และแล้วบาดแผลจะลบเลือน - ตอนที่ 1 การอำลาแห่งจุดเริ่มต้น
ผมติดต่อกับคิริโกะทางจดหมายเป็นครั้งแรกในฤดูใบไม้ร่วงของปีที่ผมอายุได้ 12 ปี ผมต้องลาออกจากโรงเรียนประถมก่อนจบเพียงครึ่งปีเท่านั้นเนื่องด้วยสถานการณ์ที่ทำงานของพ่อผม ทว่า การย้ายโรงเรียนครั้งนั้นคือโอกาสที่ทำให้ผมได้เชื่อมต่อกับคิริโกะ
วันสุดท้ายที่ไปโรงเรียนคือช่วงสิ้นเดือนตุลาคม และต้องออกไปจากเมืองในคืนเดียวกันนั้นเอง อันที่จริง วันนั้นควรจะเป็นวันที่สำคัญวันหนึ่ง แต่ว่าแต่ไหนแต่ไรมาผมก็มีคนที่จะนับว่าเป็นเพื่อนได้จริง ๆ เพียงสองคนเท่านั้น และวันนั้นคนหนึ่งขาดเรียนเพราะไม่สบาย และอีกคนขาดเรียนเพราะไปเที่ยวกับครอบครัว วันนั้นทั้งวันผมจึงอยู่ตัวคนเดียว
งานเลี้ยงอำลาที่จัดเมื่อสี่วันก่อนผมก็ได้รับช่อดอกไม้เหี่ยวแห้งที่มีข้อความเขียนไว้เหมือน ๆ กัน ทุกครั้งที่เหล่าเพื่อนร่วมชั้นเห็นผมก็จะมองหน้าเป็นทำนองว่า “หือ ยังอยู่อีกเหรอ” หากอยู่ที่ห้องเรียนต่อก็รังแต่จะอึดอัด ผมรู้ดีอยู่แล้วละว่าที่นี่ไม่ใช่ที่ของผม
การที่ไม่มีใครแม้สักคนเศร้าเสียใจต่อการย้ายโรงเรียนของผมนั้นช่างโดดเดี่ยวก็จริงอยู่ แต่ผมก็รู้สึกมีกำลังใจว่า การย้ายโรงเรียนครั้งนี้จะไม่ทำให้ผมต้องสูญเสียอะไรไป และยังทำให้ผมได้ไปพบกับประสบการณ์ใหม่ ๆ ด้วยซ้ำ
ผมคิด ว่าโรงเรียนใหม่ที่จะไป อะไร ๆ คงจะเป็นไปได้ด้วยดี หรือหากต้องย้ายอีกครั้ง อย่างน้อย ๆ คงจะมีสักสองสามคนที่จะเสียใจกับการจากลาของผม
สิ้นสุดคาบสุดท้าย หลังจากที่ผมเอาหนังสือเก็บที่ใต้โต๊ะก็คุ้ยกระเป๋าไปเรื่อยเปื่อย รู้สึกราวกับตัวเองเป็นคนนั้นที่ถูกทิ้งไว้คนเดียวในห้องในวันวาเลนไทน์ แต่ผมก็โตพอที่จะไม่หวังลม ๆ แล้ง ๆ ว่า ‘อาจจะมีใครสักคนมาเซอร์ไพรส์บอกลาตอนสุดท้ายก็ได้’
ในขณะที่ผมจะเลิกล้มความตั้งใจที่จะหาความทรงจำอันอบอุ่นให้วันสุดท้ายนี้เอง ผมเห็นคนหนึ่งที่มายืนอยู่ตรงหน้า ขาเรียว ใส่กระโปรงพลีทสีน้ำเงิน ผมเงยหน้าขึ้น พยายามซ่อนความตื่นเต้นเอาไว้
คนที่ยืนอยู่ ไม่ใช่ อาโอยามะ ซาจิ คนที่ผมเฝ้าแอบเพ้อฝันถึงตั้งแต่สมัยชั้น ป. 3 และไม่ใช่ โมจิซูกิ ซายะ คนที่เอียงคอส่งยิ้มให้ผมทุกครั้งที่เจอกันที่ห้องสมุด
“กลับด้วยได้ไหม”
ฮิซูมิ คิริโกะ ถามด้วยสีหน้าจริงจัง
คิริโกะเธอตัดผมสั้นพ้นคิ้วเธอพอดิบพอดี เป็นคนขี้อาย เสียงพูดราวกับเสียงกระซิบ ก้มหน้ายิ้มแหย ๆ อยู่ตลอด ผลการเรียนปานกลาง จึงไม่โดดเด่นนักในห้องเรียน
ประหลาดเหลือเกินที่แม้เธอแทบไม่ได้คุยกับผมเลย วันนี้กลับมาคุยกับผม ผมแอบผิดหวังในใจที่เธอไม่ใช่ อาโอยามะ ซาจิ หรือ โมจิซูกิ ซายะ แต่จะปฏิเสธคำชวนก็ใช่ที่ “ก็ได้” ผมตอบ และคิริโกะก็ตอบกลับยิ้ม ๆ ทั้ง ๆ ที่ก้มหน้าว่า “ขอบคุณนะ”
คิริโกะไม่พูดอะไรสักคำตลอดทาง เดินอยู่เกร็ง ๆ ข้าง ๆ ผม บางครั้งก็ลอบมองมาเหมือนมีอะไรจะพูด ผมเองก็ไม่รู้ว่าจะคุยอะไรดีในฐานะคนที่จะย้ายไปจากที่นี่ แถมไม่ได้สนิทกับเธอมากนัก และยังไงเสียผมก็ไม่เคยกลับบ้านพร้อมกันกับผู้หญิงอายุรุ่นราวคราวเดียวกับผมเลย
สุดท้ายก็มัวแต่ขัดเขินกันไปมา ไม่ได้คุยอะไรกันเลยจนถึงบ้านผม
