บ่ายสี่โมงครึ่งโดยประมาณ ณ บ้านตระกูลซิบูลคอฟ หมู่บ้านฮาเวอร์ชาคาน
โมนิก้าได้พาเลวอนขึ้นไปยังห้องนอนของตนซึ่งอยู่บนชั้นสอง เพื่อให้เด็กหนุ่มได้พักผ่อนฟื้นฟูสภาพจิตใจ หลังจากที่เขาและเธอ รวมถึงเหล่าผองเพื่อนสมาชิกทีมประกาศิตแห่งมังกรอีกแปดชีวิต ต่างแยกย้ายกันกลับไปยังที่พักของแต่ละคน
สภาพของทั้งคู่ในตอนนี้ต่างเปียกชื้นจากหยาดน้ำฝน โมนิก้าได้หยิบผ้าเช็ดตัว ชุดเสื้อเชิ้ตแขนยาวสีขาว กางเกงสแล็ค และถุงเท้าสีดำออกมาจากตู้ไม้ ซึ่งเดิมทีเป็นชุดแต่งกายของ “มิคาอิล ซิบูลคอฟ” หรือพี่ชายผู้ล่วงลับ ส่งมอบให้กับเลวอนแล้วเกริ่นน้ำเสียงราบเรียบออกไป
“ห้องอาบน้ำอยู่ตรงทางเดินมุมซ้ายมือ เชิญใช้ได้ตามสบายเลยนะคะ เดี๋ยวฉันจะใช้ห้องอาบน้ำชั้นล่างเอง”
“อื้ม ขอบคุณนะ…”
เลวอนผงกศีรษะเล็กน้อย ทั้งที่สีหน้าอากัปกิริยายังคงความสลดหดหู่ ยื่นมือรับของจากอีกฝ่ายอย่างว่าง่าย แล้วเดินออกจากห้องนอนมุ่งตรงไปยังห้องน้ำซึ่งอยู่ชั้นเดียวกัน โดยที่เด็กสาวร่างเล็กผมสีน้ำตาลอ่อนทำได้แค่เพียงยืนจับจ้องมองแผ่นหลังเขาด้วยความเป็นห่วงชั่วขณะหนึ่งก่อนจะลับสายตาไป
โมนิก้ารีบยกสองมือตบเข้าที่แก้มตนหมายจะสลัดความกังวลใจออกไปให้พ้น คว้าผ้าเช็ดตัวตรงราวตากข้างตู้ไม้แล้วก้าวเท้าออกจากห้อง มุ่งตรงไปยังห้องอาบน้ำชั้นล่างเพื่อชำระล้างร่างกายให้สะอาด
พ่อมดหนุ่มนัยน์ตาสีอำพันใช้เวลาอาบน้ำสักครู่ ก่อนจะนำเอาชุดแต่งกายที่เพิ่งได้รับมาสวมใส่ให้เรียบร้อย ซึ่งขนาดไซส์ของชุดนั้นช่างเข้ากับตัวเขาได้อย่างเหมาะเจาะพอดี จากนั้นนำผ้าเช็ดตัวพร้อมชุดเก่าที่เปียกหมาดไปตากให้แห้งสนิทตรงราวไม้ข้างบานหน้าต่าง
“…หวังว่าเรื่องที่เกิดขึ้นวันนี้คงยังไม่ถึงหูพ่อแม่นะ”
เลวอนบ่นพึมพำถอดสีหน้าเคร่งเครียด ไม่นานนักจึงวกกลับไปยังห้องอาบน้ำ ส่องกระจกเพื่อจัดทรงผมให้เข้าที่โดยใช้ผ้ายางรัดผมสามเส้นรวบหางม้า และจับมัดเส้นผมข้างใบหน้าทั้งสองฝั่งแทนการถักเปีย ก่อนจะก้าวเท้ามุ่งตรงไปยังห้องนอนของโมนิก้าเพื่อพบปะกับเธออีกครั้ง
ในขณะย่างก้าวอยู่บนทางเดินระเบียง ภายในใจของเขานั้นกลับผุดความรู้สึกต่อต้านขึ้นมา ด้วยความที่ตนเคยลงมือทำร้ายเหล่าผองเพื่อนทั้งที่ไม่ได้มีเจตนา แม้จะเป็นเพราะถูกเจ้าชายแห่งวาลาเคียเข้าควบคุมร่างก็ตาม มิหนำซ้ำยังกัดซอกคอและดูดเลือดของโมนิก้าจนอีกฝ่ายเกือบถึงแก่ความตาย ยากที่จะทำใจยอมรับหรือให้อภัยตัวเองได้โดยง่าย
