเพราะเธอห่วงใยในตัวเลวอน ทั้งในด้านสภาพร่างกายและจิตใจของเขาเองต่างหาก
“เจ้าหนุ่มนี่ ถูกยึดครองร่างอยู่แท้ ๆ แต่ยังมีสติห้ามรั้งข้าเอาไว้ได้อีก ช่างน่านับถือเสียจริง”
วลาดกล่าวพึมพำชอบใจ ค่อย ๆ ละแขนขวาออกห่างจากตัวแม่มดสาวนักพยากรณ์ ส่วนมือซ้ายซึ่งถูกควบคุมโดยเลวอนได้คลายพันธนาการปล่อยให้แขนข้างถนัดเป็นอิสระ ดูเหมือนว่าบุรุษหนุ่มจอมดาบเวทไม่อาจใช้พลังใจเหนี่ยวรั้ง หรือคงสติตัวเองเอาไว้ได้นานเท่าที่ควรนัก
ฮิคาริเริ่มซักถามต่อราชันจอมเสียบด้วยถ้อยคำแข็งกร้าวพร้อมสีหน้าหวาดระแวง
“เล่นปรากฏตัวออกมาตอนทีเผลอแบบนี้ ต้องการอะไรจากพวกเรากันแน่!?”
“นังโง่ ที่ข้าออกมาก็เพื่อต้องการตามล่าจอมมารไซตอนยังไงล่ะ!” เจ้าชายแห่งวาลาเคียให้คำตอบด้วยท่าทีดูหยิ่งยโส “ขอบใจพวกเจ้ามากที่อุตส่าห์ปลุกข้าให้ตื่นขึ้นมาอีกครั้งจนยึดร่างเจ้าเด็กนี่ได้สำเร็จ แต่ถ้าหากยังไม่เลิกเข้ามาขัดขวางหนทางข้ากันอีกล่ะก็ รับรองว่าข้าจะไม่ยอมเมตตาปรานีให้พวกเจ้าเป็นหนที่สองแน่!”
“นี่แกบ้ารึเปล่าเนี่ย!?” อาเธอเรียสบถใส่ “จะโผล่ออกมาทำซากอะไรตอนนี้ ไซตอนไม่ได้อยู่ที่นี่สักหน่อย!”
“เจ้าคิดเช่นนั้นจริง ๆ เรอะ?”
วลาดพูดจายอกย้อนพอประมาณ ก่อนจะหมุนตัวหันไปยังเยื้องซ้ายมือทางด้านหลัง หรือจุดที่สเตฟาเนียกำลังยืนถือไม้กวาดด้ามยาวประจันหน้าใส่ตนอยู่ ฮิคาริถึงกับออกอาการตาเบิกโพลงทันทีเมื่อรู้ว่าอีกฝ่ายกำลังสื่อถึงสิ่งใด เดิมทีมีเพียงแค่เธอคนเดียวเท่านั้นที่ล่วงรู้ความจริงเกี่ยวกับบุตรีแห่งไซตอน
ในขณะที่อาเธอเรียและโมนิก้ายังคงกังขาต่อถ้อยคำเมื่อสักครู่ แวมไพร์หนุ่มจึงสบโอกาสนี้คาดคั้นต่อเด็กสาวเจ้าของเรือนผมสีส้มเพื่อรีดเค้นความจริง พลางแสยะยิ้มออกมาประดุจผู้มีชัย
“ตอนนั้นเจ้ายังไม่ได้ให้คำตอบข้าเลยนะ ว่าเจ้ากับมันผู้นั้นมีความเกี่ยวข้องกันอย่างไร”
“แล้วทำไมฉันต้องตอบคำถามคุณด้วยล่ะคะ?”
สเตฟาเนียยอกย้อนด้วยสีหน้าราบเรียบเย็นชา บุรุษนัยน์ตาสีน้ำทะเลถึงกับแหงนศีรษะส่งเสียงหัวเราะลั่น หาได้โกรธเคืองต่อความยียวนกวนประสาทของคู่สนทนาอย่างใด เพราะถือว่าตนเป็นผู้กุมความลับสำคัญบางอย่าง พร้อมที่จะเปิดเผยให้ทุกคนได้รับทราบตลอดเวลา
“ฮะฮะฮะ! นังเด็กอวดดี เช่นนั้นแล้วข้าจะป่าวประกาศให้เพื่อนของเจ้ารู้กันไปเลย ว่าเจ้ากับมันน่ะเป็น-!”
——เปรี้ยง!!
