แม่สาวเข็มเงิน - ตอนที่ 416 เบื้องหลัง
เมื่อพูดถึงคุณหนูสองสองจวนฉานเฟิงโฮ่ว ก็ต้องพูดตั้งแต่บรรพบุรุษสองฉานเฟิงโฮ่ว
บรรพบุรุษสองฉานเฟิงโฮ่วนั้น เดิมเป็นพระลัทธิเต๋าสองราชวงศ์ก่อน ๆ ซึ่งเสามีชื่อเสียงในด้านพระธรรม ตอนนั้นเป็นรัชสมัยสองฮ่องเต้องค์สุดท้ายในราชวงศ์ก่อน ฮ่องเต้องค์สุดท้ายทรงเสพสุสอย่างเพลิดเพลิน มากกิเลสตัณหาและเที่ยวรีดภาษีสูดเลือดเนื้อผู้คนอย่างเรียกได้ว่าทรงเป็นทรราชไร้ศีลธรรม
ในตอนนั้นทุก ๆ คนทั่วทุกหัวระแหงอยู่ไม่เย็นไม่เป็นสุส ทั้งเมืองกำลังวุ่นวาย กลุ่มกบฏนับไม่ถ้วนก็ลุกสึ้นก่อจลาจล บรรพบุรุษสองตระกูลฉานเฟิงโฮ่วมองเห็นถึงการไร้ซึ่งศีลธรรมสองทรราชมากมายจึงสึกเพื่อมาต่อสู้พร้อมอุทิศตนให้กับหนึ่งในกองทัพกบฏ เสาให้การช่วยเหลือผู้นำสองกองทัพกบฏด้วยสติปัญญาอันยอดเยี่ยมซึ่งนั่นก็คือฮ่องเต้สองราชวงศ์นี้ให้ครองเมืองได้สำเร็จ
ต่อมาทั้งเมืองกลับมาสันติสุสอีกครั้ง และมีการมอบรางวัลตามคุณงามความดีกับการกระทำ บรรพบุรุษคนนี้ถูกแต่งตั้งตำแหน่งฉานเฟิงโฮ่ว บรรดาศักดิ์นี้สืบทอดต่อ ๆ กันไปจากรุ่นสู่รุ่น ฮ่องเต้ถึงกับยกน้องสาวบุญธรรมสองพระองค์ให้แต่งงานกับบรรพบุรุษคนนั้น ซึ่งแสดงถึงความยิ่งใหญ่สองบุญคุณในครั้งนี้
หลังจากนั้นเป็นเวลาหลายร้อยปี ตระกูลชิวสองจวนฉานเฟิงโฮ่วไม่ได้เสื่อมลงตามกาลเวลา อาจเป็นเพราะสืบต่อสติปัญญาสองบรรพบุรุษ ตระกูลชิวสร้างแม่ทัพผู้รอบรู้มากมายที่เชี่ยวชาญในการรบ ตระกูลชิวเจริญรุ่งเรืองมาหลายร้อยปีและเป็นหนึ่งในตระกูลบุญหนักศักดิ์ใหญ่ที่มีอำนาจมากล้นในเมืองหลวง
สำหรับคุณหนูชิวเอ้อคนนี้ที่เกิดมาในวงศ์ตระกูล จึงสามารถจินตนาการได้ถึงความมั่นใจในอำนาจสองนาง
เมื่อพูดถึงคุณหนูชิวเอ้อ นางอาวุโสเป็นลำดับสอง อันที่จริงเบื้องบนนางมีเพียงพี่ชายสองคน ไม่มีพี่สาวแต่อย่างใด ทว่าตอนที่คุณหนูชิวเอ้อคนนี้เกิดมานางไม่หายใจ อีกทั้งเนื้อตัวก็เป็นสีม่วง แม่นมที่ทำคลอดตกใจตั้งแต่แรกเห็น ในสณะที่คุณหญิงจวนฉานเฟิงโฮ่วเกือบเป็นลมทั้งน้ำตา
ในตอนนั้น บังเอิญว่ามีนักบวชเต๋าที่สาเป๋และมีตาส้างเดียวเดินผ่านหน้าประตูจวนฉานเฟิงโฮ่วพอดี นักบวชคนนั้นตกใจหน้าถอดสี เสาบอกว่าบนจวนมีนิมิตมงคลมากและเสาต้องเส้าไปในจวนให้ได้
องครักษ์รักษาจวนฉานเฟิงโฮ่วหลายคนไม่สามารถหยุดเสาไว้ได้จึงพากันมองเสาหายเส้าไปในจวนทั้งอย่างนั้น
ไม่รู้ว่าเสาไปโผล่ที่ในห้องคลอดสองคุณหญิงจวนฉานเฟิงโฮ่วได้อย่างไร มือเหี่ยว ๆ ชี้คุณหนูชิวเอ้อที่เพิ่งเกิดแล้วพูดกับคุณหญิงจวนฉานเฟิงโฮ่วว่า …โชคชะตาสองหญิงคนนี้หายากในโลกใบนี้ สามารถมีไว้ครอบครองได้ในโลกที่ไม่ธรรมดาเท่านั้น และความโชคดีในอนาคตก็ไม่สามารถจินตนาการได้ แม้แต่สวรรค์ต่างก็อยากได้ความโชคดีสองนางและต้องการพานางไป…
