“ไม่นะ!”
เวสน่ารู้สึกสะเทือนใจเมื่อเห็นว่าเหล่าผองเพื่อนกำลังตกอยู่ในสถานการณ์อันตราย เธอพยายามควบคุมสมาธิให้มั่น รีบนำมือกุมจี้ไม้กางเขนตั้งจิตอธิษฐานเพื่อเสกคาถารักษาบาดแผลให้แก่พวกพ้องทันที จนร่างของพวกวัตสันซึ่งตกอยู่ในสภาพสะบักสะบอมนอนส่งเสียงร้องโอดครวญอยู่นั้นถูกชโลมด้วยแสงสีทองอันอบอุ่น คอยบรรเทาอาการเจ็บปวดให้ทุเลาเบาบางลง
ในทางกลับกันวลาดจอมเสียบกลับกลายเป็นฝ่ายเหนื่อยหอบเสียเอง เนื่องจากเขาฝืนใช้พลังเวทมากจนเกินไป ราชันผู้โดดเดี่ยวเริ่มถึงขีดจำกัดแล้ว แม้ว่าจะเก่งกาจสักเพียงใด หากแต่ไม่ได้รับเลือดมากเพียงพอ ก็ไม่มีวันที่ตนจะคงสภาพเพื่อเข้าควบคุมร่างของเลวอนไปได้ตลอดชั่วนิรันดร์ ตราบใดที่คำสาปของไซตอนซึ่งร่ายเอาไว้ยังคงฝังรากลึกอยู่
ขืนปล่อยให้นักพรตสาวคนนั้นใช้เวทมนตร์รักษาพวกพ้องตัวเองต่อไป มีหวังข้าคงต้องพ่ายแพ้เป็นแน่ ถึงจะไม่อยากลงมือทำอะไรรุนแรงกับนักบวชในศาสนาก็เถอะ แต่ครั้งนี้ข้าถึงคราวจนมุมแล้วจริง ๆ …ถ้าหากข้าได้ดื่มเลือดมนุษย์อีกสักคนสองคน ก็น่าจะครองร่างของเจ้าเด็กหนุ่มนี่ไปได้อีกสักอาทิตย์หนึ่ง
เจ้าชายแห่งวาลาเคียนึกไตร่ตรองก่อนจะตัดสินใจได้อย่างเด็ดขาด เขาสบสายตาไปยังเวสน่าพลางยกมือขวาชี้นิ้วใส่หมายจะเสกคาถาให้อีกฝ่ายสลบไสล ซิสเตอร์เห็นดังนั้นก็ถึงกับออกอาการหวาดผวาตาโต ทว่าเธอกลับแสดงความกล้าหาญโดยการร่ายเวทมนตร์รักษาให้กับสมาชิกทีมประกาศิตแห่งมังกรต่อไป ในขณะที่ร่างกายของพวกฮิคาริค่อย ๆ ฟื้นฟูพละกำลัง และพยายามพยุงตัวลุกขึ้นยืนอย่างทุลักทุเลเพื่อเตรียมเข้าสู่สนามรบอีกครั้ง
“เห… สู้กันไม่ถึงครึ่งวันก็หมดแรงแล้วเหรอ แล้วแบบนี้จะไปเอาชนะจอมมารไซตอนได้ยังไงกัน”
น้ำเสียงอันราบเรียบเยือกเย็นของเด็กสาวรายหนึ่งดังแว่วขึ้น วลาดรีบหันหลังกลับไปมองดูแล้วพบว่าสเตฟาเนียยังคงยืนหยัดได้ตามปกติ แม้นว่าชุดแต่งกายของเธอจะขาดวิ่นจากการโดนคลื่นอากาศฉีกสะบั้น จนมองเห็นชุดชั้นในลายลูกไม้สีดำบางส่วนก็ตาม สร้างความตื่นตระหนกให้แก่พ่อมดหนุ่มเป็นอย่างมาก ในขณะที่เหล่าบรรดามิตรสหายคนอื่นยังคงมีอาการหูอื้อเวียนศีรษะและไม่อาจฟื้นตัวได้เร็วถึงเพียงนี้ เวสน่าจึงรอดพ้นจากการตกเป็นเป้าหมายไปโดยปริยาย
