เมื่อบทสนทนาของเหล่าสมาชิกทีมประกาศิตแห่งมังกรได้สิ้นสุดลงผ่านทางสมาร์ตโฟน ความเงียบสงบวังเวงจึงพลันกลับมาเยือนภายในห้องนอนบนชั้นที่สองอีกครั้ง หลังจากที่ฉันและเพื่อน ๆ คอยปลอบโยนคุณเลวอนและปรับความเข้าใจกันจนเรื่องราวทุกอย่างจบลงด้วยดี ในขณะที่แสงอัสดงซึ่งส่องผ่านทางบานหน้าต่างตอนนี้เริ่มกลายเป็นสีส้ม
แต่ถึงอย่างนั้นฉันก็ยังคงรู้สึกผิดต่อทุกคนอยู่ดี เพราะฉันเป็นต้นเหตุที่ทำให้ผองเพื่อนต้องเดือดร้อน อีกทั้งยังทำให้คุณเลวอนต้องพบเจอกับสถานการณ์เลวร้ายจนจิตตกไปพักหนึ่ง… เรานี่มันแย่ที่สุดจริง ๆ
ยังไงก็ตามการหลีกหนีความผิดในสิ่งที่ตัวเองก่อขึ้นนั้นถือว่าไร้ความรับผิดชอบ ฉันจึงตัดสินใจรวบรวมความกล้า เงยหน้าขึ้นสบตามองเด็กหนุ่มผมสีขาวโพลนร่างสูงโปร่งในชุดลำลองสุภาพ ที่กำลังนั่งพักผ่อนอยู่เคียงข้างฉันบนเตียงนอน จากนั้นก็เริ่มเกริ่นถ้อยคำออกไปอย่างไม่รีรอ
“คุณเลวอน ขอบคุณมากนะคะที่เข้ามาช่วยชีวิตฉันเอาไว้ แล้วก็ต้องขอโทษด้วยที่ทำให้คุณรู้สึกทุกข์ทรมานใจ หากมีอะไรที่ฉันพอจะตอบแทนหรือชดใช้ความผิดให้กับคุณได้ล่ะก็ เชิญบอกมาได้เลยค่ะ”
“ไม่หรอก ขอแค่โมนิก้ารอดกลับมาอย่างปลอดภัยเท่านี้ผมก็ดีใจมากแล้วล่ะ… คราวหน้าถ้าหากมีเรื่องกังวลใจอะไรอีกก็มาระบายให้ผมฟังได้ทุกเมื่อเลยนะ ถึงผมในตอนนี้จะดูพึ่งพาอะไรไม่ค่อยได้ก็เถอะ”
คุณเลวอนฉีกยิ้มละมุนหลังจากพูดจบ แม้ว่าประโยคสุดท้ายจะฟังดูถ่อมตนไปสักหน่อย แต่สำหรับฉันแล้วผู้ชายคนนี้ถือเป็นที่พึ่งทางใจและพึ่งพาได้เสมอ รวมถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในเย็นวันนี้ก็เช่นกัน ถ้าหากไม่ได้เขายื่นมือเข้ามาช่วย ชีวิตของเราก็คงต้องจบสิ้นลงในป่าทึบด้วยคมเขี้ยวของพยัคฆ์ขาวเป็นแน่
จนท้ายที่สุดฉันก็เผลอแสดงรอยยิ้มจางออกมาให้เห็น พร้อมทั้งผงกศีรษะตอบรับอย่างว่าง่าย
“จริงสิ คริสตัลสีน้ำเงินที่ได้จากเสือโคร่งไซบีเรียสีขาวตัวนั้น จากนี้ไปคุณเลวอนคิดจะทำยังไงกับมันต่อคะ จะเอาไปขายหรือว่าจะเก็บไว้ใช้ประโยชน์อย่างอื่น…?” ฉันซักถามเขาด้วยความใคร่รู้
“ผมอยากจะเก็บมันเอาไว้ก่อนน่ะ ดูเหมือนว่าคริสตัลนั่นน่าจะมีความสำคัญกับเด็กสาวผมแดงคนนั้นมาก ๆ” เขาให้คำตอบด้วยโทนเสียงราบเรียบ “ผมรู้ดีว่าโมนิก้าคงไม่ชอบใจที่อีกฝ่ายใช้ความรุนแรงกับพวกเราก่อน แถมยังใช้ความสามารถในทางที่ไม่สมควรด้วย แต่ผมกลับรู้สึกได้ว่าหล่อนกำลังโดนไซตอนชักจูงให้หลงผิดอยู่… ที่สำคัญทักษะการต่อสู้ของหล่อนนั้นรวดเร็วจนน่าเหลือเชื่อ ทั้งที่มีโอกาสลงมือฆ่าพวกเราได้ง่าย ๆ แต่กลับไม่ทำโดยทันที”
“ร-เรื่องนั้นมันก็ใช่ค่ะ แต่ว่า…” ฉันแอบเห็นแย้ง ต่อให้สิ่งที่คุณเลวอนกล่าวมานั้นจะฟังดูมีเหตุผลก็ตาม
“เพราะงั้นนับจากนี้ไปผมจะต้องแข็งแกร่งให้มากกว่านี้ ไม่ว่าจะทั้งร่างกาย เวทมนตร์ หรือความเข้มแข็งทางด้านจิตใจก็ตาม เพื่อที่จะฉุดดึงเธอคนนั้นให้หลุดพ้นจากแผนการของไซตอน หลังจากนั้นค่อยคืนอัญมณีชิ้นนั้นไป ถ้าหากอีกฝ่ายสำนึกผิดแล้วจริง ๆ …เพราะตอนที่ผมตอบปฏิเสธไม่ยอมส่งมอบคริสตัลสีน้ำเงินไป สีหน้าของหล่อนนั้นดูโกรธแค้นและเศร้าโศกมาก เหมือนกับว่าถูกช่วงชิงสิ่งสำคัญที่สุดไปจากชีวิตยังไงยังงั้น ก็เลยแอบนึกสงสารขึ้นมาน่ะ…”
เด็กหนุ่มผู้แสนสุภาพอ่อนโยนเผยรอยยิ้มเศร้า ๆ ซึ่งสื่ออารมณ์ถึงความรู้สึกเห็นอกเห็นใจอย่างชัดเจน หรือนั่นอาจเป็นเพราะเขาเคยสูญเสียเพื่อนสนิทอย่างคุณมาเรียมาก่อนก็เลยเข้าใจความรู้สึกของอีกฝ่ายได้งั้นเหรอ…? ให้ตายสิคุณเลวอนใจดีเกินไปแล้วนะ ไม่ว่าจะกับฉัน กับสเตฟก้า หรือแม้กระทั่งศัตรูที่เกือบจะพรากเอาชีวิตตัวเองไปแล้วครั้งหนึ่งก็ยังไม่เว้นเลย
“…คุณเลวอนใจดีแบบนี้กับผู้หญิงทุกคนเลยรึเปล่าคะเนี่ย?” ฉันพูดจิกกัดแซวใส่เขาด้วยความน้อยใจ
“อ-เอ๊ะ เรื่องนั้น…!”
