และแล้วบาดแผลจะลบเลือน - ตอนที่ 2 โศกนาฏกรรมธรรมดา
คิริโกะไม่มาที่สวนสาธารณะที่นัดไว้
เมื่อมองนาฬิกาจึงเห็นว่าเวลาผ่านไปยี่สิบสี่ชั่วโมงแล้ว หากรอนานไปกว่านี้ก็คงไม่มีความหมาย ผมลุกขึ้นจากที่นั่ง ทิ้งสนามเด็กเล่นที่เปลี่ยนแปลงไปจากเมื่อสิบปีก่อนโดยสิ้นเชิงไว้เบื้องหลัง ไม่ว่าจะม้านั่งสีหลุดลอก ชิงช้าไม่มีที่นั่ง หรือโครงเหล็กเด็กเล่นขึ้นสนิม
ท่ามกลางฝนเดือนตุลาคมเช่นนี้ ถึงจะกางร่มแล้ว แต่ตัวผมยังหนาวจับขั้วหัวใจ ทั้งเสื้อคลุมม็อดโค้ทที่ชุ่มน้ำ กางเกงยีนรัดขา รองเท้าเปื้อนโคลน ผมคิดว่าหากขับรถกลับไปคงจะดีกว่า เพราะถ้าจะขึ้นรถไฟกับรถบัสตามที่คิดไว้ทีแรกจะต้องรอจนเช้ากว่าจะออกตัว
ผมเดินจ้ำ ๆ แล้วเข้าไปในรถ ถอดเสื้อคลุมที่เปียกออกแล้วติดเครื่องยนต์เปิดฮีทเตอร์ หลังจากลมที่มีกลิ่นอับชื้นถูกเป่าออกมาได้สักยี่สิบนาที ภายในรถก็อุ่นขึ้น ผมนึกอยากหาเหล้ามากระแทกปากตอนที่เริ่มหายตัวสั่นแล้ว เหล้าเข้ม ๆ แรง ๆ เอามาดื่มให้เมามายหลุดโลกไปเลย
ผมแวะซื้อวิสกี้ขวดเล็ก ๆ กับถั่วอบแห้งรวมที่ซูเปอร์ฯ ที่ยังเปิดในยามวิกาลนี้ ระหว่างที่ต่อแถวรอคิดเงินหน้าแคชเชียร์นั้นมีผู้หญิงอายุยี่สิบปลาย ๆ ไม่ได้แต่งหน้ามาแซงคิว ไม่นานก็มีผู้ชายอีกคนที่ดูเหมือนแฟนของเธอตามมา ทั้งคู่มีกลิ่นน้ำหอมที่ยังใหม่ติดตัว สภาพเหมือนเพิ่งตื่นนอนมาและยังสวมรองเท้าแตะแบบลวก ๆ ผมคิดจะทักท้วงพวกเขา แต่สุดท้ายกลับไม่มีคำใดหลุดออกมาจากปากผม ได้แต่ก่นด่าตัวเองว่าขี้ขลาดอยู่ในใจ
ผมดื่มวิสกี้อย่างเอื่อยเฉื่อยอยู่ในรถที่จอดนิ่งในลานจอดรถ ปล่อยให้ของเหลวสีอำพันไหลผ่านคอร้อนผ่าวจนสติเริ่มรางเลือน เสียงเพลงยุค 60 ฟังดูกระท่อนกระแท่นที่ดังมาจากวิทยุกรปรกับเสียงฝนที่กระทบหลังคารถนั้นพาให้ใจสงบ แสงไฟในลานจอดรถสะท้อนวูบไหวในสายฝนพรำ
แต่เสียงเพลงก็ต้องจบลง เหล้าก็พร่องหาย และไฟก็ถูกปิด ทันทีที่ปิดวิทยุและหลับตาลง ความอ้างว้างรุนแรงก็เข้าถาโถม ผมอยากกลับไปที่อพาร์ตเมนต์นอนคลุมโปงไม่คิดถึงอะไรทั้งสิ้นเสียเดี๋ยวนั้น ความมืดมิด เงียบงัน โดดเดี่ยวที่เคยชอบหนักหนา ยามนี้กลับมากัดกินจิตใจของผม
แม้ตอนแรกจะไม่ได้หวังอะไร แต่ลึก ๆ ผมกลับหวังใจอยากจะเจอกับคิริโกะอีกครั้งมากกว่าที่คิดเสียอีก พอได้เมาแประอย่างนี้แล้วความรู้สึกที่แท้ของผมดูเด่นชัดกว่ายามปกติ นั่นสินะ ผมถูกทำร้ายด้วยความผิดหวังอย่างถึงที่สุดที่คิริโกะไม่มาปรากฏตัวที่สวนสาธารณะนั้น
เธอคนนั้นคงไม่ต้องการผมอีกต่อไปแล้ว
ผมคิด ว่าหากไม่นัดไปอย่างนั้นเสียตั้งแต่ทีแรกคงจะดีกว่า ตัวผมยังเป็นเศษสวะหลอกลวงไม่เอาไหนคนเดิมอยู่วันยังค่ำ ไม่ว่าผมจะอายุสิบเจ็ดหรือยี่สิบสองก็ตาม น่าเสียดาย ผมควรจะไปเจอเธอตอนที่เธอยังอยากเจอผมอยู่เสียด้วยซ้ำ
ผมกะจะหลับไปจนแอลกอฮอล์สิ้นฤทธิ์ แต่ก็เปลี่ยนใจเหยียบคันเร่งเคลื่อนรถออกมาจากลานจอดรถ รถมือสองคันเล็กนั้นครวญครางตามแรงเร่ง
เมาแล้วขับ
ผมรู้ว่ามันผิดกฎหมาย แต่ผมคิดเอาเองว่าคงไม่มีใครว่าอะไรหากจะทำผิดบ้างท่ามกลางฝนกระหน่ำที่ชวนให้ประสาทชา
ฝนค่อย ๆ ซาลง ผมเร่งความเร็วเพื่อขับไล่ความง่วงที่ตามมากับความเมา หกสิบ เจ็ดสิบ แปดสิบ และเร่งความเร็วอีกเมื่อมีเสียงครืนจากแต่ละแอ่งน้ำขังที่ผมขับผ่าน คงไม่ต้องห่วงว่าจะชนเข้ากับใครหรือรถคันไหนในถนนนอกเมืองกลางสภาพอากาศเช่นนี้
