แม่สาวเข็มเงิน - ตอนที่ 403 ซ่อมแซมเรือนเก่า
เจียงป่าวชิงพูดอย่างชาญฉลาด คำพูดนางยังคงให้เกียรติและคงศักดิ์ศรีของนายท่านหญิงตี๋ไว้ หญิงชราอารมณ์ดีมาก นางยื่นมือออกไปอย่างมีความสุขแล้วพูดขึ้น “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ แน่นอนว่าข้าไม่สามารถไม่สนใจจิตใจอันกตัญญูของจี้เอ๋อร์ได้ ถ้าข้าไม่ให้เจ้าจับชีพจร ประเดี๋ยวจะเสียน้ำใจหลานข้า”
กงจี้ฟังอยู่ ทว่าสีหน้าเขาราบเรียบ ในหัวก็คิดเพียงว่าเจียงป่าวชิงของเขาพูดจาเรื่อยเปื่อยอะไรก็ไม่รู้ ฟังคำว่า “ต้องถูกเนรเทศไปอยู่ข้างนอก” ที่นางพูดสิ นางอธิบายเรื่องที่เขาไม่อยากกลับจวนให้กลายเป็น “ไม่ใช่ไม่อยากแต่กลับไม่ได้” ไปซะอย่างนั้น เท่านั้นไม่พอยังคุยโวเรื่องความกตัญญูของเขาที่มีต่อนายท่านหญิงอีก
ฮึ่ม!
คำพูดนางไม่รื่นหูเขาเลยจริง ๆ ส่วนคุณหญิงเหวินก็อยากโยนแม่งูพิษในคราบสาวงามคนนี้ออกไปให้รู้แล้วรู้รอด …นี่แม่นางหมอนั่นกำลังพูดถึงใครกัน ?!
คุณหญิงเหวินสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ อยู่หลายครั้งกว่าจะยับยั้งไฟโกรธในใจลงได้
เจียงป่าวชิงยื่นมือไปจับชีพจรให้นายท่านหญิงตี๋อย่างสงบ ผ่านไปสักครู่นางเก็บมือกลับมาโดยที่ไม่ได้พูดอะไร
นายท่านหญิงตี๋เห็นว่าเจียงป่าวชิงไม่พูดไม่จา หัวใจของนางกระโดดขึ้นมาจนถึงคอหอย ตอนนี้นางไม่สนใจอย่างอื่นแล้ว เมื่อคนเราอายุมาก สิ่งที่ให้ความสำคัญมากสุดคือเรื่องสุขภาพ
“ว่าไง ร่างกายข้ามีปัญหารึ ?” นายท่านหญิงตี๋ถามขึ้นอย่างไม่สบายใจ
เจียงป่าวชิงยิ้มแล้วน้อมคำนับนายท่านหญิงตี๋ “นายท่านหญิง เมื่อครู่ข้ากำลังตกตะลึงที่สุขภาพร่างกายของนายท่านหญิงดีมาก คงเพราะได้รับการดูแลอย่างดี เมื่อเทียบกับคนรุ่นเดียวกันข้าบอกได้เลยว่าสภาพชีพจรของท่านชี้ให้เห็นว่าท่านแข็งแรงกว่าคนรุ่นเดียวกันอย่างเห็นได้ชัดเจ้าค่ะ”