ฉันทำหน้าบึ้งตึงพลางพองแก้มใส่ด้วยความหมั่นไส้ หลังจากที่อีกฝ่ายแสดงอากัปกิริยาลนลานทำตาล่อกแล่กไปมาเสมือนดั่งคนมีพิรุธ แบบนี้ยังไงล่ะคะคุณเลวอนถึงต้องเจ็บตัวเพราะผู้หญิงอยู่บ่อย ๆ …แต่ก็คงบ่นอะไรมากไม่ได้หรอก เพราะตัวฉันเองก็ได้รับความช่วยเหลือจากชายผู้มีนิสัยอ่อนโยนอย่างเขาด้วยเช่นเดียวกัน
ด้วยเหตุนี้ฉันถึงได้หลงรักคุณเลวอนที่เป็นแบบนั้นอย่างสุดหัวใจ
“อ๊ะจริงสิ ผมมีของบางอย่างอยากจะมอบให้กับโมนิก้าด้วยล่ะ”
จังหวะนั้นเองคุณเลวอนรีบขยับตัวเอื้อมมือคว้ากระเป๋าสะพายบ่าที่วางอยู่ตรงด้านล่างปลายเตียง แล้วล้วงมือค้นหาสิ่งของบางอย่างจากข้างในขึ้นมาก่อนจะหยิบไม้กายสิทธิ์ส่งมอบให้ฉัน เมื่อเห็นแบบนั้นฉันจึงรีบยกมือส่งเสียงห้ามปรามทันที
“ม… ไม่ได้นะคะ นั่นมันของใช้สำคัญของคุณเลวอน…!”
“ก็ไม้กายสิทธิ์ของโมนิก้าหักไปแล้วนี่นา ไหนจะลูกแก้วพยากรณ์อีก เรื่องนี้ผมเองก็มีส่วนที่ต้องรับผิดชอบเหมือนกัน” เขาอธิบายพร้อมทั้งยืนกรานความตั้งใจเดิม “เรื่องนั้นไม่ต้องเป็นห่วง ผมยังมีไม้กายสิทธิ์ที่ได้รับมาจากพ่อเหลืออยู่อีกหนึ่งเล่ม เพราะงั้นเลยอยากจะส่งมอบมันให้กับเธอ… ที่สำคัญพรุ่งนี้ยังมีวิชาที่ต้องฝึกร่ายคาถาด้วยไม่ใช่เหรอ?”
“แต่ว่า…”
ฉันพยายามสรรหาข้ออ้างเพื่อกล่าวปฏิเสธพลางก้มหน้าลงเล็กน้อย เพราะเดิมทีมันเป็นปัญหาที่เกิดจากความทิฐิเกินเหตุของตัวเองอยู่แล้ว ครั้นจะรับไม้กายสิทธิ์ทั้ง ๆ ที่ฉันเคยสร้างความเดือดร้อนให้กับคุณเลวอนมาก่อน ก็มีแต่จะทำให้เรารู้สึกผิดบาปมากขึ้นเสียเปล่า
อีกอย่างอุปกรณ์สื่อนำที่ได้รับความเสียหายร้ายแรงนั้น ไม่สามารถซ่อมแซมให้กลับมาใช้งานได้ตามปกติ หากแต่รีบร้อนใจมุ่งหน้าไปยังตลาดใจกลางหมู่บ้านเอาตอนนี้ก็คงไม่ทัน เพราะนี่ใกล้ถึงเวลาที่ร้านขายอุปกรณ์เวทมนตร์ปิดทำการแล้ว
“ผมอาจจะใจดีกับคนอื่นก็จริง แต่ก็ไม่ใช่กับทุกคนหรอกนะ… อีกอย่างโมนิก้าเองก็เป็นหนึ่งในเพื่อนคนสำคัญสำหรับผมด้วย เพราะงั้นได้โปรดช่วยรับเอาไว้เถอะ อย่างน้อยมันน่าจะช่วยปกป้องเธอจากภัยอันตรายต่าง ๆ ได้ และผมเองก็ไม่อยาก ให้เธอต้องเป็นอะไรไปเหมือนอย่างวันนี้อีกด้วย”
“คุณเลวอน…”
ด้วยถ้อยคำซึ่งสื่อถึงความปรารถนาดีจากพ่อมดหนุ่มคนนี้ ทำให้ฉันต้องพ่ายแพ้ต่อการกระทำของเขาไปอย่างสิ้นเชิง ความรู้สึกตื้นตันใจได้เข้ามาแทนที่อารมณ์ขุ่นมัวที่เคยตรอมตรมอยู่ภายในอกเป็นเวลานาน ราวกับว่าทุกสิ่งทุกอย่าง ณ ตอนนี้พลันดูสดใสขึ้นทันตาเห็น
ฉันนึกลังเลใจสักพักก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาฉีกยิ้ม พร้อมทั้งกล่าวคำซาบซึ้งในน้ำใจอย่างเปี่ยมสุข
“ขอบคุณมากนะคะ ฉันจะคอยใช้งานและดูแลรักษามันให้เป็นอย่างดีเลยล่ะค่ะ”
ถัดมาจึงยื่นสองมือบางรับไม้กายสิทธิ์จากคุณเลวอน แล้วจ้องมองอุปกรณ์สื่อนำเล่มนั้นด้วยความอบอุ่น ราวกับเป็นของต่างหน้าชิ้นสำคัญที่มีคุณค่าทางจิตใจ ถึงจะรู้สึกผิดต่อพี่ชายที่เผลอทำไม้กายสิทธิ์ของเขาหักเป็นสองท่อนก็เถอะ แต่เดี๋ยวเอาไว้ค่อยลงมือซ่อมแซมคืนสภาพในภายหลังก็แล้วกัน
“…โมนิก้า”
ระหว่างนั้นเด็กหนุ่มผมสีขาวโพลนเริ่มเปล่งน้ำเสียงทุ้มต่ำราบเรียบ พลางยื่นมือขวาเข้ามาสัมผัสยังบริเวณต้นคอและแก้มฝั่งซ้ายของฉัน มิหนำซ้ำยังโน้มใบหน้าเข้ามาใกล้ ๆ จนทางนี้ถึงกับออกอาการตาโตสะดุ้งตกใจเกร็งไปทั่วร่าง
พร้อมทั้งรู้สึกร้อนผ่าวบนใบหน้าและใจเต้นตึกตักขึ้นมาโดยกะทันหัน
“อ-เอ๊ะ…!?”