“งั้น ไปละนะ”
ผมโบกมือหย็อย ๆ ให้คิริโกะและหันมาจับลูกบิดประตูที่ทางเข้าบ้าน ตอนนั้นเองที่เหมือนว่าเธอรวบรวมความกล้าขึ้นมาและจับมือผมเอาไว้ พร้อมบอกว่า “เดี๋ยว” ผมตกใจกับสัมผัสนิ้วเย็น ๆ นั้นจนตอบกลับไปซื่อ ๆ ว่า “มีอะไร”
“คือ มีเรื่องจะขอมิซูโฮะอย่างน่ะ รับฟังไว้ได้มั้ย”
ผมเกาที่หลังคอแกรก ๆ ด้วยความเคยชินเวลาลำบากใจ
“ก็รับฟังได้อยู่หรอก…แต่พรุ่งนี้ฉันจะย้ายโรงเรียนแล้ว มีอะไรที่ฉันทำให้เธอได้ด้วยเหรอ”
“มีสิ จริง ๆ ก็เพราะพรุ่งนี้นายจะย้ายโรงเรียนนี่แหละ”
เธอพูดต่อ ขณะยังจ้องมือที่ถูกจับ
“พอฉันส่งจดหมายให้ ฉันอยากให้นายส่งตอบมา แล้วฉันก็จะตอบจดหมายนั้นอีกที”
ผมคิดอยู่ครู่หนึ่ง “สรุปก็คือ ให้ติดต่อกันทางจดหมาย”
“ใช่ ๆ นั่นแหละ” เธอพูดอาย ๆ
“แล้วไหงเป็นฉัน ไปขอคนที่เธอสนิทกว่าฉันไม่ดีกว่าเหรอ”
“ก็ส่งจดหมายไปหาคนที่อยู่ใกล้ ๆ จะสนุกอะไรล่ะ ฉันน่ะอยากจะส่งจดหมายทางไกลมาตั้งนานแล้ว”
“แต่ฉันไม่เคยเขียนจดหมายเลยนะ”
“ฉันก็ด้วยละนะ มาพยายามกันเถอะ”
คิริโกะพูดพร้อมเขย่ามือผม
“เดี๋ยวสิ อยู่ ๆ มาขออะไรแบบนี้…”
แต่สุดท้ายผมก็ทำตามที่คิริโกะขอไว้อยู่ดี สำหรับตัวผมที่แทบไม่ได้เขียนจดหมายจริง ๆ จัง ๆ นอกจากตอนปีใหม่แล้ว ความคิดอะไรก็ตามที่เชยก็ดูใหม่และน่าสนใจไปหมด และยิ่งเป็นคำร้องขอที่จริงจังจากผู้หญิงอายุรุ่นราวคราวเดียวกับผมแล้ว จะให้ปฏิเสธก็คงทำไม่ลง
คิริโกะถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก
“ดีจัง ฉันกลัวอยู่พอดีว่าจะทำยังไงดีถ้านายปฏิเสธ”
หลังจากที่ผมเขียนที่อยู่ใหม่ให้เธอไปแล้ว เธอพูดว่า “คอยจดหมายได้เลย” แล้วยิ้มวิ่งเหยาะ ๆ กลับไป เธอคงสนใจจดหมายจากผม ไม่ใช่ตัวผมจริง ๆ สินะ
และหลังจากที่ย้ายโรงเรียน ก็มีจดหมายมาทันที
“ที่สำคัญที่สุด ก่อนอื่น ถ้าพวกเรารู้จักกันสักหน่อยน่าจะดีนะคะ” ในจดหมายเขียนเช่นนั้น “มาแนะนำตัวกันก่อนเถอะค่ะ”
ถึงจะแปลกอยู่สักหน่อยที่เป็นเพื่อนร่วมห้องที่แยกจากกันไปแล้วแต่มาแนะนำตัวเอาป่านนี้ แต่ผมก็ทำตามที่เธอเสนอมาเพราะใช่ว่าจะมีอย่างอื่นให้เขียนถึงเหมือนกัน
หลังจากที่ติดต่อกันทางจดหมายไม่นานนัก ผมก็ได้รู้ว่าที่จริงแล้ว ฮิซูมิ คิริโกะ ดูจะมีทรรศนะต่ออะไรหลาย ๆ อย่างเหมือน ๆ กับผม แม้ก่อนที่ผมจะย้ายโรงเรียนมาพวกเราแทบไม่ได้คุยกันก็ตามที
‘ทำไมจึงต้องเรียน’ ‘ทำไมห้ามฆ่าคน’ ‘พรสวรรค์คืออะไร’ มักจะลองขบคิดอะไรจากขั้นต้นเช่นนั้นในหลาย ๆ ประเด็นที่เหล่าผู้ใหญ่มักไม่ได้สอนให้คิดมากนักในการศึกษาช่วงแรก และรวมไปถึงเรื่อง ‘ความรัก’ ที่ถกเถียงกันอย่างจริงจังจนน่าอาย
“มิซูโฮะคุง คิดยังไงกับเรื่องความรักเหรอคะ เพื่อนฉันพูดถึงอยู่บ่อย ๆ แต่ยังไม่ค่อยเข้าใจความหมายของคำนั้นน่ะค่ะ”
“ผมเองก็ไม่ค่อยเข้าใจหรอกครับ แค่คำว่ารักคำเดียวในศาสนาคริสต์ก็มีสี่แบบแล้ว แล้วในศาสนาอื่นก็มีอีกหลายแบบเหมือนกัน คงยากที่จะนิยามครับ อย่างเช่น ความรู้สึกที่แม่ของผมมีต่อ ไร คูเดอร์[1] ก็นับเป็นความรัก หรืออย่างความรู้สึกที่พ่อผมมีรองเท้าหนังคอร์โดวานยี่ห้ออัลเดนก็นับเป็นความรักได้ด้วย แม้แต่การที่ผมส่งจดหมายให้คิริโกะแบบนี้ก็คงนับได้ มีหลากหลายมากครับ”
