แม่สาวเข็มเงิน - ตอนที่ 398 สร้างภาพ
กงหว่านรู้สึกดีใจ นางชำเลืองมองพร้อมส่งสายตาบอกให้เย่ชุ่ยรีบไปหยิบไม้เท้ามาให้ท่านย่าของนาง นางอยากให้ท่านย่าไม่เปลี่ยนความคิดแต่นางกลับแสร้งทำเป็นพูดโน้มน้าวท่านย่าราวกับเป็นห่วงเสียเต็มประดา และทำเหมือนตนเองเพิ่งถูกทำให้ตกใจอย่างไรอย่างนั้น
“ท่านย่า ทำแบบนี้ไม่ได้นะเจ้าคะ บางทีพี่ชายใหญ่อาจมีความคิดผิด ๆ ไปชั่วขณะจึงไม่ได้นึกถึงเรื่องนี้ เพราะถึงยังไงก็ไม่ได้เจอหน้ากันนานกว่าสิบปี ตอนนี้ได้ยินมาว่าพี่ชายใหญ่ยอดเยี่ยมมากในราชสำนัก เมื่อวันก่อนพระองค์ท่านก็เพิ่งแต่งตั้งให้พี่ชายใหญ่เป็นแม่ทัพ ถึงยังไงเราก็ควรคำนึงถึงศักดิ์ศรีของเขาด้วยนะเจ้าคะ”
นายท่านหญิงตี๋ได้ฟังก็ยิ่งโกรธมากกว่าเดิมจึงพูดขึ้นอย่างไม่รู้ตัว “หน็อยแน่ ที่แท้เจ้าหลานดื้อก็ปีกกล้าขาแข็งนี่เอง มิน่าล่ะถึงไม่ให้ความสำคัญกับข้าเช่นนี้! เย่ชุ่ย! รีบไปหยิบไม่เท้าเร็วเข้า หรือว่าต้องให้ข้าไปหยิบเองก่อนฮะ ?!”
เย่ชุ่ยรีบพูดว่ามิบังอาจ นางกุลีกุจอไปหยิบไม้เท้าอย่างเร่งรีบ
ตอนที่กงจี้กับเจียงป่าวชิงมาถึงเรือนสืออัน สาวใช้สองสามคนที่ออกมาต้อนรับต่างก็เงียบเป็นเป่าสากและมัวแต่ก้มหน้าเพราะไม่กล้าสังเกตกงจี้
กงจี้ไปจากจวนติ้งกั๋วโฮ่วเป็นเวลากว่าสิบปีแล้ว ใบหน้าเขาเปลี่ยนจากหนุ่มหล่อแบบเด็ก ๆ มาเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น แต่สิ่งเดียวที่ไม่เปลี่ยนคือความรูปงามที่โดดเด่นกว่าเพศเดียวกันปะปนกับความสูงศักดิ์ผสมความเคร่งขรึม เขาเกิดมาเป็นลูกหลานตระกูลสูงศักดิ์โดยกำเนิด
กงจี้ยิ้มเย็นชาเล็กน้อย ท่านย่าตัวดีของเขาคงถูกใครบางคนปลุกปั่นอีกแล้วเป็นแน่แท้ วัน ๆ เอาแต่พูดถึงเรื่องกฎระเบียบและความเหมาะสม แต่กลับส่งพวกสาวใช้ที่ไม่มีตำแหน่งออกมานำทางหลานชายคนโตอย่างเขาที่เพิ่งกลับจวนในรอบหลายปี นางคงอยากแสดงอำนาจให้เขาเห็นโดยเจตนากระมัง
