แม่สาวเข็มเงิน - ตอนที่ 404 ลูกหลานตระกูลร่ำรวยอีกแล้ว
ถึงอย่างไร เรี่ยวแรงของคนสูงอายุก็มีจำกัด ตื่นตั้งแต่เช้าตรู่มานั่งทรมานตัวเองเป็นเวลานาน ทั้งยังอยู่เล่นกับเหลนชายสักพักใหญ่อีก นายท่านหญิงตี๋รู้สึกเพลียตั้งนานแล้วจึงอดไม่ได้ที่จะแสดงสีหน้าเหนื่อยล้าออกมาให้เห็นและเอามือปิดปากหาว
กงหว่านเดินเข้าไปบีบไหล่ให้นายท่านหญิงตี๋อย่างรู้จังหวะ “ท่านย่า ท่านไปพักผ่อนก่อนเถอะเจ้าค่ะ วันนี้เรากลับกันก่อนแล้ววันพรุ่งค่อยมาคารวะท่านใหม่ ดีไหมเจ้าคะ ?”
นายท่านหญิงตี๋โบกมืออย่างหมดแรง “อืม กลับไปเถอะ เจ้าพาจงเกอเอ๋อร์ไปเล่นก่อน ตอนกลางวันที่เรือนข้าจะมีนกกระทากรอบ จงเกอเอ๋อร์ชอบมาก ถึงตอนนั้นเจ้าค่อยพาเขามาทานอาหารที่นี่”
กงหว่านพยักหน้ารับยิ้ม ๆ
สายตาของนายท่านหญิงตี๋ไปหยุดที่กงจี้กับเจียงป่าวชิงอีกครั้ง แต่นางไม่ได้พูดอะไรอื่น เพียงพูดว่าสามารถมาพบคนแก่อย่างนางได้ในภายหลังนางก็ขอบคุณมากแล้ว
ในคำพูดแลดูเสียดสีเล็กน้อยแต่กงจี้กลับไม่สนใจเลยสักนิด เขากับเจียงป่าวชิงกล่าวลา ทำความเคารพก่อนจะพากันกลับออกไป ทั้งสองดูไม่ค่อยสนใจคนแก่อย่างนางจนนางโมโหพูดไม่ออกชั่วขณะ
เมื่อออกมาจากเรือนสืออันก็ได้สัมผัสกับอากาศบริสุทธิ์ทว่าหนาวเหน็บอย่างกะทันหัน เจียงป่าวชิงปรับตัวอยู่ครู่หนึ่ง ตอนที่เดินอยู่บนทางเดินเล็ก ๆ กับกงจี้ ประกอบกับไม่มีใครอยู่รอบ ๆ นี้นางถึงถอนหายใจแล้วพูดขึ้น “เฮ้อ ซูเหอเซียงในบ้านของนายท่านหญิงฉุนเกินไป แต่ข้าสังเกตว่ากลิ่นซูเหอเซียงนั้น ดูเหมือนว่ามันถูกปรับให้ดีขึ้น มันค่อนข้างแตกต่างจากซูเหอเซียงทั่วไปคล้ายกับว่ามันลดผลข้างเคียงโดยผ่านขั้นตอนการปรุงยา”
กงจี้ไม่ปฏิเสธ “ท่านย่าเคยขอให้ผู้มีฝีมือที่ทำเครื่องหอมในวังช่วยทำให้ นางดูเหมือนเป็นคนหลอกง่ายแต่จริง ๆ แล้วนางก็ดื้อรั้นบ้างในบางครั้ง เช่นเดียวกับกลิ่นนี้ ไม่ว่ายังไงนางก็ไม่ยอมเปลี่ยน นี่ก็ผ่านไปหลายปีแล้วก็ยังคงไม่เคยเปลี่ยน”
ทั้งสองคนพูดคุยกันอยู่บนทางเดินเล็ก ๆ ทันใดนั้น มีเสียงเรียกดังมาจากทางด้านหลังอย่างเร่งรีบ “พี่ชายใหญ่ แม่นางเจียง โปรดช่วยยั้งฝีเท้าก่อนจ้ะ”