“ขอบคุณที่อุตส่าห์ตอบมาแบบกันเองนะคะ พอได้เห็นคำของมิซูโฮะคุงแล้วก็นึกได้ว่า คำว่ารักของฉันกับเพื่อนฉันคงจะคนละแบบกัน สงสัยต้องคอยคิดอีกทีเพราะเห็นพวกเธอใช้คำนั้นกันแบบไม่คิดเลย ที่ฉันพูดถึงคือ ‘ความรัก’ แบบโรแมนติกน่ะค่ะ ‘สิ่งนั้น’ ที่ถึงจะเคยเห็นในหนังหรือหนังสือแล้ว แต่ไม่เคยเห็นของจริงเลย ซึ่งเป็นคนละอย่างกับความรักของครอบครัวหรือความรักใคร่น่ะนะคะ”
“ผมเองก็ยังไม่ค่อยปักใจเชื่อถึงการมีอยู่ของ ‘สิ่งนั้น’ นะครับ แต่ถ้าสมมติว่า ‘ความรัก’ ที่คิริโกะพูดถึงไม่มีอยู่จริง คงจะมีใครสักคนที่สร้างแนวคิดนั้นขึ้นมาเอง ซึ่งผมก็คิดว่ามันน่าประทับใจเหมือนกันนะครับ ตั้งแต่อดีตมาแล้ว ที่รักได้ให้กำเนิดภาพวาด บทเพลง เรื่องราวอันงดงามมากมาย ถ้าเป็นแค่สิ่งที่คิดขึ้นมาเองจริง ๆ ‘ความรัก’ นี้คงจะเป็นการคิดค้นครั้งใหญ่ของมนุษย์ชาติ หรือไม่ก็เป็นคำโกหกที่อ่อนโยนที่สุดในโลกก็ได้ครับ”
ฯลฯ
ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไรก็ตาม ความเห็นของพวกเราจะเหมือนกันราวกับฝาแฝดที่ถูกพลัดพราก ซึ่งคิริโกะบอกว่าปาฏิหาริย์นี้ “เหมือนงานเลี้ยงรุ่นแห่งจิตวิญญาณเลยเนอะ” คำนั้นติดตรึงกับผมมาก งานเลี้ยงรุ่นแห่งจิตวิญญาณ
และในขณะที่ผมสนิทสนมกับคิริโกะขึ้นเรื่อย ๆ ผมเข้ากับโรงเรียนประถมที่ใหม่ไม่ได้เลย พอจบจากที่นั่นมา ก็ยิ่งกลายเป็นว่าชีวิตนักเรียนของผมนั้นโดดเดี่ยวขึ้นเรื่อย ๆ ไม่มีแม้แต่สักคนในห้องที่จะให้คุยด้วย เข้าร่วมกิจกรรมพูดคุยชมรมเท่าที่จำเป็นเท่านั้น ไม่มีใครที่จะให้คุยเรื่องส่วนตัวนั่นนี่ได้ นับว่าชีวิตก่อนย้ายโรงเรียนยังดีกว่าเสียอีก
ส่วนคิริโกะดูเหมือนว่าอะไร ๆ จะเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้นหลังเข้าเรียนที่โรงเรียนมัธยมต้น จดหมายที่เธอส่งมาไม่ขาดคือสิ่งพิสูจน์ถึงความสุขของเธอ เรื่องที่หาเพื่อนแสนดีได้หลายคน เรื่องที่อยู่ห้องชมรมเพื่อคุยเรื่องสัพเพเหระกับเพื่อนทุกวันจนเย็น เรื่องที่ได้รับเลือกให้เป็นสมาชิกจัดงานวัฒนธรรมโรงเรียนแล้วมีสิทธิ์เข้าห้องที่ปกติเข้าไม่ได้ด้วย เรื่องที่แอบขึ้นไปดาดฟ้าเพื่อไปงีบช่วงพักเที่ยงกับเพื่อนร่วมชั้นแล้วถูกครูดุ ฯลฯ
ผมทำใจตอบจดหมายเหล่านี้ไปด้วยสภาวะปัจจุบันอันน่าสมเพชของผมไม่ลง ด้วยความไม่อยากให้เธอต้องเป็นห่วง และไม่อยากถูกมองเป็นคนอ่อนแอ
บางที ถ้าผมเปิดใจ เธอคงจะรับฟังด้วยความยินดี แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่ผมต้องการ ผมยังจะทำตัวให้ดูดีต่อหน้าคิริโกะต่อไป
ผมจึงเขียนจดหมายโกหกไป ชีวิตในรั้วโรงเรียนที่เขียนขึ้นเองบนกระดาษ ชีวิตที่สุดแสนน่าพึงพอใจไม่แพ้เธอ
แรกเริ่มก็เป็นเพียงการทำเป็นเข้มแข็งเท่านั้น แต่เมื่อนานไปสิ่งนั้นก็กลายเป็นความสนุกที่สุดของผม เหมือนได้ค้นพบแล้วว่าจริง ๆ แล้วผมชอบการแสดง ผมเขียนถึงตัวผม ‘ยูงามิ มิซูโฮะ’ ที่ไม่ผิดแผกไปจากความเป็นจริงจนมากเกินไป ไม่ใส่สิ่งต่าง ๆ ที่ดูสุดโต่งไม่เป็นธรรมชาติ ชีวิตที่สร้างขึ้นเพื่อใส่ในจดหมาย ยามที่ได้เขียนจดหมายถึงคิริโกะ นั่นคือตอนที่ตัวผมได้เป็นตัวเองในอุดมคติ
