แม่สาวเข็มเงิน - ตอนที่ 450 : ข้อมูลแสดงออกมาให้เห็นเป็ นครั้งแรก
“เจ้ารู้เรืองเกียวกับคุณหนูของตระกูลจัวทีเป็ นขุนนางฝ่ ายพิธีการมากน้อยแค่ ไหน ?” เจียงป่ าวชิงถามเสียงเบา
มีหลิวยิม้ “ข้าน้อยจําคุณหนูจัวคนนี ้ได้เจ้าค่ะ” จากนั้นมีหลิวก็ครุ่นคิดสักครู่ “ถ้าอย่างนั้นข้าน้อยจะเล่าตั้งแต่ภูมิหลังครอบครัวของคุณหนูจัวเลยนะเจ้าคะ อัน ทีจริงตระกูลจัวไม่ ถือว่าเป็นตระกูลบุญหนักศักดิ<ใหญ่อะไร ตระกูลจัวเพิ งมาเริม รําเรียนตําราเมือรุ่นก่อนนีเอง จนกระทังมาถึงรุ่ นนี้ คุณท่านจัวแต่ งงานกับ บุตรสาวของผู้เป็ นอาจารย์จนสอบได้เป็ นจิ้นสื้อจากการสอบหงวนได้ทีสอง และ ตรากตรําทํางานเหน็ดเหนือยจนขึ้นมาเป็ นขุนนางฝ่ ายพิธีการได้อย่างราบรืน คุณหนูจัวมีนามว่ าไต้ฝู นางเป็ นลูกสาวของเมียหลวงเพียงคนเดียวในครอบครัว และยังมีพีชายอีกคน เพียงแต่ว่าพีชายของนางไม่ค่อยมุมานะเท่าไหร่นัก ตอนนี้ อายุใกล้สามสิบปี แล้วแต่เขายังสอบไม่ได้แม้แต่ตําแหน่งซิวฉายด้วยซํ้า และก่อน หน้านี้ได้ยินมาว่าเหมือนเขาจะไปสละหน้าทีทางราชการแล้วเจ้าค่ะ…” พูดถึง
ตรงนี้ มีหล◌ิวก็เหมือนตกใจที◌่ตัวเองพูดเกียวกับหัวข้อสนทนาของพีชายคุณหนู จัว นางจึงมองเจียงป่ าวชิงอย่ างไม่เป็นธรรมชาติ “ข้าน้อยเล่าไกลเกินไปหรือ เปล่าเจ้าคะ ?”
เจียงป่ าวชิงส่ายหน้าเล็กน้อย “เจ้าเล่าได้ดีมาก ไม่ต้องกังวล เล่าสิงทีเจ้ารู้มา เถอะ”
มีหลิวทีได้รับกําลังใจมีสีหน้าฮึกเหิม นางพูดต่อ “…มารดาผู้ให้กําเนิดคุณหนูจัว ร่างกายอ่อนแอเล็กน้อยจึงมีข้อบกพร่องบางอย่างในท้องของนางเมือตอนที คุณหนูจัวเกิ ดออกมา แต่ต่อมาใครต่อใครต่างก็บอกว่าได้รับการเลี้ยงดูเป็ นอย่างดี แล้ว ทีร่างกายอ่อนแอคงเป็นเพราะคุณหญิงจัวไม่ สบาย เล่ากันว่านางแต่งโฉม ใหม่ให้กับสาวใช้ทีติดตามนางตอนแต่งงาน เพือให้อีกฝ่ ายไปเป็ นนางสนม ต่อมา ก็ถูกยกให้เป็ นเมียน้อย และดูเหมือนว่าหลังบ้านของท่านจัวจะมีแค่ เมียน้อยคนนี้ เท่านั้น แต่ท้องของเมียน้อยคนนี้กลับเอาการเอางานมาก นางเกิดลูกชายหนึงคน และลูกสาวอีกสองคนตามลําดับ” มีหลิวคิดหนัก แต่นางไม่รู้ว่าจะพูดอะไรต่อ จริง ๆ
“เจ้าเคยได้ยินเกียวกับเรือง การคุยเรืองการแต่งงานของคุณหนูจัวหรือเปล่ า ?” เจียงป่ าวชิงจึงถามซะเลย
มีหลิวตาเป็ นกระกายทันที นางพยักหน้า “เคยได้ยินเจ้าค่ะ ข้าน้อยได้ยินมาว่า กําลังคุยเรืองการแต่งงานกับลูกชายคนทีสองของตระกูลหัวหน้าเขต เล่ากันว่า เป็ นการแต่งงานทีดีมาก และเขาว่ากันว่าลูกชายคนทีสองของตระกูลหัวหน้าเขต คนนั้นทั้งมีความสามารถ หล่อเหลา และยังใช้ชีวิตอย่างอิสระด้วย นิสัยของ คุณหนูจัวค่ อนข้างอ่อนแอแต่ได้แต่งงานกับสามีทีเอาใจเก่งพอดี”
“ก็ดีมากแล้วหนิ” เจียงป่ าวชิงถามต่อ “แต่ทําไมข้าได้ยินมาว่าลูกชายคนทีสอง ของหัวหน้าเขตคนนั้นร่างกายอ่อนแอและในบ้านยังมีลูกชายของเมียน้อยสองคน กับลูกสาวของเมียน้อยอีกหนึงคนล่ะ ?”