ครั้นจะเผชิญหน้าโดยตรงมีแต่จะนึกละอายใจเสียเปล่า หากแต่วิ่งหนีออกไปจากที่นี่ก็นับว่าไม่ใช่ลูกชาย เลวอนเลยตัดสินใจก้าวเท้าเดินต่อจนกระทั่งถึงที่หมาย ยกมือขวาขึ้นเคาะประตูสองถึงสามครั้ง ก่อนจะเปล่งเสียงเรียกเพื่อขออนุญาตจากเจ้าของบ้าน
“โมนิก้า จะเข้าไปแล้วนะ”
“เชิญเลยค่ะ”
เสียงของโมนิก้าดังแว่วขึ้นภายในห้อง เด็กหนุ่มจึงเปิดประตูเดินเข้าไป แล้วพบว่าเด็กสาวผมยาวสลวยสีน้ำตาลอ่อนร่างอรชรกำลังนั่งรออยู่บนเตียงริมขอบด้านข้าง เธออยู่ในชุดเสื้อเชิ้ตคอปกแขนยาวสีขาว กระโปรงจีบรอบสีกรมท่า และถุงเท้ายาวเหนือเข่าสีดำแบบมีสายรั้งทั้งสองข้างถึงรอบเอว ภายใต้ห้องนอนอันแสนเรียบง่ายสบายตา
เลวอนกวาดสายตามองดูบรรยากาศภายในห้อง แม้ว่าตัวเขาจะเคยแวะมาที่นี่มากกว่าสามหรือสี่ครั้งแล้ว แต่ก็ยังรู้สึกประหม่าอยู่ลึก ๆ เนื่องจากเป็นห้องพักของอิสตรีผู้มีอายุไล่เลี่ยกันกับตน ในระหว่างนั้นเองโมนิก้าได้เกริ่นเชิญชวนพลางผายมือตรงบริเวณพื้นที่ว่างบนเตียง เพื่อให้อีกฝ่ายได้นั่งพักผ่อนเคียงข้างเธอ
“ลงนั่งก่อนสิคะ”
“ขอบคุณนะ”
พ่อมดหนุ่มตอบรับคำขออย่างว่าง่าย จากนั้นมุ่งตรงไปยังเตียงนอนก่อนจะทิ้งตัวนั่งลงอย่างแผ่วเบา โดยที่ทั้งคู่ต่างก็ไม่ได้เริ่มต้นบทสนทนาใด ๆ อีก ท่ามกลางแสงอัสดงซึ่งสาดส่องผ่านทางบานหน้าต่าง ถึงแม้จะอยู่ใกล้ชิดกันเพียงเอื้อมมือ ทว่าความรู้สึกภายในใจของเขาและเธอนั้นกลับห่างไกลออกไป
โมนิก้าสังเกตเห็นอากัปกิริยาของเลวอนที่แปลกไปจากเดิม เขาคอยแอบชำเลืองตามองเธอในยามสบโอกาส ทว่าพอจ้องมองกลับคืนไปอีกฝ่ายก็พลันหลบสายตาไปทางอื่น แท้ที่จริงแล้วแม่มดสาวร่างเพรียวเข้าใจถึงความรู้สึกของบุรุษหนุ่มดี ว่าเหตุใดถึงแสดงท่าทีดังกล่าวออกมา หากแต่ปล่อยให้เป็นแบบนี้ต่อไปเรื่อย ๆ ทั้งคู่ก็มีแต่ต้องทุกข์ทรมานใจไปจนวันตายแน่
ด้วยเหตุนี้เธอจึงเป็นฝ่ายเริ่มบทสนทนาก่อน เพื่อไม่ให้บรรยากาศอึมครึมจนเกินไป
“คุณเลวอนยังจำสัญญาที่เคยให้ไว้กับฉันได้รึเปล่าคะ? ว่าถ้าหากฉันยอมรับข้อตกลงในการจัดตารางสอนพิเศษจากศาสตราจารย์ยาโรสลาฟและปฏิบัติตามได้ล่ะก็ ถึงตอนนั้นคุณจะยอมทำตามคำขอของฉันหนึ่งอย่างเป็นการตอบแทน รวมถึงสัญญาว่าจะเล่าเรื่องราวของตนเองให้ฉันฟังเป็นคนแรกด้วย”
“จำได้สิ หรือว่าโมนิก้าคิดจะ…?”