ถนนทอดยาวโดยมีเสาไฟส่องสว่างดูสูงเลียบตลอดสองข้างทาง ผมหยิบบุหรี่กับไฟแช็กขึ้นมาจุดสูบอยู่สามปื้ดแล้วโยนทิ้งออกหน้าต่างรถไป
ณ ตอนนั้นความง่วงงุนของผมถึงขีดสุด
ผมรู้สึกเหมือนสติของผมขาดหายไปเพียงหนึ่งถึงสองวินาทีเท่านั้น
แต่เมื่อรู้สึกตัวอีกทีก็สายไปเสียแล้ว รถของผมเฉเข้าไปยังอีกฝั่งถนน ไฟหน้าส่องสาดเข้าใส่เงาของคนที่อยู่ไม่กี่เมตรข้างหน้า
แวบหนึ่ง หลากหลายความทรงจำหลั่งไหลกลับเข้ามาในหัวของผม รวมไปถึงความทรงจำสมัยเด็กที่ลืมสิ้นไปนานแล้ว ลูกโป่งกระดาษสีฟ้าอ่อนที่คุณครูซึ่งจบจากวิทยาลัยมาใหม่ ๆ ทำให้ อีกาที่เห็นตรงระเบียงสมัยประถมในวันลาป่วยเพราะเป็นหวัด ร้านเครื่องเขียนทึม ๆ ที่ไปแวะระหว่างทางกลับบ้านหลังจากที่ไปเยี่ยมแม่ที่ป่วยเข้าโรงพยาบาลมา ฯลฯ
นี่คงเป็นภาพย้อนอดีตก่อนตายละมั้ง ผมขุดคุ้ยหาทุกความทรงจำทุกอย่างที่มีตลอดยี่สิบสองปีที่ผ่านมาเพื่อค้นหาความรู้หรือประสบการณ์ที่พอจะช่วยให้รอดพ้นจากอุบัติเหตุได้
เบรกกรีดเสียงแหลมสูง ไม่ทันแล้วแน่ละ ผมยอมแพ้แล้วหลับตาลง
แ̶ล̶ะ̶ช̶น̶เ̶ข̶̶้า̶ก̶ั̶บ̶ร̶̶่า̶ง̶ต̶ร̶ง̶ห̶น̶̶้า̶เ̶ต̶็̶ม̶แ̶ร̶ง̶
ทว่า ไม่มีการชนเกิดขึ้น ชั่ววินาทีผ่านไปนานราวชั่วนิรันดร์ ผมหยุดรถลงมาสำรวจด้วยความประหวั่นใจ แต่กลับไม่พบสักคนที่น่าจะล้มอยู่ในบริเวณที่ไฟหน้าส่องอยู่นี้
เกิดอะไรขึ้นกันแน่
ผมเปิดไฟฉุกเฉินหลบเข้าข้างทางแล้วมาดูหน้ารถซึ่งยังสมบูรณ์ไม่บุบบี้ ถ้าชนคนเข้าจริง ๆ ก็น่าจะทิ้งร่องรอยอะไรไว้บ้าง ผมสำรวจรอบ ๆ รถอีกครั้ง เมื่อก้มมองใต้รถก็ไม่เจอศพที่น่าจะทับมา ใจผมเริ่มเต้นโครมคราม
ผมยืนนิ่งงันกลางสายฝน เสียงเตือนประตูรถที่เปิดทิ้งไว้ยังคงดังไม่หยุด
“หลบทันเหรอเนี่ย” ผมพึมพำกับตัวเอง
ผมอาจจะหักหลบพวงมาลัยทันโดยไม่ทันรู้ตัว หรือคนนั้นหลบได้ฉิวเฉียดแล้วหนีไปพอดีทั้งอย่างนั้น
หรือทั้งหมดนั้นเป็นเพียงภาพหลอนจากความเมากับความล้าของผม
ผมไม่ได้ชนคนตาย ผมรอดแล้วใช่มั้ย
กระทั่งมีเสียงหนึ่งดังมาจากด้านหลังของผม
“ไม่ทันสักหน่อยค่ะ”
เมื่อหันไปมองก็เห็นเด็กผู้หญิงคนหนึ่งใส่เสื้อเบลเซอร์สีเทากับกระโปรงลายสก็อตคล้ายเพิ่งเลิกเรียนมา อายุประมาณสิบเจ็ด เตี้ยกว่าสักสองเท่าของขนาดใบหน้าของผม ยืนตากฝนจนผมเปียกปรกหน้าเธอ
เพียงน้ำฝนพรำก็ไม่อาจลดทอนความสวยของเธอได้ เป็นความสวยงามที่เมื่อเปียกน้ำแล้วน่าดึงดูดด้วยซ้ำไป
ก่อนที่ผมจะทันได้ถามว่า “ไม่ทันสักหน่อยค่ะ” ที่ว่านั้นคืออะไร เธอถอดกระเป๋าสะพายจากไหล่ทั้งสองข้างแล้วกระแทกเข้ากับหน้าผมถูกเข้าจมูกเต็มแรงจนวิสัยทัศน์ของผมเลือนราง ร่างของผมซวนเซล้มหงายหลังลงในแอ่งน้ำขังทำให้เสื้อคลุมเปียกโชกไปทั้งตัว
“ไม่ทันนะคะ ฉันน่ะตายไปแล้วค่ะ” เธอคร่อมตัวผมแล้วกระชากคอเสื้อ “ทำอะไรลงไปคะ แล้วจะทำยังไงต่อคะ”
เด็กสาวใช้มือขวาตบหน้าผมในขณะที่ผมกำลังจะเปิดปากพูด และตบซ้ำสอง ซ้ำสาม จนผมรู้สึกได้ถึงเลือดกำเดาที่ไหลออกมา แต่ผมไม่มีสิทธิ์โต้แย้งอะไรทั้งนั้น
‘เพราะผมฆ่าเธอไปแล้ว’
คนที่ผมฆ่ายังคงต่อยตีผมอยู่อย่างนี้ได้ก็จริง แต่ในเมื่อผมขับรถมาชนด้วยความเร็วกว่าแปดสิบ ทั้งความเร็วกับระยะขนาดนั้น ยังไงก็คงไม่ทัน
เธอกำหมัดแล้วชกเข้าที่หน้ากับหน้าอกผมอยู่หลายครั้ง กระดูกที่กระทบกันทำให้ผมรู้สึกไม่ค่อยดี ต่อให้ตรงที่ถูกต่อยนั้นไม่ค่อยเจ็บก็ตาม เด็กสาวไอคอกแคกดูหอบเหนื่อย สุดท้ายจึงยอมเลิกตี
ฝนยังคงเทลงมาไม่หยุด