“นี่เจ้า โดนจู่โจมด้วยแรงอัดระเบิดแท้ ๆ ทำไมถึงได้…!?” ราชันผีดูดเลือดรีบซักถามเธอ
“ก็เพราะว่าคุณเอาแต่ออมมือและดูถูกพวกเรามากเกินไปยังไงล่ะคะ สุดท้ายแล้วความเย่อหยิ่งของคุณกลับส่งผลทำให้ตัวเองต้องเสียแรงเปล่า รู้ทั้งรู้ว่ามีข้อจำกัดในการควบคุมร่าง แต่ก็ยังดื้อรั้นจะออกตามล่าจอมมารไซตอนทั้งที่ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายหลบซ่อนตัวอยู่ที่ไหน… ว่าคนอื่นเขาโง่เขลาแต่กลับไม่ดูเงาหัวตัวเองเลย”
ด้วยวาจาอันแสบสันของแม่มดสาวจอมปากจัด ทำให้แวมไพร์หนุ่มถึงกับร้องสบถออกมาอย่างเดือดดาล
“นังแพศยานี่ กล้าดียังไง…!?”
“ฉันขี้เกียจจะต่อล้อต่อเถียงกับคุณแล้วล่ะค่ะ เพราะงั้นขอเตือนเป็นครั้งสุดท้าย รีบคืนร่างให้รุ่นพี่เลวอนเดี๋ยวนี้…”
สิ้นคำพูดของสเตฟาเนีย ร่างของยุวสตรีจ้าวเสน่ห์ก็เริ่มปรากฏให้เห็นถึงออร่าพร้อมด้วยกระแสไฟฟ้ารอบตัวสามสี คือสีขาว ดำทมิฬ และม่วงเข้ม เล็บมือทั้งสองข้างแหลมยาวกว่าปกติเล็กน้อย อีกทั้งฟันเขี้ยวแหลมคมคล้ายผีดูดเลือดแม้จะไม่มากก็ตาม มีลักษณะไม่แตกต่างไปจากอมนุษย์หรือลูกครึ่งเผ่าปีศาจสักเท่าไหร่นัก
นัยน์ตาของเธอแปรเปลี่ยนจากสีส้มกลายเป็นสีม่วงสุกสกาวชวนหลงใหล แรงกดดันซึ่งถูกแผ่ซ่านออกมาจากร่างนั้นก็มากล้นเกินมหาศาล เทียบเคียงจอมเวทระดับชั้นพาลาดินได้อย่างสูสี เมื่อราชันผีดูดเลือดสัมผัสได้ถึงกระแสเวทและพลังจิตที่คล้ายคลึงกับจอมไซตอนเมื่อช่วงก่อนหน้านี้ จึงพลันส่งเสียงอุทานด้วยความกังขา
“ทั้งพลังเวทและพลังจิตสังหารนั่น… นี่เจ้าเกี่ยวข้องกับมันผู้นั้นทางสายเลือดงั้นเรอะ ทำไมถึงได้…!?”
“นึกไม่ถึงเลยว่าสักวันหนึ่งฉันจะมีโอกาสได้ปลดปล่อยพลังที่แท้จริงออกมาแบบนี้ ส่วนเรื่องที่ฉันมีความเกี่ยวข้องกับคนคนนั้นหรือไม่อย่างไร ตอนนี้มันไม่ใช่ประเด็นหลักสำคัญอีกต่อไปแล้ว… เอาล่ะ จะคืนร่างให้รุ่นพี่เลวอนได้แล้วรึยังคะ?”
——ตึ้ง…! ครืนนนนน เปรี๊ยะเปรี๊ยะ!
