“อะแฮ่ม…! ขออภัยที่เข้ามาขัดจังหวะนะ”
ในช่วงวินาทีที่บรรยากาศอันแสนอบอุ่นกำลังดำเนินไปอย่างสงบสุข น้ำเสียงคุ้นหูจากเด็กหนุ่มรายหนึ่งพลันดังแว่วขึ้นจากที่ไหนสักแห่งภายในห้องนอน โมนิก้าถึงกับสะดุ้งตกใจลนลานรีบละมือออกจากศีรษะของเลวอนโดยที่ใบหน้าแดงก่ำ เปล่งเสียงร้องอุทานลั่นทันที
“ว้าย!?”
“เอ๊ะ นั่นเสียงวัตสันนี่!”
บุรุษหนุ่มจอมดาบเวทรีบผละตัวออกห่างจากเด็กสาว หันหน้าซ้ายขวากวาดสายตามองดูโดยรอบอย่างฉงน ระหว่างนั้นเองโมนิก้าล้วงมือหยิบสมาร์ตโฟนออกจากกระเป๋าเสื้อเชิ้ตแล้ววางลงบนตัก หน้าจอแสดงให้เห็นถึงการประชุมสายโทรศัพท์ โดยมีฮิคาริ อาเธอเรีย วัตสัน อิทสึกิ เวสน่า คลาร่า ออเดรย์ และสเตฟาเนีย เข้าร่วมฟังบทสนทนาที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ด้วย
“น… นี่มันหมายความว่ายังไงกัน?” เลวอนซักถามสงสัยพลางชี้นิ้วไปยังมือถือของอีกฝ่าย
“ข… ขอโทษด้วยนะคะที่ฉันแอบปิดบัง ที่ทำแบบนี้ลงไปก็เพราะว่าทุกคนต่างเป็นห่วงคุณนั่นแหละค่ะ”
โมนิก้าก้มหน้าสลดหลบสายตาเล็กน้อยด้วยความรู้สึกผิด ถัดมาเสียงของอาเธอเรียได้ดังแว่วขึ้นจากเครื่องมือสื่อสาร
“ฉันเป็นคนเสนอไอเดียนี้ขึ้นมาเองล่ะ เพราะงั้นอย่าโกรธโมนิก้าเลย… ฟังนะ ตอนนี้นายมีแนวโน้มว่าจะเป็น PTSD หรือ ‘ภาวะผิดปกติทางจิตใจจากเหตุการณ์รุนแรง’ สูงมาก ฉันเองก็เป็น เพราะเมื่อก่อนฉันเคยสูญเสียครอบครัวไปต่อหน้าต่อตาตั้งแต่สมัยตอนเด็ก ๆ เหมือนกัน
สิ่งที่นายควรทำคือการระบายความในใจออกมาและต้องพึ่งพาพวกเราให้มาก ๆ การแก้ไขปัญหาคนเดียวตามลำพังมันไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้นเลย อีกอย่างทั้งฉันและทุกคนเองก็ไม่ได้เคืองแค้นเพียงเพราะนายโดนวลาดเข้าควบคุมร่าง แล้วหันมาทำร้ายใส่พวกเราหรอกนะ ไม่เชื่อก็ลองถามพวกวัตสันดูสิเจ้าลูกศิษย์งี่เง่า”
คราวนี้เป็นน้ำเสียงของอิทสึกิ เขาได้เริ่มต้นเกริ่นความรู้สึกตื้นตันใจออกไป
“พอได้ยินท่านเลวอนบอกว่าพวกเราคือเพื่อนคนสำคัญสำหรับท่าน ข้าก็รู้สึกดีใจมาก ๆ ขอรับ อีกอย่างท่านยังเคยช่วยเหลือครึ่งมนุษย์ครึ่งสุนัขอย่างข้ามาแล้วครั้งหนึ่ง… ดังนั้นหากท่านมีเรื่องเดือดเนื้อร้อนใจอะไร ไม่ว่าเวลาไหนก็มาปรึกษากับข้าได้เสมอเลยนะขอรับ”
จากนั้นเสียงมาดทะเล้นของวัตสันพลันดังแว่วขึ้น
“ลูกผู้ชายตัวจริงเขาไม่วิ่งหนีปัญหากันแบบนี้หรอกนะเฟ้ย ถ้าขืนยังไม่เลิกคิดสั้นอีกคราวหน้าฉันจะตามไปชกนายถึงบ้านแน่คอยดูสิ…! ฉันล่ะอุตส่าห์ตั้งใจเรียนวิชาปรุงยาก็เพราะหวังจะรักษานายให้หายขาดจากอาการป่วย เพราะงั้นห้ามทรยศความตั้งใจของฉันอีกเด็ดขาด เข้าใจไหมฟะ!?”