“เอ้อ บอกกันหน่อยได้มั้ยว่าเกิดอะไรขึ้น” ผมอุทธรณ์ รสฝาดของเลือดจากแผลปากแตกถูกเข้ากับลิ้นผม “ผมอาจจะฆ่าเธอไปแน่ละ แต่ทำไมยังมาตีผมอย่างนี้ได้เหมือนไม่บาดเจ็บอะไรเลยล่ะ รถผมก็ไม่มีรอยอะไรเลยนะ”
ถ้าเธอย่ำตัวผมสุดแรงเกิดไปเลยยังจะเจ็บน้อยกว่า แต่เธอยืนขึ้นแล้วเตะเข้าที่สีข้างผมแทนที่จะตอบ ทุกอวัยวะภายในเจ็บเหมือนโดนเหล็กเสียดแทง เจ็บจนเหมือนปอดรั่วยังไงยังงั้น
ผมหายใจไม่ออกไปชั่วขณะหนึ่ง เด็กสาวดูพอใจทีเดียวที่ได้เห็นผมนอนไองอตัวเป็นกุ้งด้วยความทรมานจนเธอยอมรามือ
ผมนอนแผ่หลาปล่อยให้ฝนสาดจนความเจ็บปวดชาลงไป เอาแต่เหม่อมองมือเธอที่ผมไม่รู้ว่ายื่นมาทำไม “จะนอนอย่างนั้นไปจนถึงเมื่อไหร่คะ รีบลุกขึ้นมาได้แล้ว” และเธอยังเสริมอีกว่า
“อย่างน้อย ๆ ก็พาไปส่งที่บ้านด้วยสิคะ คุณฆาตกร”
“…อ้อ ได้สิ”
ผมจับมือที่ยื่นมาเอาไว้
ฝนตกหนักลงมาอีกครั้ง เสียงราวกับมีนกมากมายหลายตัวกำลังจิกหลังคา
เธอถอดเสื้อเบลเซอร์ซึ่งเปียกฝนไว้ที่เบาะหลังหลังจากเธอเข้ามานั่งตรงที่นั่งข้างคนขับแล้วคลำหาปุ่มเปิดไฟในรถ
“ขอเปิดไฟหน่อยนะคะ แล้วก็ ดูนี่สิคะ”
เธอพูดพลางยื่นมือมาให้ผมดู
และผมก็เห็นแผลสีม่วงจางบนมือสวยนั้น คล้ายเป็นรอยแผลเป็นจากการถูกของมีคมบาดที่ผ่านมาหลายปีมากกว่าที่จะเป็นผลจากการถูกรถชนเมื่อครู่
เด็กสาวคงเห็นท่าทีงงงันของผมจึงพูดต่อ
“เป็นแผลเมื่อห้าปีที่แล้วน่ะค่ะ …รายละเอียดที่เหลือลองคิดต่อนะคะ คุณน่าจะพอเข้าใจ”
“ไม่เข้าใจ ไม่สิ งงกว่าเดิมอีก เกิดอะไรขึ้นกันแน่”
เธอถอนหายใจด้วยความเหนื่อยหน่าย
“สรุปก็คือ ฉันสามารถทำให้เรื่องที่เคยเกิดขึ้นเป็น ‘เรื่องที่ไม่เคยเกิดขึ้น’ ได้ค่ะ”
‘เรื่องที่ไม่เคยเกิดขึ้น’ เหรอ
ผมพิจารณาคำพูดของเธอดู แต่ก็ไม่เข้าใจอะไรสักอย่างอยู่ดี
“อธิบายง่าย ๆ หน่อยได้มั้ย ที่บอกเมื่อกี้คือการเปรียบเทียบหรือเปล่า”
“ไม่ใช่ค่ะ ฉันทำให้เรื่องที่เคยเกิดขึ้นเป็น ‘เรื่องที่ไม่เคยเกิดขึ้น’ ได้ ความหมายตรงตัวเลย”
ผมเกาคอแกรก ๆ ยิ่งคิดตามความหมายตรงตัวยิ่งทำให้ไม่เข้าใจไปกันใหญ่
“ไม่แปลกหรอกค่ะที่จะไม่เชื่อ เพราะฉันเองก็ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าทำได้ยังไงกัน”
เธอพูดพร้อมลากนิ้วไปตามรอยแผลบนมือช้า ๆ
“อย่างที่บอก ฉันได้แผลนี้มาเมื่อห้าปีก่อน แล้วฉันก็ทำให้ ‘แผลนี้’ กลายเป็น ‘เรื่องที่ไม่เคยเกิดขึ้น’ ไปแล้ว แต่ฉันเอาแผลกลับมา จะได้ใช้อธิบายให้ฟัง”
กลายเป็น ‘เรื่องที่ไม่เคยเกิดขึ้น’ เหรอ
ช่างเป็นเรื่องที่เหนือความเป็นจริงเหลือเกิน ไม่มีมนุษย์คนไหนหรือวิทยาการใดที่จะเปลี่ยนเรื่องที่เคยเกิดขึ้นกับตัวให้กลายเป็นเรื่องที่ไม่เคยเกิดขึ้นหรอก
แต่ก็ไม่มีอะไรมาอธิบายสิ่งที่เกิดขึ้นกับผมในตอนนี้ได้แล้ว เช่น การที่เธอยังมาอยู่ต่อหน้าผมได้โดยไม่ถูกรถชน หรือการที่อยู่ ๆ มือเธอก็มีแผลขึ้นมา
ราวกับเวทมนตร์ที่หลุดมาจากนิทาน แต่คงต้องยอมเชื่อที่เธอบอกไปก่อนเพราะไม่มีคำอธิบายอื่นใดที่ฟังดูสมเหตุสมผลแล้ว เธอใช้เวทมนตร์เปลี่ยนสิ่งที่เคยเกิดขึ้นกับตัวให้กลายเป็น ‘เรื่องที่ไม่เคยเกิดขึ้น’ ได้
“ถ้างั้นก็แปลว่าเธอทำให้อุบัติเหตุเมื่อกี้กลายเป็น ‘เรื่องที่ไม่เคยเกิดขึ้น’ สินะ”
“ใช่แล้วค่ะ ถ้าไม่เชื่อ เดี๋ยวจะพิสูจน์อะไรให้ดูอีกอย่างนะคะ”
เธอเลิกแขนเสื้อขึ้น
“ไม่ต้อง ๆ เชื่อแล้ว” ผมแทรก “มันดูเหลือเชื่อมาก…มาก ๆ แต่ก็ต้องเชื่อแล้วละ ในเมื่อมันมาเกิดต่อหน้าต่อตาขนาดนี้ แต่ถ้าอุบัติเหตุนั้นกลายเป็น ‘เรื่องที่ไม่เคยเกิดขึ้น’ ไปแล้ว ทำไมความทรงจำของผมยังเหมือนเดิมว่า ‘ชนเธอไปแล้ว’ กันล่ะ”