กงจี้กับเจียงป่าวชิงหยุดฝีเท้าแล้วหมุนตัวกลับไปก็เห็นว่าเป็นหลูชื่อจากบ้านหลังที่สาม พิจารณาดูแล้วนางถือว่าเป็นน้องสะใภ้ของกงจี้
กงจี้ไม่ได้มีความรู้สึกดี ๆ ต่อคนในจวนติ้งกั๋วโฮ่วทั้งหมด เขายืนเงียบ
หลูชื่อดูเหมือนจะกลัวพี่สามีหน้าตาเย็นชาคนนี้เล็กน้อย นางทักทายกงจี้อย่างขลาดกลัวแล้วมองเจียงป่าวชิงอย่างตื่น ๆ ในฐานะที่นางเป็นคนปรนนิบัติคอยรับใช้แม่สามีอยู่ข้าง ๆ อาการเหล่านั้นที่เจียงป่าวชิงกล่าวถึงก่อนหน้านี้ แม้คุณหญิงถังจะปากแข็งแต่หลูชื่อเข้าใจอย่างชัดเจนอยู่ในใจว่าเจียงป่าวชิงพูดถูกทุกอย่าง ไม่ขาดตกบกพร่องเลยแม้แต่อาการเดียว
ในความคิดของหลูชื่อ การที่เจียงป่าวชิงสามารถรักษาพิษที่ขาของพี่สามีให้หายได้นั้น อีกฝ่ายคงเป็นหมอเทวดาที่ไม่เป็นสองรองใคร
หลูชื่อลังเลเล็กน้อยที่จะเอ่ยปาก นางอ้ำ ๆ อึ้ง ๆ อยู่พักใหญ่ สุดท้ายก็พูดกับเจียงป่าวชิง “แม่นางเจียง ช่วยจับชีพจรให้ข้าหน่อยได้ไหมจ๊ะ ?”
นี่ไม่ใช่เรื่องยากอะไร เจียงป่าวชิงพยักหน้า บอกให้หลูชื่อยื่นแขนออกมา
นิ้วเรียวของนางกดลงไปบนเส้นชีพจรของหลูชื่อเบา ๆ พลางฟังอย่างละเอียดสักครู่ก่อนจะเก็บมือกลับมา “อื้ม ท่านอยากถามอะไรรึ ? เมื่อครู่ข้าเห็นว่าชีพจรของท่านแข็งแรงทรงพลัง เห็นได้ว่าสุขภาพร่างกายของท่านดีมาก ไม่มีปัญหาใด ๆ”
อันที่จริงเมื่อดูจากท่าทางของหลูชื่อ ประกอบกับคำด่าทอของนายท่านหญิงตี๋ เจียงป่าวชิงก็เดาได้แล้วว่าหลูชื่อต้องการถามอะไร
หลูชื่อกัดริมฝีปากล่างพลางพูดขึ้นเสียงเบา “ข้าอยากถามหมอเทวดาว่าทำไมข้าถึงยังไม่ท้องสักที ?”
เป็นอย่างที่คิดไว้จริง ๆ
เจียงป่าวชิงรู้สึกว่าในฐานะที่ตนเป็นหมอคนหนึ่ง แม้จะมีความรู้เรื่องทางเพศของชายหญิงที่เกี่ยวกับการแต่งงานซึ่งสามารถพูดคุยกับหลูชื่อได้ แต่ตอนนี้กงจี้มองดูอย่างสนใจอยู่ข้าง ๆ สาวน้อยที่ยังไม่แต่งงานอย่างนางจึงไม่สามารถพูดเรื่องอย่างว่าออกไปได้โดยปริยายจึงและเลือกที่จะให้คำแนะนำไปว่า “เรื่องอย่างการตั้งครรภ์ต้องปล่อยให้เป็นไปตามลมตามแล้ง ถ้าหากว่าสามีกับภรรยาร่างกายแข็งแรงกันทั้งคู่ ก็ต้องแล้วแต่โชคชะตาจ้ะ”