พ่อมดหนุ่มผมสีขาวโพลนรีบเงยหน้าขึ้นมาสบตา แม่มดสาวจึงผงกศีรษะแล้วกล่าวต่อไป
“ค่ะ… ดังนั้นฉันขอใช้สิทธิ์จากสัญญาเมื่อครั้งนั้นเพื่อออกคำสั่ง ให้คุณเลวอนทำตามคำขอทุกอย่างจากฉันเป็นเวลายี่สิบสี่ชั่วโมงนับตั้งแต่วินาทีนี้เป็นต้นไป พูดอะไรไว้แล้วห้ามคืนคำนะคะ”
“อึ้ก…! ขี้โกงนี่นา เล่นเอาสัญญามาขู่กันแบบนี้ แล้วผมจะกล้าปฏิเสธโมนิก้าได้ยังไงกันล่ะ…?”
สีหน้าท่าทีของเลวอนเริ่มเปลี่ยนไป จากที่เคร่งเครียดอมทุกข์กลับกลายเป็นความประหม่าและผ่อนคลายลงอย่างเห็นได้ชัด โมนิก้าเห็นดังนั้นจึงค่อยรู้สึกสบายใจขึ้นมาบ้างพร้อมทั้งส่งเสียงหัวเราะในลำคอ ถัดมาเธอจึงเปิดประเด็นซักถามถึงข้อสงสัยอย่างจริงจัง
“ฉันรู้สึกติดใจกับคำพูดก่อนหน้านี้ ที่คุณเลวอนบอกว่า ‘เหตุการณ์ในครั้งนั้น’ น่ะค่ะ อะไรที่ทำให้คุณเลวอนจิตตกได้ถึงขนาดนั้น หรือเป็นเพราะว่านั่นอาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องราวในอดีตที่ผ่านมา ระหว่างคุณและเพื่อนสนิทในสมัยเด็กกันคะ? ถ้าไม่รังเกียจล่ะก็ได้โปรดช่วยเล่าให้ฉันฟังที… ไม่สิ รบกวนช่วยเล่าให้ฉันฟังด้วยเถอะค่ะ”
ยุวสตรีเปลี่ยนวิธีพูดประโยคสุดท้ายให้ฟังดูเหมือนเป็นคำสั่ง พ่อมดหนุ่มนัยน์ตาสีอำพันก้มใบหน้านิ่งเงียบไปสักพักเพื่อเรียบเรียงถ้อยคำภายในหัว แล้วเริ่มต้นเล่าเรื่องราวออกไปให้อีกฝ่ายได้รับฟังด้วยกิริยาและน้ำเสียงสุขุมนุ่มลึก
“เมื่อหกปีที่แล้ว ผมและครอบครัวได้อาศัยอยู่ในหมู่บ้านเวทมนตร์แห่งหนึ่งในแถบชายแดนประเทศอาร์มีเนีย ก่อนจะอพยพมายังหมู่บ้านฮาเวอร์ชาคานสักประมาณหนึ่งปี ตอนนั้นที่นั่นยังคงสงบสุข ไม่มีเหตุการณ์ความขัดแย้งรุนแรงใด ๆ เกิดขึ้น
ผมเคยมีเพื่อนสนิทคนหนึ่งเป็นชาวสลาวิกเหมือนกัน เธอชื่อ ‘มาเรีย มาลินอฟสกายา’ เด็กสาวผมยาวสลวยสีบลอนด์ทองกับนัยน์ตาสีเงิน ถึงภายนอกจะดูน่ารักสุภาพเรียบร้อย แต่นิสัยแอบแก่นเซี้ยวซุ่มซ่ามพอตัวเชียวล่ะ… เราสองคนรู้จักกันตั้งแต่ตอนอายุเจ็ดขวบ จนกระทั่งเริ่มสนิทสนมกันมากขึ้น