เด็กสาวห่อไหล่ “ไม่รู้สิคะ ฉันก็อยากรู้เหมือนกันเพราะฉันก็ยังควบคุมพลังได้ไม่เต็มที่”
“แล้วอีกอย่าง ที่บอกแบบนั้นทีแรกเพราะไม่อยากเล่ายืดเยื้อใช่มั้ย เพราะเอาเข้าจริง ๆ เธอก็แก้ไขทุกอย่างให้กลายเป็น ‘เรื่องที่ไม่เคยเกิดขึ้น’ ไม่ได้หรอก ไม่งั้นเมื่อกี้คงไม่โกรธกันขนาดนั้น”
“…ค่ะ ถูกต้องแล้วค่ะ” เธอพยักหน้าเศร้า ๆ “พลังของฉันใช้ได้ชั่วคราวเท่านั้น ถ้าเวลาผ่านไปอีกสักระยะ ‘เรื่องที่ไม่เคยเกิดขึ้น’ ก็จะกลับมาเกิดอีกครั้งค่ะ พูดง่าย ๆ ก็คือ พลังของฉันเป็นการ ‘เลื่อนเวลา’ ของเหตุการณ์ออกไปเท่านั้นค่ะ”
‘เลื่อนเวลา’ งั้นเหรอ เข้าใจที่โมโหใส่ตอนนั้นแล้วละ เธอไม่ได้รอดมาจริง ๆ เพียงแต่ยั้งความตายที่สุดท้ายก็ต้องเผชิญเอาไว้เท่านั้น
ถ้าลองคิดต่อ อย่างน้อย ๆ ก็คงจะเลื่อนเวลาออกไปได้สักห้าปี ทว่าเด็กสาวเหมือนอ่านความคิดผมได้ เธอจึงอธิบายอีก
“จะบอกให้ว่าที่ฉันเลื่อนเวลาแผลนี่มาได้ห้าปีเพราะมันไม่ได้เป็นเหตุการณ์เสี่ยงเป็นเสี่ยงตายนะคะ ฉันจะเลื่อนเวลาเหตุการณ์ออกไปได้นานตามความปรารถนาของฉันที่อยากเลื่อน ส่วนความร้ายแรงของเหตุการณ์จะเป็นตัวบั่นทอนเวลาที่ฉันจะเลื่อนได้”
“แล้วเธอเลื่อนเวลาอุบัติเหตุวันนี้ออกไปได้กี่วันล่ะ”
“…ถ้าตามความรู้สึกฉัน เต็มที่ก็สิบวันมั้งคะ”
สิบวัน
ที่หลังจากนั้นเธอก็จะตาย ส่วนผมจะกลายเป็นฆาตกร
การที่เด็กสาวผู้ประสบอุบัติเหตุกำลังคุยกับผมอยู่ตรงนี้ทำให้รู้สึกเหมือนไม่ได้อยู่ในโลกความเป็นจริงเลย ผมยังแอบหวังว่าทั้งหมดนี้จะเป็นเพียงฝันร้ายเท่านั้น เพราะผมฝันอยู่นับครั้งไม่ถ้วนว่าผมทำให้คนอื่นต้องประสบกับความลำบากแสนสาหัสด้วยความประมาทของผม และสิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้ก็คงเป็นเพียงฝันเหล่านั้นฝันหนึ่งเท่านั้น
ผมขอโทษไปก่อน
“ขอโทษนะ จะให้ชดใช้ยังไงดี…”
“ไม่ต้องหรอกค่ะ ขอโทษไปความผิดคุณก็ไม่ได้หาย ฉันก็ไม่ได้ชีวิตกลับมา” เธอพูดอย่างไม่ยี่หระ “แต่พาฉันกลับบ้านก่อนเถอะค่ะ”
“…อือ”
“ขับดี ๆ ด้วยนะคะ ฉันโกรธแน่ถ้าขับไปชนใครเข้าอีก”
ผมขับรถไปตามที่เธอบอก เสียงเครื่องยนต์เริ่มรู้สึกหนวกหูกว่าปกติ ผมกลืนน้ำลายอยู่หลายครั้งพร้อมกับรสเฝื่อนจากเลือดที่ไม่จางไป
เด็กสาวบอกว่าเธอค้นพบพลังลึกลับนี้เมื่อตอนแปดขวบ
เธอเห็นแมวสีเทาที่เธอสนิทด้วยถูกรถชนตายอยู่บนถนนระหว่างทางกลับบ้านหลังเลิกเรียนเปียโน คงเป็นแมวของใครสักคน เป็นมิตรมาก กวักมือเรียกก็มาหา ยอมให้ลูบง่าย ๆ และยังไม่ขู่ฟ่อ ๆ ใส่ด้วย เป็นหนึ่งในเพื่อนสนิทไม่กี่คนของเธอ
แมวตัวนั้นต้องตายอย่างทารุณ เลือดบนถนนที่เริ่มแห้งกลายเป็นสีดำ ส่วนที่กระเด็นไปถูกราวกั้นข้างถนนยังเป็นสีแดงสด
เธอได้แต่เบือนหน้าหนีเพราะไม่กล้าพอที่จะเก็บศพของมันไปฝัง ในขณะที่เธอกำลังวิ่งกลับบ้านนั้นเอง เธอก็ได้ยินเพลง My Wild Irish Rose (กุหลาบไอริชป่าของฉัน) ซึ่งเหมือนเสียงที่เล่นจากกล่องดนตรี
นับแต่นั้นเธอก็ได้ยินเพลงที่ว่าอีกหลายครั้ง เพลงนั้นจะดังขึ้นในหัวเธอทุกครั้งที่เธอ ‘เลื่อนเวลา’ สำเร็จ และเมื่อเพลงจบลง เหตุการณ์ร้าย ๆ ทั้งหลายก็จะกลายเป็น ‘เรื่องที่ไม่เคยเกิดขึ้น’
หลังจากที่ทำการบ้านและกินข้าวเย็นที่ห่อพลาสติกเอาไว้เสร็จเรียบร้อยแล้วเธอก็คิด “แมวตัวนั้นจะเป็นตัวเดียวกันกับแมวที่เคยรู้จักจริง ๆ น่ะเหรอ” ลึก ๆ เธอรู้ว่าใช่ตัวเดียวกันจริง ๆ เพียงแต่อีกใจนั้นไม่อยากยอมรับความจริง