มีหลิวส่ายหน้าอย่างงุนงง “อันนี้ข้าไม่เคยได้ยินนะเจ้าคะ”
ดูเหมือนว่าเรืองนี้เพิงถูกเปิ ดโปงออกมาหลังจากเกิดเรืองการผูกดวงนั้น และ ข้อมูลของมีหลิวก็ยังไม่ได้มีการเปลียนใหม่
เจียงป่ าวชิงพูดขึ้นอีกครั้ง “แล้วเจ้ารู้เกียวกับโรคทีไม่อาจเปิ ดเผยได้ของคุณหนู จัวหรือเปล่ า ?”
มีหลิวยิงส่ายหน้าหนักกว่าเดิม “แม่นาง แม้ข้างนอกต่างเผยแพร่เรืองทีคุณหนูจัว ร่างกายอ่อนแอตั้งแต่เล็ก แต่กลับไม่มีใครเคยพูดถึงโรคทีไม่อาจเปิ ดเผยได้เลยเจ้า ค่ะ เพราะถึงยังไงใครต่อใครก็ไม่ใช่หมอ ถ้าบอกว่าคุณหนูทีมีห้องส่วนตัวเป็ น โรคทีไม่อาจเปิ ดเผยได้ โดยพื้นฐานแล้วนีถือว่าเป็ นการทําลายชือเสียงของคนคน นั้นไปตลอดชีวิตเลยนะเจ้าคะ การนินทาทีเลวร้ายเช่นนี้ หากไม่ใช่เพราะความ เกลียดชังอย่างลึกซึ้งก็คงไม่มีใครกล้าพูดออกไปอย่างไม่รู้จักคิดเจ้าค่ะ”
เจียงป่ าวชิงพยักหน้าอย่างครุ่นคิด
ดูเหมือนว่าเรืองในงานเลี้ยงชมดอกเหมยจะปูดออกไปข้างนอกโดยถูกใครบาง คนใส่ไฟจนไปถึงหูของจวนหัวหน้าเขต เมือเขาได้ฟัง แน่นอนว่าเขาต้องไม่ยอม ให้ลูกชายคนทีสองทีขี้โรคของเขาสู่ขอลูกสะใภ้ทีขี้โรคเข้าบ้านมาอีกคน พวกเขา จึงต้องคิดหาวิธีถอนหมั้นในขณะทีกําลังผูกดวง
โดยพื้นฐานแล้วนีไม่ต่างจากการขัดแย้งกันเลย
ข่าวลือข้างนอกยิงอยู่ ยิงเยอะ หลายคนกํ าลังคาดเดาว่าคุณหนูจัวคนนี ้ป่ วยเป็ นโรค อะไรทีน่าอาย ถึงได้ทําให้จวนหัวหน้าเขตต้องการถอนหมั้น แม้เกิดการขัดแย้ง กันก็ตามเช่นนั้น
สุดท้าย ข่าวลือเหล่านี้ก็บีบบังคับให้คุณหนูจัวผู้สิ ้นหวังทําได้เพียงแขวนผ้าไหมสี ขาวไว้บนคานบ้านและผูกคอจบชีวิตตัวเองในทีสุด
ถ้าพูดตามหลัก เรืองนี้ไม่ได้เกียวอะไรกับเจียงป่ าวชิง แต่สิงทีทําให้เจียงป่ าวชิง รู้สึกผิดปกติคือตอนทีข่าวลือแพร่กระจายออกไปนั้น มีใครบางคนใช้นางเป็ นแพ
ลองคิดดูว่าไม่ยอมให้หมอตรวจโรค แต่หมอเทวดาหญิงของจวนองค์ชายหย่งชิน กลับยืนยันว่า “รักษาไม่ได้” นีต้องเป็ นโรคทีร้ายแรงขนาดไหนกัน!