ตอนนั้นในช่วงต้นเดือนเมษายน ผมได้ลงมือทำของขวัญชิ้นหนึ่ง เนื่องจากวันที่ 9 เมษายนเป็นวันเกิดของมาเรีย โดยนำเอาไม้ไอศกรีมร้อยแท่งมาทำเป็นบ้านหลังเล็ก ๆ แล้วลงสี ไว้ใช้สำหรับใส่แจกันแก้วประดับดอกไม้ เพื่อหวังจะเซอร์ไพรส์เธอเมื่อวันนั้นมาถึง
ในระหว่างที่ผมกำลังนั่งประกอบบ้านไม้ไอศกรีมอยู่ที่สนามหญ้าหน้าบ้าน มาเรียกับน้องชายอีกสองคนของเธอกำลังเล่นฟุตบอลกันอยู่ เพราะฝั่งตรงข้ามเป็นที่พักอาศัยของครอบครัวมาลินอฟสกีพอดิบพอดี เธอบังเอิญเตะลูกฟุตบอลพลาดลอยข้ามรั้วลงมากระแทกใส่ผลงานชิ้นเอกของผมพังต่อหน้าต่อตา รู้สึกใจสลายเอามาก ๆ เลยล่ะ”
“ต… ตายจริง ไม่น่าเลย”
โมนิก้ากล่าวเห็นอกเห็นใจ เลวอนส่งเสียงหัวเราะในลำคอพอประมาณพลางเผยสีหน้าสลดใจเล็กน้อย
“มาเรียรีบเข้ามาขอโทษ พร้อมทั้งหยิบไม้กายสิทธิ์เตรียมร่ายคาถาซ่อมแซม แต่ผมรีบขึ้นเสียงปฏิเสธไม่อยากให้เธอเข้ามายุ่งเรื่องนี้ ขืนให้เจ้าของวันเกิดเป็นคนมาซ่อมของขวัญที่ผมทำขึ้นมาเสียเอง ก็เท่ากับว่าความพยายามที่ผ่านมาทั้งหมดนั้นต้องสูญเปล่า แถมยังตอกย้ำเจตนารมณ์ของผมอีกด้วย
ต่อให้ต้องห้ามปรามสักกี่ครั้ง มาเรียก็ยังคงมุ่งมั่นที่จะร่ายคาถาซ่อมแซมให้อยู่ดี ท้ายที่สุดผมเลยสั่งไม่ให้เธอเข้าใกล้จนกว่างานชิ้นนี้จะเสร็จสมบูรณ์ อีกฝ่ายรู้สึกค้างคาใจและถามว่าทำไมผมต้องคอยกีดกั้นถึงขนาดนี้ด้วย ผมตอบโกหกเธอไปว่ามันเป็นงานที่ต้องทำส่งคุณครูในช่วงปิดเทอมโดยห้ามใช้เวทมนตร์ช่วย… เพราะถ้าหากเล่าความจริงออกไป มาเรียคงต้องรู้สึกผิดยิ่งกว่านี้หลายเท่าตัวแน่
นับตั้งแต่วันนั้นมา เราสองคนก็ไม่ได้พูดคุยหรือเข้าใกล้กันอีกเลย จนกระทั่งอีกสามวันก่อนถึงงานฉลองวันเกิด ผมจึงลงมือประกอบผลงานได้สำเร็จ ผมรู้ดีว่าการไม่ใช่คาถาซ่อมแซมให้กลับคืนสู่สภาพเดิมถือเป็นเรื่องงี่เง่ามาก แต่ผมก็อยากทำให้ของขวัญชิ้นนั้นมีความหมายสำคัญสำหรับมาเรีย…”
“ฉันคิดว่ามันไม่ใช่เรื่องงี่เง่าหรอกค่ะ เพราะถ้าหากเป็นฉันเองก็คงต้องทำแบบนั้นเหมือนกัน”
เด็กสาวผมสีน้ำตาลอ่อนเกริ่นเห็นพ้อง แต่ถึงกระนั้นคำพูดของเธอก็มิอาจทำให้บุรุษจอมดาบเวทคลายความรู้สึกผิดลงได้เลย เลวอนยังคงอธิบายเหตุการณ์สำคัญต่อไป พร้อมทั้งเผยสีหน้าคิ้วขมวดแสดงให้เห็นถึงความเจ็บปวดใจอย่างชัดเจน