แล้วต่อด้วยคำพูดอันสดใสร่าเริงของออเดรย์
“ขืนปล่อยให้รุ่นพี่ตายไปเดี๋ยวฉันก็อดได้ดมกลิ่นหอม ๆ หรือลูบสางเส้นผมนุ่ม ๆ ของรุ่นพี่กันพอดีน่ะสิ อีกอย่างฉันยังไม่ได้สอนวิชาเพลงดาบที่เหลืออยู่ให้รุ่นพี่ครบหมดกระบวนท่าเลยนะ~!”
ถัดมาเป็นน้ำเสียงอันแสนสุภาพนุ่มนวลของคลาร่า
“ตอนนี้คุณเลวอนเองก็เป็นหนึ่งในสมาชิกและเพื่อนคนสำคัญของพวกเราไปแล้วนะคะ ถ้ายังเห็นว่าดิฉันและทุกคนมีความสำคัญสำหรับคุณอยู่ล่ะก็ ได้โปรดช่วยตอบรับความห่วงใยจากพวกเราด้วยเถอะค่ะ”
ตามมาด้วยถ้อยคำอันแสนอบอุ่นของเวสน่า
“สิ่งที่คุณเลวอนเคยทำเอาไว้เมื่อครั้งในอดีต ตราบใดที่ยังนึกสำนึกผิดและยอมกลับใจ พระเจ้าก็ย่อมให้อภัยเสมอค่ะ ไว้หลังจากเสร็จงานที่โบสถ์ในวันอาทิตย์แล้วเดี๋ยวฉันจะรับฟังคำสารภาพบาปให้คุณเลวอนเองนะคะ”
อีกทั้งน้ำเสียงราบเรียบแต่แฝงไว้ซึ่งความปรารถนาดีจากสเตฟาเนีย
“ดูเหมือนว่าเราสองคนจะมีอะไรบางอย่างที่คล้ายคลึงกันตั้งหลายจุด เพราะงั้นฉันคงปล่อยให้รุ่นพี่ตายไปไม่ได้หรอกค่ะ… อย่าผิดคำสัญญาที่ให้ไว้กับฉันเมื่อตอนก่อนหน้านี้สิคะ”
“เห… สัญญาอะไรกันไว้งั้นเหรอ? ไหนเล่าให้พวกเราฟังหน่อยสิไอ้หนุ่มเนื้อหอม”
วัตสันซักถามเลวอนด้วยความอยากรู้อยากเห็น บุรุษหนุ่มผมสีขาวโพลนได้แต่อ้ำอึ้งออกอาการลนลาน ขณะที่แม่มดสาวพราวเสน่ห์รีบเอ่ยถ้อยคำเจ็บแสบสวนกลับคืนไป
“ไม่ยุ่งเรื่องส่วนตัวของคนอื่นสักวันมันจะตายไหมคะ? นี่เตือนอย่างสุภาพแล้วนะรุ่นพี่วัตสัน”
“ข… ขออภัยด้วยครับคุณนาย”
พ่อมดหนุ่มนักปรุงยาตอบรับอย่างกระอักกระอ่วน ก่อนจะปิดท้ายด้วยน้ำเสียงของฮิคาริ
“เจ้าลูกแกะบ้า เลิกยึดติดกับเหตุการณ์ในอดีตสักทีเถอะ และฉันก็ไม่ได้ต้องการให้นายมองเห็นฉันเป็นคนสำคัญด้วย ในเมื่อยังยกโทษให้ตัวเองไม่ได้อยู่แบบนี้… ให้ตายสิ ‘อยากจะมีความสุขกับทุก ๆ คนให้ได้มากที่สุด ก่อนถึงช่วงวาระสุดท้ายของชีวิต’ ใครกันที่เป็นคนเล่าให้ฉันฟังตอนไปเที่ยวสะพานชาร์ลส์ที่กรุงปรากยะ? ไอ้การกระทำสิ้นคิดแบบนั้นแหละมีแต่จะทำให้ฉันเศร้าใจมากกว่า… ว้าย!?”