เดี๋ยวก่อนสิ สถานการณ์แบบนี้มัน…!? ไม่นะนี่ฉันกำลังจะโดนคุณเลวอนจู่โจมแล้วเหรอ ทางนี้ยังไม่ทันได้เตรียมใจให้พร้อมเลย! ไม่สิ ถ้าหากอีกฝ่ายเป็นคุณเลวอนล่ะก็ฉันคงไม่นึกรังเกียจอะไรเขาอยู่แล้วล่ะ… โธ่เอ๊ย คิดอะไรของเธออยู่กันแน่เนี่ยโมนิก้า ขืนทำตัวง่ายแบบนี้เดี๋ยวก็ถูกอีกฝ่ายมองว่าเป็นผู้หญิงใจแตกกันพอดีน่ะสิ!
“อ… อื๊อ~!”
ฉันรีบหลับตาปี๋จนทุกอย่างมืดสนิทพลางเม้มริมฝีปากแน่นด้วยความตื่นเต้น ได้ยินเพียงแค่เสียงลมหายใจระหว่างเราสองคน ตามด้วยเสียงของหัวใจที่กำลังเต้นรัวอย่างชัดเจน… สถานการณ์เป็นใจแบบนี้อะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิดแล้วล่ะ เพราะฉันเองก็ผิดที่พาคุณเลวอนเข้ามานั่งพักผ่อนในห้องนอนตัวเองด้วยเหมือนกัน… ให้ตายสิตัวฉัน ไม่ระมัดระวังเอาเสียเลย
ท้ายที่สุดแล้วฉันก็เผลอคลายริมฝีปากเตรียมรับการจู่โจมจากบุรุษหนุ่มร่างสูงโปร่ง ทว่า…
“…ตอนที่โดนกัดตรงซอกคอนี่คงจะเจ็บเจียนตายน่าดู ขอโทษด้วยนะที่ผมทำร้ายเธอ”
“อ๊ะ?”
ฉันรีบลืมตาขึ้นมาอย่างประหลาดใจหลังจากที่ได้ยินน้ำเสียงอันเศร้าสร้อย มือหนาของเขาลูบไล้ตรงบริเวณต้นคอฉันด้วยความอ่อนโยนไปพลาง ณ วินาทีนั้นคุณเลวอนได้เผยสีหน้าทุกข์ทรมานใจ ไม่ต่างจากตอนที่เขาเคยกล่าวโทษสาปส่งตัวเองเมื่อช่วงก่อนหน้านี้เลย… เรานี่มันบ้าจริง ๆ ทำไมถึงคิดถึงเรื่องหมกมุ่นพรรค์นั้นขึ้นมาได้นะ?
ด้วยเหตุนี้ฉันจึงยกสองมือบางขึ้นมาสัมผัสมือหนาของเด็กหนุ่มผู้แสนสุภาพ ที่กำลังวางประทับลงบนใบหน้าตนอย่างทะนุถนอม แล้วเอ่ยน้ำเสียงนุ่มละมุนกล่าวถ้อยคำปลอบโยนพลางเผยรอยยิ้มจาง เพื่อคลายความกังวลใจอีกฝ่าย
“อย่าทำหน้าเศร้าแบบนั้นสิคะ ฉันน่ะยินดียกโทษให้คุณเสมอ… จะว่ายังไงดี ถึงแม้ตอนแรก ๆ จะรู้สึกเจ็บยิ่งกว่าโดนผึ้งต่อย แล้วเริ่มเย็นวูบวาบเบาหวิวไปทั่วร่างในช่วงครึ่งหลังก็เถอะ แต่ฉันคิดว่ามันคงไม่รุนแรงเท่าโรคประจำตัวของคุณเลวอนหรอกค่ะ ถึงจะเสี่ยงตายแต่ก็เจ็บน้อยกว่าอยู่ดี”
“ขี้โกงชะมัด เล่นเอาประสบการณ์ของผมมาเปรียบเทียบกันแบบนี้” อีกฝ่ายคิ้วขมวดใส่เล็กน้อย
“เพราะคุณเลวอนใสซื่อเกินไป ฉันก็เลยต้องใช้วิธีพูดจาเล่ห์เหลี่ยมน่ะสิคะ”
“ดูเหมือนว่าคนที่มีนิสัยร้ายกาจตอนนี้คงไม่น่าจะใช่ผมแล้วล่ะมั้ง…”
คุณเลวอนโต้ตอบคารมปิดท้ายก่อนจะเผยรอยยิ้มบางออกมา ในที่สุดเราสองคนก็ได้ส่งเสียงหัวเราะต่อบทสนทนาซึ่งเพิ่งจบสิ้นลงไปเมื่อสักครู่ แม้จะแอบขัดใจเรื่องที่เขาบอกว่าฉันเป็นคนร้ายกาจก็เถอะ ทว่าพอได้เห็นอีกฝ่ายแสดงสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใสตามปกติเช่นนี้ก็เริ่มรู้สึกสบายใจอย่างบอกไม่ถูก
เรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดในวันนี้ทำให้ฉันได้รู้แจ้งชัดเจนแล้วว่า จุดเริ่มต้นของความกล้าหาญและความหวาดกลัวต่อการสูญเสียคนสำคัญที่อยู่ภายในจิตใจคุณเลวอนนั้นมีที่มาอย่างไร ทั้ง ๆ ที่เขาเป็นชายผู้เข้ามาจุดประกายจนทำให้ฉันสามารถสลัดความอ่อนแอออกไปได้
ยิ่งอยู่ใกล้ ยิ่งรู้จัก ก็ยิ่งทำให้เราอยากปกป้องผู้ชายคนนี้ สาเหตุที่ทำให้ฉันเปลี่ยนแปลงตัวเองได้มากถึงขนาดนี้ส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะเขาด้วย เมื่อก่อนฉันมักจะได้รับการดูแลปลอบโยนจากอีกฝ่ายมาโดยตลอด ทว่าครั้งนี้มันถึงเวลาที่ฉันจะต้องเป็นฝ่ายค้ำจุนจิตใจของคุณเลวอนบ้างแล้ว
“……”
บุรุษหนุ่มเจ้าของเรือนผมสีขาวโพลนบริสุทธิ์ค่อย ๆ ละมือออกจากแก้มฉันแล้ววางลงบนตักตามเดิม เราสองคนต่างก้มหน้าหลบสายตาหาได้เอ่ยถ้อยคำใดออกมาอีก จนบรรยากาศภายในห้องเริ่มกลับเข้าสู่ความเงียบสงบลงอีกครั้ง
ว่าแต่นานเท่าไหร่แล้วนะ ที่ฉันกับคุณเลวอนไม่ได้อยู่ใกล้ชิดกันแบบสองต่อสองเช่นนี้ บางทีนี่อาจเป็นโอกาสเพียงครั้งเดียวที่เราจะสามารถสารภาพความในใจออกไปได้ ถ้าหากพลาดช่วงเวลานี้ไปเพียงเพราะมัวแต่ไม่กล้าบอกหรือนึกลังเลใจ ฉันคงต้องนึกเสียดายไปตลอดชีวิตแน่
ฉันสูดลมหายใจเข้าออกให้ลึก ๆ เพื่อตั้งสติและรวบรวมความกล้า ถึงกระนั้นแล้วหัวใจของฉันมันยังคงสั่นระรัวราวกับจะระเบิดออกมาเสียให้ได้ แต่ฉันจะไม่ยอมปล่อยให้โอกาสนี้หลุดมือไปอย่างแน่นอน แม้นว่าคำตอบที่จะที่ได้รับกลับมานั้นอาจทำให้ฉันรู้สึกเจ็บปวดใจหรือผิดหวังก็ตาม
“คุณเลวอน ฉันมีเรื่องสำคัญอยากจะสารภาพกับคุณค่ะ คือว่าฉัน…”
“หืม?”
พ่อมดหนุ่มหันมาจับจ้องมองอย่างฉงนพร้อมด้วยสีหน้าเปื้อนยิ้มจาง ๆ แววตาสีอำพันซึ่งเพ่งเล็งมาทางนี้ส่งผลทำให้ใบหน้าของฉันพลันร้อนผ่าวขึ้นมา มิหนำซ้ำยังออกอาการตื่นเต้นลนลานจนวางไม้วางมือไม่ถูก ไม่กล้าแม้แต่จะขยับริมฝีปากเพื่อเกริ่นถ้อยคำออกไปอีกด้วย
“ฉ-ฉัน…”
ไม่ได้นะโมนิก้า ขืนมัวทำตัวล่อกแล่กแบบนี้เดี๋ยวก็หมดเวลากันพอดี รีบพูดออกไปให้เขารับรู้ซะเลยสิ จะถอยหลังหรือตัดใจเอาป่านนี้มันก็สายเกินไปแล้ว… เป็นไงเป็นกันล่ะ!
ฉันค่อย ๆ เงยใบหน้าสบสายตามองคุณเลวอน สองมือซึ่งวางอยู่บนหน้าตักเผลอกำไม้กายสิทธิ์ของเขาไว้แน่น พร้อมทั้งรู้สึกตื่นเต้นเกร็งไปทั่วร่างด้วยความหวาดหวั่นต่อสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นหลังจากนี้ ทว่าในท้ายที่สุดแล้ว ฉันก็ได้ทำลายกำแพงอุปสรรคลงโดยกล่าวถ้อยคำออกไปด้วยน้ำเสียงอันแผ่วเบา
“ฉัน… รักคุณค่ะ”
“…!”
คุณเลวอนแสดงสีหน้าท่าทีประหลาดใจเล็กน้อยพลางแก้มแดงระเรื่อ ดวงตาเบิกโพลงพอประมาณด้วยอาการสำรวมตามปกติ… พูดออกไปแล้ว ในที่สุดก็พูดออกไปจนได้! แต่ด้วยถ้อยคำแค่นี้มันยังไม่เพียงพอต่อความรู้สึกที่เรามีให้แก่เขาหรอก ต้องทำให้เรื่องราวทุกอย่างมันชัดเจน เพราะทางนี้ไม่มีอะไรจะต้องเสียอีกนอกจากเดินลุยไปข้างหน้าให้ถึงที่สุด…!