“ไม่หรอก มันออกจะงี่เง่าจนกลายเป็นจุดเริ่มต้นแห่งโศกนาฏกรรมเลยเชียวล่ะ… วันนั้นมาเรียและครอบครัวเดินทางออกจากที่พัก มุ่งหน้าไปยังใจกลางหมู่บ้านเพื่อซื้อของเตรียมจัดงานฉลองวันเกิด ผมที่รู้สึกผิดต่อเธอจึงตั้งใจอยากจะไปพบเพื่อกล่าวขอโทษและสารภาพความจริงทั้งหมด เพราะไม่อยากนึกเสียใจในภายหลัง
เมื่อเดินทางมาถึงตลาดใจกลางหมู่บ้านจนกระทั่งพบเจอกับมาเรีย ผมเลยรีบวิ่งเข้าไปหาพร้อมทั้งส่งเสียงทักทาย เธอสังเกตเห็นก่อนจะส่งรอยยิ้มตอบกลับมาเช่นกัน แต่ด้วยความลำพองใจนี่แหละทำให้ผมประมาทเลินเล่อ ไม่ทันได้สังเกตถึงภัยอันตรายที่กำลังใกล้เข้ามาท่ามกลางฝูงชน
ผมกับมาเรียรีบก้าวเท้าวิ่งเข้าหาเพื่อพบปะใกล้ชิดกัน ตอนนั้นสีหน้าของพวกเราต่างเปื้อนรอยยิ้ม เมื่อรู้ว่านับจากนี้ไปความสัมพันธ์ที่เคยร้าวฉานนั้นจะกลับมาคืนดีเหมือนเดิม แต่ในระหว่างนั้นเองกลุ่มกบฏที่คิดอยากจะเปลี่ยนแปลงการปกครองของหมู่บ้าน ซึ่งแอบสะกดรอยตามผมอย่างเงียบ ๆ ก็ได้ชักไม้กายสิทธิ์เล็งมาทางนี้”
“เอ๊ะ…! ท-ทำไมคุณเลวอนถึงตกเป็นเป้าหมายได้ล่ะคะ?” โมนิก้าประหลาดใจเล็กน้อย
“ก็เพราะว่าผมเป็นลูกชายของวีรบุรุษจอมดาบเวทยังไงล่ะ เมื่อก่อนพ่อเคยทำหน้าที่เป็นพ่อมดทหารองครักษ์ปกป้องผู้นำหมู่บ้าน และคอยปราบปรามศัตรูหรือพวกหัวรุนแรงที่หวังจะกดขี่ประชาชนหรือมีแผนปฏิวัติการปกครอง เรียกได้ว่าท่านเป็นคนค่อนข้างแข็งแกร่งมาก ๆ จนหาช่องทางลอบกัดไม่ได้ สุดท้ายเจ้าพวกนั้นจึงตัดสินใจลงมือทำร้ายคนใกล้ตัวอย่างผมกับแม่ ก็เพื่อให้พ่อโกรธแค้นจนสูญเสียความเยือกเย็นนั่นเอง…
มาเรียเป็นคนแรกที่สังเกตเห็นถึงความไม่ชอบมาพากล เธอส่งเสียงเตือนพร้อมทั้งผลักร่างผมให้ถอยห่างออกไปโดยที่ทางนี้ไม่ทันได้เอ่ยปากขอโทษเลยด้วยซ้ำ ทันทีที่ผมล้มลงกับพื้น พบว่าลำแสงสีเขียวเจิดจ้าได้พุ่งปะทะใส่ร่างของมาเรียอย่างจังแบบต่อหน้าต่อตา ก่อนจะทรุดเข่าล้มตัวลงนอนแน่นิ่งทั้งที่ยังลืมตาอยู่ ในท้ายที่สุดเธอก็…”
“ไม่นะ…!”