คงเป็นเพราะมีหมอมากกว่าหนึ่งคนที่เคยพูดกับหลูชื่อเช่นนี้ เมื่อนางได้ฟังคำพูดนี้สีหน้านางก็นิ่งขึ้น นางเม้มปาก พยักหน้าให้เจียงป่าวชิง “ทราบแล้วจ้ะ ขอบคุณหมอเทวดาเจียงด้วยนะจ๊ะ ข้ารบกวนเจ้ากับพี่ชายใหญ่แล้ว ข้าขอตัวก่อน” พูดเสร็จนางก็หมุนตัวเดินจากไป
กงจี้กับเจียงป่าวชิงต่างก็ไม่เก็บเรื่องนี้มาใส่ใจ
กงจี้พาเจียงป่าวชิงไปดูลู่จิ่งซวนที่เมื่อก่อนครอบครัวของเขาเคยพักอาศัยอยู่ มันเป็นอย่างที่คุณหญิงเหวินบอกจริง ๆ ลู่จิ่งซวนที่ไม่มีใครอยู่เป็นเวลานานผ่านการซ่อมแซมแล้ว แม้จะดูเก่าไปหน่อยแต่โดยรวมยังสะอาดอยู่
หิมะหนาไม่มากกองสะสมอยู่ในลานกว้างหน้าเรือนลู่จิ่งซวน แม้มีคนไม่กี่คนที่กำลังกวาดหิมะ แต่ที่นี่กลับดูอ้างว้างเพราะถึงอย่างไรที่นี่ก็ไม่มีคนมาอาศัยอยู่เป็นเวลานานแล้ว
กงจี้ไม่ได้เข้าไป เขายืนอยู่ที่ประตูหน้าและมองเข้าไปข้างในอย่างเงียบ ๆ ส่วนเจียงป่าวชิงเองก็ยืนเป็นเพื่อนเขาอยู่สักครู่
ผ่านไปพักหนึ่งกงจี้ถึงจะพูดขึ้น “เรากลับกันเถอะ”
ตอนที่เจียงป่าวชิงออกมาจากจวนติ้งกั๋วโฮ่ว เวลายังไม่ถึงเที่ยงวัน กงจี้จึงไปที่โรงเตี๊ยมหยุนช่างกับเจียงป่าวชิง
ร้านอาหารที่ต้องจองก่อนล่วงหน้าอย่างโรงเตี๊ยมหยุนช่างมีผู้คนแน่นร้าน ในเมื่อเขากับนางมาถึงในช่วงเวลาทานอาหารจึงไม่มีที่ว่างแล้ว แต่ไม่รู้ว่ากงจี้ใช้ให้องครักษ์ไปคุยอะไรกับเจ้าของร้าน ผ่านไปไม่เท่าไหร่ห้องส่วนตัวหนึ่งห้องก็ว่างซะอย่างนั้น เท่านั้นไม่พอ วิวทิวทัศน์ตรงนั้นยังยอดเยี่ยม สามารถมองเห็นถนนที่มีดอกไม้บานสะพรั่งได้จากชั้นบนด้วย
ตอนที่กงจี้อยู่ในสนามรบ เนื่องจากไม่มีปัจจัยอะไรเขาจึงกินอาหารธรรมดาได้ด้วยสีหน้าราบเรียบ แต่เมื่ออยู่ในที่ที่มีปัจจัยเช่นนี้ เขากลายเป็นคนจู้จี้จุกจิกเป็นพิเศษ
ในบรรดาอาหารขึ้นชื่อของโรงเตี๊ยมหยุนช่างไม่กี่จานที่สั่งมา อย่างน้อยครึ่งหนึ่งถูกเขาเมินเฉยใส่ไปเรียบร้อยแล้วทั้ง ๆ ที่เจียงป่าวชิงรู้สึกว่าอาหารทั้งหมดมันก็อร่อยดี นางอดไม่ได้ แอบวิจารณ์กงจี้ในใจว่า ‘เชอะ! ไอ้คุณชายเรื่องมาก’
ทั้งสองคนกำลังทานอาหารกัน จู่ ๆ ก็ได้ยินเสียงเอะอะโวยวายดังมาจากข้างนอก เสียงที่ค่อนข้างแหลมเสียงหนึ่งดังก้องอยู่ตรงทางเดิน “สาวงามล่ะ! คนไม่เอาไหนอย่างพวกเจ้า เมื่อกี้นี้ยังบอกว่าเห็นสาวงามเข้ามาอยู่เลยไม่ใช่รึ ?!”