เด็กสาวจึงใส่รองเท้าแตะแล้วออกจากบ้านไป แต่เมื่อไปถึงที่ที่เห็นแมวตายเมื่อตอนกลางวันแล้วกลับไม่พบทั้งร่างของมันหรือแม้แต่คราบเลือดก็ตาม เธอสันนิษฐานไปต่าง ๆ นานา อย่างเช่น มีคนเอาไปจัดการให้แล้วหรือ หรือเอาไปเก็บแล้วเพราะทนดูไม่ได้ แต่เธอยังคงรู้สึกแปลก ๆ กับภาพตรงหน้าที่เหมือนกับว่าไม่เคยมีแมวตายหรือรอยเลือดมาก่อนด้วยซ้ำ เธอยืนงงงันนึกสงสัยในความทรงจำและสติสัมปชัญญะของตัวเองอยู่ที่เดิม
ไม่กี่วันให้หลังแมวสีเทาตัวนั้นก็กลับมา เธอทาบอกด้วยความโล่งใจว่าคงจำผิดไป มันเดินเข้ามาหาอย่างเอื่อยเฉื่อยตามที่เธอกวักมือเรียก ทว่าตอนที่เธอกำลังยื่นมือจะไปลูบหัวมันนั้น ความเจ็บปวดหนึ่งก็แล่นเข้ามาจากหลังมือ เมื่อชักมือกลับด้วยความตกใจก็พบกับรอยข่วนที่นิ้วก้อยของเธอเป็นทางยาว
เธอรู้สึกเหมือนถูกทรยศ
หนึ่งสัปดาห์ผ่านไปแล้ว แต่รอยข่วนนั้นยังไม่หาย ซ้ำยังออกอาการบวมแดง ตามด้วยไข้ที่ขึ้นสูงกับความคลื่นเหียน เธอคิด ว่าแมวตัวนั้นคงจะติดเชื้อโรคหนึ่งที่เธอจำชื่อไม่ได้ด้วยซ้ำมา รู้เพียงว่าจะเกิดกับแมวหนึ่งในสิบตัวเท่านั้น และเชื้อโรคที่ว่าก็คงจะเข้ามาทางรอยข่วนนั้น
ไข้ยังคงไม่ลดลง ทั้งตัวอ่อนล้าหมดแรง และยังมีอาการปวดตามข้อต่อและต่อมน้ำเหลือง
ไม่นานนักเธอก็เริ่มคิดว่า ‘ถ้าฉันไม่ได้จำผิดแล้วแมวสีเทาตัวนั้นโดนรถชนไปจริง ๆ ละก็’ ถ้าแมวตัวนั้นตายไปเสียอย่างเธอก็คงไม่ต้องทนทรมานอย่างนี้
ไข้ของเธอหายเป็นปลิดทิ้งเมื่อตื่นขึ้นมาอีกครั้ง ไม่มีอาการคลื่นไส้ สุขภาพสมบูรณ์ดีทุกอย่าง
“ไข้น่าจะหายแล้วนะคะ”
แม่ของเธอเอียงคอด้วยความสงสัยเมื่อได้ยินที่เธอพูด
“ลูกไข้ขึ้นเหรอ”
เด็กสาวไม่เข้าใจในสิ่งที่แม่ถาม ในเมื่อไม่กี่วันก่อนเธอได้แต่นอนซมอยู่อย่างเดียว เมื่อเธอนึกย้อนไปถึงเหตุการณ์เมื่อวานกับวานซืนเพื่อจะตอบ…เธอพบอีกความทรงจำหนึ่งที่ไม่ใช่เธอที่นอนซมตอนนั้น
เป็นความทรงจำที่เธอได้ไปโรงเรียนเมื่อวาน เมื่อวานซืน และตลอดหนึ่งเดือนที่ผ่านมาโดยไม่ขาดเรียน จำได้ทั้งเนื้อหาที่เรียน หนังสือที่อ่านตอนพักเที่ยง และข้าวเที่ยงของโรงเรียน
และเธอก็สับสนอย่างหนัก เมื่อวานฉันนอนอยู่ที่บ้านทั้งวัน เมื่อวานฉันไปโรงเรียน ไปเรียนวิชาเลข ภาษาญี่ปุ่น ศิลปะ พละ และสังคม เป็นความทรงจำที่ขัดแย้งกันเอง
เมื่อมองมือก็ไม่พบแผลแล้ว แต่ไม่ใช่ความรู้สึกที่ว่าแผลนั้นหายไปตามธรรมชาติ แผลนั้นหายไปโดยสิ้นเชิง ไม่สิ เธอคิด ไม่ได้มีแผลอะไรมาตั้งแต่แรกแล้วนี่ แมวที่ตายไปตอนนั้นน่ะคือแมวที่รู้จัก และคงไม่ไปข่วนใครหรอก
เธอทึกทักเอาเองว่าตัวเธอยืดเวลาชีวิตของแมวตัวนั้นที่ควรจะตายเอาไว้ชั่วขณะได้แล้ว เพราะภาวนาไม่อยากให้แมวสีเทาตัวนั้นตาย เหตุการณ์ที่ “แมวถูกชน” ก็กลายเป็น ‘เรื่องที่ไม่เคยเกิดขึ้น’ ไปชั่วคราว แต่พอถูกแมวข่วนแล้วไม่สบายแล้วคิดไปว่า “ถ้าแมวอย่างนั้นตายไปได้ก็คงดี” คำขอนั้นจึงไปลบล้างคำขอแรกแล้วทำให้อุบัติเหตุรอบแรกกลายเป็น ‘เรื่องที่เกิดขึ้น’ อีกครั้ง รอยข่วนถึงได้หายไป
ข้อสันนิษฐานของเธอถูกเผงทีเดียว วันถัดมาเธอจึงไปดูที่เกิดเหตุแมวถูกชนให้แน่ใจอีกครั้ง คราบเลือดกลับมาเช่นเดิมดังคาด หมายความว่าอุบัติเหตุเกิดขึ้นไปแล้ว และการทำให้เป็น ‘เรื่องที่ไม่เคยเกิดขึ้น’ ก็คงเป็นเพียงการเลื่อนเวลาไปชั่วคราวเท่านั้น