สเตฟาเนีย หรือ “บุตรีแห่งไซตอน” กระทืบเท้าขวาลงยังพื้นดินเพื่อข่มขวัญ จนเกิดกระแสไฟฟ้ากระจายไปทั่วผืนปฐพี ทำเอาร่างของเด็กหนุ่มผู้ห้าวหาญรู้สึกวูบวาบเสียวแปลบคล้ายกับโดนไฟช็อต วลาดรู้ถึงขีดจำกัดดีว่าหากยังฝืนสู้กับเธอต่อไปแบบเต็มอัตราศึก ตนอาจต้องถึงคราวปราชัยอย่างไม่ต้องสงสัย แม้จะยังค้างคาใจถึงตัวตนที่แท้จริงของแม่มดสาวรายนี้ก็ตาม
ฮิคาริซึ่งฟื้นคืนสภาพร่างกายและเริ่มประคองสติกลับคืนมาได้ก่อนนั้น สังเกตเห็นความผิดปกติที่เกิดขึ้นกับแม่มดสาวผมสีส้ม ทำให้เธอนึกถึงคำพูดก่อนหน้านี้ของเลวอน ที่เคยบรรยายรายละเอียดเกี่ยวกับลักษณะเด่นของบุตรีแห่งไซตอนขึ้นมา
ในขณะที่พวกวัตสันยังคงอยู่ในสถานะฟื้นฟูร่างกายจากอาการบาดเจ็บ ยุวสตรีจอมดาบเวทค่อย ๆ พยุงตัวลุกขึ้นยืนอย่างโซซัดโซเซ แล้วเกริ่นเสียงพึมพำพลางเผยสีหน้าคิ้วขมวด โดยที่สายตาจับจ้องมองสเตฟาเนียอย่างไม่ลดละ
“สเตฟาเนีย หรือว่าเธอคือ…”
“ม-ไม่ได้นะคะคุณโมนิก้า อย่าเข้าไป!”
เสียงเตือนของเวสน่าดังขึ้น ทุกคนต่างรีบหันไปมองดูแล้วพบว่า แม่มดสาวร่างบางเจ้าของเรือนผมยาวสลวยสีน้ำตาลอ่อนได้ลุกขึ้นเร่งฝีเท้า มุ่งตรงไปยังแนวหน้าของสมรภูมิรบด้วยสีหน้าอากัปกิริยาสั่นสู้ บัดนี้โมนิก้าได้ฟื้นคืนสติกลับมาในสภาพที่เกือบสมบูรณ์เต็มร้อยแล้ว
สเตฟาเนียตัดสินใจคลายกระแสเวทและพลังจิตของตนให้กลับคืนสู่สภาวะปกติ ทั้งเธอเองและสมาชิกประกาศิตแห่งมังกรต่างจับจ้องมองโมนิก้าอย่างแปลกประหลาดใจ วัตสันที่ยังคงอาการเจ็บแปลบไปทั่วร่างพลันส่งเสียงห้ามปรามทันที
“ย… ยัยบ้า เดินเข้าไปใกล้ศัตรูตัวเปล่าแบบนั้น เดี๋ยวก็ได้โดนเจ้านั่นจับดูดเลือดอีกหรอก!”
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ เรื่องนี้ถือเป็นปัญหาระหว่างฉันกับคุณเลวอน และวลาดที่สามเท่านั้น”
โมนิก้าตอบกลับน้ำเสียงราบเรียบ สายตายังคงจับจ้องมองเด็กหนุ่มรูปงามผมสีเทาแกมดำอย่างไม่ลดละ จนกระทั่งทั้งสองคนอยู่ใกล้กันในระยะห่างเพียงเอื้อมมือ ก่อนจะหยุดฝีเท้ายืนประจันหน้าไม่พูดพร่ำทำเพลงอะไรอีก คราวนี้ใบหน้าของเด็กสาวเริ่มอาบเม็ดเหงื่อแห่งความหวาดกลัว เนื่องจากเธอยังคงจดจำความรู้สึกตอนที่ถูกวลาดกัดซอกคอได้เป็นอย่างดี
“โฮ่…?”