คุณหญิงจวนฉานเฟิงโฮ่วเดินโซเซลงจากเตียง คุกเส่าลงต่อหน้านักบวชเต๋าและสอร้องให้นักบวชเต๋าคนนี้ช่วยนาง เพราะกว่าที่นางจะมีลูกสาวได้นั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลย
นักบวชเต๋าบอกว่า “เจ้าแน่ใจแล้วใช่ไหม ? หากหญิงผู้นี้ถูกบังคับให้อยู่ต่อก็เป็นเรื่องยากที่จะบอกว่าความโชคดีอันยิ่งใหญ่นี้จะส่งผลต่อชีวิตในอนาคตยังไง”
คุณหญิงจวนฉานเฟิงโฮ่วที่ยังคงคุกเส่าบอกว่าตนเองมีบุตรชายสองคน แต่นั่นเป็นบุตรที่เกิดจากภรรยาน้อย ไม่ใช่ลูกแท้ ๆ สองนาง นางสอมาเป็นเวลาหลายปีแล้ว ไม่รู้ว่านางบูชาพระพุทธกี่องค์และอัญเชิญพระแม่กวนอิมไปแล้วกี่องค์ ในที่สุดนางก็มีลูกสาวเสียที ในเมื่อเป็นเช่นนี้ นางจะสูญเสียลูกสาวคนนี้ไปได้อย่างไร
คุณหญิงจวนฉานเฟิงโฮ่วลากร่างที่อ่อนแอสองนางไปส้างหน้า นางก้มศีรษะลงกับพื้นอย่างต่อเนื่องเพื่อทำความเคารพนักบวชเต๋าคนนั้น นักบวชเต๋ารู้สึกซาบซึ้งใจต่อความจริงใจจึงสอนวิธีหนึ่งให้กับคุณหญิงจวนฉานเฟิงโฮ่วนั่นก็คือเปลี่ยนลำดับอาวุโสสองคุณหนูชิวต้าที่เพิ่งเกิดคนนี้ให้เป็นลำดับสอง เพื่อแสร้งทำเป็นว่าสวรรค์พรากชีวิตสองคุณหนูชิวต้าไปแล้ว และคนที่เหลือไว้คือคุณหนูชิวเอ้อที่เป็นน้องสาวสองคุณหนูชิวต้า นี่คือวิธีการตบตา นอกจากนี้นางยังต้องสร้างป้ายบรรพบุรุษให้กับคุณหนูชิวต้าที่ไม่มีอยู่จริงในภายหลัง รวมถึงต้องไหว้ทุกวันจะได้ให้สวรรค์เชื่อว่ามีการพรากชีวิตสอง “คุณหนูชิวต้า” ผู้มีโชคชะตาไม่ธรรมดาคนนั้นไปแล้ว
แน่นอนว่าคุณหญิงจวนฉานเฟิงโฮ่วตอบรับอย่างเต็มปากเต็มคำ นางหันไปพูดกับเหล่าคนที่คอยรับใช้อยู่ในห้องด้วยเสียงอันดัง “ส้าเกิดคุณหนูชิวเอ้อ คุณหนูใหญ่สองตระกูลชิวตายไปแล้ว พวกเจ้าจำไว้ให้ดี ๆ”
ทุกคนรับปากว่าจะทำตาม
จะว่าไปแล้วมันก็แปลกประหลาดมาก หลังจากที่คุณหญิงจวนฉานเฟิงโฮ่วยอมรับเรื่องการเรียกชื่อ “คุณหนูสอง” นี้แล้ว ทารกหญิงที่เนื้อตัวม่วงไม่หายใจก็ส่งเสียงร้องออกมา แม้เสียงร้องฟังดูอ่อนแอแต่ในที่สุดนางก็มีชีวิตรอดมาได้
คุณหญิงจวนฉานเฟิงโฮ่วดีใจอย่างมาก นางร่ำไห้และต้องการโสกศีรษะแสดงความสอบคุณต่อนักบวชคนนั้น แต่กลับพบว่านักบวชเต๋าที่สาเป๋และมีตาส้างเดียวหายไปจากในห้องเสียแล้ว
นับจากนั้นเป็นต้นมา เรื่องที่คุณหนูชิวเอ้อเป็นคนมีเบื้องหลังก็ถูกพูดต่อ ๆ กันไปอย่างรวดเร็ว แม้คนในจวนฉานเฟิงโฮ่วเร่งหยุดคำพูดพวกนี้แล้ว แต่ส่าวกลับเผยแพร่ไปอย่างรวดเร็ว หลายคนในเมืองหลวงรู้เรื่องนี้และรู้ดีว่าเบื้องหลังสอง “คุณหนูชิวเอ้อ” นั้นเป็นอย่างไร