“แอบหลงรักคุณมาโดยตลอด รักยิ่งกว่าใคร ๆ นับตั้งแต่วันที่ฉันได้สูญเสียพี่ชายไปจนถึงตอนนี้ คุณเลวอนเป็นผู้ชายเพียงคนเดียวที่คอยปลอบโยนและปกป้องฉันอยู่เสมอ ถึงแม้ว่าบางทีฉันอาจจะทำตัวเอาแต่ใจไปบ้างก็ตาม แต่ความใจดี ความอบอุ่น และความอ่อนโยนที่คุณเลวอนมอบให้ทุกครั้งนั้น มันทำให้ฉันหยุดคิดถึงเรื่องของคุณไม่ได้เลย…”
“โมนิก้า…”
เมื่อสังเกตปฏิกิริยาตอบสนองของคุณเลวอนแล้ว ก็ดูเหมือนว่าเขาจะไม่ค่อยแปลกใจสักเท่าไหร่นัก ต่อให้เผยอาการอ้ำอึ้งออกมาให้เห็นอยู่พักหนึ่งก็ตาม ทำให้อดคิดไม่ได้เลยว่าอีกฝ่ายนั้นอยากจะเว้นระยะห่างเพื่อหนีจากเรารึเปล่า จนฉันเผลอน้ำตาคลอเบ้าโดยไม่อาจสะกดกลั้นเอาไว้ได้อีกต่อไป
อย่าร้องไห้เชียวนะโมนิก้า อย่าทำให้เขาต้องสงสารเธอไปมากกว่านี้สิ!
อย่างไรก็ดีฉันยังคงระบายถ้อยคำออกมา พลางก้มใบหน้าหลบสายตาอีกฝ่ายด้วยความละอายใจ
“ฉันรู้ดีค่ะว่าไม่ควรพูดคำนั้นออกมา ในเมื่อคุณเลวอนกับสเตฟก้าสนิทสนมกันถึงขนาดนี้ จนมีหลายครั้งที่ฉันคอยย้ำเตือนตัวเองว่าไม่ควรเข้าไปขัดขวางความสัมพันธ์ระหว่างพวกคุณทั้งสองคน… ถึงฉันจะรู้สึกอิจฉาและเจ็บปวดใจอยู่บ้าง แต่ถ้าหากการเว้นระยะห่างนั้นทำให้คนที่ตัวเองแอบหลงรัก และเพื่อนสนิทมีความสุขไปด้วยกันได้ แค่นี้ฉันก็พอใจมากแล้วล่ะค่ะ”
——พรึ่บ
ฉันถูกคุณเลวอนฉุดดึงตัวเข้าหาจนใบหน้าซบลงบนร่างแกร่ง สองมือหนาพลันโอบรอบเอวบางโดยที่เรือนร่างของเราสองคนแนบชิดกัน รู้ตัวอีกทีก็พบว่าตนเองได้อยู่ในอ้อมกอดของเด็กหนุ่มไปเสียแล้ว ด้วยเหตุนี้ฉันจึงเงยใบหน้าสบสายตามองท่าทีอีกฝ่ายอย่างตะลึงพรึงเพริด
“ถึงผมจะรู้เรื่องนั้นมาตั้งแต่แรกแล้วก็เถอะ แต่พอได้ยินที่เธอพูดออกมาจากปากตรง ๆ แบบนี้รู้สึกดีใจมากเลยล่ะ… เพราะผมเองก็รักโมนิก้าเหมือนกัน”
“อ๊ะ…!?”
ฉันถึงกับตาโตแปลกประหลาดใจทันทีหลังจากที่คุณเลวอนให้คำตอบพลางแย้มสรวลจาง ๆ มิหนำซ้ำสองแก้มยังแดงระเรื่อชัดเจน… นี่มันหมายความว่ายังไงกัน รู้สึกตัวตั้งแต่เมื่อไหร่ว่าฉันแอบคิดยังไงกับเขา แล้วทำไมถึงไม่บอกให้เร็วกว่านี้ล่ะ หรือเป็นเพราะไม่อยากทำร้ายความรู้สึกเรางั้นเหรอ?
ยิ่งไปกว่านั้น สิ่งที่คุณเลวอนพูดมาเมื่อครู่นี้เป็นความจริงรึเปล่า หรือเพียงเพราะอยากจะรักษาน้ำใจเพื่อไม่ให้เราต้องรู้สึกผิดหวังกันแน่…? เดี๋ยวสิ นี่ไม่ใช่เวลามานึกสงสัยเขานะ ต้องรีบอธิบายออกไปเพื่อไม่ให้คุณเลวอนตอบรับความรู้สึกของเราด้วยความเห็นอกเห็นใจ ในเมื่ออีกฝ่ายยังมีสเตฟก้าอยู่ทั้งคน
“ม… ไม่ได้นะคะ! คุณควรพูดคำนี้กับสเตฟก้า ไม่ใช่กับคนอย่างฉัน เพราะงั้นได้โปรดอย่าตอบรับคำสารภาพรักด้วยความสงสารเลยค่ะ…! ฉันน่ะไม่อยากทำให้เพื่อนสนิทต้องผิดหวังเพียงเพราะตัวเองฉวยโอกาสชิงตัดหน้าไปก่อน ตอนนี้ตัวฉันจะเป็นยังไงก็ช่าง ขอเพียงแค่คุณเลวอนรับฟังความในใจจากฉันเท่านี้ก็พอใจมากแล้วล่ะค่ะ!”
“ผมพูดจริง ๆ นะ… อีกอย่างคนที่อยู่ในอ้อมกอดผมตอนนี้ไม่ใช่ใครอื่นนอกจากโมนิก้า เด็กสาวที่คอยเอาใจใส่คนอื่นด้วยความปรารถนาดี มีจิตใจโอบอ้อมอารีสุภาพเรียบร้อย ยิ้มแย้มร่าเริงและอัธยาศัยดีต่อเพื่อนฝูง แถมยังคอยให้กำลังใจและสอนสั่งวิชาความรู้ให้กับคนอ่อนแออย่างผมมาโดยตลอด แม้ว่าบางครั้งจะแอบทำตัวเอาแต่ใจอยู่บ้างก็ตาม แถมยังมีช่วงเวลาที่ทำให้ผมรู้สึกใจเต้นอีกด้วย… เพราะงั้นผมถึงได้รักและอยากจะปกป้องเธอยังไงล่ะ”
ด้วยถ้อยคำน้ำเสียงละมุนจากพ่อมดหนุ่มนัยน์ตาสีอำพันโดยปราศจากความเสแสร้งนั้น เพียงเท่านี้ก็ทำให้ฉันถึงกับใบหน้าร้อนผ่าวตื่นเต้นจนคุมสติเอาไว้แทบไม่อยู่แล้ว ก่อนจะหลบสายตาเล็กน้อยด้วยความเขินอายสุดขีด… โกหกน่า พูดจริงเหรอเนี่ย นี่ฉันฝันไปอยู่รึเปล่า หรือเป็นเพราะเราพยายามหลีกหนีความจริงมากเกินไปจนคิดฟุ้งซ่านไปเอง!?