แม่มดสาวร่างอรชรถึงกับยกสองมือขึ้นกุมปากด้วยความสะเทือนใจ ในขณะที่พ่อมดหนุ่มไม่อาจสาธยายออกมาเป็นคำพูดต่อได้โดยละไว้ในฐานที่เข้าใจ เขากำสองหมัดที่วางอยู่บนหน้าตักแน่นอย่างทุกข์ทรมาน ไม่อาจเก็บซ่อนอารมณ์ไว้ได้อีก สีหน้าเผยให้เห็นถึงความเคียดแค้นต่อตนเอง พลางสะกดกลั้นน้ำตาสุดฤทธิ์เพื่อไม่ให้คู่สนทนารู้สึกเวทนาไปมากกว่านี้
เลวอนสูดลมหายใจเข้าออกลึก ๆ คุมน้ำเสียงให้เป็นปกติ ก่อนจะเล่าบทสรุปส่งท้ายให้โมนิก้าฟังอีกครั้ง
“เวลานั้นผมทำได้แค่ส่งเสียงกรีดร้องเหมือนคนบ้า เมื่อรู้ว่ามาเรียต้องมาจบชีวิตลงเพราะการกระทำของผม พลางนึกโกรธแค้นสาปส่งตัวเองอยู่ซ้ำ ๆ ว่า ‘ทำไมต้องเป็นมาเรีย คนที่สมควรตายน่าจะเป็นผมด้วยซ้ำ ถ้าหากผมไม่ปิดบังเรื่องของขวัญและยอมให้เธอช่วยใช้คาถาซ่อมแซม หรือถ้าหากผมไม่ออกมาพบกับเธอจนตัวเองตกเป็นเป้าสังหาร มาเรียก็คงไม่ต้องมาตายแบบนี้’ …จนถึงทุกวันนี้ผมยังนึกเสียใจที่ไม่ได้มีโอกาสกล่าวขอโทษมาเรียเลย
สิ่งที่ผมพอจะทำได้หลังจากเสร็จสิ้นงานศพของมาเรียซึ่งตรงกับวันเกิดเธอพอดี คือการนำเอาของขวัญชิ้นนั้นที่ผมได้ซ่อมแซมเสร็จแล้วไปวางไว้หน้าหลุมฝังศพเท่านั้น พร้อมทั้งเปลี่ยนช่อดอกไม้ให้ทุก ๆ สัปดาห์ แต่ในท้ายที่สุดแล้วผมกลับโดนพ่อแม่ของมาเรียห้ามปรามไม่ให้เข้าใกล้หลุมศพเธออีก เพราะพวกท่านมองว่าผมเป็นต้นเหตุที่ทำให้ลูกสาวถึงแก่ความตาย ซึ่งผมเองก็เข้าใจและยอมรับคำตัดสินนั้น…
หลังจากที่ผมย้ายมาอาศัยอยู่ในหมู่บ้านแห่งนี้ แล้วได้รู้จักโมนิก้า วัตสัน อิทสึกิ ออเดรย์ คลาร่า สเตฟก้า คุณฮิคาริ คุณอาเธอเรีย และซิสเตอร์เวสน่า ซึ่งถือเป็นเพื่อนกลุ่มแรกในรอบหลายปี พูดตามตรงเลยว่าผมแอบกังวลใจมาก ๆ เพราะกลัวประวัติศาสตร์จะซ้ำรอย แต่พวกเธอได้เข้ามาเปิดใจและเปลี่ยนทัศนคติแง่ร้ายของผมอย่างสิ้นเชิง ก็เลยตัดสินใจเด็ดขาดว่าผมจะต้องปกป้องและรักษาความเป็นมิตรภาพที่ทุกคนหยิบยื่นมาให้ดีที่สุด