เจ้าชายแห่งวาลาเคียแอบฉงนใจเล็กน้อย ก่อนจะแสยะยิ้มชอบใจพร้อมทั้งขยับตัวเข้าใกล้ ยื่นมือขวาสัมผัสที่ใต้คางของโมนิก้าแล้วจับเชิดขึ้น ค่อย ๆ โน้มใบหน้าเข้าหาแล้วเริ่มต้นบทสนทนากับเธอด้วยท่าทางหยิ่งผยอง เนื่องจากเขาสัมผัสได้ว่าอีกฝ่ายไม่ได้มีเจตนามุ่งร้ายต่อตน
“อะไรกัน ฟื้นคืนสติไม่ทันไรก็รีบปรี่เท้าเข้ามาหาข้าเลยรึ หรือว่าเจ้ายินยอมที่จะตกเป็นทาสบริวารของข้า? ถ้าเช่นนั้นข้าก็จะขอต้อนรับเจ้าด้วยความยินดี เพราะตัวเจ้านั้นมากล้นพรสวรรค์พอที่จะขัดเกลาฝีมือให้เก่งกาจขึ้นมาได้อีก… จงกลายมาเป็นผู้หญิงของข้าเสียเถิด”
“ไอ้เวรเอ๊ย หยุดเดี๋ยวนี้นะ!!”
วัตสันแผดเสียงเดือดดาลพลางขยับตัวลุกขึ้น ก้าวเท้าพุ่งกระโจนหมายจะเข้าทำร้ายวลาด แม้แต่ฮิคาริ อิทสึกิ ออเดรย์ คลาร่า และอาเธอเรียเองก็เช่นกัน ต่อให้สภาพร่างกายจะยังไม่พร้อมสู้รบก็ตาม ในขณะที่สเตฟาเนียรีบชี้ปลายด้ามไม้กวาดไปยังแผ่นหลังศัตรูเพื่อเตรียมจู่โจมใส่อีกครั้ง
——เพียะ!
การจู่โจมเพื่อช่วยเหลือมิตรสหายจำต้องหยุดชะงักลง เหล่าสมาชิกประกาศิตแห่งมังกรต่างพากันประหลาดใจไม่น้อย เมื่อเห็นว่าโมนิก้าได้ยกมือขวาขึ้นมาตบที่แก้มซ้ายของราชันแวมไพร์อย่างห้าวหาญ จนอีกฝ่ายสะบัดหน้าตาเบิกโพลงพลางเผยท่าทีตะลึงพรึงเพริดต่อสิ่งที่เกิดขึ้น
“คิดจะทำร้ายจิตใจคุณเลวอนไปจนถึงเมื่อไหร่กัน รู้หรือเปล่าว่าสิ่งที่คุณทำลงไปมันกระทบถึงความรู้สึกของเขามากแค่ไหนเวลาที่คุณใช้ร่างนี้ทำร้ายพวกเรา…!? ต่อให้ต้องถูกฆ่าตายฉันก็ไม่มีวันกลายเป็นผู้หญิงของคุณเด็ดขาด ก็เพราะว่าคุณน่ะไม่ใช่คุณเลวอนที่ฉันแอบหลงรักสักหน่อย!”
โมนิก้าระบายความรู้สึกอันหนักอึ้งออกมาทั้งน้ำตา ไม่สนใจเหล่าเพื่อน ๆ หรือหวั่นเกรงต่อความแข็งแกร่งของศัตรูเลยแม้แต่น้อย สเตฟาเนีย วัตสัน ฮิคาริ อิทสึกิ ออเดรย์ คลาร่า และอาเธอเรีย ต่างเผยสีหน้าเคร่งเครียดคอยดูเชิงหรือท่าทีของราชันผีดูดเลือด เกรงว่าอีกฝ่ายจะบันดาลโทสะลงมือทำร้ายเด็กสาวอีกครั้ง ท่ามกลางสายฝนที่ตกลงมาอย่างไม่หยุดหย่อน
ทันใดนั้นลักษณะเด่นของพ่อมดหนุ่มเริ่มเกิดการเปลี่ยนแปลง เส้นผมกลับกลายมาเป็นสีขาวโพลนบริสุทธิ์ นัยน์ตาสีน้ำทะเลแปรเปลี่ยนเป็นสีอำพันสดใส ในที่สุดเลวอนก็ได้ฟื้นคืนสติกลับคืนสู่ร่างตนตามปกติ ก่อนจะทรุดเข่านั่งลงยกมือขึ้นกุมหน้าอกพลางหายใจเหนื่อยหอบเนื่องจากสูญเสียพลังเวท อีกทั้งยังได้รับบาดเจ็บจากการถูกจู่โจมเข้าที่แผ่นหลังเมื่อสักครู่นี้
“คุณเลวอน!/เลวอน!/รุ่นพี่!”