นับแต่นั้นมา ทุกครั้งที่มีเรื่องร้าย เธอจะเปลี่ยนให้กลายเป็น ‘เรื่องที่ไม่เคยเกิดขึ้น’ เสมอ เธอคิด ว่าคงเพราะชีวิตเธอมีหลายอย่างที่อยากให้กลายเป็น ‘เรื่องที่ไม่เคยเกิดขึ้น’ เธอเลยได้รับพลังนี้มา
เหล่านั้นเป็นเรื่องที่เด็กสาวเล่าไม่นานนักหลังจากนั้น
ระหว่างที่หยุดรถรอไฟจราจรตรงทางแยก เธอหันหน้ามองไปนอกหน้าต่างรถแล้วเปรยว่า
“มีกลิ่นแปลก ๆ นะคะ”
“กลิ่นเหรอ”
“เมื่อกี้ฝนตกเลยไม่ทันสังเกต แต่ว่า…คุณดื่มมาใช่มั้ยคะ”
“อ้อ อืม”
ผมตอบส่ง ๆ
“เมาแล้วขับเหรอคะเนี่ย” เธอพูดด้วยความระอา “อย่าบอกนะคะว่าคิดว่า แค่ฉันคนเดียวไม่เป็นไรหรอก น่ะ”
ผมไม่มีคำตอบ ผมเข้าใจว่าการเมาแล้วขับมีความเสี่ยงก็จริง แต่ในความคิดผมก็เป็น ‘ความเสี่ยง’ ที่จะถูกตำรวจจับเป่าเครื่องวัดแอลกอฮอล์หรือขับรถลงข้างทางแล้วตัวเองเจ็บตัวเท่านั้น เหตุการณ์ที่จะมีคนตายก็คงเป็นการปล้นธนาคารหรือปล้นรถโดยสารอะไรทำนองนั้น ซึ่งตัวผมไม่ข้องเกี่ยวด้วยอยู่แล้ว
“แยกข้างหน้าเลี้ยวซ้ายนะคะ” เธอสั่ง
ตอนนี้ผมขับรถเข้ามายังถนนเลียบภูเขาที่ไม่มีแสงไฟแล้ว หลังจากเหลือบมองที่หน้าปัดก็พบว่าเข็มความเร็วไม่พ้นสามสิบด้วยซ้ำ และจู่ ๆ ขาก็เกร็งขึ้นมาตอนที่คิดจะเหยียบคันเร่ง ผมยังเร่งความเร็วต่อด้วยความแปลกใจ ฝ่ามือทั้งสองข้างมีเหงื่อออกมากผิดปกติ
ผมถอนคันเร่งเมื่อเห็นแสงไฟส่องจากรถอีกคันที่วิ่งสวนมา แม้รถคันนั้นจะผ่านไปแล้ว ผมยังคงลดความเร็วลงเรื่อย ๆ จนรถหยุดนิ่ง ใจกลับมาเต้นโครมครามอีกครั้ง เหงื่อกาฬเริ่มผุดพรายตามข้างลำตัว เหมือนกับตอนที่เกิดอุบัติเหตุเมื่อครู่ พอจะเหยียบคันเร่งอีกครั้งขาก็แข็งขยับไม่ได้ ‘ความรู้สึกนั้น’ ก่อนจะชนเธอกลับมาหลอกหลอน
“หรือว่า” เธอทัก “เพราะชนฉันเลยไม่กล้าขับรถอีกคะ”
“คงงั้นมั้ง จบสิ้นแล้วละ”
“สมน้ำหน้า”
ไม่ว่าจะลองอีกสักกี่ครั้ง ระยะที่ทำได้ก็แทบไม่กระเตื้องจนหยุดชะงักอีกรอบ ผมขับรถมาจอดรถที่ไหล่ทาง เมื่อที่ปัดน้ำฝนหยุดทำงานน้ำฝนจำนวนมากก็ไหลอยู่นอกกระจกรถ
“‘โทษทีนะ คงต้องพักรอสักหน่อยกว่าผมจะขับรถได้อีกรอบ”
ผมพูดจบก็ปลดเข็มขัดนิรภัยออก เอนเบาะแล้วหลับตา
ไม่นานผมก็ได้ยินเสียงขยับตัวแล้วเอนเบาะลงตาม คงไม่อยากนอนหันมาทางผมละมั้ง
ความเสียใจค่อย ๆ คืบคลานเข้ามาในความมืด ผมตำหนิตัวเองถึงสิ่งที่ทำลงไปและไม่อาจย้อนคืนได้อีก
เป็นความสำนึกเสียใจต่อทุกอย่าง ที่ทำผิดพลาดโดยการเหยียบคันเร่งไปตอนนั้น ที่ทำผิดพลาดโดยการเมาแล้วขับ ที่ทำผิดพลาดโดยการไปดื่มในเวลาแบบนั้น ไม่สิ ทำผิดพลาดไปตั้งแต่ที่จะไปพบคิริโกะแล้ว
คนอย่างผมควรจะอยู่ในห้องอึมทึมซึมเศร้าอยู่คนเดียว อย่างน้อยก็ไม่ต้องไปเป็นภาระให้ใคร
ผมทำชีวิตของเธอพังไปแล้ว
ผมถามเด็กสาวเพื่อเบนความสนใจของตัวเอง
“นี่ แล้วนักเรียน ม. ปลาย อย่างเธอมาเดินอะไรที่เปลี่ยว ๆ อยู่คนเดียวแบบนั้น”
“ก็เรื่องของฉันสิคะ” น้ำเสียงเธอเย็นเยือก “หรือคุณจะบอกว่าอุบัติเหตุนั้นฉันเป็นฝ่ายผิดเหรอคะ”
“เปล่าหรอก ไม่ได้จะบอกแบบนั้น แค่…”
“คนที่เลินเล่อแล้วไม่ระวังตัวจนทำคนอื่นตายไม่มีสิทธิ์พูดแบบนั้นนะคะ คุณฆาตกร”
ผมถอนหายใจแรง หันไปฟังเสียงฝนที่ยังตกอยู่ ผมรู้สึกถึงความล้าที่อัดแน่นในร่างกายของผมตอนที่ผมพลิกตัวไปด้านข้าง แอลกอฮอล์ที่คงค้างในตัวพาให้สติพร่าเลือน
ผมหวังใจว่าทุกอย่างจะกลับเป็นดังเดิมเมื่อลืมตาตื่น
เสียงสะอึกสะอื้นของเธอแว่วมาในห้วงสติที่ขาดหายของผม