เสียงกัมปนาทดังสนั่นฉับพลัน ร่างของพ่อมดรูปงามถูกพัดกระเด็นไปไกลถึงสามเมตรด้วยแรงของเวทมนตร์อสนีบาต ซึ่งเนรมิตโดยแม่มดสาวนักปรุงยา ก่อนจะล้มตัวลงไปนอนกับผืนหญ้าด้วยอาการสั่นกระตุกเนื่องด้วยกระแสไฟฟ้า สร้างความหวั่นสะพรึงกลัวให้แก่ฮิคาริ อาเธอเรีย และโมนิก้าเป็นอย่างมาก
สเตฟาเนียมีความจำเป็นต้องลงมือทำเช่นนี้ เพราะไม่ต้องการให้วลาดแฉเรื่องราวของเธอต่อหน้าทุกคน แม้ว่าอีกฝ่ายคือเลวอน (ที่ไม่ใช่ตัวเขาจริง ๆ ในตอนนี้) ก็ตาม สีหน้าของเด็กสาวคิ้วขมวด และจ้องเขม็งเล็งใส่จ้าวแห่งผีดูดเลือดด้วยสายตาอำมหิต ทั้งที่ภายในใจกลับรู้สึกผิดต่อเด็กหนุ่มผู้แสนสุภาพอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว
“พูดเรื่องอะไรกันคะ ฉันไม่เห็นจะเข้าใจเลย”
“หน็อยแน่ บังอาจทำร้ายข้าถึงเพียงนี้เชียวเรอะ นังบุตรีแห่ง-!”
——เปรี้ยงเปรี้ยงเปรี้ยง!!
ไม่ทันที่เจ้าชายแห่งวาลาเคียจะเรียกขานนามที่แท้จริง สเตฟาเนียก็ได้เนรมิตเวทมนตร์สายฟ้าด้วยไม้กวาดวิเศษ ฟาดฟันใส่เป้าหมายอย่างต่อเนื่อง นับเป็นครั้งที่สองที่เธอไม่ได้บริกรรมคาถาหรือเปล่งเสียงถ้อยคำใด ๆ ออกมาเลยแม้เพียงวลีเดียว มีเพียงแค่เสียงร้องอันโหยหวนแสนทรมานจากวลาดเท่านั้น
เมื่อฮิคาริเห็นว่าสเตฟาเนียสามารถรับมือกับความอหังการของวลาดได้ เธอจึงลดการป้องกันโดยนำดาบคาตานะเก็บใส่ลงในฝักตามปกติ อาเธอเรียก้าวเท้าเดินเข้ามาสมทบรวมกลุ่ม ด้วยความฉงนงงงวยต่อถ้อยคำสุดท้ายของราชันผีดูดเลือดที่ขาดตอน และคิดไปเองว่าอีกฝ่ายน่าจะสบถใส่เพื่อนสาวของตนด้วยถ้อยคำรุนแรงอย่าง “บุตรีแห่งโสเภณี” ทั้งที่ความจริงแล้วหาได้เป็นเช่นนั้นไม่
โมนิก้าเริ่มนึกเอะใจขึ้นมาได้แล้วว่าวลาดพยายามจะสื่อถึงอะไร เธอจึงแอบชำเลืองสายตามองดูแผ่นหลังของยุวสตรีผมสีส้มพร้อมทั้งนึกครึ้มอยู่ภายในใจ ทว่าเนื่องจากไม่มีหลักฐานใด ๆ มาพิสูจน์ จึงตัดสินใจปิดปากเงียบสนิทโดยปราศจากถ้อยคำสงสัย
หากลองพิจารณาถึงลำดับความสำคัญในตอนนี้แล้ว แม่มดสาวนักพยากรณ์ควรคิดหาทางแก้ไขเพื่อช่วยเหลือเลวอน มากกว่าที่จะมัวเสียเวลาเคลือบแคลงใจในตัวสหายคนสนิท จนสร้างความแตกแยกภายในกลุ่มไปเสียเปล่า
ภายหลังจากเสียงอึกทึกครึกโครมของสายฟ้าพลันเงียบสงัดลง พ่อมดหนุ่มผมสีขาวแกมเทาก็ได้นำสองมือดันพื้นดินซึ่งขรุขระเพื่อพยุงตัวขึ้นนั่งและอยู่ในท่าชันเข่าซ้าย แล้วกล่าวเย้ยหยันแสดงท่าทีต่อต้านพร้อมแสร้งทำเป็นไม่รู้สึกสะทกสะท้านใด ๆ ออกไป ทั้งที่สภาพของเขาในตอนนี้แลดูสะบักสะบอม ปราศจากความขรึมขลังน่าเกรงขามจนหมดสิ้นแล้ว
“เหอะ! ของพรรค์นี้จะโดนอีกสักกี่ครั้งมันก็ไม่สะเทือนข้าหรอก อีกอย่างข้าได้ยินมาว่าพลังเวทของเจ้ามีจำกัด เพราะไม่มีความสามารถในการดูดซับพลังเวทตามธรรมชาติ คิดว่าข้าจะยอมแพ้ง่าย ๆ งั้นสิ!?”