“นั่นไง เศร้าใจเสียด้วย ซึนเดเระแตกแล้วนะขอรับท่านฮิคาริ”
“ว้าวว้าวว้าว… เดี๋ยวนี้หัดมีความลับแล้วเหรอเจ้าเลวอนเพื่อนยาก”
“ด-เดี๋ยวก่อน มันไม่ใช่อย่างที่พวกนายคิดนะยะ ฉันก็แค่…! อ๊า ปัดโธ่เอ๊ย!”
อิทสึกิและวัตสันต่างเกริ่นเสียงแซวชอบใจตามลำดับ ยุวสตรีจอมดาบเวทรีบปฏิเสธอย่างลนลานทันที ท่ามกลางเสียงหัวเราะครื้นเครงของเหล่ามิตรสหายผ่านการประชุมสายทางโทรศัพท์
เลวอนที่ได้รับฟังคำพูดปลอบประโลมจากผองเพื่อนถึงกับแก้มแดงระเรื่อเล็กน้อย ก่อนจะเผยรอยยิ้มจางออกมาด้วยความอบอุ่นใจสักพักหนึ่ง จากนั้นจึงเริ่มกล่าวตอบรับความปรารถนาดีจากพรรคพวกอย่างปลื้มปีติ
“ขอบคุณมากนะ แล้วก็ขอโทษด้วยที่ทำให้ทุกคนเป็นห่วง ผมเริ่มโอเคขึ้นมาบ้างแล้วล่ะ”
“ทุกคน คุณเลวอนยิ้มออกมาแล้วล่ะค่ะ แถมยังแก้มแดงแจ๋อีกด้วย”
โมนิก้าแย้มสรวล พลางรายงานสถานการณ์ให้ผองเพื่อนที่อยู่ในสายโทรศัพท์ได้รับทราบด้วยน้ำเสียงสดใส อีกฝ่ายจึงทักท้วงด้วยท่าทีประหม่าเหนียมอาย
“ม… ไม่ต้องบรรยายละเอียดถึงขนาดนั้นก็ได้”
“เพื่อน ๆ ทุกคนฟังแล้วจะได้รู้สึกสบายใจยังไงล่ะคะ”
โมนิก้าชี้แจงเหตุผลสั้น ๆ ขณะเดียวกันสเตฟาเนียเริ่มใช้โทนเสียงราบเรียบจริงจังเพื่อสนทนากับเลวอน
“รุ่นพี่เลวอน รบกวนช่วยให้คำมั่นสัญญากับพวกเราสักหน่อยจะได้ไหมคะ? ว่าคุณจะไม่คิดสั้นลงมือทำร้ายตัวเองอีกเพียงเพราะอยากปกป้องชีวิตทุกคนให้รอดพ้นจากเงื้อมมือของวลาดที่สาม ถ้าหากมีเหตุการณ์ร้ายแรงเหมือนอย่างวันนี้เกิดขึ้นซ้ำรอยเดิมอีก ถึงตอนนั้นพวกเราจะคอยหาทางช่วยเหลือคุณเองค่ะ”
“อือ… ผมขอสัญญา” พ่อมดหนุ่มจอมดาบเวทพลันให้คำสัตย์อย่างไม่ลังเล