ไม่ว่าจะฤดูใบไม้ผลิ ฤดูร้อน ฤดูใบไม้ร่วง ฤดูหนาว วันฟ้าโปร่ง วันฟ้าครึ้ม วันฝนปรอย วันหิมะตก ผมหมั่นเขียนจดหมายไปหย่อนที่ตู้ไปรษณีย์เล็ก ๆ ตรงหัวมุมถนน และเมื่อจดหมายของคิริโกะมาถึง ผมจะใช้กรรไกรตัดอย่างระมัดระวัง หน้าแนบชิดดมกลิ่น นั่งลงที่เตียงแล้วจิบกาแฟ พลางให้รสชาติของข้อความซึมซาบเข้ามา
และแล้วสิ่งที่ผมหวาดหวั่นที่สุดก็เกิดขึ้น เป็นห้าปีหลังจากที่ติดต่อกันทางจดหมายกันครั้งแรก ครั้งนั้นเป็นฤดูใบไม้ร่วงเมื่อผมอายุได้ 17 ปี
“อยากคุยกันแบบเห็นหน้าค่ะ” ในจดหมายเขียนไว้เช่นนั้น “พอดีว่ามีเรื่องที่คุยกันทางจดหมายไม่ได้ ก็เลยอยากคุยกันแบบมองตากัน ได้ยินเสียงกันและกันค่ะ”
จดหมายนั้นทำให้ผมวิตก ไม่ใช่ว่าผมไม่อยากคุยกับเธอซึ่ง ๆ หน้า เพราะผมเองก็มีอะไรหลายอย่างที่สงสัย อย่างเช่น ห้าปีที่ผ่านมาเธอจะเปลี่ยนไปอย่างไรบ้างนะ
แต่เพราะหากเป็นอย่างนั้น เธอก็จะรู้ว่าสิ่งที่ผมเขียนไปในจดหมายตลอดระยะเวลาห้าปีที่ผ่านมาคือเรื่องโกหก คิริโกะผู้ใจดีอาจจะไม่ตีตราว่าผมเลวก็จริง แต่เธอคงจะรู้สึกผิดหวังเป็นแน่
และผมก็ดันทุรังคิดแผนหาทางให้ตัวผมกลายเป็น ‘ยูงามิ มิซูโฮะ’ ในจินตนาการนั้นได้สักหนึ่งวัน แต่ต่อให้ผมจะปกปิดให้คำโกหกทั้งหลายนั้นได้แนบเนียนเพียงใด ผมก็ไม่อาจซ่อนการกระทำ สายตาอันขุ่นมัวที่ชินชากับความโดดเดี่ยวนานนับแรมปี หรือความมั่นใจในตัวเองที่ขาดไปได้ ผมมานึกเสียดายที่ไม่ได้ใช้ชีวิตอย่างปกติ
ผมคิดหาข้ออ้างปฏิเสธเธออยู่หลายสัปดาห์ หลายเดือน จนวันหนึ่งผมก็คิดว่าปล่อยให้ความสัมพันธ์นี้จางลงไปเองคงจะดีกว่า หากบอกความจริงไป ความสัมพันธ์อันอุ่นใจนี้ก็คงขาดสะบั้น หากไปต่อก็จะอึดอัดใจที่ต้องคอยส่งจดหมายพลอยระแวงว่าจะถูกจับโกหกได้
ประจวบเหมาะกับตอนนั้นเป็นช่วงติวสอบ ผมจึงตัดสินใจจบการติดต่อทางจดหมายห้าปีนี้ลงอย่างง่ายดายจนแม้แต่ตัวผมเองยังตกใจ
ถ้ายังไงก็จะถูกเกลียดอยู่แล้ว สู้จบความสัมพันธ์เองไปเลยคงจะดีกว่า
หนึ่งเดือนให้หลังก็มีจดหมายจากคิริโกะมาอีกครั้งว่าอยากเจอ เป็นครั้งแรกที่ผมทำผิดข้อตกลงที่เป็นอันเข้าใจกันเองว่าต้องส่งจดหมายภายในห้าวันหลังจากได้รับจดหมายจากอีกฝ่าย เธอคงเป็นห่วงผมที่ไม่ตอบเธอ
แต่ผมก็ไม่เคยเปิดดูจดหมายฉบับนั้น และเดือนถัดมาจดหมายก็มาอีกฉบับตามคาด ผมทำไม่สนใจเหมือนเดิม ใช่ว่าผมจะไม่เจ็บปวด เพียงแต่ผมทำอะไรไม่ได้แล้ว
สัปดาห์ถัดมาที่เลิกเขียนจดหมายถึงกันผมก็ได้เพื่อนมา ผมคิด ว่าผมคงพึ่งคิริโกะมากเกินไปจนไม่สามารถสนิทกับใครอย่างปกติได้
เวลาผ่านไป ผมก็เริ่มเลิกใส่ใจที่จะไปดูกล่องรับจดหมาย
ความสัมพันธ์ของผมกับคิริโกะจบลงเช่นนั้น
กระทั่งการตายของเพื่อนผมที่ทำให้ผมเขียนจดหมายหาคิริโกะอีกครั้ง
หน้าร้อนที่ผมอยู่ปีสี่ ชินโด ฮารูฮิโกะ คนที่ผมใช้เวลาส่วนใหญ่ร่วมด้วยในมหาวิทยาลัยได้ฆ่าตัวตาย ผมเก็บตัวอยู่แต่ในอพาร์ตเมนต์ ผมรู้ดีว่าอีกกี่หน่วยกิตที่ถ้าผมขาดแล้วต้องเรียนซ้ำอีกปี แต่ผมก็ไม่สนใจ ราวกับไม่ใช่เรื่องของตัวเองด้วยซ้ำ
ผมแทบไม่รู้สึกเศร้าโศกกับการตายของเขาเลย เนื่องจากมีลางก่อนหน้าอยู่แล้ว
ชินโดดูอยากตายตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้พบเขา เขาสูบบุหรี่วันละสามกล่อง กระดกวิสกี้แบบเพียว ๆ ซิ่งจักรยานยนต์ไปตามถนนคืนแล้วคืนเล่า ดูหนังตะวันตกยุค 80 เสมอ ๆ และเล่นเป็นพวกตัวเอกที่ตายแบบปุบปับอยู่ซ้ำ ๆ พร้อมถอนหายใจราวกับถูกมนตร์สะกด
เพราะงั้น ตอนที่ได้ข่าวว่าเขาตาย ก็คิดแค่ว่า ก็ดีแล้วไม่ใช่หรือไง ได้ไปที่ชอบ ๆ แล้ว ความเสียใจที่ว่า “น่าจะทำตัวดี ๆ กับเขาหน่อย” หรือ “น่าจะดูออกสิว่ากำลังทรมานอยู่” ไม่เคยมีสักกระผีกเดียว ตัวชินโดเองก็คงไม่เคยคิดอยากจะเล่าปัญหาอะไรให้ผมฟัง คงเพียงแค่อยากจะหัวเราะบ้า ๆ ไปวัน ๆ และหายไปง่าย ๆ เช่นนั้น
ปัญหาก็คือ ผมยังอยู่ การไม่อยู่ของชินโดทำให้ผมเจ็บปวดมาก การมีอยู่ของเขาช่วยค้ำยันตัวผม ไม่ว่าจะในทางที่ดีหรือไม่ดีก็ตาม เขาเกียจคร้านกว่า ดูสิ้นหวังกว่า มองโลกในแง่ร้ายกว่า เป็นคนที่ไม่มีจุดมุ่งหมายในชีวิตเหมือน ๆ กับผม ผมจึงรู้สึกดีขึ้นมามาก พอมองเขาก็จะคิดว่า “ถ้าคนอย่างหมอนั่นยังมีชีวิตอยู่ได้ ผมเองก็ต้องใช้ชีวิตต่อไป”
แต่ชินโดที่เหมือนที่พึ่งทางใจของผมก็ตายไปเสียแล้ว ความหวาดกลัวอันเลือนรางเริ่มก่อตัว จะออกไปข้างนอกก็ได้เพียงกลางดึกช่วงตีสองถึงตีสี่เท่านั้น ถ้าฝืนออกไป ใจของผมก็จะเต้นไม่เป็นส่ำ จนหายใจเกินและตาลาย หรืออย่างแย่ที่สุด ทั้งแขนขาและหน้าก็จะชาและเกร็ง
ผมดูหนังที่เขาชอบอยู่ในห้องที่ปิดม่านพลางดื่มเหล้าไปเรื่อย ๆ นอกนั้นผมก็นอนอย่างเดียว ผมคิดถึงวันวานที่ผมมักจะซ้อนท้ายไปกับชินโด ซิ่งไปไหนต่อไหน ทำอะไรไร้สาระด้วยกัน หยอดเหรียญใส่ตู้อาร์เคตซ้ำแล้วซ้ำเล่ากลางค่ำคืนเคล้ากลิ่นบุหรี่ ใช้เวลาทั้งคืนอยู่ที่ทะเลโดยไม่ทำอะไรแล้วกลับมา เล่นปาหินกระดอนที่ริมแม่น้ำทั้งวัน เป่าฟองสบู่ระหว่างที่นั่งจักรยานยนต์ไปทั่วเมือง
แต่เมื่อมานึกดู คงเป็นเพราะได้ใช้เวลาด้วยกันไปวัน ๆ อย่างขาด ๆ หาย ๆ เช่นนั้น มิตรภาพของพวกผมถึงได้แน่นแฟ้น ถ้าหากเป็นความสัมพันธ์ที่สมบูรณ์ปกติ การตายของเขาคงไม่ทำให้รู้สึกโดดเดี่ยวถึงเพียงนี้
ผมคิด ว่าถ้าเขาพาผมไปด้วยก็คงดี ถ้าชินโดชวน ผมก็คงพร้อมที่จะดำดิ่งลงไปยังก้นหุบเหวไปพร้อม ๆ กับเขา
คงเพราะชินโดรู้ จึงตายไปโดยไม่กล่าวอะไรสักคำเดียว
เสียงของเหล่าจักจั่นซาลง ต้นไม้ต่างเปลี่ยนผลัดเป็นสีแดง เป็นสัญญาณการมาเยือนของฤดูใบไม้ร่วงในช่วงสิ้นเดือนตุลาคม
อยู่ ๆ ผมก็นึกถึงบทสนทนาไร้แก่นสารหนึ่งที่เคยคุยกับชินโด
เป็นบ่ายวันฟ้าเปิดในเดือนกรกฎาคม พวกผมดื่มเบียร์พลางคุยกันไม่หยุดหย่อนในห้องอันอบอ้าว ก้นบุหรี่กองพะเนินล้มแหล่มิล้มแหล่อยู่ในที่เขี่ยบุหรี่ ผมวางกระป๋องเปล่าเรียงข้าง ๆ เป็นระเบียบดูคล้ายพินโบว์ลิง
จักจั่นตัวหนึ่งที่เสาไฟฟ้าข้างนอกหน้าต่างร้องระงมจนหนวกหู ชินโดหยิบกระป๋องเปล่ามาใบหนึ่ง เดินไปยังระเบียงเล็งไปที่จักจั่นตัวนั้น ทว่าพลาดเป้าไปโข กระป๋องตกพื้นดังเคร้ง จนชินโดพานด่า
และเมื่อเขาไปหยิบกระป๋องที่สอง จักจั่นก็บินหนีราวกับเยาะเย้ย
“จะว่าไป” ชินโดพูดขึ้นมาทั้งที่กระป๋องยังอยู่ในมือ “ที่สมัครไปเขาน่าจะติดต่อมาบอกผลแล้วนี่”