นายท่านหญิงตี๋รู้สึกสบายใจ นางเริ่มเปิดใจให้เจียงป่าวชิง แม่นางน้อยคนนี้รู้จักพูดจา อารมณ์ของหญิงชราดีขึ้นและดูเหมือนว่านางจะรู้สึกถูกชะตากับนางแพศยาอย่างเจียงป่าวชิงมากยิ่งขึ้น นางกำลังครุ่นคิดในใจอย่างระมัดระวังว่าถึงอย่างไรตระกูลสูงส่งอย่างพวกเขาก็เป็นไปไม่ได้อยู่แล้วที่จะมีภรรยาหลักเพียงคนเดียว ดูเหมือนหมอสาวคนนี้จะเป็นคนที่รู้เรื่อง หลังจากหญิงสาวตระกูลตี๋ของนางแต่งงานกับกงจี้แล้ว นางค่อยสังเกตอย่างละเอียดอีกทีก็ยังได้ และถ้าหากว่าเจียงป่าวชิงเป็นคนดีไม่ก่อเรื่องน่ารำคาญใจ ถึงตอนนั้นใช่ว่าจะยกอีกฝ่ายขึ้นมาเป็นเมียน้อยไม่ได้สักหน่อย
ถึงอย่างไร การให้คนที่มาจากครอบครัวธรรมดา ๆ มาเป็นเมียน้อยก็ถือว่าไม่แย่
“แต่ก็ยังมีเรื่องที่นายท่านหญิงต้องระวังอยู่เจ้าค่ะ” เจียงป่าวชิงพูดขึ้น “ช่วงนี้ท่านมักรับประทานอาหารมัน ๆ มากเกินไปหน่อย มันส่งผลกระทบต่อร่างกายท่านอยู่บ้าง หลังจากนี้ท่านควรรับประทานอาหารมัน ๆ ให้น้อยลง และควรเพิ่มผักผลไม้สีเขียวอย่างพวกมะระหรือกะหล่ำปลีในมื้ออาหารให้มาก ๆ มันจะช่วยให้สุขภาพร่างกายของท่านดีขึ้น”
เมื่อสักครู่ เจียงป่าวชิงพูดชมจนนายท่านหญิงตี๋หน้าบานเป็นกระด้ง สิ่งที่นางพูดในตอนหลังนี้หญิงชราจึงพยักหน้ารับอย่างสบายอารมณ์ “เมื่อก่อนก็เคยมีหมอหลวงพูดเช่นนี้กับข้า” หญิงชนาเอ่ย จากนั้นนางหันไปสั่งเย่ชุ่ยที่อยู่ข้าง ๆ “เจ้าจำไว้ว่าประเดี๋ยวตอนที่เจ้าไปห้องครัว เจ้าบอกคนครัวด้วยว่าต่อจากนี้ไปทุกมื้ออาหารของข้าต้องมีผักผลไม้สีเขียวอย่างน้อยสามอย่าง”
เย่ชุ่ยถอนสายบัวแล้วไปทำตามคำสั่ง
สถานการณ์ที่แปรเปลี่ยนไปในตอนนี้ทำให้พวกคุณหญิงเหวินตกตะลึงตาค้าง นางพูดขึ้นด้วยรอยยิ้มฝืน ๆ “ที่แท้ทักษะของแม่นางเจียงช่างล้ำเลิศ…”
เจียงป่าวชิงยิ้มน้อย ๆ “ถ้าทักษะข้าไม่ล้ำเลิศแล้วจะทำให้ขาที่ถูกใครบางคนวางยาพิษจนเกือบพิการของคุณชายกงกลับมายืนได้อีกครั้งได้ยังไงล่ะเจ้าคะ ?”
“จริงอย่างที่เจ้าว่า” รอยยิ้มของคุณหญิงเหวินฝืนเต็มที นางหยุดชะงักก่อนจะเปลี่ยนหัวข้อสนทนา “อืม ในเมื่อจี้เอ๋อร์กลับจวนแล้ว ต่อไปเจ้าจะย้ายเข้ามาอยู่ในจวนหรือเปล่าล่ะ ? …เมื่อวันก่อนข้าเพิ่งให้คนซ่อมแซมเรือนลู่จิ่งซวนที่เจ้าเคยอาศัยอยู่ที่นั่นในตอนที่พี่ใหญ่ยังอยู่ ไม่มีใครอาศัยอยู่ที่นั่นนานแล้ว ที่ข้าส่งคนเข้าไปจัดเก็บอย่างดีในครั้งนี้ก็ใช้เวลาอยู่หลายเมื่อเชื่อวันแต่มันไม่สามารถเทียบได้กับตอนที่พี่ใหญ่ยังอยู่เลย อีกประเดี๋ยวจี้เอ๋อร์จะแวะไปดูหน่อยไหม ?”