“ถ้าผิดคำสาบานล่ะก็จะต้องกลืนเข็มพันเล่มนะคะ น่าเสียดายที่พวกเราสองคนไม่ได้อยู่เกี่ยวก้อยให้คำมั่นสัญญากันเหมือนเมื่อครั้งก่อน”
แม่มดสาวพราวเสน่ห์ย้ำเตือน ทำให้บุรุษหนุ่มผู้แสนสุภาพคอยระลึกถึงความหลังไปพลาง ระหว่างนั้นวัตสันเริ่มเกริ่นแทรกแซวใส่สองชายหญิงทันที โดยไม่ได้สนใจถึงบรรยากาศอันหวานแหวว ณ เวลานี้เลย
“สเตฟก้า ฉันว่าคนอย่างเธอคงต้องให้เลวอนกลืนยาพิษสักพันหลอดแล้วล่ะมั้ง”
“ถ้ายังปรานีต่อกัน รบกวนช่วยเปลี่ยนจากยาพิษเป็นยาเสน่ห์แทนจะได้ไหม?”
“แหม อยากให้ฉันทำแบบนั้นให้งั้นเหรอคะ ฉันเอาจริงนะ”
เลวอนกับสเตฟาเนียยังคงสนทนาหยอกล้อกันอย่างสนิทสนมราวกับคนรู้ใจ ด้วยเหตุนี้วัตสันจึงนึกไม่สบอารมณ์ และแอบน้อยใจที่ถูกทั้งคู่นั้นเพิกเฉยหรือมองข้ามตนไป ก่อนจะตะเบ็งเสียงแทรกเพื่อขัดจังหวะกลางคัน
“หน็อยแน่เจ้าพวกนี้ กล้าดียังไงถึงได้เมินฉันฟะ!?”
“งื้อ…!”
โมนิก้าที่นั่งมองดูเลวอนกับสเตฟาเนียสนทนากันผ่านทางสมาร์ตโฟน เริ่มแสดงสีหน้าบึ้งตึงพลางพองแก้มใส่อีกฝ่ายอย่างไม่พอใจ ทันทีที่พ่อมดหนุ่มนัยน์ตาสีอำพันรู้สึกตัวขึ้นได้ว่าตนนั้นเผลอทำเรื่องเสียมารยาทต่อหน้าเธอและเพื่อนสนิทอย่างวัตสันเข้าให้แล้ว จึงพลันกล่าวคำขอโทษออกมา
“อ๊ะ… ขอโทษนะ เผลอตัวไปหน่อย”
“พูดตามตรงนะ ตอนที่ฉันได้ยินข่าวจากศาสตราจารย์ยาโรสลาฟว่า โมนิก้าแอบเข้าไปในป่าเพื่อออกตามล่าเสือโคร่งไซบีเรียสีขาวคนเดียว ฉันนี่ถึงกับใจหายวาบไปหมด ไม่นึกเลยว่าเธอจะกล้าหาญบ้าบิ่นถึงขนาดนี้ อย่าบอกนะว่าติดเชื้อบ้ามาจากเจ้าลูกแกะนั่นเข้าให้แล้ว?”