จนถึงตอนนี้ทุกคนก็ได้กลายมาเป็นเพื่อนคนสำคัญของผมไปแล้ว ทุกครั้งที่เห็นพวกเธอตกอยู่ในอันตราย ภาพความทรงจำในเหตุการณ์ครั้งนั้นมักผุดขึ้นมาหลอกหลอนอยู่เสมอ ทำให้ผมเผลอพุ่งกระโจนเข้าไปช่วยเหลือโดยไม่รู้ตัว เพื่อไม่ให้พวกพ้องต้องพบจุดจบเหมือนมาเรีย… แต่สุดท้ายผมกลับลงมือทำร้ายจนพวกเธอได้รับบาดเจ็บและทำให้โมนิก้าเกือบตาย ทั้งที่ผมควรต่อต้านอำนาจของเขา… แล้วแบบนี้คนอย่างผมยังสมควรได้รับการให้อภัยจากทุกคนอยู่อีกเหรอ?”
“พ-พอได้แล้วค่ะ อย่าพูดถึงมันอีกเลย เรื่องนั้นพวกเราเองก็ไม่ได้…”
โมนิก้ารีบตัดบทสนทนาเพื่อไม่ให้อีกฝ่ายถลำลึกความรู้สึกอันดำมืดมากไปกว่านี้ เลวอนเงยศีรษะขึ้นมาจ้องมองเธอภายใต้สีหน้าหม่นหมอง พร้อมทั้งระบายอารมณ์คับแค้นซึ่งเก็บซ่อนอยู่ภายในส่วนลึกของจิตใจออกมา
“ผมเป็นต้นเหตุที่ทำให้เพื่อนสนิทคนสำคัญต้องตาย แถมยังทำให้พวกเธอต้องเจ็บปวดอีก แล้วแบบนี้จะให้ผมนิ่งเฉยไร้ความรับผิดชอบได้ยังไงกัน ถ้าปล่อยให้วลาดฟื้นตัวกลับมามีอำนาจแล้วไล่ทำร้ายทุกคนต่อไปอีกล่ะก็ สู้ให้ผมลงมือจบชีวิตตัวเองยังจะดีเสียกว่า…!”
“คุณเลวอน!”
ก่อนที่จิตใจของพ่อมดหนุ่มจะแตกสลายไปมากกว่านี้ เด็กสาวนัยน์ตาสีฟ้าจึงพลันเข้ากอดเพื่อโอบศีรษะร่างสูงแกร่ง คว้าให้อีกฝ่ายซบใบหน้าลงบนกลางอกตน ในขณะที่เลวอนพยายามห้ามปรามขัดขืนแต่ก็ไม่ได้แสดงท่าทีรุนแรงมากนัก
“ป-ปล่อยนะ ผมไม่อยากให้โมนิก้าต้องบาดเจ็บเพราะผมอีก!”
“ไม่ค่ะ!” คราวนี้โมนิก้าเผยน้ำเสียงดุดันพลางคิ้วขมวดใส่ “ตอนนี้คุณไม่มีสิทธิ์ฝ่าฝืนคำสั่งของฉัน ช่วยสงบสติอารมณ์แล้วตั้งใจฟังในสิ่งที่ฉันกำลังจะพูดต่อไปนี้ด้วย!”