ผมได้ไปอาร์เคตตอนกลางดึกคืนหนึ่ง แน่ละ มันคือฝัน เพดานมีคราบบุหรี่เขรอะจนเป็นสีเหลือง ตามพื้นมีแต่รอยไหม้ หลอดไฟต่างติด ๆ ดับ ๆ มีตู้อัตโนมัติวางเรียงรายกันอยู่สามตู้ มีสองตู้ที่มีกระดาษที่มีลายมือยุกยิกอ่านได้ว่า “ชำรุด” แปะอยู่ ตู้เก่าคร่ำเหล่านั้นไม่มีตู้ใดที่มีแสงไฟเปิดอยู่เลยสักตู้เดียว มีเพียงความเงียบสงัดที่ปกคลุมบริเวณ
“ผมชนเด็กผู้หญิงมา” ผมพูด “ความเร็วขนาดนั้นยังไงไม่มีโอกาสรอด เบรกก็ช่วยไม่ได้เพราะฝนตกอีก ผมคงจะกลายเป็นฆาตกรไปแล้วละ”
“งั้นหรอกเหรอ แล้วตอนนี้รู้สึกยังไงบ้างล่ะ”
ชินโดถามด้วยความอยากรู้อยากเห็นพลางนั่งสูบบุหรี่อยู่บนเก้าอี้สตูลที่บุหุ้มขาดวิ่น ข้อศอกยันอยู่กับตู้หนึ่งเอาไว้ ความตรงไปตรงมาไม่เกรงใจเช่นนี้ของเขาชวนให้หวนถวิล ทำให้ผมคลี่ยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัว ชินโดก็เป็นแบบนี้แหละ ข่าวดีของคนอื่นคือข่าวร้ายของเขา และข่าวร้ายของคนอื่นคือข่าวดีของเขา
“ก็รู้สึกแย่ที่สุดเลยละ แค่คิดว่าต้องไปรับโทษแบบไหนยังไงบ้างก็อยากตายแล้ว”
“ไม่เห็นต้องคิดมาก แกมี ‘ชีวิต’ ให้เสียด้วยเหรอ แต่ละวันก็เห็นใช้ชีวิตไม่ต่างอะไรกับคนตายอยู่แล้วนี่ ไม่รู้จะอยู่ไปทำไม ไม่มีเป้าหมายอะไรในชีวิต อะไรในชีวิตก็ไม่เอนจอยสักอย่าง”
“ก็ถึงอยากให้มันจบ ๆ ไปเลยไง …ถ้าผมตายตามชินโดไปเลยก็คงจะดี เพื่อนตายไปทั้งคน ตอนนั้นจะฆ่าตัวตายเลยก็ยังได้”
“พอเหอะ จะอ้วก ทำอย่างกับพวกคนรักที่จะตายตามกันงั้นแหละ”
“ก็คงงั้นมั้ง”
เสียงหัวเราะของพวกผมดังก้องไปทั่วอาร์เคตอันเงียบงัน
พวกผมหยอดเหรียญตู้เกมโทรม ๆ แล้วเล่นเกมเก่า ๆ แข่งกัน ผมแพ้สองต่อสามตา พอมาคิดเรื่องความต่างของฝีมือแล้วก็นับได้ว่าสูสีทีเดียว ชินโดเป็นคนที่ถ้าให้ทำอะไรแล้วก็จะทำได้ดีเสมอ เรียนรู้อะไรหลายอย่างได้เร็ว
แต่เอาเข้าจริง ๆ แล้วเขาก็ไม่ได้เก่งอะไรเลยสักด้าน บางที เขาคงจะกลัว กลัวแทบตายว่าสักวันถ้าทุ่มเทกับอะไรสักอย่างไปแล้ว จะมีสักครั้งที่คิดว่า ‘นี่ฉันทำอะไรอยู่กันแน่’ ถึงได้ไม่ตั้งมั่นยึดติดกับสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ผมเองก็อยากเป็นเช่นนั้น
และคงด้วยเหตุนั้น ชินโดถึงได้ชอบอะไรที่ดูไร้สาระไม่เข้าทีมาตั้งแต่ต้น เกมเก่า ๆ ย้อนยุค เครื่องดนตรีที่ใช้ไม่ได้ วิทยุหลอดสุญญากาศอันเขื่อง ผมชอบความไร้สาระเหล่านั้นของเขามาก
ชินโดลุกจากเก้าอี้แล้วซื้อกาแฟมาสองกระป๋องจากตู้อัตโนมัติ เขายื่นกระป๋องหนึ่งมาให้ผมแล้วบอก
“เออ มีเรื่องจะถามมิซูโฮะอย่าง”
“อะไรล่ะ”
“อุบัติเหตุนั้นมันเลี่ยงไม่ได้เลยจริง ๆ เหรอ”
ผมไม่เข้าใจว่าจะถามไปทำไม “หมายความว่าไง”
“ที่จะถามคือ …ไอ้เหตุการณ์ที่แกบอกว่าเป็นโศกนาฎกรรมเนี่ย แกไม่ได้ตั้งใจจะให้มันเกิดใช่มั้ย”
“เฮ้ย ๆ จะหาว่าผมจงใจไปชนเขาเหรอ”
ชินโดไม่ตอบ เพียงยิ้มอย่างมีเลศนัยแล้วทิ้งก้นกรองบุหรี่ที่เหลือลงในกระป๋องเปล่า จากนั้นก็หยิบบุหรี่มวนใหม่มาจุดสูบและจ้องมาทางผมคล้ายจะบอกให้ผมคิดดี ๆ
ผมคิดถึงคำพูดของเขาอยู่หลายครั้ง แต่เค้นสมองเท่าไรก็ไม่ได้ข้อสรุปอะไรดี ๆ เลย เขาคงไม่ถามอย่างนั้นถ้าแค่จะหาว่าผมเป็นพวกที่ปล่อยเลยตามเลย
ชินโดกำลังบอกให้ผมนึกเฉลียวใจอะไรบางอย่าง