“ล… แล้วสเตฟก้าล่ะคะจะว่ายังไง หรือว่าคุณเลวอนไม่ได้รู้สึกอะไรกับเธอคนนั้นเลย?”
“ไม่ใช่อย่างนั้นสักหน่อย ทั้งสเตฟก้า ออเดรย์ คุณอาเธอเรีย คลาร่า คุณฮิคาริ ซิสเตอร์เวสน่า วัตสัน และอิทสึกิ ทุกคนล้วนเป็นเพื่อนคนสำคัญ ผมเองก็รักพวกเขาไม่แพ้โมนิก้าเหมือนกัน”
คุณเลวอนเกริ่นคำอธิบายพลางนำมือขวาลูบสางศีรษะฉันเพื่อปลอบประโลม… อะไรกัน พูดออกมาแบบนี้ขี้โกงชะมัด อย่างกับว่ายังมีสาว ๆ คนอื่นอยู่ภายในใจงั้นแหละ เห็นทีคงต้องตักเตือนกันสักหน่อยแล้ว!
“คนหลายใจ ผู้ชายเจ้าชู้ แม้แต่ซิสเตอร์ก็ยังไม่เว้นอีกเหรอคะ!? แถมยังเอาวัตสันกับคุณอิทสึกิมาเป็นข้ออ้างเพื่อกลบเกลื่อนอีก ร้ายกาจที่สุด!”
“ข… ขอโทษด้วยครับ!” อีกฝ่ายรีบเกริ่นสำนึกผิดอย่างลนลานราวกับยอมรับในข้อกล่าวหา
“ไม่อยากเชื่อเลย ภายนอกแลดูเป็นสุภาพบุรุษหนุ่มใสซื่อ แต่ลึก ๆ กลับร้ายยิ่งกว่าเด็กเกเรในหมู่บ้านเสียอีก นี่มันนิสัยเพลย์บอยชัด ๆ คิดจะจับพวกเราทั้งเจ็ดคนมาอยู่ในฮาเร็มส่วนตัวรึยังไงกัน วางแผนมาตั้งแต่แรกแล้วใช่ไหม!?”
พูดจบฉันก็พลันนำสองมือบางผละร่างสูงโปร่งให้ออกห่างจากตน พร้อมทั้งแสดงท่าทีไม่พอใจคอยกลบเกลื่อนอาการเหนียมอายต่อถ้อยคำสารภาพรักจากอีกฝ่าย… แต่ถึงอย่างนั้นฉันก็แอบดีใจสุด ๆ ที่ความรู้สึกนี้ส่งไปถึงคุณเลวอน ไม่นึกไม่ฝันเลยว่าอีกฝ่ายเองก็แอบรู้สึกแบบเดียวกันกับเราด้วย
…แต่หากต่อให้สิ่งที่เกิดขึ้นในเวลานี้เป็นเพียงแค่ความฝัน ฉันก็ยินดีที่จะจมปลักในห้วงแห่งนิทราต่อไป
“ด-เดี๋ยวก่อนสิ นี่ผมยังไม่ได้คิดไปถึงขั้นนั้นเลยนะ!”
บุรุษหนุ่มรูปงามรีบปฏิเสธเสียงแข็งพร้อมทั้งเผยอากัปกิริยาตะลีตะลาน ทำเอาฉันแอบหลุดขำออกมาอย่างช่วยไม่ได้ อีกทั้งยังรู้สึกสบายใจเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายกลับมาเป็นคุณเลวอนผู้มีบุคลิกสุภาพและสดใสตามปกติ ก่อนจะรีบฉุดดึงท่าทีให้อยู่ในอาการสำรวม แล้วเอ่ยถ้อยคำอ่อนละมุนถนอมน้ำใจเขาดังนี้
“ฉันคิดว่าบางทีนี่อาจจะส่วนที่แย่ที่สุดของคุณเลวอนเลยก็ว่าได้ แต่ถึงอย่างนั้นฉันก็ยังรักคุณอยู่ดีค่ะ”
ก็เพราะว่าคุณเลวอนยังมีส่วนที่ดีอยู่ตั้งมากมาย ดังนั้นฉันถึงสามารถยืนยันความรู้สึกนี้ออกไปได้โดยปราศจากความลังเลใจ ที่สำคัญไปกว่านั้น ในเมื่ออีกฝ่ายสารภาพรักตอบกลับคืนมา ตัวเราเองก็อยากจะลงมือพิสูจน์เพื่อยืนยันความแน่ใจจากเขาด้วย… แม้ว่าการกระทำของฉันนับต่อจากนี้ไปอาจสร้างความขุ่นเคืองใจให้แก่ใครบางคนในภายหลังก็ตาม
สเตฟก้า ขอโทษด้วยนะคะ แต่ฉันคงไม่อาจปฏิเสธหัวใจตัวเองได้อีกต่อไปแล้ว… ถ้าหากจะนึกเกลียดชังกันจนถึงขั้นตัดขาดความเป็นเพื่อนฉันก็ไม่ว่าอะไร ทว่าได้โปรดอย่าถือโทษโกรธเคืองคุณเลวอนเพียงเพราะความเอาแต่ใจของฉันเลยนะ
ในขณะที่เด็กหนุ่มกำลังลูบสางปลายเส้นผมเหนือหน้าผากตนด้วยความกระวนกระวายใจอยู่นั้น ฉันจึงอาศัยโอกาสนี้ลุกขึ้นจากเตียงนอน นำไม้กายสิทธิ์ที่ได้รับจากเขาไปวางไว้บนโต๊ะทำงานริมหน้าต่างซึ่งตั้งอยู่ห่างจากตรงนี้เพียงเอื้อมมือ
ถัดมายืนสูดลมหายใจเข้าออกลึก ๆ สองถึงสามทีเพื่อทำจิตใจให้สงบนิ่ง หมุนตัวกลับหลังหันสบสายตาจ้องมองเขาอีกครั้งก่อนจะเริ่มเอ่ยน้ำเสียงแผ่วเบาออกไป