แม้แต่เจียงป่าวชิงก็ไม่สามารถจับสิ่งผิดปกติในคำพูดนี้ได้จึงพยักหน้าในใจ ดูเหมือนว่าคุณหญิงเหวินจะเก่งเรื่องการทำให้คนอื่นจับผิดนางไม่ได้ เมื่อดูจากสิ่งที่นางทำ สามารถพูดได้ว่านางพยายามอย่างเต็มที่แล้วเพื่อคนของบ้านหลัก นางคงคิดว่า ‘ถ้าเจ้าต้องการจะกลับมาก็ได้ ข้าปรับปรุงเรือนเดิมของเจ้าซึ่งเสียเงินทองไปไม่น้อย ถ้าหากว่าเจ้าไม่ชอบก็เท่ากับว่าเจ้าสิ้นเปลืองทรัพยากร’ นางไม่สนใจเลยว่าคนอื่นจะรู้สึกสะเทือนใจเมื่อเห็นภาพเก่า ๆ หรือไม่ ถ้าหากว่ากงจี้ไม่อยู่ เรื่องนี้ถูกเผยแพร่ออกไปคนอื่นจะพูดเอาได้ว่ากงจี้เย่อหยิ่งฟุ่มเฟือย น้าของเขาเสียเงินตั้งมากมายเพื่อปรับปรุงบำรุงเรือนให้เขา หากว่าเขากลับมาแล้วบอกว่าจะไม่อยู่เรือนก็คงน่าเกลียดเต็มที
แต่กงจี้กลับไม่สนใจ เขาเพียงพยักหน้าอย่างเฉยเมย “ได้ อีกประเดี๋ยวข้าจะเข้าไปดู”
คุณหญิงเหวินพูดขึ้นยิ้ม ๆ “ดี เมื่อถึงตอนนั้นนข้าจะจัดคนไปให้ หลังจากที่เจ้าไปจากที่นี่ พี่สะใภ้ก็ย้ายเข้าไปอยู่ในหอกราบไหว้สรวงสวรรค์ ที่เรือนลู่จิ่งซวนจึงไม่มีเจ้านาย เหล่าคนรับใช้ว่างงานถูกย้ายให้ไปอยู่ที่อื่นด้วยเช่นกัน ตอนนี้เจ้าเข้ามาอีกครั้งจึงต้องเลือกคนรับใช้ชุดใหม่ แต่เจ้าไม่ต้องห่วง เมื่อถึงตอนนั้นข้าจะให้เจ้าได้เลือกอย่างดีที่สุดก่อน”
นี่เป็นการสอดแทรกหูตาเข้าไปในบ้านของกงจี้อย่างประเจิดประเจ้อเห็น ๆ!
“ตามใจท่าน” กงจี้เอ่ย ท่าทีของเขายิ่งดูไม่สนใจมากกว่าเดิม เพราะถึงอย่างไรเขาก็จะไม่ใช้คนที่คุณหญิงเหวินจัดหามาให้แม้แต่คนเดียว
หลังจากทักทายกันยกใหญ่แล้ว คุณหญิงเหวินก็ลุกขึ้น “เอาล่ะ วันนี้ชาวบ้านที่หมู่บ้านข้างล่างจะมาส่งมอบผลผลิตของปีนี้ คงต้องใช้เวลานานพอสมควรถึงจะจัดการเสร็จ ข้าขอตัวก่อน” พูดเสร็จนางก็ลูบศีรษะจงเกอเอ๋อร์เบา ๆ ก่อนเอ่ยสั่ง “จงเกอเอ๋อร์ เจ้าอยู่ที่นี่แล้วดูแลท่านทวดให้ดี ๆ ล่ะ”
จงเกอเอ๋อร์พยักหน้าอย่างรู้เรื่องแล้วพูดขึ้นตามประสาเด็ก “ท่านย่าไปทำงานให้สบายใจเถอะขอรับ ข้าจะดูแลท่านทวดเอง”
นายท่านหญิงตี๋หัวเราะจนไม่สามารถหุบปากได้เพราะเหลนพูดจาน่าเอ็นดู นางโอบกอดจงเกอเอ๋อร์แล้วแหย่เขา “แก้วตาดวงใจ เจ้าจะดูแลทวดยังไงรึ ?”