“ทำไมถึงไม่ถามก่อนผมรู้ผลกันนะ” ผมตอบอ้อม ๆ ไป
“ไม่ผ่านเหรอ”
“ใช่”
“แล้วไป” ชินโดที่ไม่ได้งานที่ไหนเลยเหมือนกับผมพูด “แล้ว ได้ไปสมัครที่อื่นอีกมั้ย”
“ไม่ได้ทำอะไรทั้งนั้น ชีวิตหางานของผมพักร้อนอยู่น่ะ”
“พักร้อนเหรอ ก็ดีนะ”
งั้นฉันเอาบ้างดีกว่า ชินโดเสริม
ในจอโทรทัศน์เป็นการถ่ายทอดสดการแข่งเบสบอลระดับมัธยมปลาย พวกเขาดูเด็กกว่าพวกผมสักสี่ห้าปีได้ มีเสียงเชียร์ให้กำลังใจไม่ขาด ทั้งสองทีมยังไม่มีแต้มแม้จะปาไปครึ่งหลังของอินนิงที่เจ็ดแล้ว
“คือ อยู่ ๆ ก็สงสัยว่า” ผมเอ่ย “ตอนเด็ก ๆ ชินโดฝันอยากเป็นอะไรกันนะ”
“ครูมัธยมไง บอกไปตั้งกี่ครั้งแล้ว”
“อ้อ นั่นสินะ”
“แต่มานึกดู คนอย่างฉันฝันเป็นครูเนี่ย ไม่ต่างอะไรกับคนแขนขาดที่อยากจะเป็นนักเปียโนเลยนะ”
จริงอย่างที่เจ้าตัวว่า ไม่ว่าจะมองจากมุมไหน ชินโดก็ไม่เหมาะกับการเป็นครูเลย แต่จะบอกว่าเหมาะกับงานอะไรก็กระดากลิ้น อาจจะเป็นครูที่สอนแบบอย่างที่ไม่ดีว่า ‘ห้ามทำแบบนั้นนะ’ ได้อยู่ละมั้ง แต่ไม่มีงานสำหรับครูสอนแบบอย่างที่ไม่ดีน่ะสิ
“แต่ก็อาจจะมีนักเปียโนแขนขาดอยู่ก็ได้นะ” ผมแย้ง
“งั้นมั้ง แล้ว แกอยากเป็นอะไรล่ะ”
“ก็ ไม่ได้อยากเป็นอะไรหรอก”
“แหล” ชินโดตบบ่าผมเบา ๆ “พวกผู้ใหญ่น่ะยังไงก็บังคับให้เด็กมีฝันของตัวเองก่อนอะไรเลย”
“ก็พูดจริง”
เสียงเฮดังมาจากโทรทัศน์ เกมเริ่มเดินแล้ว บอลโดนรั้วเข้าอย่างจัง ผู้เล่นด้านนอกตามไปอย่างเอาเป็นเอาตาย ผู้วิ่งเบสสองไปถึงเบสสามแล้ว ส่วนชอร์ตสตอป[2]ก็ไม่หวังขว้างบอลไปที่โฮมเบสแล้ว
ทำแต้มสำคัญได้แล้วครับ ผู้บรรยายกล่าว
“จริงสิ สมัย ม. ต้น แกก็เป็นมือขว้างที่รู้จักกันระดับจังหวัดเลยนี่” ชินโดพูดขึ้น “ได้ยินมาจากเพื่อนสมัย ม. ต้น ว่ายูงามิเนี่ยเป็นมือขว้างมือซ้ายที่ขว้างแม่นเป็นบ้า”
“งั้นก็ผมละมั้ง ถ้าเรื่องคุมบอลตอนขว้างก็เก่งอยู่ แต่ว่าตอน ม. ปลาย ปีสองช่วงฤดูใบไม้ร่วงก็ลาออกน่ะ”
“บาดเจ็บหรืออะไร”
“เปล่า คือเรื่องมันออกจะแปลกสักหน่อยนะ …ช่วงฤดูร้อนตอน ม. ปลาย ปีสอง มีนัดสี่ทีมสุดท้ายของการแข่งคัดทีมระดับจังหวัด วันนั้นใคร ๆ ต่างก็เห็นว่าผมคือฮีโร่ของทีม ผมก็พอเคลมได้แหละว่านัดนั้นผมคือคนพาทีมชนะเลย ชมรมเบสบอลของโรงเรียนนั้นปกติไม่ได้เข้าไปรอบลึกขนาดนั้นหรอก ทั้งโรงเรียนก็เอาใจช่วยเต็มที่ ไปไหนมาไหนก็มีแต่คนชมผม”
“เห็นสภาพแกตอนนี้แล้วนึกภาพไม่ออกเลยนะ” ชินโดพูดอย่างไม่อยากจะเชื่อ
“คงงั้นมั้ง”
ผมยิ้มขื่น ๆ เขาจะคิดอย่างนั้นก็คงไม่แปลก แม้แต่ตัวผมเองก็ยังรู้สึกงง ๆ อยู่เหมือนกันทุกครั้งที่หวนนึกกลับไปตอนนั้น
“ถึงทีแรกผมแทบจะไม่มีเพื่อน แถมไม่ได้โดดเด่นอะไร แต่หลังจากวันนั้นผมก็กลายเป็นฮีโร่ ซึ่งก็รู้สึกดีอยู่แหละ เว้นเสียแต่ว่า คืนนั้น พอผมนอนคิดไปคิดมาอยู่บนเตียง อยู่ ๆ ก็รู้สึกอับอายขึ้นมา”
“อับอายเหรอ”
“ใช่ อับอาย อายตัวเองว่า ‘ผมมัวแต่หลงระเริงอะไรอยู่ได้’”
“ไม่เห็นจะแปลกตรงไหน เป็นใครก็คงยินดีทั้งนั้น”