……
วันต่อมา เจียงป่ าวชิงเปลียนเป็ นชุดผู้ชาย ใส่หมวกปี กกว้างแล้วห่อตัวเองอย่าง มิดชิด มุ่งหน้าไปทีบ้านเผิงไฉ่เสีย
เมือเผิงไฉ่เสียเห็นเจียงป่ าวชิงมาทีบ้านนางก็ดีใจ “เมือวานพีถูใช้ให้คนไปหาเจ้า แต่ประตูบ้านเจ้าปิ ดสนิท เขารออยู่นานก็หาคนในบ้านเจ้าไม่เจอเลยสักคน”
เจียงป่ าวชิงตกตะลึง นางไม่คิดว่าลูกน้องของถูซีว่างจะทํางานกันมีประสิทธิภาพ เช่นนี้ ผ่านไปไม่เท่าไหร่ก็ได้ข้อมูลมาแล้ว แต่วันนี้ถูซีว่างไม่ได้มาอยู่ทีบ้านเผิง
ไฉ่เสีย เผิงไฉ่เสียจึงพาเจียงป่ าวชิงไปบ้านร้างทีถูซีว่างและพวกลูกน้องมักอาศัย อยู่
ภายในบ้านมีลูกน้องทีเฝ้าบ้านสองสามคนกําลังเล่นทอยลูกเต๋าอยู่ทีนัน เมือเห็น เผิงไฉ่เสียมา พวกเขาก็ลุกขึ้นและเรียกเผิงไฉ่เสียว่า “พีสะใภ้” อย่างคน ประพฤติตัวดี
เผิงไฉ่เสียจึงรีบถามโดยทีไม่สนใจอาการเขินอายอะไรแล้ว “พีถูล่ะ ?”
ลูกน้องคนหนึงส่งเสียงอุทานเล็กน้อยแล้วพูดขึ้น “วันนี้พีถูพาคนออกไปตั้งแต่ เช้าแล้วขอรับ เหมือนเขากําลังช่วยเรืองเงินอะไรสักอย่าง ตอนนี้เขาไปทําธุระให้ สําเร็จขอรับ”
เจียงป่ าวชิงรู้สึกเหมือนมีอะไรมาทิมแทงใจพลางคิดว่าถูซีว่างคงไม่ได้พาคนไปสู้ กับคนกลุ่มนั้นหรอกกระมัง
เผิงไฉ่เสียเองก็รู้สึกไม่สบายใจ ก่อนหน้านี้ตอนทีเจียงป่ าวชิงกับถูซีว่างคุยเรืองนี้ กัน พวกเขาก็ไม่ได้ปฏิเสธอะไรนาง นางจึงรู้ถึงอันตรายของเรืองนี้ “พีถูจะไม่ เป็ นอะไรใช่ไหม…?”
เจียงป่ าวชิงไม่แน่ใจ เมือวานนางเพิงเกิดความสงสัยราง ๆ ถึงได้ต้องการมาถามถู ซีว่างเกียวกับความคืบหน้าของเรืองราวในวันนี้ แต่ไม่คิดว่าถูซีว่างจะพาคนไปสู้ กับคนกลุ่มนั้นแล้ว ช่างบุ่มบ่ามดีแท้!
เจียงป่ าวชิงถอนหายใจแล้วถามผู้คนทีอยู่ดูแลบ้านเหล่านั้น “พวกเจ้ารู้ไหมว่าพีถู ของพวกเจ้าไปทีไหน ?”