“ฉันเองก็มีของบางอย่างอยากจะมอบให้คุณเลวอนเหมือนกัน รบกวนช่วยหลับตาลงด้วยค่ะ”
“อ… อื้อ”
คุณเลวอนอ้ำอึ้งฉงนใจสักพักหนึ่งก่อนจะผงกศีรษะตอบรับ แล้วปิดเปลือกตาคู่นั้นลงสนิทในท่านั่งหลังตรงราวกับเด็กหนุ่มผู้เอาจริงเอาจังไปเสียทุกเรื่อง ตัวฉันที่ยืนเฝ้ามองเขาอยู่ก็แอบกระหยิ่มยิ้มย่องด้วยความเอ็นดู ถัดมาเริ่มขยับก้าวเท้าย่องเข้าไปใกล้ ๆ อีกฝ่ายแบบเงียบเชียบไม่ให้รู้ตัว
เมื่อเดินมาถึงตรงเบื้องหน้าของคุณเลวอนแล้วฉันจึงหยุดชะงักฝีเท้า โดยที่เราสองคนอยู่ห่างจากกันเพียงแค่เอื้อมมือเท่านั้น ระหว่างนี้ฉันได้จับจ้องมองใบหน้าอันยลโฉมของเขาด้วยความตื่นเต้น รวมไปถึงริมฝีปากหนาแลดูน่าพิสมัย มิหนำซ้ำยังสัมผัสได้ถึงกลิ่นหอมเจือจางของครีมอาบน้ำจากร่างสูงแกร่งชวนให้รู้สึกผ่อนคลายอีกด้วย
แม้นว่าหัวใจจะสั่นไหวจนแทบอยากวิ่งหนีออกไปจากห้องนอนแห่งนี้เสียให้ได้ ถึงกระนั้นแล้วฉันก็นึกอยากตอบแทนความมุมานะอุตสาหะ และความรู้สึกของเด็กหนุ่มที่มีให้ต่อเราอยู่ดี ต่อให้การกระทำของฉันอาจส่งผลกระทบถึงเส้นทางชีวิตในอนาคตก็ตาม
…แต่ฉันจะไม่นึกเสียใจในภายหลังอย่างแน่นอน ถ้าหากอีกฝ่ายเป็นคุณเลวอนที่ยังคงนิสัยสุภาพอ่อนโยนเช่นเดิม
ฉันยื่นสองมือบางจับที่หัวไหล่ของคุณเลวอนเพื่อประคองตัว ขยับเท้ายกเข่าขึ้นวางบนเตียงซ้ายขวาตามลำดับ ให้อยู่ในท่านั่งคร่อมตักร่างสูงแกร่งโดยที่เรือนร่างแนบชิดกัน เลื่อนมือคู่นั้นสัมผัสใบหน้าเขาพลางโน้มศีรษะเข้าใกล้ ในที่สุดริมฝีปากอันแสนอ่อนนุ่มของพวกเราก็ได้ประกบเข้าหากันอย่างอ่อนโยน
“อื้ม~”
“…!?”
พ่อมดหนุ่มออกอาการสะดุ้งลืมตาจ้องมองฉันด้วยความประหลาดใจ แต่ก็ไม่ได้แสดงกิริยาต่อต้านหรือเผยท่าทีขัดขืน ก่อนที่เราสองคนจะปิดเปลือกตาลงพลางดูดด่ำริมฝีปากกันจนเกิดเสียงในลำคอ สัมผัสได้ถึงความหนา ความร้อนระอุ กลิ่นอันหอมหวานของยาสีฟันรสมินต์ และความชุ่มชื้น คอยบดขยี้หยอกเย้าจนกระทั่งเกิดความรู้สึกแปลก ๆ ในขณะที่หัวใจเต้นระรัวทั้งที่ร่างกายทุกส่วนแทบไม่ได้ขยับออกแรงอะไรมากมายนัก
“อุ… อื๊มมม จ๊วฟ~”
ฉันครางกระเส่าผ่านลำคอพร้อมทั้งกระชับริมฝีปากแนบแน่น เพื่อให้ต่างฝ่ายสามารถสอดปลายลิ้นบางเข้าไปข้างในได้อย่างสะดวก แล้วเริ่มโลมเลียลิ้นหนาสากของเขาภายในโพรงปากอันอบอุ่น จนน้ำลายชุ่มเหนียวของสองเรานั้นหลอมรวมกันกลายเป็นเนื้อเดียว โดยยังคงตวัดชอนไชไปทั่วทั้งส่วนโคน ส่วนปลาย และใต้ลิ้นเกิดเสียงดูดเคล้าคลอ สลับกับดื่มด่ำกลืนกินของเหลวสีใสลงในลำคอหาได้นึกรังเกียจอะไร ส่วนสองมือบางละออกจากใบหน้ารูปงามแล้วโอบกอดคออีกฝ่ายเอาไว้
ภายในหัวว่างเปล่าจนคิดอะไรอย่างอื่นไม่ออก นอกจากรับรู้รสสัมผัสซึ่งแผ่ซ่านเข้ามา ทั้งความเคลิบเคลิ้ม ความร้อนรุ่มของเรือนร่าง ปลายลิ้นที่ต่างฝ่ายต่างสอดประสานและริมฝีปากซึ่งแนบชิดสัมผัสกัน รวมถึงลมหายใจอุ่น ๆ พ่นออกมาอย่างแผ่วเบาคอยกระตุ้นเร่งเร้า ทำให้เขาต้องยกสองแขนขึ้นโอบเอวร่างบางฉันเอาไว้ ยอมรับการเสพสุขรสจุมพิตร่วมกันโดยดุษณี
“จ๊วฟ แผล็บ… ฮื้ออ~”
