แม่สาวเข็มเงิน - ตอนที่ 400 ขอโทษ
โดนถามกลับเช่นนี้ นายท่านหญิงตี๋ถึงกับไม่รู้จะตอบอย่างไรเลยทีเดียว
หลานชายพิการซึ่งถูกตัดสินว่าคงมีชีวิตอยู่ได้อีกไม่กี่ปีของนาง ไม่เพียงแต่มีชีวิตอยู่ได้หลายปีอย่างเดียว ขาของเขายังถูกรักษาจนหายดีแล้วและเขามายืนอยู่ตรงหน้านางในขณะนี้ เมื่อก่อนถ้าหากว่ามีคนพูดกับนางเช่นนี้ ไม่ว่ายังไงนางก็จะด่าคนนั้นสักยกประมาณว่า… เห็นว่าคนแก่อย่างนางอายุมากแล้วดูเหมือนหลอกง่ายรึ ?!
กงหว่านเองก็มองเจียงป่าวชิงอย่างไม่อยากเชื่อ ทว่าแม่นางที่อ้างว่าเป็นหมอคนนั้นกลับยืนทำสีหน้าไร้กังวล ปล่อยให้นางมองสังเกตอยู่อย่างนั้นเอง
ภายในห้องตกอยู่ในความเงียบชั่วขณะ ได้ยินเพียงเสียง “ปัง” ซึ่งนั่นคือเสียงที่กำลังจะหมดไฟของซูเหอเซียงที่อยู่ในกระถางธูปรูปเท้าสัตว์ทำจากทองแดง เย่ชุ่ยจึงรีบไปเติมธูปอย่างทำอะไรไม่ถูก
กงจิ้งเป็นคนทำลายความเงียบภายในห้อง นางพูดขึ้นยิ้ม ๆ “ที่แท้พี่สาวคนนี้ก็ยอดเยี่ยมมาก ไม่ทราบว่าพี่ไปเรียนมาจากไหน ดูจากท่าทางไม่ธรรมดาของพี่ ไม่รู้ว่าพี่เป็นบุตรสาวของครอบครัวมั่งมีจากที่ไหนนะจ๊ะ”
ความสนใจของนายท่านหญิงตี๋ถูกกงจิ้งดึงกลับมา นางพยักหน้าโดยไม่รู้ตัวแล้วชมกงจิ้งในใจว่าถามได้ดีมาก
นายท่านหญิงตี๋รู้สึกว่ากงจิ้งไม่ค่อยชำนาญในการเข้าร่วมปะทะทางวาจาเท่าไหร่นัก แต่นางกลับเข้ากับคนที่บ้านลูกเมียน้อยของโจอี๋เหนียงในตอนนี้ได้ดีซะอย่างนั้น
ไม่ใช่ว่านางให้อภัยไม่ได้ ถึงอย่างไรก็เป็นเด็กผู้หญิง เมื่อถึงตอนนั้นก็แค่เสียเงินค่าสินสมรสมากกว่าหน่อยเท่านั้น ไม่มีอะไรหรอก แต่เด็กผู้หญิงฉลาดปราดเปรียวคนนี้เป็นลูกสาวของเมียน้อยบ้านหลังที่สามที่นางเกลียดที่สุดนี่สิ
และนี่เป็นสิ่งที่ทำให้นางยากที่จะยอมรับได้ เมื่อไรก็ตามที่นางคิดเรื่องนี้ ไม่ต้องพูดถึงความเกลียดชังที่อยู่ในใจของนายท่านหญิงตี๋เลย
เจียงป่าวชิงมองกงจิ้งโดยไม่รู้ตัว แม้จะได้ฟังคุณหนูทั้งสองของจวนติ้งกั๋วโฮ่วพูดคุยเพียงไม่กี่ประโยค แต่เจียงป่าวชิงก็รู้บางอย่างเกี่ยวกับคุณหนูทั้งสองของจวนติ้งกั๋วโฮ่วแล้ว
เช่นเดียวกับกงจิ้งคนนี้ นางเป็นคนเฉลียวฉลาดมาก