คลาร่า โมนิก้า อาเธอเรีย วัตสัน ฮิคาริ อิทสึกิ สเตฟาเนีย และออเดรย์ รีบวิ่งกรูเข้าไปหาเลวอนเพื่อประคองร่างพลางเฝ้าดูอาการด้วยความเป็นห่วง เวสน่าซึ่งอยู่ในแนวหลังเมื่อทราบว่าเหตุการณ์ทั้งหมดกลับสู่สภาวะปกติแล้ว จึงลุกขึ้นเร่งฝีเท้าเข้าไปสมทบรวมกลุ่มกับผองเพื่อนอย่างร้อนรนใจทันที
ด้วยเหตุนี้ศึกระหว่างวลาดที่สามกับสมาชิกประกาศิตแห่งมังกรจึงต้องยุติลง โดยที่เจ้าชายแห่งวาลาเคียเป็นฝ่ายถอยร่นพร้อมทั้งสูญเสียอำนาจในการยึดครองร่าง รวมถึงความพยายามที่จะเอาชนะตนเองของเลวอนด้วย
“คุณเลวอน รู้สึกเจ็บหน้าอกรึเปล่าคะ?”
โมนิก้าซักถามอาการอีกฝ่ายด้วยความห่วงใย พ่อมดหนุ่มเงยหน้าสบสายตามองเด็กสาวร่างอรชรเพียงชั่วขณะหนึ่งก่อนจะแสดงสีหน้าอากัปกิริยาหวาดกลัว ถือเป็นครั้งแรกที่เขาเผยท่าทีดังกล่าวจนวัตสันและผองเพื่อนเองยังต้องประหลาดใจ
ทว่าเรื่องราวมันยังไม่จบลงอยู่เพียงแค่นั้น เลวอนกัดฟันเสียงดังกรอด พลันคว้ามีดสั้นที่ซ่อนอยู่ในซอกรองเท้าขึ้นมา นำสองมือหนาจับด้ามให้มั่นในลักษณะชี้ปลายแหลมคมเข้าหาตัวเอง พร้อมง้างอาวุธเตรียมแทงเข้าใส่กลางอกตนอย่างไม่รีรอ การกระทำสิ้นคิดดังกล่าวกำลังเป็นไปตามที่เขาเคยลั่นวาจาเอาไว้ต่อวลาดแล้ว
“อย่างน้อยก็กล้าพอที่จะปลิดชีพตัวเอง เพื่อไม่ให้คุณได้ใช้ร่างของผมไปก่อเรื่องตามอำเภอใจอีก และจะลงมือทำแน่ถ้าหากพวกพ้องของผมได้รับอันตรายจากคุณ”
ฮิคาริและผองเพื่อนเห็นดังนั้นจึงรีบส่งเสียง พยายามเข้าไปห้ามปรามเพื่อแย่งชิงมีดจากเลวอน
“อย่านะ!”
“Detrahere arma! (คาถาปลดอาวุธ) ”
สเตฟาเนียซึ่งอ่านสถานการณ์และสภาวะจิตใจของเลวอนออกตั้งแต่แรก รีบหยิบไม้กายสิทธิ์ร่ายเวทมนตร์ชี้ไปยังมีดที่อยู่ในมืออีกฝ่ายให้หลุดสะบัดออกไป แล้วเหวี่ยงมือขวาตบเข้าใส่ใบหน้าเขาดังฉาดเต็มแรง
เพียะ!