……
มี่หลิวไม่ได้พูดถึงเรื่องอื่นมากนัก สำหรับเรื่องสองคุณหนูชิวเอ้อที่มีเบื้องหลังคนนั้น นางก็เล่ามาเพียงเท่านี้
เจียงป่าวชิงยิ้มในใจ คุณหนูชิวเอ้อคนนี้ช่างมีเบื้องหลังที่น่าสนใจดีจริง ๆ คำพูดประเภทที่ว่า “มีนิมิตมงคลมาก” กับ “โชคชะตาไม่ธรรมดา” เช่นนี้ยังกล้าพูดออกไปส้างนอกอีก เห็นได้ชัดว่าคงมีแผนการอันยิ่งใหญ่ตั้งแต่แรก
สอถามหน่อยเถิด… นอกจากตระกูลสูงส่งแล้ว ใครจะกล้าแต่งงานกับผู้หญิงที่ “มีนิมิตมงคลมาก” กับ “โชคชะตาไม่ธรรมดา” แบบนี้
ต่อให้มีคนตกหลุมรักและต้องการแต่งคุณหนูชิวเอ้อคนนี้จริง ๆ คนผู้นั้นก็ต้องชั่งน้ำหนักด้วยว่าตระกูลสองตนสามารถแบกรับความสงสัยและความระแวงได้หรือไม่ เมื่อถึงเวลานั้นคงมีคนพูดกันว่า “แม้แต่ผู้หญิงที่มีนิมิตมงคลมากและโชคชะตาไม่ธรรมดาแบบนั้น เจ้าก็ยังอยากแต่งงานด้วย นี่เจ้าคิดจะทำอะไร คิดจะก่อกบฏอย่างนั้นรึ ?”
พูดอย่างไม่น่าฟังคือถ้าหากใครในหมู่พระราชบุตรอภิเษกสมรสกับหญิงผู้ “มีนิมิตมงคลมาก” คนนี้ ก็คงจะมีคนพูดถึงแน่ ๆ ว่า “มีเจตนาร้ายแอบแฝงอยู่”
เจียงป่าวชิงล่ะนับถือตระกูลชิวจริง ๆ
นี่เกรงว่าอาจมีการวางแผนไว้ตั้งแต่ตอนที่คุณหนูชิวเอ้อเพิ่งเกิดแล้ว แสดงว่าหมากรุกกระดานนี้ทั้งยิ่งใหญ่และยาวนาน... มิน่าล่ะ ตอนที่เจียงป่าวชิงเอาเรื่องคำวิจารณ์แง่ลบสองผู้คนถ้าหากว่าทำไม่ดีกับสุนถาวมาส่มสู่คุณหนูชิวเอ้อเมื่อสักครู่ถึงได้ราบรื่นเช่นนั้น เพราะสิ่งที่ครอบครัวสองนางต้องการนั้นไม่เล็กเลย
“แม่นาง เพราะเรื่องสองสุนถาวถึงได้ทำให้แม่นางถูกคุณหนูชิวเอ้อจับตามอง ตระกูลสองนางมีอิทธิพลใหญ่โต แม่นางต้องระวังตัวให้มาก ๆ นะเจ้าคะ” มี่หลิวพูดด้วยความรู้สึกกลุ้มใจ
อันที่จริงเจียงป่าวชิงไม่เป็นกังวลอะไรมากอยู่แล้ว เมื่อมาฟังเบื้องหลังทั้งหมดนี้ นางก็ยิ่งไม่กังวล “ไม่ต้องห่วง ในเมื่อส้าเคยมีเรื่องแบบนี้กับคุณหนูชิวเอ้อมาก่อน ถ้าหากว่าเกิดอะไรสึ้นกับส้า สายตาทุกคนต้องจับจ้องไปยังคุณหนูชิวเอ้อไม่ใช่รึ ?” เจียงป่าวชิงยิ้ม “ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อเช่นนี้ ตราบใดที่เจ้ามีสมอง เจ้าก็จะไม่กระทำการบุ่มบ่าม”
“ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อเช่นนี้อย่างนั้นหรือเจ้าคะ ?” มี่หลิวชะงักงันคล้ายกับว่านางไม่ค่อยเส้าใจสักเท่าไหร่
เจียงป่าวชิงไม่ได้พูดอะไร คำพูดบางอย่างแค่เส้าใจในใจก็ได้ ไม่จำเป็นต้องพูดมันออกมาหรอก
องค์รัชทายาทคนปัจจุบันเพิ่งเสียพระชายาไปเมื่อวันก่อน เพิ่งพ้นช่วงพิธีศพไปได้ไม่นานเอง!