ภายในร่างกายร้อนรุ่มราวกับเปลวเพลิงสุมพร้อมทั้งหายใจถี่มากขึ้น ฉันแกล้งขยับโยกสะโพกเพื่อให้จุดต้องห้ามของเราสองคนถูไถแนบชิดกันไปมาอย่างช้า ๆ แต่แฝงไปด้วยความหนักหน่วงอย่างพอเหมาะผ่านผ้าผืนบาง เพื่อปลุกเร้าอารมณ์ให้คุณเลวอน จนร่างของเขาสั่นกระตุกเล็กน้อยด้วยความเสียววาบ ยิ่งบดขยี้มากเท่าไหร่ก็ทำให้อีกฝ่ายขมวดคิ้วเกร็งไปทั่วทั้งร่าง จนเป้ากางเกงตั้งแข็งผงาดแนบกลีบร่องผ่านกางเกงชั้นในใต้กระโปรงโดยมองเห็นรูปร่างชัดเจน
“ฟู่…~”
คุณเลวอนเป็นฝ่ายถอนริมฝีปากเสียก่อน พวกเราต่างส่งเสียงหายใจเหนื่อยหอบเล็กน้อยพลางสบตามองกันไม่ลดละ ส่วนฉันเผยรอยยิ้มบางให้เขาด้วยความโหยหา โดยแอบดีใจและนึกตื่นเต้นอยู่พอสมควร เมื่อรู้ว่าร่างกายอีกฝ่ายตอบสนองแรงกระตุ้นจากเราได้อย่างง่ายดาย ส่งผลทำให้ฉันเริ่มมีความมั่นใจและกล้าที่จะลุยต่อไปข้างหน้าได้มากยิ่งขึ้น
“ด-เดี๋ยวสิ รู้ตัวรึเปล่าว่าทำอะไรลงไป?” พ่อมดหนุ่มรูปงามรีบซักถามฉันด้วยความแปลกใจ
“ฉันรู้ตัวเองดีค่ะ ตอบแทนเรื่องที่คุณเลวอนได้เข้ามาช่วยชีวิตฉันในวันนี้ยังไงล่ะคะ”
“ไม่เห็นต้องทำถึงขนาดนั้นเลย ขอเพียงแค่เธอกล่าวคำขอบคุณผมก็ดีใจมากแล้ว เพราะงั้นรีบหยุดเอาไว้เท่านี้ก่อนที่มันจะสายเกินไปดีกว่า”
คุณเลวอนห้ามปรามด้วยน้ำเสียงสุภาพพลางแสดงสีหน้ากังวล ไม่ใช่เพราะเขานึกรังเกียจที่ถูกเด็กผู้หญิงเข้าจู่โจม แต่เป็นเพราะห่วงอนาคตชีวิตของเราเสียมากกว่า นั่นจึงทำให้ฉันถึงกับตื้นตันใจเมื่อได้รู้ว่าตนเองนั้นสำคัญสำหรับเขามากเพียงใด ทว่าความปรารถนาดีของชายผู้เป็นที่รักนั้นก็ไม่อาจสยบความตั้งใจของฉันได้อยู่ดี
ฉันตัดสินใจอธิบายเหตุผลที่แท้จริงออกไป เพื่อให้คุณเลวอนได้รับทราบถึงความรู้สึกลึก ๆ ที่ฉันแอบเก็บซุกซ่อนเอาไว้อยู่ภายในอกอย่างเปิดเผย พลางจับจ้องมองแววตาเขาอย่างไม่ลดละ
“ก… ก็เพราะว่าฉันไม่อยากพ่ายแพ้ให้กับสเตฟก้าน่ะสิคะ ทุกครั้งที่เห็นพวกคุณสองคนทำตัวสนิทสนมกันมากเกินไป ตัวฉันก็มักจะเก็บซ่อนความรู้สึกน้อยใจอยู่เงียบ ๆ เสมอ ฉันน่ะไม่อยากอยู่อย่างโดดเดี่ยวอีกต่อไปแล้ว… ถ้าหากว่าคุณเลวอนรักฉันจริง ๆ ได้โปรดปล่อยให้ฉันมอบทุกสิ่งทุกอย่างให้กับคุณ และขอให้ฉันได้อยู่เคียงข้างคุณจนถึงลมหายใจสุดท้ายด้วยเถอะ”
“โมนิก้า…!”
สิ้นเสียงของพ่อมดหนุ่มผมสีขาวโพลน เขาก็พลันโน้มใบหน้านำริมฝีปากเข้ามาประกบกันอย่างแนบแน่น จนฉันถึงกับสะดุ้งตาโตเนื่องจากตั้งรับไม่ทัน ก่อนที่เราสองคนจะหลับตาดื่มด่ำรสจุมพิต ให้ปลายลิ้นเกี่ยวตวัดภายในโพรงปากจนน้ำลายชุ่มเหนียวหลอมรวมกันอีกครั้ง คราวนี้คุณเลวอนเป็นฝ่ายรุกเข้ามาหนักหน่วงเนื่องจากไม่อาจหักห้ามใจตนเองเอาไว้ได้อีกแล้ว มิหนำซ้ำยังเกี่ยวดึงปลายลิ้น ใช้ริมฝีปากขบเม้มเบา ๆ พลางส่งเสียงดูดกลืนราวกับจะพรากวิญญาณฉันเสียให้ได้
เราสองคนเริ่มมอบความรักให้แก่กันโดยแสดงออกผ่านทางการสัมผัสเรือนร่าง ก่อกำเนิดความสัมพันธ์อันลึกซึ้งยากที่จะหยุดยั้งได้ท่ามกลางบรรยากาศอันแสนอบอุ่น ตามด้วยแสงแห่งอัสดงคอยสอดส่องเข้ามายังห้องนอนผ่านทางบานหน้าต่าง เสมือนกับว่าโลกใบนี้เพียงแค่ฉันกับคุณเลวอน เด็กหนุ่มที่ฉันรักมากที่สุดเท่านั้น
MANGA DISCUSSION