แต่กงจี้หาได้สนใจสิ่งนี้ไม่ เพียงแค่นายท่านหญิงตี๋มักจะชอบดุด่า บอกผู้อื่นให้รู้จักให้ความสำคัญกับเรื่องกฎระเบียบและความเหมาะสม แต่ตนเองกลับทำตามใจชอบ ไม่ให้ความสำคัญกับเรื่องกฎระเบียบและความเหมาะสมเสียเอง แล้วยังหยิบยกเรื่องพวกนี้ออกมาด่าทอด้วย หากให้เขาว่าตามตรง กงจี้รู้สึกว่าท่านย่าตัวดีของเขาค่อนข้างน่าเบื่อจริง ๆ
กงจี้มองเจียงป่าวชิงที่อยู่ข้างกาย ระหว่างทางมาที่นี่ เขาบอกกับนางว่าถ้าหากท่านย่าของเขาพูดอะไรไม่น่าฟังก็ให้นางทำเป็นไม่ได้ยิน และถ้าหากว่านางอยากด่ากลับก็ด่าได้เลยไม่เป็นไร
…
พวกสาวใช้ที่ออกมาต้อนรับในตอนนี้ ส่วนใหญ่จะเป็นพวกลูก ๆ ของสาวใช้ในเรือนที่ได้เลื่อนตำแหน่งหลังจากที่กงจี้ไปจากจวน พวกนางยังเด็กจึงไม่รู้จักกงจี้ สำหรับคุณชายใหญ่ผู้ลึกลับคนนี้ พวกนางเพียงเคยได้ยินเขาลือกันว่าเขาผู้นี้ “คุ้มดีคุ้มร้ายและเหี้ยมโหดมาก”
พวกนางพูดเสียงแข็งโดยไม่กล้าเงยหน้าขึ้น เมื่อลองฟังดูอย่างละเอียดก็จะรับรู้ถึงความสั่นในน้ำเสียง “คุณชายใหญ่ นายท่านหญิงบอกว่าต้องการพบแค่คุณชายใหญ่เท่านั้น จะไม่พบคนที่ไม่เกี่ยวข้องเจ้าค่ะ”
เห็นได้ชัดว่าคำพูดนี้มุ่งเป้าไปยังเจียงป่าวชิง
กงจี้ยิ้มเย็นชาสีหน้าราบเรียบ เขาต้องใช้ความพยายามมากแค่ไหนกว่าจะได้เจียงป่าวชิงกลับคืนมา แต่ดูหญิงชราบ้านเขาสิ กลับต้องการลบล้างเรื่องราวด้วยประโยคที่ว่า “คนที่ไม่เกี่ยวข้อง” อย่างนั้นรึ
กงจี้พาเจียงป่าวชิงเดินเข้าไปในลานบ้านอย่างไม่สนใจ
เจียงป่าวชิงมีท่าทีสงบเช่นกัน นางเดินเข้าไปในเรือนสืออันกับกงจี้ด้วยสีหน้าไร้กังวล เหตุใดนางถึงเป็นคนที่ไม่เกี่ยวข้องเล่า ? ไม่ต้องพูดถึงความสัมพันธ์ส่วนตัวระหว่างนางกับกงจี้ เพียงแค่พูดเกี่ยวกับสถานะอย่างเป็นทางการที่แสดงให้เห็นกันภายนอกในครั้งนี้ นางก็เป็นถึงหมอเทวดาผู้ซึ่งรักษาพิษที่ขาของหลานชายคนโตจากจวนติ้งกั๋วโฮ่วจนหายดีเชียวนะ!
สถานะนี้ ไม่ว่าในจวนไหนต่างก็ถือว่าเป็นแขกผู้มีเกียรติกันทั้งนั้น
พวกสาวใช้มองหน้ากันเลิ่กลั่กแต่ยังคงยืนกรานห้ามกงจี้ “คุณชายใหญ่เจ้าขา นายท่านหญิงบอกว่า…”
กงจี้ไม่มองพวกนางด้วยซ้ำ เป็นพวกองครักษ์ข้างหลังเขาที่กั้นมือของสาวใช้ด้วยฝักดาบ
“ไร้มารยาท! เป็นใครกันถึงได้กล้าไม่เจียมตัวต่อหน้านายท่านของข้าเช่นนี้!”