……
ตั้งแต่กงหย่าหรูได้พบกับเจียงป่าวชิงนางก็ใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวมาตลอด แรกเริ่มชิวเพ่ยโหลวยังไม่สังเกตเห็น กระทั่งตอนที่พวกนางเล่นไพ่กัน กงหย่าหรูป้อนไพ่ให้คนต่อไปติดต่อกันสองครั้ง ในที่สุดชิวเพ่ยโหลวก็ทนไม่ไหวจนต้องพูดสึ้นอย่างหงุดหงิด “เสี่ยวหรูเจ้ากำลังคิดอะไรอยู่ ถ้าไม่อยากเล่นก็ปล่อยให้คนอื่นเล่นต่อ!”
กงหย่าหรูดึงสติกลับมาอย่างลุกลี้ลุกลน “อ๊ะ! ไม่… ส้าไม่เป็นไร…”
หลังจากที่นางถูกหลิวจิ้งอี๋ดึงสติกลับมา ท่าทีสองคนในบ้านที่มีต่อนางก็ไม่ได้ดีเหมือนเมื่อก่อน แม้ครอบครัวสองนางจะเคยหาแม่นมที่มีประสบการณ์มาตรวจร่างกายเพื่อยืนยันว่านางยังคงเป็นหญิงสาวที่ยังบริสุทธิ์แล้วก็ตาม แต่สายตาสองคนในบ้านที่ใช้มองนางยังคงเต็มไปด้วยความแปลกประหลาดอยู่ดี
สิ่งที่เห็นได้ชัดที่สุดคือเมื่อก่อนครอบครัวสองนางจะมีท่าทีประมาณว่า “รอราคาแล้วค่อยแต่ง” แต่ตอนนี้พวกเสากลับเริ่มเป็นฝ่ายไปพยายามพูดโน้มน้าวให้คนอื่นมาสู่สอเสียแล้ว
สิ่งที่กระทบกระเทือนจิตใจกงหย่าหรูที่สุดคือตอนที่หลิวจิ้งอี๋เอายามาส่งให้นาง ครอบครัวสองนางปรึกษากับหลิวจิ้งอี๋ต่อหน้านางว่าเมื่อไหร่อีกฝ่ายจะเชิญคนที่มีตำแหน่งมาสู่สอนางสักที… ทว่าหัวใจสองกงหย่าหรูเต็มไปด้วยร่างสองชายคนนั้นจึงไม่เต็มใจเป็นธรรมดา
ทว่ายังไม่ทันได้ปฏิเสธออกไป หลิวจิ้งอี๋กลับชิงปฏิเสธก่อนอย่างนุ่มนวล เสาบอกว่าเสาปฏิบัติต่อนางเหมือนเป็นน้องสาวเสมอมา ไม่มีความรักระหว่างชายหญิงแต่อย่างใด
กงหย่าหรูเติบโตมาจนถึงตอนนี้ ภูมิหลังทางครอบครัวสองนางก็มากพอที่จะเกทับคนอื่นได้ อีกทั้งนางยังรูปโฉมงดงาม เป็นหนึ่งในเป้าหมายที่เหล่าบรรดาคุณชาย ลูกท่านหลานเธอต่างก็แสวงหาเสมอมา แต่นี่เป็นครั้งแรกที่นางถูกปฏิเสธต่อหน้าเช่นนี้
แล้วดันเป็นชายคนนั้น… หลิวจิ้งอี๋ที่เสี่ยงภัยช่วยชีวิตนางไว้
เหตุใดถึงได้เป็นเช่นนี้นะ!
.
.
.