ในเมื่อเป็นความฝัน ทุกอย่างก็ดูไม่สมเหตุสมผล รู้ตัวอีกทีผมก็ไม่ได้อยู่ที่อาร์เคตนั้นแล้ว มาอยู่ที่ทางเข้าสวนสนุกแทน ผมเห็นพวกชิงช้าสวรรค์ เพนดูลัมไรด์ที่ดูเหมือนชิงช้าขนาดยักษ์ แล้วก็รถไฟเหาะอยู่อีกฟากตรงข้ามจุดขายตั๋วและร้านค้าที่มีม้าหมุนทั้งแบบปกติและแบบเหวี่ยงตั้งอยู่ เสียงกรีดร้องอย่างผู้หญิงมาพร้อมกับเสียงทำงานของเครื่องเล่นรอบ ๆ ตัว ลำโพงในสวนสนุกเล่นเพลงแนวบิกแบนด์อยู่อย่างไม่รู้จักจบจักสิ้น และยังมีเสียงเครื่องดนตรีที่ชื่อว่าโฟโตเพลเยอร์ดังมาตามเครื่องเล่นด้วย
และเหมือนว่าผมจะไม่ได้มาคนเดียว มีคนจับมือซ้ายของผมอยู่ข้าง ๆ เอาไว้แน่น ผมไม่เคยมาสวนสนุกด้วยกันกับใครสองคนเลยสักครั้ง ผมประหลาดใจทั้งที่รู้ว่าในฝันอะไรก็เป็นไปได้
แสงสว่างที่ส่องผ่านเปลือกตาทำให้ผมลืมตาขึ้น ฝนหยุดตกแล้ว สีน้ำเงินจากท้องฟ้าราตรีหลอมเข้ากับสีแสดบริเวณเส้นขอบฟ้า
“อรุณสวัสดิ์ค่ะคุณฆาตกร” เด็กสาวที่ตื่นก่อนผมทักทาย “พอจะขับไหวหรือยังคะ”
แสงยามเช้าสะท้อนให้เห็นรอยบวมจากการร้องไห้ที่ตาของเธอ
“อาจจะนะ” ผมตอบ
อาการกลัวจนไม่กล้าขับรถนั่นคงจะอยู่ไม่นานนัก ตอนนี้มือก็จับพวงมาลัยไปพร้อมกับเท้าที่เหยียบคันเร่งได้อย่างไม่ติดขัดอะไร แต่ถึงอย่างนั้นผมก็คอยขับอย่างระมัดระวังไปด้วยความเร็วสี่สิบบนถนนที่มีแสงอาทิตย์ส่องประกายระยับบนน้ำฝนที่ปกคลุมอยู่
ผมมีเรื่องอยากจะบอกเธอแต่ไม่รู้จะเริ่มยังไงดี ผมใช้สมองที่ยังทำงานไม่เต็มที่นักหลังตื่นนอนนึกหาคำพูดตลอดทางไปจนถึงที่หมาย
“ตรงป้ายนั่นเลยค่ะ” เธอเรียก “เดี๋ยวฉันลงตรงนั้นนะคะ”
ผมหยุดรถตรงป้ายที่เธอบอก แต่รั้งเธอไว้ก่อนเธอจะเปิดประตูลงจากรถไป
“นี่ มีอะไรที่ผมพอทำได้มั้ย จะให้ผมชดใช้ความผิดยังไงก็ได้ตราบที่เธอขอมา”
เธอเดินไปตามทางเท้าเงียบ ๆ ไม่ตอบอะไรสักคำ ผมวิ่งตามไปจับไหล่เธอไว้
“ผมสำนึกผิดแล้วจริง ๆ ผมอยากจะชดใช้ให้”
“ไปให้พ้นเลยค่ะ” เธอสวน “เดี๋ยวนี้”
ผมดึงดัน “คือ ผมก็ไม่ได้จะขอให้เธอให้อภัยหรอก แค่อยากให้เธอรู้สึกดีขึ้นบ้าง”
“แล้วทำไมฉันต้องยอมตามน้ำไปกับความเห็นแก่ตัวของคุณที่จะเล่นเกมทำแต้มเอาใจฉันด้วยคะ ‘อยากให้เธอรู้สึกดีขึ้นบ้าง’ เหรอคะ ที่ทำจริง ๆ ก็เพื่อให้คุณสบายใจอยู่คนเดียวนี่คะ”
ผมนึกเสียใจว่าพูดพลาดไปเสียแล้ว ไม่ว่าเป็นใครก็คงมองว่าเสแสร้งหากคนที่ฆ่าตัวเองมาพูดอย่างนี้
จึงตัดใจไม่พูดอะไรอีก ก่อนที่จะทำให้เธอโกรธไปมากกว่านี้
“เข้าใจละ ถ้าอยากอยู่คนเดียวเดี๋ยวผมจะไปให้พ้นเดี๋ยวนี้เลย”
ผมเขียนเบอร์โทร. ลงสมุดโน้ตที่หยิบออกมาแล้วฉีกหน้านั้นยื่นให้เธอ
“ถ้ามีอะไรจะรบกวนผมก็ติดต่อมาได้ กริ๊งเดียวแล้วจะพุ่งมาเลย”
“ไม่รับค่ะ”
เธอฉีกกระดาษแผ่นนั้นต่อหน้าผมเป็นชิ้น ๆ แล้วปล่อยให้ลมพัดเศษปลิวกระจายไปตกอยู่กับใบแปะก๊วยสีเหลืองที่ถูกพายุฝนเมื่อวานพัด
ผมเขียนเบอร์โทร. ให้อีกครั้งแล้วยัดใส่กระเป๋าให้ และกระดาษนั้นก็ถูกฉีกออกเป็นชิ้น ๆ เช่นเดิม แต่ผมยังเพียรเขียนเบอร์ใส่กระดาษให้เธออยู่อีกหลายครั้ง
กระทั่งผมทำซ้ำอยู่แปดครั้งเธอก็ยอมแพ้
“โอเคค่ะ ๆ รีบ ๆ ไปให้พ้นได้แล้ว แค่อยู่กับคุณก็เหนื่อยจะตายอยู่แล้วค่ะ”
“ขอบคุณนะ จะกลางดึกหรือตอนเช้าตรู่ จะเรื่องเล็กน้อยแค่ไหนก็โทร. มาได้เสมอเลยนะ”
เธอจัดกระโปรงให้เข้าที่ก่อนจะวิ่งออกไป ส่วนผมก็จะกลับอพาร์ตเมนต์ก่อน พอเข้ามาในรถแล้วจึงขับไปหาแวะกินข้าวเช้าที่ร้านเหมาะ ๆ และกลับถึงอพาร์ตเมนต์โดยสวัสดิภาพ
จะว่าไปผมก็ไม่ได้ออกมาเห็นตะวันนานแล้ว ตามสองข้างทางมีดอกคอสมอสสีแดงสดที่พลิ้วไหวไปตามกระแสลมบานอยู่เรียงราย เหล่าแมลงปอแดงหลายตัวบินอยู่ใต้ฟ้าคราม เป็นสีครามที่สดใสกว่าที่ผมจำได้