กงจี้โตมากับองครักษ์เหล่านี้ ไมตรีจิตที่เขามีต่อเหล่าองครักษ์ย่อมไม่ธรรมดา นายท่านที่เป็นเจ้าของจวนโฮ่วอนุญาตให้พวกเขาพกอาวุธในบ้านได้ แต่หลายปีมานี้ พวกองครักษ์ไปจากจวนติ้งกั๋วโฮ่วพร้อมกงจี้ สาวใช้ที่เพิ่งเลื่อนขั้นขึ้นมาใหม่จึงไม่รู้ก็เท่านั้น
พวกสาวใช้ที่ยังไม่มีตำแหน่งเคยเห็นท่าทางเช่นนี้ในเรือนเสียที่ไหนกัน แม้ว่าจะเป็นฝักดาบ แต่เมื่อโดนคมมีดจ่อถึงที่ พวกนางตกใจแข้งขาอ่อนและล้มลงไปนั่งกับพื้น
กงจี้พาเจียงป่าวชิงเดินตรงเข้าไปในบ้านโดยไม่หยุดฝีเท้าเลย
สาวใช้และแม่นมที่อยู่ใกล้ทางเดินของเรือนสืออันต่างก็ค่อนข้างมีประสบการณ์ เย่หลงผู้ซึ่งยืนอยู่ตรงประตูทางเข้ารายงานเข้าไปข้างในอย่างรู้จังหวะด้วยคำว่า “คุณชายใหญ่มาถึงแล้ว” โค้งตัวเล็กน้อยก่อนจะเลิกม่านประตูที่ทั้งหนักและหนาให้กงจี้กับเจียงป่าวชิงด้วยท่าทางเคารพนอบน้อม
ทันทีที่ม่านประตูถูกเลิกออก กลิ่นหอมของซูเหอเซียงที่ทำให้รู้สึกอึดอัดก็เล็ดลอดออกมาจากม่านประตู ปะทะเข้ากับจมูกของเจียงป่าวชิงเต็ม ๆ
พวกคนที่ร่ำเรียนวิชาการรักษาโรคมาอย่างนางต่างก็จมูกไว ทันทีที่กลิ่นซูเหอเซียงฉุน ๆ ปะทะเข้ากับจมูกอย่างกะทันหัน มันทำให้รู้สึกไม่สบายจมูกเล็กน้อย
กงจี้มีความรอบคอบ แม้เขาจะเห็นว่าเจียงป่าวชิงไม่ได้พูดอะไร และไม่มีความผิดปกติแสดงออกมาทางใบหน้าของนาง แต่สีหน้านางกลับแลดูไม่เป็นธรรมอยู่เนือง ๆ เหมือนกำลังกลั้นหายใจอยู่อย่างไรอย่างนั้น
เมื่อนำมาคิดรวมกัน กงจี้ก็ตอบสนองกลับทันที เขายกมือจับม่านประตูให้คงที่แทนเย่หลงเพื่อให้อากาศถ่ายเทสะดวก พร้อมทั้งพูดไปด้วย “สุขภาพของท่านย่าเป็นยังไงบ้างในช่วงนี้ ?”