เลวอนได้แต่ตาโตตกตะลึง พลางยกมือสัมผัสบริเวณแก้มซ้ายที่แดงก่ำ ก่อนจะหันหน้าสบตามองเด็กสาวผมสีส้มด้วยความฉงนงงงวยต่อการกระทำของเธอ จนไม่อาจสาธยายความรู้สึกออกมาเป็นคำพูดได้อย่างชัดเจน
สเตฟาเนียเริ่มซักถามเขาด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ทว่าสีหน้าของเธอนั้นกลับแสดงให้เห็นถึงความไม่พอใจปนเศร้าสลดหดหู่ เพราะตนเองก็รู้สึกเจ็บปวดใจไม่แพ้กัน
“ได้สติกลับคืนมาแล้วหรือยังคะ ถ้าหากยังไม่เลิกคิดที่จะทำร้ายตัวเองอีกล่ะก็คราวนี้ฉันจะโกรธคุณจริง ๆ แล้วนะ”
“ต… แต่ผมทำให้ทุกคนได้รับบาดเจ็บ ทั้งที่สติของผมก็รับรู้ได้ถึงการกระทำของวลาด ความจริงผมควรรีบหยุดเขาให้ได้โดยเร็วแต่ก็ทำไม่สำเร็จ แล้วแบบนี้มันจะไปต่างอะไรกับการที่ผมเป็นคนลงมือทำร้ายพวกเธอเองกันล่ะ…!? ถ้าต้องเกิดเรื่องพรรค์นี้ขึ้นอีกล่ะก็สู้ลงมือฆ่าตัวตายไปเลยยังจะดีเสียกว่า!!”
เลวอนแผดเสียงพร้อมทั้งตัวสั่นเทา แสดงกิริยาท่าทีหวาดหวั่นสูญเสียความเยือกเย็นไปจนหมดสิ้น การกระทำตามอำเภอใจของเจ้าชายแห่งวาลาเคียส่งผลให้เกิดความเสียหายใหญ่หลวง ไม่ว่าจะเป็นสถานที่ หรือแม้กระทั่งพวกพ้องของตนเอง จึงไม่ใช่เรื่องแปลกหากเขาเกิดนึกชั่ววูบลงมือทำร้ายตัวเองเพื่อชดใช้ความผิดบาปเหล่านี้
โมนิก้าเห็นดังนั้นจึงรีบกุมมืออีกฝ่ายทั้งน้ำตาคลอ แล้วกล่าวปลอบโยนเพื่อฉุดให้เขาหลุดพ้นจากความสิ้นหวัง
“คุณเลวอนไม่ได้ทำร้ายพวกเราสักหน่อย วลาดต่างหากที่เป็นคนลงมือทำ…! ถึงแม้จะมีใครมองคุณในแง่ร้ายหรือถูกตีตราว่าเป็นตัวอันตรายยังไงก็ตาม แต่สำหรับฉันแล้วคุณยังเป็นพวกพ้องคนสำคัญอยู่เสมอนะคะ!”
“เฮ้ ๆ อย่าพูดเหมือนกับว่าฉันเป็นคนเลวแบบนั้นสิ ฉันเองก็ยังเห็นเลวอนเป็นเพื่อนอยู่เสมอนะ…! อีกอย่างเรื่องราวที่เกิดขึ้นมันเป็นเพราะเหตุสุดวิสัย เพราะงั้นนายเลิกโทษตัวเองสักทีเถอะ ถ้าหากยังมีความเป็นลูกผู้ชายพอและยังเห็นว่าพวกเราคือพวกพ้องของนายอยู่ล่ะก็…!”