สเตฟาเนียไม่อยากเสียเวลาต่อล้อต่อเถียงอีก เธอนำมือซ้ายล้วงกระเป๋ากระโปรง หยิบน้ำยาเพิ่มสมรรถภาพทางด้านพลังเวทมนตร์และพลังกายขึ้นมาจำนวนสี่หลอด เพียงพอที่จะรีดเร้นพลังเวททั้งหมด เพื่อทำให้วลาดหมดสติไปถึงสามวันสามคืนได้อย่างสบาย ๆ
ราชันจอมเสียบเห็นดังนั้นถึงกับส่งเสียงเดาะลิ้นอย่างไม่สบอารมณ์ แสดงสีหน้าที่บ่งบอกถึงภาษากายราวกับต้องการจะสบถลั่นว่า “ฝากไว้ก่อนเถอะ!” แต่ก็ไม่อาจพูดประโยคนั้นออกมาได้เพราะกลัวจะเสียศักดิ์ศรี
“จะยอมปริปากบอกจุดประสงค์ที่แท้จริงของคุณให้พวกเราฟังได้แล้วหรือยังคะ?” ครั้งนี้แม่มดสาวนักปรุงยาเป็นฝ่ายคาดคั้นต่อวีรบุรุษแห่งวาลาเคียบ้างแล้ว
“ทำไมต้องให้ข้าพูดซ้ำซากด้วย ก็บอกไปแล้วนี่ว่าเป้าหมายของข้าคือการโค่นล้มจอมมารไซตอน มันผู้ใดที่คิดเข้ามาขัดขวางทางข้าจะต้องถูกกำจัดออกไปให้หมดสิ้น!”
วลาดยังคงยืนยันเจตนารมณ์เดิมไม่เปลี่ยนแปลง ในระหว่างนี้อาเธอเรียแอบหันไปกระซิบกระซาบต่อฮิคาริเพื่อแสดงความคิดเห็นบางอย่าง
“ฮิคาริ ไอ้หมอนี่เข้าข่ายเป็นจูนิเบียว (โรคป่วยเด็กม.2) รึเปล่า ดูพูดจาเข้าสิ”
“อ-เอ๊ะ นี่เธอรู้จักคำนี้ด้วยเหรอ!?”
ฮิคาริถึงกับตะลึงพรึงเพริดเมื่อเห็นว่าอาเธอเรียรู้จักคำศัพท์ภาษาญี่ปุ่นดังกล่าว โมนิก้าที่กำลังยืนสังเกตการณ์อยู่ทางด้านหลังแอบส่งเสียงหัวเราะแห้ง ๆ ในลำคอ เพราะเธอเองก็เข้าใจถึงความหมายของมันด้วยเช่นเดียวกัน
สเตฟาเนียซักถามวลาดต่อไปด้วยน้ำเสียงราบเรียบ แต่แฝงไว้ซึ่งความจริงจังอีกครั้ง
“ก็แล้วทำไมเมื่อวานซืนคุณถึงไม่รีบฆ่าพวกเราให้ตายไปเสียเลยล่ะคะ?”
“เพราะว่าข้าใช้พลังในการต่อสู้กับจอมมารไซตอนจนเกือบหมดน่ะสิ!” ราชันผีดูดเลือดตอบทันควัน
“โกหก ด้วยพลังเวทมหาศาลที่ทัดเทียมกับจอมเวทพาลาดินแบบนี้ แถมยังดูดเลือดโมนิก้าจนเกือบหมดตัว แค่เสกเสาหนามขึ้นมาจากพื้นดินสักร้อยต้นก็น่าจะฆ่าพวกเราทุกคนได้สบายแท้ ๆ แต่คุณกลับไม่ทำมัน แม้แต่ตอนนี้เองคุณเองก็ยังยั้งมือให้กับพวกเราอยู่”
“ล้อเล่นรึเปล่าสเตฟก้า ถ้าไม่ได้โมนิก้าช่วยเตือนล่ะก็ ป่านนี้ฉันคงโดนไอ้หมอนี่กะซวกไปแล้ว!”