เย่หลงก้มหน้าพูดอย่างเคารพ “สุขภาพร่างกายของนายท่านหญิงดีมาโดยตลอดเจ้าค่ะ แต่หมอบอกว่าห้ามให้นายท่านหญิงโกรธ และต้องดูแลร่างกายให้ดี ๆ เจ้าค่ะ”
เวลาที่ใช้ในการพูดคุยสองประโยคนี้ ทำให้กลิ่นหอมของซูเหอเซียงไม่ได้รุนแรงเท่าเมื่อครู่นี้แล้ว เขาเห็นว่าสีหน้าของเจียงป่าวชิงเป็นธรรมชาติมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัดจึงค่อยปล่อยม่านลง ทั้งสองคุมท่าทางให้ดูธรรมชาติมากที่สุดจนไม่มีใครสังเกตเห็นถึงความผิดปกตินี้เลย
กงจี้พาเจียงป่าวชิงเข้าไปในตัวบ้าน นี่คือห้องชุด เพื่อป้องกันไม่ให้ความเย็นเข้ามาในฤดูหนาวมันจึงถูกกั้นด้วยฉากกันลมที่ทำจากไม้แกะสลักรูปภูเขากับแม่น้ำ ทั้งสองเดินอ้อมฉากกันลมนี้เข้าไปในห้องข้างใน ถ่านไฟในห้องเผาไว้อย่างเพียงพอและไม่มีควันถ่านเลย คงจะเผาด้วยถ่านกระดูกเงินแบบคุณภาพสูงสุดกระมัง
บนเก้าอี้ไม้จันทร์แกะสลักเป็นรูปดอกไม้ข้างในสุดมีหญิงชราสวมเสื้อคลุมลายดอกเบญจมาศสีอ่อนนั่งอยู่คนหนึ่ง ผมของนางหวีเรียบอย่างดี มือเหี่ยวย่นตามวัยจับไม้เท้าที่แกะสลักเป็นรูปหัวมังกรไว้แน่น สีหน้าของนางก็เคร่งขรึมมากเช่นกัน
กงจี้ยกชายเสื้อและคุกเข่าลง “หลานมาคารวะท่านย่าขอรับ”
ตอนที่นายท่านหญิงตี๋ยังไม่เจอกงจี้ ในใจนางเต็มไปด้วยความแค้นระคนไม่พอใจ แต่ถึงอย่างไรก็ไม่ได้เจอหน้ากันกว่าสิบปีแล้ว ตอนที่กงจี้หนีไปจากที่นี่ เขายังเด็กและมีนิสัยโหดร้ายเนื่องจากถูกพิษ นายท่านหญิงตี๋จึงไม่อยากหวนรำลึกถึงเลย เมื่อเห็นคุณชายผู้สูงศักดิ์รูปงามกำลังคารวะต่อหน้าตัวเองในตอนนี้ นางรู้สึกเพียงความตื่นเต้นเท่านั้น
กะพริบตาครั้งเดียว เวลาก็ผ่านไปสิบปีแล้วสินะ…
นี่คือหลานชายคนโตของตนที่ไม่ได้เจอนานกว่าสิบปี ไม่คิดว่าเขาจะโตมาโดดเด่นได้ถึงเพียงนี้
ทว่าตื่นเต้นไปก็เท่านั้น ถึงอย่างไรยังคงต้องสร้างภาพ นายท่านหญิงตี๋จับไม้เท้าหัวมังกรในมือแน่นโดยไม่ปริปากพูด
กงจี้เองก็ไม่สนใจเช่นกัน เขาทำความเคารพเสร็จแล้วก็ลุกขึ้นยืน
ตรงเก้าอี้สองตัวที่อยู่เตี้ยกว่าเก้าอี้นั่งของนายท่านหญิงตี๋มีเด็กสาวที่ดูเฉลียวฉลาดสองคนนั่งอยู่ หนึ่งในนั้นมีท่าทางร่าเริงอ่อนหวาน สาวน้อยในชุดกระโปรงกันหนาวที่ด้านหน้าเป็นลายผีเสื้อสีแดงทับทิมยืนขึ้น พร้อมกับเด็กสาวอีกคนที่ดูสง่างามสวยเพียบพร้อมซึ่งอยู่ในชุดกระโปรงผ้าไหมยาวทรงผ่าหน้าสีม่วงอ่อนสลักด้วยลายก้อนเมฆและห่านป่า
ทั้งคู่ถอนสายบัวให้กงจี้ “คารวะพี่ชายใหญ่”
กงจี้มองเด็กสาวทั้งสองคนด้วยสีหน้าเรียบเฉย