อาเธอเรียทักท้วงต่อโมนิก้า ก่อนจะหันมาพูดคุยกับเลวอนเพื่อช่วยคลายความรู้สึกผิด วัตสัน อิทสึกิ เวสน่า ออเดรย์ คลาร่า ฮิคาริ โมนิก้า และสเตฟาเนียเองต่างเห็นพ้องคล้อยตามเธอ เพราะถ้าหากตนเองตกอยู่ในสถานการณ์ดังกล่าว พวกเขาก็คงไม่อาจควบคุมมันได้เฉกเช่นเดียวกัน
แต่ถึงกระนั้นเลวอนยังคงตำหนิตัวเองต่อไป เขาค่อย ๆ ก้มใบหน้าหลบสายตาเหล่าบรรดามิตรสหาย พลางกำหมัดที่วางอยู่บนหน้าตักเอาไว้แน่น ก่อนจะเอ่ยถ้อยคำตัดพ้อเจ็บปวดรวดร้าวใจออกมา
“ขอร้องล่ะทุกคน อย่าเข้ามาใกล้ผมตอนนี้เลย… ผมไม่อยากทำให้ใครต้องเจ็บปวดอีก ไม่อยากจะสูญเสียคนใกล้ชิดเหมือนเหตุการณ์ในครั้งนั้นอีกแล้ว เพราะงั้นได้โปรดช่วยปล่อยให้ผมอยู่ตัวคนเดียวต่อไปเถอะ…!”
โมนิก้ารีบโผเข้ากอดร่างสูงโปร่งพร้อมทั้งโน้มใบหน้าซุกลงกลางอกของเลวอน สเตฟาเนียเองก็ได้อ้าแขนเข้าโอบกอดเด็กหญิงร่างเล็กกับเด็กหนุ่มผมสีขาวโพลนเพื่อปลอบประโลมจิตใจ สิ่งที่สองยุวสตรีทำได้ในตอนนี้นอกเหนือจากคำพูดแล้ว ก็มีแค่เพียงการสัมผัสใกล้ชิดเท่านั้น เพื่อสื่อให้เห็นว่าทั้งคู่ยังคงยอมรับในตัวตนของเขาเหมือนเดิม
“ม… โมนิก้า? สเตฟก้า?”
เลวอนสะดุ้งตกใจเล็กน้อย ในขณะที่ออเดรย์และผองเพื่อนเองต่างก็รู้สึกอ้ำอึ้งไม่ต่างกัน พวกเธอทำได้แค่เพียงมองดูอย่างสลด ไม่อาจสรรหาคำพูดอื่นใดมาปลอบประโลมความเจ็บช้ำทางจิตใจของเขาได้อีก ทั้งโมนิก้า สเตฟาเนีย และอาเธอเรีย กล่าวในสิ่งที่ทุกคนต้องการจะสื่อออกไปจนหมดสิ้นแล้ว
“ไม่ได้หรอกค่ะ ขืนปล่อยให้รุ่นพี่เลวอนอยู่ตัวคนเดียวเดี๋ยวคุณก็แอบลงมือทำร้ายตัวเองอีก เดี๋ยวฉันกับโมนิก้า… ไม่สิ พวกเราจะคอยอยู่เคียงข้างจนกว่าคุณจะยอมให้อภัยตัวเองก็แล้วกันนะคะ”
สเตฟาเนียกล่าวน้ำเสียงนุ่มละมุน พร้อมนำมือขวาที่โอบกอดร่างของเลวอนอยู่ลูบแผ่นหลังปลอบโยนไปพลาง พ่อมดหนุ่มจึงไม่อาจสะกดกลั้นน้ำตาเอาไว้ได้อีก ก่อนจะเอ่ยถ้อยคำสำนึกผิดต่อผองเพื่อนทั้งเก้าชีวิตด้วยน้ำเสียงสะอึกสะอื้น
“ทุกคน… ผมขอโทษ…!”
เหล่าสมาชิกทีมประกาศิตแห่งมังกรยังคงคอยอยู่เคียงข้างเลวอนด้วยความเต็มใจ ท่ามกลายสายฝนโปรยปรายลงมา จนกระทั่งเมฆฟ้าครึ้มฝนเริ่มซาลงและปรากฏให้เห็นถึงแสงอัสดงอันอบอุ่นยามเย็น ราวกับว่าความหม่นหมองอันดำมืดที่กำลังสุมอกอยู่ค่อย ๆ ถูกปัดเป่าให้มลายหายไปหมดสิ้น
MANGA DISCUSSION