เมื่อต้องการให้นางสู้รบ นางก็จะสู้รบแทนกงหว่านและหยิบยกประเด็นขึ้นมา เมื่อต้องการให้นางทำลายสถานการณ์ นางก็จะพูดแทนกงหว่านและทำลายสถานการณ์ที่กำลังจนตรอก นางทำในสิ่งที่นางควรทำให้สำเร็จในบทบาทของนางอย่างสมบูรณ์ ทว่าบางครั้งมันก็ทำให้คนอื่นคิดว่านางเป็นคนฉลาด แต่บ่อยครั้งที่คนอื่นอดคิดไม่ได้ว่าถึงแม้นางจะฉลาด แต่ก็มันก็เท่านั้น ณ ตอนนี้ส่วนที่น่ากลัวที่สุดของกงจิ้งอยู่ที่นี่แล้ว เป็นไปได้มากว่านางอาจจงใจทำให้คนอื่นคิดอย่างนั้น
เมื่อก่อนเจียงป่าวชิงไม่ค่อยชอบพูดโกหก ทว่าตั้งแต่ได้มาอยู่สมัยโบราณนี้ นางจำเป็นต้องโกหกหน้าตาเฉยเพื่อความอยู่รอดของตัวเอง
ในเมื่อไม่มีปัญหาอะไร ท่าทีไม่หวาดหวั่นของเจียงป่าวชิงที่มีต่อการโกหกนี้จึงเป็นอะไรที่สามารถจินตนาการได้ ด้วยเหตุนี้ ตอนที่นางพูดโกหก สีหน้าจึงทั้งสงบไม่เร่งรีบ ไร้กังวลและเยือกเย็น
“ข้าเรียนรู้กับคนเก่งกาจที่อาศัยอย่างสันโดษในชนบท ไม่ถือว่าเป็นสำนักอะไร เพียงแต่คนเก่งกาจที่ซ่อนเร้นความสามารถของตัวเองไว้คนนั้นเห็นว่าชีวิตข้าลำบาก เขาจึงสอนอะไรหลาย ๆ อย่างให้กับข้า” เจียงป่าวชิงพูดเหตุผลอย่างเป็นทางการของนางออกไป
นายท่านหญิงตี๋เชื่อบ้างไม่เชื่อบ้าง แต่กงหว่านกับกงจิ้งไม่เชื่อคำพูดนี้โดยสิ้นเชิง ทว่าพวกนางไม่เชื่อไปก็เท่านั้นเพราะมันไม่ง่ายเลยที่พวกนางจะซักถามเกี่ยวกับเรื่องนี้
ถึงอย่างไรพวกนางก็ไม่สามารถพิสูจน์อะไรได้อยู่แล้ว เพราะ “คนเก่งกาจ” ในคำพูดของเจียงป่าวชิงนั้นไม่มีอยู่จริงยังไงล่ะ
“ส่วนที่คุณหนูท่านนี้ถามว่าเป็นบุตรสาวจากบ้านไหนนั้น…” เจียงป่าวชิงยิ้มน้อย ๆ “ข้าแซ่เจียง เป็นคนจังหวัดหยูเฟิง เพิ่งเข้ามาอยู่ในเมืองหลวงได้ไม่นานและไม่ถือว่าเป็นบุตรสาวของครอบครัวมั่งมีอะไรหรอกจ้ะ”
ฟังมาถึงตรงนี้ นายท่านหญิงตี๋ก็รู้สึกโล่งใจ เมื่อเป็นเรื่องเกี่ยวกับวงศ์ตระกูล ต่อให้จะเป็นนางแพศยาที่มีเสน่ห์แค่ไหน สถานะอันสูงส่งของกงจี้ก็แสดงให้เห็นอยู่ทนโท่ ทั้งสองคนจะร่วมหอกันประสบความสำเร็จได้อย่างไร