“ข… เข้าใจแล้วครับ”
เลวอนผ่อนคลายท่าทีลงและยอมปฏิบัติตามคำสั่งโดยดุษณี เมื่อสภาพจิตใจของเขาเริ่มสงบลงจนเข้าที่แล้ว ยุวสตรีผมสีน้ำตาลอ่อนจึงนำมือขวาลูบสางศีรษะอีกฝ่ายไปมา พร้อมทั้งเกริ่นถ้อยคำอันแสนละมุนเพื่อปลอบประโลม
“เรื่องที่คุณเลวอนเคยกระทำต่อคุณมาเรียในครั้งนั้น ฉันคงไม่อาจพูดออกมาได้อย่างเต็มปากหรอกนะคะ ว่าเป็นการตัดสินใจที่ผิดพลาดหรือไม่ แต่คนที่ทำให้คุณมาเรียถึงแก่ความตายน่ะไม่ใช่คุณเลวอนสักหน่อย เพราะถ้าไม่มีพวกกลุ่มกบฏเข้ามาก่อเรื่อง ถึงตอนนั้นพวกคุณทั้งสองคนคงได้คืนดีและปรับความเข้าใจกันไปตั้งนานแล้ว
คุณเลวอนอาจคิดไปเองว่าคุณมาเรียคงจะต้องโกรธคุณเพราะเหตุการณ์ในครั้งนั้นเป็นแน่ แต่ฉันเชื่อค่ะว่าเธอคนนั้นไม่มีวันอาฆาตแค้นคุณอย่างแน่นอน เพราะเห็นว่าชีวิตของคุณมีความหมายสำหรับตน ถึงได้ยอมเสี่ยงอันตรายเพื่อช่วยเหลือคุณยังไงล่ะคะ… เพราะงั้นสิ่งที่คุณเลวอนควรจะต้องทำนั่นก็คือ ใช้ชีวิตในส่วนที่เหลืออยู่และคอยระลึกถึงคุณมาเรียอยู่เสมอ เพื่อไม่ให้การตายของเธอต้องสูญเปล่า”
“แต่ผมกลัว กลัวว่าตัวเองจะไม่ใช่คนเดิมอีกต่อไป กลัวว่าทุกคนจะต้องจากไปเพราะผมอีก…!”
“คนที่อยู่ในอ้อมกอดฉันตอนนี้ไม่ใช่ใครที่ไหนแต่เป็นคุณเลวอน ต่อให้คุณต้องถูกวลาดเข้าครอบงำอีกสักกี่ครั้ง ฉันขอสัญญาว่าจะช่วยฉุดดึงคุณให้กลับมาเป็นคนเดิมให้ได้ ถ้าหากคุณยอมเสียสละตัวเองเพียงเพราะโชคชะตาเล่นตลก หรือเพียงเพราะโดนอำนาจมืดเข้ากลืนกินทั้งที่ตัวคุณไม่ได้ตั้งใจอยากจะทำแบบนั้นเลยแล้วล่ะก็ ถึงตอนนั้นจิตใจของฉันก็คงแหลกสลายไม่ต่างจากคุณเลวอนในตอนนี้แน่…
ฉันได้สูญเสียครอบครัวไปจนหมดสิ้นแล้ว มีเพียงแค่เพื่อน ๆ เท่านั้นที่คอยค้ำจุนจิตใจฉันเสมอมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งคุณเลวอน เพราะงั้นได้โปรดอย่าทำร้ายหรือพูดจาสาปแช่งตัวเองอีกต่อไปเลย ไม่มีใครเขากล่าวโทษคุณเพียงเพราะโดนวลาดเข้าครอบงำหรอกนะคะ… เชื่อมั่นในตัวพวกเราหน่อยสิ”
“ฮื่อ…!”
บุรุษหนุ่มวัยเยาว์ผงกศีรษะตอบรับพลางส่งเสียงสะอื้นทั้งน้ำตา ก่อนจะยกสองมือหนาสวมกอดเอวร่างอรชร ทางด้านแม่มดสาวยังคงลูบสางศีรษะเพื่อปลอบโยนอีกฝ่าย ตามด้วยเผยรอยยิ้มเศร้าสร้อยนึกสงสารเห็นใจปนโล่งอก ท่ามกลางความเงียบสงัดภายในสถานที่พักแห่งนี้
พร้อมทั้งไออุ่นที่เปี่ยมล้นไปด้วยความรักและความปรารถนาดีจากโมนิก้า
MANGA DISCUSSION