“มั้ง” ผมตอบ ก็จริงอย่างที่ชินโดพูด ตอนนั้นผมจะรื่นระเริงไปกับมันก็ได้อยู่แล้ว แต่ว่า มีบางอย่างลึก ๆ ในจิตใจที่โผล่ออกมาแล้วไม่ยอมรับความยินดีนั้น ความรู้สึกผมตอนนั้นแตกโพละเหมือนกับลูกโป่งที่ถูกอัดลมจนพองเกินไป
“แล้วก็นั่นแหละ พอคิดแบบนั้นแล้วอะไร ๆ ก็ดูไร้สาระไปหมด แถมคิดว่า ‘ไม่อยากทำให้ตัวเองต้องขายหน้าแล้ว’ สองวันหลังจากนั้นเป็นนัดชิงชนะเลิศ รู้มั้ยผมทำอะไร จับรถไฟไปดูหนังสี่เรื่องรวด จำได้ว่าแอร์หนาวเกินจนต้องถูแขนไปมาไม่เลิก”
ชินโดหัวเราะท้องคัดท้องแข็ง “บ้าไปแล้วหรือไง”
“บ้า บ้ามาก ๆ แต่ว่าต่อให้ย้อนเวลาไปได้ก็คงทำเหมือนเดิมนั่นแหละ ทีนี้ทีมก็เลยแพ้หลุดลุ่ย ทั้งคนในชมรมเอย ที่ปรึกษาเอย เพื่อนร่วมชั้นเอย ครู พ่อแม่ โกรธผมเอาเป็นเอาตาย ทำอย่างกับผมไปฆ่าใครมา แล้วพอมาถามว่าทำไมไม่ไปแข่ง ผมยังตอบเหมือนเอาน้ำมันไปราดกองไฟว่า ‘จำวันผิด’ จนปิดเทอมหน้าร้อนวันแรกก็โดนลากตัวไปรุมซัดเข้าให้ เล่นซะจมูกหักจนเสียรูปเลย”
“สมควร” ชินโดขัด
“ก็สมจริง ๆ นั่นละ” ผมว่าตาม
การแข่งในจอจบที่มือตีอินนิงสุดท้ายตีกราวด์บอลตกพื้นไปดาด ๆ หลังจากนั้นทั้งสองทีมก็มารวมกลุ่มทักทายแล้วจับมือกัน ส่วนทีมแพ้ส่งยิ้มสยองแปลก ๆ ขนลุก สงสัยที่ปรึกษาทีมบอกให้ทำมั้ง
“ผมเป็นเด็กที่ไม่เคยอยากได้อะไรมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว” ผมพูดต่อ “ความรู้สึกที่ว่าอยากจะทำนั่นทำนี่อยากได้นั่นได้นี่ไม่เคยมีเลยสักนิด เป็นคนสนใจอะไรง่ายแต่ก็หน่ายเร็ว ตั้งใจจะทำอะไรก็ไม่เคยนาน กระดาษที่เอาไปแขวนขอพรในวันทานาบาตะก็มีแค่แผ่นกระดาษเปล่า ๆ ที่บ้านก็ไม่ได้จัดคริสต์มาสกัน แต่ไม่เคยนึกน้อยใจเลยนะ สงสารเด็กบ้านอื่นด้วยซ้ำที่ต้องเลือกของขวัญให้ตัวเองทุกปี พอได้เงินปีใหม่ก็เอาไปฝากกับแม่ไว้เป็นค่าเรียนเปียโนของผม ที่เรียนเปียโนนี่ไม่ใช่อะไรหรอก จะได้ไม่ต้องอุดอู้อยู่ที่บ้านแค่นั้นแหละ”
ชินโดปิดทีวีแล้วเสียบปลั๊กเครื่องเล่นซีดี พอกดปุ่มเล่น เพลง Tonight’s the Night (คืนนี้คืนสำคัญ) ของ นีล ยัง ซึ่งเป็นเพลงโปรดของเขาก็ดังออกมา
“แปลก ๆ นะแกน่ะ เป็นเด็กที่ไม่สมเป็นเด็กเลย” พอเพลงจบชินโดก็เริ่มพูด
“แต่ตอนนั้นผมก็คิดว่าปกตินะ” ผมแก้ “ผู้ใหญ่น่ะจะดุเด็กที่อวดดี แต่ไม่ดุเด็กที่ไม่เห็นแก่ตัว กว่าผมจะรู้ตัวว่าแปลกก็นานอยู่เหมือนกัน …บางที แม้แต่ตอนนี้ผมก็ยังโดนแนวคิดนั้นครอบอยู่มั้ง ที่ที่เขารับสมัครงานคงดูออก ว่าจริง ๆ แล้วผมไม่อยากทำงานเลย แม้แต่เงินก็ไม่อยากได้ ความสุขก็ยังไม่อยากมี”
ชินโดเงียบไปพักหนึ่ง
ผมคงพูดอะไรไม่เข้าท่าไปสินะ
ชินโดพูดอีกครั้งระหว่างที่ผมคิดหาบางอย่างมาคุยเปลี่ยนเรื่อง
“แต่ว่าแกชอบส่งจดหมายใช่มั้ย”
“…ส่งจดหมายเหรอ ก็เคยอยู่ช่วงหนึ่งนี่นะ”
ผมพูดขึ้นมาราวกับเพิ่งนึกได้ทั้งที่ไม่เคยลืมแม้สักวินาที
ชินโดเป็นคนเดียวที่รู้เรื่องการติดต่อทางจดหมายของผมกับคิริโกะ และรู้อีกว่าในนั้นที่ผมส่งไปมีแต่เรื่องโกหกหลอกลวง ผมหลุดปากพูดเรื่องนั้นออกมาด้วยความเมาบวกกับแสงแดดที่เผาตัวผมกลางเทศกาลเบียร์เมื่อปีที่แล้ว
“นั่นสินะ จะบอกว่าผมไม่ชอบเลยก็คงโกหกแหละ”
“คนที่แกส่งจดหมายด้วยชื่ออะไรนะ”
“ฮิซูมิ คิริโกะ”