จงเกอเอ๋อร์มองซ้ายมองขวา ดวงตาของเขาเป็นประกายขณะกระโดดลงจากบนเข่าของนายท่านหญิงตี๋ เขาหยิบถ้วยชาจากถาดน้ำชาที่วางอยู่บนโต๊ะเลื่อมเปลือกหอยเคลือบสีดำด้านข้างแล้วยื่นไปตรงหน้าท่านทวดของเขา “ท่านทวด ดื่มชาให้ชุ่มคอก่อนเถอะขอรับ”
นี่ทำให้นายท่านหญิงตี๋รู้สึกซาบซึ้งใจอย่างมาก นางโอบกอดจงเกอเอ๋อร์ไว้ “อื้ม แก้วตาดวงใจของทวด”
คุณหญิงเหวินกลับไปแล้ว แต่คุณหญิงถังรู้สึกไม่สบายใจมาตลอดเพราะอาการของนางที่เจียงป่าวชิงกล่าวเตือนไว้ก่อนหน้านี้จึงขอตัวกลับด้วยเช่นกัน หลูชื่อลูกสะใภ้ของนางที่เพิ่งแต่งงานเมื่อปีที่แล้วดูเหมือนจะไม่ค่อยพูด นางนั่งอยู่บนเก้าอี้โดยที่ไม่พูดอะไรเลย เพียงแค่ฟังคนอื่น ๆ ถกเถียงกันอยู่ที่นี่เท่านั้น
นายท่านหญิงตี๋โอบกอดจงเกอเอ๋อร์ แต่สายตาของนางเลื่อนไปหยุดที่หลูชื่อ
นายท่านหญิงตี๋เป็นคนที่รู้สึกอย่างไรก็แสดงสีหน้าอารมณ์ออกมาอย่างชัดเจน เมื่อก่อนนางไม่ค่อยสนใจคนของบ้านหลังที่สามสักเท่าไหร่ แต่เพราะตอนนี้นางอารมณ์ดีจึงพูดกับหลูชื่อ “นี่ก็ผ่านไปปีนึงแล้ว เจ้ายังไม่ท้องอีกรึ ?”
หลูชื่อแข็งทื่อทันที
นายท่านหญิงตี๋จึงพูดต่อ “ไม่ใช่ว่าข้าบังคับเจ้า แต่นี่แต่งงานมาปีนึงแล้ว เจ้าเองก็แต่งเข้าตระกูลกงได้ปีกว่าแล้วด้วยแต่กลับไม่มีทายาทให้ตระกูลกงสักที หลูชื่อ เจ้าไม่รู้สึกละอายใจต่อตระกูลกงบ้างเลยรึยังไง ?”
หลูชื่อก้มหน้า คุกเข่าลงกับพื้น
“เจ้าลุกขึ้นเถอะ อย่าคุกเข่าบ่อย ๆ ประเดี๋ยวคนอื่นเห็นเข้าอาจคิดว่าข้าเป็นคนแก่โหดร้ายทารุณเอาได้” นายท่านหญิงรู้สึกเบื่อจึงเบะปาก นางหยอกล้อจงเกอเอ๋อร์อีกครั้งแล้วชี้ไปที่กงจี้ “จงเกอเอ๋อร์เอ๋ย เจ้ารู้หรือเปล่าว่านี่คือใคร ?”
จงเกอเอ๋อร์ตอบเสียงดังฟังชัด “ข้าได้ยินท่านย่าพูดว่านี่คือท่านลุง ท่านพ่อของข้าเป็นน้องชายของท่านลุง และท่านปู่ของข้าเป็นท่านอาของท่านลุงขอรับ”
“ไอ้โยแก้วตาดวงใจของทวด เจ้าช่างฉลาดจริง ๆ!” นายท่านหญิงตี๋ทั้งกอดทั้งหอม จงเกอเอ๋อร์มองกงจี้เล็กน้อย เขาขดตัว กอดคอนายท่านหญิงตี๋แล้วพูดขึ้นเสียงเบา “ท่านลุงน่ากลัวจังเลยขอรับ”
นายท่านหญิงตี๋มองตามสายตาของเหลน แต่กลับไม่เห็นถึงสิ่งผิดปกติใด ๆ จึงตีก้นเขาด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม “ท่านลุงของเจ้าดูดุร้ายเช่นนี้เสมอแหละ เจ้าไม่ต้องกลัวหรอก”