อาเธอเรียรีบโต้แย้ง พร้อมทั้งชี้นิ้วไปยังพ่อมดหนุ่มรูปงามผมสีขาวแกมเทาอย่างไม่หวั่นเกรง ฮิคาริเองก็ผงกศีรษะเห็นพ้องด้วยกับเธอ ถึงกระนั้นแล้วเด็กสาวนัยน์ตาสีส้มยังคงให้คำอธิบายต่อไป เพื่อเปิดเผยความคิดที่แท้จริงซึ่งซุกซ่อนอยู่ภายในใจของวลาด
“พูดให้ถูกก็คือ เขาสามารถลงมือเข่นฆ่าพวกเราพร้อมกันได้ทุกเมื่อ นับตั้งแต่ตอนที่พวกเราวิ่งเข้ามาดูอาการของคุณเลวอนเมื่อสักครู่นี้ ไม่งั้นคงไม่มาเสียเวลาต่อล้อต่อเถียงกับพวกเราแบบนี้หรอกค่ะ แต่คนคนนี้เลือกที่จะไม่ทำเนื่องด้วยเหตุผลบางอย่าง อาจเป็นเพราะต้องการแนวร่วมหรือผู้สนับสนุนแผนการของเขาเพื่อโค่นล้มจอมมารไซตอน
แถมเย็นเมื่อวานซืนตอนที่พวกเราต่อสู้กันแล้วโดนรุ่นพี่อิทสึกิพูดจาแทงใจดำใส่ ผู้ชายคนนี้เลือกที่จะใช้เสาหนามจากพื้นดิน ซึ่งลดความแหลมคมลงโจมตีสวนกลับไปโดยที่ไม่ลงมือฆ่า แสดงให้เห็นว่าต่อให้ตนเองต้องรู้สึกโกรธแค้นหรือถูกกดดันสักเพียงใด เขาก็ยังปล่อยให้พวกเรามีชีวิตรอดต่อไป ทั้ง ๆ ที่ไม่มีความจำเป็นต้องทำเรื่องเปล่าประโยชน์อะไรแบบนั้นเลย
ที่สำคัญ ตอนที่คุณอาเธอเรียพุ่งกระโจนเข้าไปหาจอมมารไซตอนเพื่อจู่โจม จนเกือบโดนอีกฝ่ายใช้คำสาปพิฆาตสวนกลับคืนมา ก็ได้คนคนนี้คอยช่วยเหลือให้รอดพ้นจากสถานการณ์เลวร้ายด้วยเช่นกัน คงเป็นเพราะไม่ต้องการให้มีใครมาสังเวยชีวิตในระหว่างการต่อสู้ซึ่งเกิดขึ้นเพียงเพราะสงครามส่วนตัว ฉันคิดว่าคุณวลาดไม่น่าจะใช่คนเลวโดยสันดานหรอกนะคะ”
ทั้งฮิคาริ และโมนิก้าซึ่งยืนตั้งใจสดับรับฟังอยู่ ทั้งคู่ไม่อาจโต้แย้งแนวคิดของสเตฟาเนียได้ ภายหลังจากที่พวกเธอลองพิจารณาไตร่ตรองถึงการกระทำของวลาด ก็เริ่มลงความเห็นไปในทิศทางเดียวกันว่าบุรุษวีรชนผู้นี้ไม่น่าจะใช่ศัตรูตามธรรมชาติ แต่ก็ไม่อาจเรียกได้อย่างเต็มปากว่าเป็นพันธมิตรแม้จะมีศัตรูร่วมกันก็ตาม ในขณะที่อาเธอเรียกลับคิดเห็นตรงกันข้ามเนื่องจากเธอเพิ่งจะโดนอีกฝ่ายโจมตีมาหมาด ๆ
“ชิ… ข้าล่ะเกลียดผู้หญิงที่ชอบพูดจาเหมือนรู้เรื่องของคนอื่นดีอย่างเจ้าเสียจริง”
แวมไพร์หนุ่มแสดงสีหน้าคิ้วขมวดเพ่งเล็งใส่แม่มดสาวผมสีส้ม เขาไม่ชอบใจที่อีกฝ่ายมีความเฉลียวฉลาด และใช้หลักจิตวิทยาในการอ่านความคิดของตนจนหมดเปลือก แต่ก็ไม่ได้มีท่าทีปฏิเสธต่อข้อสันนิษฐานดังกล่าว
ในทางกลับกันสเตฟาเนียเองก็ไม่ได้รู้สึกพิศวาสหรือถูกชะตากับวลาดตั้งแต่แรกอยู่แล้ว ซ้ำร้ายเธอยังเผยแววตาซึ่งสื่อถึงอารมณ์รังเกียจ โต้ตอบคารมกลับคืนไปด้วยน้ำเสียงแสนเย็นชาอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
“แต่ฉันเกลียดชังคุณที่เป็นต้นเหตุทำให้คุณเลวอนตัดสินใจทำร้ายตัวเองยิ่งกว่าค่ะ”
MANGA DISCUSSION