เจียงป่าวชิงอดขมวดคิ้วไม่ได้เมื่อได้ฟังเสียงนั้น
“รู้จักรึ ?” กงจี้ถาม
“ลูกหลานตระกูลร่ำรวยคนหนึ่งน่ะ” เจียงป่าวชิงตอบ “เขาเคยมากวนข้าอยู่สองครั้ง น่ารำคาญมาก”
กงจี้หัวเราะเสียงเย็น ในฐานะที่เขาเป็นหนึ่งในคนที่มีตำแหน่งสูงสุดในเมืองหลวง เขาจะรอดูเลยว่าชายคนนั้นเป็นลูกหลานตระกูลร่ำรวยตระกูลไหนกันที่กล้ามาก่อกวนผู้หญิงของเขาได้
ประจวบเหมาะกับประตูห้องส่วนตัวของพวกกงจี้ถูกใครคนหนึ่งผลักเปิดอย่างหยาบคายจากข้างนอก กู่หวายเจี๋ยพาพวกลูกน้องบุกเข้ามาราวกับสำรวจโดยไม่สนใจการห้ามปรามของเจ้าของร้านเลย ช่วงเวลาที่เขาเห็นเจียงป่าวชิง ดวงตาที่ใหญ่กว่าหนูเพียงนิดหน่อยของเขาพลันเป็นประกาย จังหวะหายใจก็ถี่รัว
อันที่จริงในช่วงนี้กู่หวายเจี๋ยรู้สึกว่าตัวเองทำอะไรไม่ค่อยราบรื่นเลย อาจเป็นเพราะเขาปล่อยให้สาวงามที่เขาคิดถึงเช้าเย็นหนีไปได้อีกครั้ง และไม่รู้ว่าเอ็นเส้นไหนของเขาที่ผิดปกติถึงไม่สามารถขยับอะไรได้ทันการเลยในช่วงเวลาสำคัญเช่นนั้น พวกเพื่อนของเขาก็เรียงแถวกันหามเขาเข้าสถานที่ให้บริการรักษาโรค หมอที่นั่นตรวจดูอาการอยู่พักใหญ่แต่กลับไม่พบสิ่งผิดปกติอะไร สุดท้ายเขาค่อย ๆ ขยับตัวได้เอง
แต่ความรู้สึกในใจมันอัดอั้นอย่างประหลาด ทั้งยังไม่มีที่ให้ระบายอารมณ์อีกต่างหาก
ยิ่งลูกน้องของเขาคนหนึ่งมีเรื่องชกต่อยจนถูกจับเข้าคุกแล้ว เดิมทีเขากำลังวางแผนพาลูกน้องคนนั้นแหกคุกแต่กลับได้ยินมาว่าลูกน้องถูกค้นเจอเบาะแสว่าเคยมีโทษฆ่าคนติดตัว นี่ทำให้กู่หวายเจี๋ยตกใจถึงกับรีบเก็บมืออย่างรวดเร็วเลยทีเดียว
หากเป็นเพียงเรื่องชกต่อยธรรมดา ๆ เขาสามารถพาตัวออกมาได้อย่างง่ายดายเพียงแค่สั่งการ แต่การพาตัวฆาตกรมีโทษฆ่าคนติดตัวแหกคุกออกมา เขาไม่เสี่ยงแน่นอน!
กู่หวายเจี๋ยรู้สึกอึดอัดใจอย่างมาก หาสาวงามไม่เจอแล้วลูกน้องยังมาก่อเรื่องใหญ่อีก เขาอารมณ์เสียบ้าคลั่งอยู่หลายวัน เอาแต่ดื่มเหล้าทำตัวไร้ประโยชน์อยู่นาน
ในวงเหล้าวันนี้ ลูกน้องคนหนึ่งของเขาชี้ไปที่ด้านนอก “เฮ้ยพี่ใหญ่ เหมือนข้าจะเห็นสาวงามคนนั้นเข้าไปในโรงเตี๊ยมหยุนช่างนะพี่”
คำพูดนี้ทำให้กู่หวายเจี๋ยรีบพาพวกลูกน้องบุกเข้าไปในโรงเตี๊ยมหยุนช่างทันที ราวกับพบเจอเรื่องที่ทำให้ตื่นเต้นในรอบหลายปีก็มิปาน