นายท่านหญิงตี๋โล่งใจ แต่ในสายตากงหว่าน นางกลับคิดในใจว่าแย่แล้ว เห็นทีว่าท่านย่าจะถูกแม่นางหมอกำมะลอนั่นจูงจมูกเสียแล้ว นางจัดการกับอารมณ์ของตัวเองแล้วพูดขึ้นยิ้ม ๆ “อ้อ ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้นี่เอง เมื่อสักครู่ข้าเข้าใจผิดเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างแม่นางเจียงกับพี่ชายใหญ่ หวังว่าแม่นางเจียงจะไม่โกรธเคืองนะจ๊ะ” พูดจบ นางก็ทำท่าจะทำความเคารพเพื่อขอโทษเจียงป่าวชิง
ถ้าหากว่าเป็นคุณหนูตระกูลอื่น ตอนนี้ก็คงจะไม่ทำให้อีกฝ่ายรู้สึกเก้อเขินอย่างคนรู้ว่าควรทำยังไง จะให้กงหว่านทำความเคารพตัวเองจริง ๆ ได้อย่างไร คงรีบเข้าไปจับแล้วปล่อยให้เรื่องมันผ่านไปตั้งนานแล้ว
แต่เจียงป่าวชิงกลับมองกงหว่านยิ้ม ๆ โดยไม่ขยับตัว แสดงให้เห็นว่านางต้องการดูกงหว่านทำความเคารพเพื่อขอโทษจนพอใจ
บรรยากาศแลดูเก้อเขินไปสักพัก
กงหว่านคิดไม่ถึงว่าเจียงป่าวชิงจะไม่ห้ามนางเช่นนี้ นางแข็งทื่ออยู่กลางอากาศ กลืนไม่เข้าคายไม่ออกอยู่ชั่วขณะและดูเก้อเขินอย่างถึงที่สุด
กงจิ้งกระแอมไอเล็กน้อย นางดึงชายเสื้อของกงหว่านแล้วพูดกล่อม “พี่หว่านเอ๋อร์ ข้าคิดว่าแม่นางเจียงไม่ใช่คนใจแคบเช่นนั้นหรอก ในเมื่อเป็นเรื่องเข้าใจผิด แค่พูดเข้าใจกันก็ได้แล้ว ท่านพี่ทำเช่นนี้จะเป็นการทำให้แม่นางเจียงรู้สึกเก้อเขินซะเปล่า ๆ”
กงหว่านกำลังจะยืดตัวตรงอย่างคล้อยตามก็เห็นว่าเจียงป่าวชิงส่งเสียงหัวเราะก่อนจะพูดขึ้นอย่างเอ้อระเหย “หืม ข้าไม่ได้รู้สึกเก้อเขินอะไรหนิ ที่คุณหนูกงหว่านบอกว่าข้าทำไม่ถูกหลักประเพณีเมื่อกี้นี้นั้นมันส่งผลกระทบต่อชื่อเสียงของข้าจริง ๆ นี่เป็นครั้งแรกที่ข้ามาพบนายท่านหญิงตี๋ แต่คุณหนูกงหว่านกลับมาพูดจาดูถูกข้า ไม่รู้ว่านายท่านหญิงตี๋จะมองข้ายังไง ข้าคิดว่าคุณหนูกงหว่านควรขอโทษข้าน่ะถูกต้องแล้ว โชคดีที่เป็นนายท่านหญิงตี๋ผู้เฉลียวฉลาดจึงไม่ถูกหลอกง่าย ๆ แต่ถ้าหากว่าเป็นคนอื่น ข้าคิดว่าความบริสุทธิ์และชื่อเสียงข้าคงถูกทำลายเพราะปากของคุณหนูกงหว่านจนไม่เหลือแล้วแน่ ๆ เอ๊ะ! หรือคุณหนูคิดว่าความบริสุทธิ์และชื่อเสียงของข้ามันไม่คุ้มกับคำขอโทษของคุณหนูกงหว่านอย่างนั้นรึ ?”