พวกลูกน้องต่างพากันส่ายหน้าอย่างงุนงง ขณะเดียวกันเผิงไฉ่เสียลุกลี้ลุกลนมาก ยิงขึ ้น
เจียงป่ าวชิงพูดปลอบ “ตอนนี้เข้าเดือนสิบสองแล้ว ฝ่ ายราชการต่างก็เข้มงวดใน การลาดตระเวนมาก เจ้าดูบนท้องถนนสิ เจ้าหน้าทีลาดตระเวนมีมากกว่าเดิม หลายเท่าไม่ใช่รึ ? อย่าได้ร้อนใจไปเลย คงไม่เกิดเรืองใหญ่ภายใต้เปลือกตาของ ฝ่ ายราชการหรอก”
เผิงไฉ่เสียรู้สึกสบายใจขึ้นเล็กน้อย
แต่พวกลูกน้องเหลือบมองเจียงป่ าวชิงด้วยสายตาไม่เป็นมิตร “ไอ้หมอนีมาจาก ไหน จะสมคบกับพีสะใภ้ของพวกเราโดยอาศัยว่ารูปลักษณ์ของเจ้าดีอย่างนั้นรึ
?! ไม่หัดดูบ้างว่าตัวเองหนักเท่าไหร่! เมือพีใหญ่ของข้ากลับมา เขาฟันหัวเจ้า เละแน่!”
“พูดเหลวไหลอะไร ?!” เผิงไฉ่เสียทําหน้าไม่ถูก “นีเพือนข้านะ!”
ลูกน้องเผชิญหน้ากับเผิงไฉ่เสียด้วยท่าทางกระตือรือร้น “พีสะใภ้ไม่สามารถทิง้ พีใหญ่ของเราเพือเพือนหน้าขาวของพีสะใภ้ได้นะขอรับ พีใหญ่ของพวกเรา จริงใจกับพีสะใภ้มาก พระอาทิตย์กับพระจันทร์เป็ นพยานได้ วันนี้แม้เขาจะ ออกไปต่อสู้ แต่เขายังคิดถึงพีอยู่เลยและบอกว่าเขาจะนําขาหมูนํ้าตาลทีพีสะใภ้ ชอบกินกลับมาให้พีสะใภ้ได้พอดีเวลามื้ออาหารตอนทีเขากลับมา”
เจียงป่ าวชิงใจกระตุกทันที ขาหมูนํ้าตาลเป็ นอาหารทีดีเยียม และเป็ นยีห้อเก่าแก่ กว่าร้อยปี ทั้งเมืองหลวงมีเพียงสองร้านเท่านั้นซึงแยกกันตั้งอยู่ทางใต้กับทาง เหนือ
สภาพแวดล้อมของร้านทางฝังเหนือค่อนข้างสันโดษ โดยรอบมีแต่ครอบครัวมี ชือเสียงเรืองอํานาจ แต่ทางฝังใต้กลับตั้งอยู่ในเมืองทีพลุกพล่านไปด้วยผู้คน หลากหลายประเภท หากว่าสามารถ “นําขาหมูนํ้าตาลกลับมาได้” คิดว่าทีทีถูซี ว่างไปคงอยู่แถวร้านสองร้านนี้ อย่างน้อยก็คงห่างกันไม่ไกลเท่าไหร่นัก
ใช้ส้นเท้าคิดก็คิดออกว่าการต่อสู้ของพวกอันธพาลท้องถินอย่ างพวกเขานั้นคงไม่ สามารถวิงไปแถวร้านทางฝั งเหนือทีเต็มไปด้วยครอบครัวมีชือเสียงเรืองอํานาจ เพราะถ้าหากว่าพวกคนตําแหน่งสูงไม่พอใจพวกเขาและสังให้ผู้คุ้มกันประจํา บ้านจับตัวพวกเขา นันก็ เป็นอะไรทีน่าเวทนามาก และพวกเขาอาจต้องฉลองปี ใหม่ในคุกก็ได้
เจียงป่ าวชิงตัดสินใจด้วยสีหน้าราบเรียบ นางทิ้งท้ายกับเผิงไฉ่เสียว่า “ถ้าหากถูซี ว่างกลับมาแล้วก็ให้เขารอข้าอยู่ทีบ้านเจ้านะ”
เผิงไฉ่เสียมองแผ่นหลังของเจียงป่ าวชิงทีรีบจากไปด้วยความงุนงง