“เออ ฮิซูมิ คิริโกะ คนที่มิซูโฮะตัดสัมพันธ์ไม่ติดต่อด้วยเลย น่าสงสารนะ แต่โดนแกเมินอย่างนั้นแล้วยังส่งจดหมายมาอยู่นี่ใจกล้าน่าดู”
ชินโดเคี้ยวเนื้ออบแห้งพลางกระดกเบียร์ตาม
แล้วพูดว่า
“เออนี่ มิซูโฮะ แกก็น่าจะไปหา ฮิซูมิ คิริโกะ เขานะ”
ผมหัวเราะพ่นลมออกจมูกด้วยคิดว่านั่นคือการพูดล้อเล่น แต่ตาของชินโดนั้นจริงจังมาก เต็มไปด้วยความเชื่อมั่นว่าสิ่งที่พูดนั้นคือความคิดที่ดีที่สุด
“ไปหาคิริโกะเหรอ” ผมเย้ย “ไปขอโทษขอโพยเรื่องเมื่อห้าปีที่แล้วน่ะนะ จะให้ว่าไงล่ะ ‘ได้โปรดยกโทษให้ผมที่โกหกไปด้วยเถอะ’ เหรอ”
ชินโดสั่นหัว
“ที่ฉันจะบอกคือ ข้างในจดหมายมันจะจริงไม่จริงก็ช่าง แต่อะไรนะที่แกบอก …เออ ‘งานเลี้ยงรุ่นแห่งจิตวิญญาณ’ นั่นน่ะไม่ใช่ของที่จะไปรู้สึกกับใครได้ง่าย ๆ นะ แกต้องมั่นใจหน่อยว่าแกน่ะเข้ากันกับเขาจะตาย ก็ขนาดชื่อ ‘ยูงามิ’ (湯上) กับ ‘ฮิซูมิ’ (日隅) ยังเป็นคำอ่านของคำว่า ‘ความบิดเบี้ยว’ (歪) ได้เหมือนกันเลย พรหมลิขิตชัด ๆ ”
“เอาเถอะ จะไปป่านนี้ก็สายไปแล้วละ”
“ก็อาจจะนะ ฉันแค่คิดว่าถ้ามีคนที่เข้าใจความรู้สึกกันได้ขนาดนั้น หายหน้าหายตากันไปสักห้าปีก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่หรอก กลับไปคุยอะไรต่อเหมือนเพิ่งคุยเสร็จเมื่อวานยังได้ แค่ไปดูสักครั้งให้รู้ว่า ฮิซูมิ คิริโกะ ยังเป็นคนเดิมที่มิซูโฮะเคยรู้จักมั้ยก็ไม่เสียหาย แถมเผลอ ๆ จะได้แก้ไอ้อาการไม่เอาอะไรสักอย่างของแกอีก”
หลังจากนั้นผมจำไม่ได้แล้วว่าตอบไปว่าอะไร แต่มั่นใจว่าคงเป็นคำตอบที่คลุมเครือแล้วตัดบททิ้งไปดื้อ ๆ นั่นแหละ
ผมคิดจะไปเจอกับคิริโกะ ผมไม่อยากให้คำพูดของชินโดต้องสูญเปล่า บวกกับผมเองก็เหงาที่เพื่อนสนิทต้องจากไป แต่สิ่งที่ผลักดันผมหลัก ๆ คือตอนที่ระลึกได้ว่า ‘คนที่เราให้ความสำคัญด้วยไม่ได้อยู่ค้ำฟ้า’
ผมรวบรวมความกล้าแล้วขับรถกลับบ้าน เอาจดหมายที่เก็บไว้ในกระป๋องคุกกี้ทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้าที่เก็บไว้ในตู้มาวางเรียงกับพื้นตามวันที่ แต่ไม่ว่าจะหาเท่าไรก็หาจดหมายช่วงท้าย ๆ จากคิริโกะที่ผมไม่เคยเปิดอ่านไม่เจอเลย อยู่ไหนกันนะ
ผมอ่านทวนจดหมายแต่ละฉบับจากฉบับล่าสุดแล้วไล่ย้อนกลับไปท่ามกลางกลิ่นอายของวันวานภายในห้อง ในระยะเวลาสองปีนั้นมีจดหมายรวมทั้งหมดสองร้อยฉบับ
เมื่ออ่านจดหมายที่ถูกส่งมาเป็นฉบับแรกสุดเสร็จ พระอาทิตย์ก็ลับขอบฟ้าไป
ผมซื้อซองจดหมายกับเครื่องเขียนแล้วกลับไปที่อพาร์ตเมนต์ เขียนชื่อที่อยู่ที่ยังจำได้ดี
แม้มีเรื่องอยากบอกมากมาย แต่เก็บไว้คุยตอนเจอกันไปเลยคงดีกว่า เมื่อคิดได้เช่นนั้นจึงเขียนจดหมายให้สั้นที่สุด
“ขอโทษเรื่องเมื่อห้าปีก่อนด้วยนะครับ ผมมีเรื่องที่ไม่ได้บอกคุณด้วย ถ้าพร้อมที่จะให้อภัยผม ให้มาที่สวนสาธารณะ—ในวันที่ 26 ตุลาคมนี้นะครับ เป็นสนามเด็กเล่นที่อยู่ระหว่างทางผ่านไปมาโรงเรียนสมัยประถม ผมจะคอยอยู่ทั้งวันเลยนะครับ”
เมื่อเขียนเสร็จจึงนำไปหย่อนที่ตู้ไปรษณีย์
ผมทำไปโดยไม่หวังอะไรทั้งสิ้น
[1] Ry Cooder: นักดนตรีชาวอเมริกัน
[2] Shortstop: ตำแหน่งหนึ่งในกีฬาเบสบอล อยู่ระหว่างเบสสองและเบสสาม