บรรยากาศภายในห้องอึดอัดในทันทีอย่างยากจะอธิบายได้ มีเพียงกงจี้เท่านั้นที่ใช้สายตาชื่นชมมองเจียงป่าวชิงในขณะนี้
นี่เป็นครั้งแรกที่กงหว่านกับกงจิ้งได้พบกับผู้หญิงอย่างเจียงป่าวชิงซึ่งไม่เหมือนกับพวกคุณหนูอ้อนแอ้นในเมืองหลวง นางไม่สนใจสิ่งที่เรียกว่า “ประเพณีนิยมของสังคม” ที่ใคร ๆ ต่างก็รู้จักกันดีด้วยซ้ำ
กล่าวอีกนัยหนึ่งคือเจียงป่าวชิงไม่ไว้หน้าคุณหนูกงหว่านเลยสักนิด
กงหว่านตัวแข็งทื่อ สีหน้าก็บูดบึ้ง นางพยายามแย้มยิ้มออกมาแต่มันยากลำบากเต็มที “ถูกต้องอย่างที่แม่นางเจียงพูด มันเป็นความผิดของหว่านเอ๋อร์เองจ้ะ” พูดจบ นางทำความเคารพเจียงป่าวชิงอย่างรวดเร็ว ความอัปยศฉายวาบขึ้นมาบนใบหน้าของนาง
ส่วนเจียงป่าวชิงก็รับการทำความเคารพนี้ด้วยใบหน้าแย้มยิ้มพิมพ์ใจ
นายท่านหญิงตี๋กระแอมไอเบา ๆ “เอาล่ะ ในเมื่อเป็นเรื่องเข้าใจผิดและหว่านเอ๋อร์ก็ขอโทษแล้ว เช่นนั้นก็เลิกแล้วกันไป อย่าไปพูดถึงมันอีก”
กงหว่านเป็นหลานสาวญาติสายตรงของนายท่านหญิงตี๋ การที่นางขอโทษคนนอก นายท่านหญิงตี๋จึงรู้สึกไม่พอใจในใจเล็กน้อย แต่ไม่ว่านางจะลำเอียงเพียงใด เจียงป่าวชิงดันเป็นผู้มีพระคุณของหลานชาย นางจึงไม่สามารถทำอะไรได้มากเกินไปนัก เพราะถ้าหากว่ามีคำพูดที่ไม่น่าฟังหลุดออกไปข้างนอก ได้ไม่คุ้มเสียอย่างแน่นอน
“แน่นอนอยู่แล้วเจ้าค่ะ” เจียงป่าวชิงดูเหมือนจะตอบรับอย่างจริงใจ
ภายใต้แขนเสื้อกงหว่าน มือเรียวของนางกำเข้าหากันแน่น และเล็บที่ได้รับการดูแลอย่างดีก็กำลังจะทิ่มแทงเข้าไปในฝ่ามือของนางอยู่รอมร่อ
เนื่องจากเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้น เดิมทีนายท่านหญิงตี๋อยากพูดกับกงจี้เกี่ยวกับความรู้สึกหลังแยกจากกัน แต่ตอนนี้กลับมีความเก้อเขินเล็กน้อย หากว่าเปิดปากพูดนางก็รู้สึกว่ามันจะไม่เป็นเหมือนที่นางคิดไว้
แต่ในขณะนี้ เย่หลงที่รออยู่ข้างนอกก็เลิกม่านแล้วพูดรายงานเข้ามาข้างในว่า “นายท่านหญิงเจ้าคะ คุณหญิงสองกับคุณหญิงสามมาคารวะนายท่านหญิงเจ้าค่ะ”
ในที่สุดก็มีรอยยิ้มปรากฏขึ้นมาบนใบหน้าของนายท่านหญิงตี๋
เจียงป่าวชิงหลีกไปยืนข้าง ๆ ด้วยสีหน้าราบเรียบพร้อมส่งสายตาให้กงจี้ไปด้วย