ฮิคาริถือโอกาสเปลี่ยนหัวข้อเพื่อพาทุกคนเข้าสู่ประเด็นหลัก โมนิก้าทราบดังนั้นก็ถึงกับออกอาการลนลานไปพักหนึ่ง ก่อนจะเกริ่นถ้อยคำสำนึกผิดต่อเหล่าสมาชิกทีมประกาศิตแห่งมังกรด้วยความละอายใจ
“ต้องขอโทษทุกคนด้วยนะคะที่ฉันปิดบังเรื่องเควสปราบพยัคฆ์ขาวเอาไว้ รวมถึงยังแอบลงมือปฏิบัติภารกิจตามลำพังโดยที่ไม่บอกกล่าวจนทำให้ทุกคนต้องพลอยเดือดร้อนไปด้วย เป็นเพราะความดื้อรั้นของฉันแท้ ๆ เชียว…”
“เอาน่า ทางนี้พอจะเข้าใจได้แหละว่าทำไม แต่คราวหน้าอย่าทำแบบนี้อีกนะ… จะว่าไปแล้วเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในเย็นวันนี้ถือว่าบิ๊กเซอร์ไพรส์มาก ๆ เจอกับจอมมารไซตอนตัวจริงเสียงจริงยังไม่พอ แถมยังเกิดปรากฏการณ์ ‘เจ็ดแสงอรุโณทัย’ ให้เห็นเต็มสองตาอีกด้วย… มีหวังเรื่องนี้คงได้แดงไปถึงหูศาสตราจารย์ยาโรสลาฟแหง ๆ”
ออเดรย์เกริ่นน้ำเสียงกังวล ขณะนั้นเองอาเธอเรียได้สบถพึมพำอย่างคับแค้นใจ
“ไอ้จอมมารสารเลวนั่น เจอกันคราวหน้าฉันจะจับหักคอมันให้ตายคามือไปเลย…!”
“จริงด้วยสิ…! หลังจากที่ฉันกลับไปถึงโบสถ์ ท่าทีของพวกแม่ชีต่างก็ดูเป็นปกติมาก ๆ ไม่ได้มีใครพูดถึงปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นในเย็นวันนี้เลยสักคนเดียว ราวกับว่าไม่เคยมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นมาก่อน… ทำไมถึงกลายเป็นแบบนั้นไปได้ล่ะคะ?”
เวสน่าตั้งข้อสังเกต คลาร่าจึงสบโอกาสนี้กล่าวรายงานถึงลักษณะเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นคล้ายกัน
“ทางด้านดิฉันเองก็เหมือนกันค่ะ ทุกอย่างดูปกติมาก บางทีคงอาจจะเป็นเพราะฝีมือของศาสตราจารย์ยาโรสลาฟ ที่ใช้คาถาโบราณขั้นสูงสุดอย่าง ‘เจ็ดแสงอรุโณทัย’ คอยหักล้างและควบคุมสถานการณ์ที่เกิดขึ้น เพื่อจำกัดผลกระทบซึ่งเกิดจากการปะทะกันระหว่างจอมมารไซตอนกับวลาด… ดูเหมือนว่าพยานรู้เห็นจะมีเพียงแค่พวกเราสิบคนเท่านั้นเองนะคะ”
“ม… หมายความว่าสิ่งมหัศจรรย์ที่เกิดขึ้นพร้อม ๆ กันในวันนี้ เป็นฝีมือของจอมเวทชั้นพาลาดินทั้งสามคนเลยงั้นหรือขอรับ เหลือเชื่อเกินไปแล้ว!”
อิทสึกิอุทานน้ำเสียงตื่นตระหนกปนประหลาดใจ ส่วนฮิคาริแอบสื่อถ้อยคำโดยนัยเพื่อให้เหล่าผองเพื่อนต่างรู้สึกตัว
“ตอนนั้นถ้าหากโมนิก้าไม่รีบฟื้นขึ้นมาตบหน้าเพื่อเรียกสติเจ้าลูกแกะเสียก่อน ฉันเชื่อว่าคงต้องมีปรากฏการณ์รอบที่สี่เกิดขึ้นอีกแน่นอน”
“บ้าน่า เป็นไปไม่ได้หรอก เว้นแต่ในกลุ่มพวกเราจะมีจอมเวทระดับชั้นพาลาดินแฝงตัวอยู่อีกหนึ่งคน ถ้าไม่นับวลาดที่สิงอยู่ในร่างของเลวอนด้วยน่ะนะ…”
วัตสันโต้แย้งทั้งที่คำตอบนั้นได้ปรากฏอยู่ในประโยคดังกล่าวแล้ว หาได้ตั้งข้อสังเกตหรือนึกเอะใจเลยแม้แต่น้อย และดูเหมือนว่าเหล่าผองเพื่อนเองต่างก็พากันมองข้ามข้อเท็จจริงนี้ไปด้วย เพราะคิดว่าคงไม่มีทางเป็นไปได้อยู่แล้ว ทว่าฮิคาริและเลวอนผู้ซึ่งล่วงรู้ตัวจริงของบุตรีแห่งไซตอนอยู่แล้วกลับไม่คิดเช่นนั้น
“เดี๋ยวสิ ทุกคนยังจำคำพูดก่อนหน้านี้ของรุ่นพี่เลวอนได้รึเปล่า ว่าในกลุ่มพวกเรามีคนที่เป็นบุตรีแห่งไซตอนแฝงตัวอยู่ โอกาสที่เธอคนนั้นจะมีพลังเวทเทียบเท่าพ่อมดแม่มดชั้นพาลาดินเหมือนอย่างจอมมารไซตอน ก็ใช่ว่าจะเป็นศูนย์นะ”
ออเดรย์รีบเกริ่นแทรกเตือนสติ ด้วยเหตุนี้วัตสัน คลาร่า โมนิก้า อาเธอเรีย และเวสน่าจึงฉุกคิดขึ้นมาได้ ยกเว้นอิทสึกิเท่านั้นที่คิดเห็นต่างจากผู้อื่นพร้อมทั้งกล่าวโต้แย้งออกมา
“ไม่ใช่เด็กสาวผมสีแดงคนนั้นหรอกหรือขอรับ แถมยังเรียกจอมมารไซตอนว่าท่านพ่ออีกด้วย”
ข้อสันนิษฐานของเทพสุนัขหนุ่มเมื่อสักครู่นี้ ส่งผลทำให้ผองเพื่อนเกิดความไขว้เขวมากพอสมควร อย่างไรก็ตามเรื่องที่ใครเป็นบุตรีแห่งไซตอนนั้นหาใช่ประเด็นหลักสำคัญอีกต่อไป เพราะการปรากฏตัวของราชันจอมมารและวลาดแห่งวาลาเคียนั้นคือสิ่งที่อันตรายยิ่งกว่า ส่วนสเตฟาเนียก็พลันเกริ่นแซวต่อทุกคนด้วยน้ำเสียงราบเรียบแสร้งท่าทีไร้เดียงสาทันที
“เห… แต่ละคนเนี่ยจินตนาการล้ำลึกไม่เบาเชียว ว่าแต่อะไรทำให้รุ่นพี่ฮิคารินึกเอะใจแบบนั้นขึ้นมาได้ล่ะคะ?”
“…เปล่าหรอก ฉันคงคิดมากไปเอง ทุกคนช่วยลืม ๆ มันไปซะเถอะ”
ฮิคาริตัดสินใจยุติบทสนทนาไว้เพียงเท่านี้ แม่มดสาวรู้ดีว่าต่อให้เธอพยายามยืนกรานหรือตั้งข้อสังเกตอีกสักเพียงใด สเตฟาเนียก็คงไม่ยอมรับคำสารภาพออกมาง่าย ๆ อยู่ดี ที่สำคัญการเปิดโปงผู้อื่นต่อหน้าทุกคนโดยปราศจากหลักฐานยืนยัน ถือเป็นเรื่องน่ารังเกียจและเสียศักดิ์ศรีมากที่สุดสำหรับเธอ
“ที่แน่ ๆ คาบเรียนช่วงเช้าวันพรุ่งนี้ พวกเราทุกคนคงได้โดนศาสตราจารย์ยาโรสลาฟเทศนาชุดใหญ่ แถมอาจถูกลากคอให้ไปปลูกต้นไม้ร้อยต้นในพื้นที่ป่า เพื่อชดใช้ค่าเสียหายที่เกิดขึ้นในวันนี้แหงแซะ”
หลังจากสิ้นถ้อยคำของอาเธอเรีย เหล่าสมาชิกทีมประกาศิตแห่งมังกรทุกคนจึงพากันถอนหายใจเฮือกยาวด้วยความหดหู่ วัตสันที่ยังคงมองโลกในแง่ดีอยู่จึงใช้คำพูดปลุกขวัญกำลังใจต่อเหล่าพ่อมดแม่มดวัยใส ให้สมกับเป็นผู้อาวุโสที่สุดในกลุ่ม
“ถือซะว่าเป็นการรับผิดชอบร่วมกันทั้งหมดนี่แหละ ขืนมัวแต่กล่าวโทษไปมาเดี๋ยวกลุ่มเราก็ขาดความสามัคคีกันพอดี อะไรที่ผ่านไปแล้วก็ให้มันแล้วกันไปเถอะ ตอนนี้พวกเรามาช่วยกันคิดหาวิธีรับมือเพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์ซ้ำรอยจะดีกว่าไหม?”
“ตายจริง นานแล้วนะคะที่ไม่ได้ยินคุณวัตสันพูดเป็นการเป็นงานขนาดนี้” เวสน่าหยอกแซวพอประมาณ “ฉันเห็นด้วยกับคุณวัตสันค่ะ ในช่วงเวลาแบบนี้พวกเราทุกคนควรร่วมมือฝ่าฟันอุปสรรคไปด้วยกัน ให้เหมือนกับตอนที่พวกเราเคยร่วมต่อสู้เพื่อเอาชนะปีศาจ Aka Manah ยังไงล่ะคะ”
“ม… แม้แต่ซิสเตอร์เองก็ยังไม่เว้นเหรอเนี่ย นี่ฉันกลายเป็นตัวตลกไปตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?”
คราวนี้น้ำเสียงของพ่อมดหนุ่มนักปรุงยาเริ่มสื่อถึงความผิดหวังเนื่องด้วยประโยคแรกสุดของนักพรตสาว เหล่าบรรดาผองเพื่อนได้ยินดังนั้นต่างพากันส่งเสียงหัวเราะชอบใจพอหอมปากหอมคอ เมื่อสถานการณ์ทั้งหมดเริ่มคลี่คลาย เลวอนจึงเริ่มเสนอความคิดเห็นต่อทุกคนด้วยอากัปกิริยาสุขุมนุ่มลึกตามปกติ
“อืม… ผมเองก็ไม่ได้อยากจะพูดเพื่อบั่นทอนกำลังใจของทุกคนหรอกนะ แต่อันดับแรกพวกเราต้องหาทางรับมือกับบทลงโทษจากศาสตราจารย์ยาโรสลาฟในวันพรุ่งนี้ให้ได้เสียก่อน แล้วก็คอยหาข้อแก้ต่างให้โมนิก้าด้วย อย่างน้อย ๆ เธอจะได้ไม่ต้องโดนทำโทษหนักเกินไป เพราะว่าเรื่องนี้พวกเราล้วนมีส่วนเกี่ยวข้องที่ต้องรับผิดชอบร่วมกันในฐานะสมาชิกทีมประกาศิตแห่งมังกร… ไม่ทราบว่าทุกคนพอจะช่วยเหลือเรื่องนี้ได้รึเปล่าครับ?”
“ค… คุณเลวอน” โมนิก้ารีบสบตามองเด็กหนุ่มด้วยความซาบซึ้งใจ
“ค่อยสมกับเป็นรุ่นพี่เลวอนขึ้นมาหน่อย กลับมาเป็นคนเดิมแล้วงั้นสินะคะ… เรื่องนั้นไม่ต้องห่วง ถ้าเพื่อโมนิก้าแล้วพวกเรายินดีให้ความช่วยเหลือเต็มที่เลยค่ะ”
สเตฟาเนียผู้เป็นตัวแทนสมาชิกทีมจากสายโทรศัพท์ตอบรับข้อเสนออย่างเต็มใจ โมนิก้าจึงรีบบอกกล่าวต่อผองเพื่อนทุกคนด้วยรอยยิ้มปลื้มปีติทั้งน้ำตาคลอ
“สเตฟก้า ทุกคน… ขอบคุณมากนะคะ!”
“…จะยังไงก็แล้วแต่ พวกเราทุกคนก็คงต้องโดนลงโทษด้วยการปลูกต้นไม้ในป่าตามจำนวนที่ถูกโค่นลงไปคูณสองเท่าอยู่ดี ถ้าหากข่าวลือที่ฉันเคยได้ยินมาจากเพื่อนร่วมชั้นเป็นความจริงล่ะก็นะ” ฮิคาริกลับเข้าสู่ประเด็นหลักอีกครั้งด้วยน้ำเสียงฟังดูปลงตก “จะว่าไปเจ้าลูกแกะนั่นโค่นต้นไม้ลงไปทั้งหมดกี่ต้นแล้วเนี่ย ลองประเมินจากสายตาดูคร่าว ๆ คงน่าจะถึงหลักร้อยเลยกระมัง…”
“ราว ๆ หนึ่งร้อยสามสิบต้นค่ะ ถ้าหารกันโดยเฉลี่ยแล้วก็น่าจะตกคนละประมาณสักยี่สิบห้าถึงสามสิบต้น…”
สเตฟาเนียคำนวณให้แบบเสร็จสรรพด้วยน้ำเสียงราบเรียบเช่นเคย เลวอนและโมนิก้าถึงกับหน้าซีดเผือดผุดเม็ดเหงื่อหลังจากที่ได้ยินคำตอบ ส่วนคนอื่น ๆ นั้น…
“เอิ่ม…”
“ม-ไม่นะขอรับ!”
“ฉิบหายแล้วไง!”
“อาเมน…”
“แหะ ๆ ถึงตอนนั้นเดี๋ยวดิฉันจะเตรียมน้ำชาอุ่นเพื่อให้ทุกคนได้คลายเหนื่อยกันนะคะ”
“นี่เธอคิดจะหาเรื่องแอบอู้งานงั้นเรอะคุณหนู!?”
ออเดรย์ อิทสึกิ อาเธอเรีย เวสน่า คลาร่า และวัตสันต่างส่งเสียงอุทานตามลำดับ ส่วนฮิคาริรีบเสนอความคิดเห็นปิดท้ายอย่างไม่รีรอช้า
“เจ้าลูกแกะ ครั้งนี้นายเป็นคนโค่นต้นไม้ลงเองทั้งหมด เพราะงั้นนายต้องรับส่วนแบ่งปลูกต้นไม้หนึ่งร้อยต้น ส่วนของพวกเราปลูกกันคนละยี่สิบต้น นี่ถือว่าช่วยกันสุด ๆ แล้วนะยะ”
“เอ๊ะ~~~!!?”
คนที่ส่งเสียงร้องลั่นยิ่งกว่าใครเพื่อนคงหนีไม่พ้นเลวอน พ่อมดหนุ่มผู้ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของเรื่องราวทั้งหมดตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน แม้จะเคยผ่านเหตุการณ์ร้ายแรงชวนสะเทือนใจกันมาบ้าง อย่างไรก็ตามเรื่องราวในชีวิตประจำวันอันแสนวุ่นวายของเขาและบรรดาผองเพื่อนนั้นยังคงต้องดำเนินต่อไปอย่างไม่รู้จบ
ในที่สุดเลวอนก็ได้พบเจอกับเหล่ากัลยาณมิตรเสียที
MANGA DISCUSSION