แม่สาวเข็มเงิน - ตอนที่ 393 กล่อง
เจียงป่าวชิงขมวดคิ้ว “มีเรื่องเข้าใจผิดอะไรหรือเปล่า ? ข้าเคยได้ยินถูซีว่างบอกว่ามีครั้งนึงเขาเห็นเจ้าตกน้ำจึงช่วยเจ้าขึ้นมา เขาบอกว่าเจ้าดูเบลอ ๆ ตอนที่บอกกับเขาว่าจะตอบแทน เขาตกหลุมรักเจ้าตั้งแต่นั้นแต่ไม่รู้ทำไมเจ้ากลับหลบหน้าเขาตลอด”
หัวใจของเผิงไฉ่เสียเต้นรัว ชีวิตนี้นางเคยตกน้ำครั้งเดียว ตอนนั้นนางบอกว่าจะตอบแทนบุญคุณของอีกฝ่ายจริง ๆ แต่เมื่อฟื้นตื่นเต็มตาก็พบว่าติงเหลียนเชิงยืนส่งยิ้มให้นางอยู่ข้างกาย และถามนางว่า ‘ไม่เป็นอะไรใช่ไหมแม่นาง ?’
นางหยุดชะงัก หลังจากสงบสติอารมณ์และใช้ความคิดอยู่สักครู่ก็ถามออกไป “เรื่องนี้เกิดขึ้นประมาณช่วงเทศกาลแห่งความรักใช่ไหม ?”
เจียงป่าวชิงเข้าใจเรื่องราวได้แต่กลับไม่ยอมพูด สู้ให้เผิงไฉ่เสียรับรู้อย่างชัดเจนด้วยตัวเองคงดีกว่า “ถ้าเจ้าอยากรู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เจ้าไปถามถูซีว่างตรง ๆ เถอะ”
เจียงป่าวชิงคิดว่านี่เป็นทางเลือกที่ดีแล้ว ถ้าหากบอกกับแม่สาวน้อยเผิงอย่างชัดเจนไปเลยในตอนนี้ เช่นนั้นแล้วถูซีว่างล่ะ เขาจะเหลืออะไรให้พูดกับเผิงไฉ่เสียได้อีก อธิบายเรื่องเข้าใจผิดเช่นนี้ ให้คนที่เกี่ยวข้องไปจัดการด้วยตัวเองดีกว่า
เมื่อเผิงไฉ่เสียนึกถึงถูซีว่าง นางก็ตัวสั่นหวาดกลัวโดยไม่รู้ตัว พอรู้สึกดีขึ้นมาบ้างก็นึกถึงแผ่นหลังสูงใหญ่ของถูซีว่างที่ปกป้องอยู่ตรงหน้านางอีกครั้ง… นางสับสนเล็กน้อย
เจียงป่าวชิงมองดูท่าทางของเผิงไฉ่เสียและบิดขี้เกียจ มีหลายสิ่งหลายอย่างเกิดขึ้นในช่วงสองสามวันที่ผ่านมาซึ่งนางไม่อยากยุ่งเกี่ยวกับเรื่องที่เหลืออีกแล้วจึงปล่อยให้พวกเขาจัดการกันเอาเอง
เมื่อเห็นว่าเผิงไฉ่เสียยังคงสับสนลังเล เจียงป่าวชิงก็ถอนหายใจ “เฮ้อ… ถ้าเจ้าไม่อยากเจอถูซีว่างก็ไม่เห็นเป็นไรเลย ถึงยังไงถูซีว่างก็เป็นคนเลวอย่างไม่ต้องสงสัย ถ้าหากเจ้าไม่อยากเจอเขา เจ้าก็ไปหาหมอแซ่เกิ่ง เจ้าของร้านยาใจสัตย์ซื่อที่ตั้งอยู่ในซอยฉางผิงแล้วให้เขาบอกต่อข้อความของเจ้าถึงถูซีว่างสิ”
เผิงไฉ่เสียลังเล ทว่าไม่นานนางก็พยักหน้า “อื้ม แต่ข้า… ข้าขอคิดดูก่อนนะ”
สาวน้อยเผิงคนนี้อายุยังไม่มาก นางโชคร้ายต้องเจอกับผู้ชายเลว ๆ ที่มองการณ์ไกลแต่ถือวิสาสะวางหมากบนตัวนางตั้งแต่เนิ่น ๆ
เจียงป่าวชิงไม่ได้พูดอะไรอีก ทำเพียงโบกมือให้สาวน้อยและบอกลาอย่างสุภาพ
หลังจากนั้นไม่นาน เจียงป่าวชิงก็ได้รู้จากเกิ่งจื่อเจียงว่าการที่ติงเหลียนเชิงพยายามหาทางเข้าใกล้เผิงไฉ่เสียอย่างสุดความสามารถก็เพราะหวังฮุบเอาสินสมรสของนาง หรือก็คือหนังสือทั้งหมดที่อยู่ในห้องตำรา พ่อแม่ของสาวน้อยเผิงทำงานเป็นผู้คุ้มกัน ครั้งหนึ่งในตอนที่พ่อของนางทำหน้าที่ส่งของก็ถูกซุ่มโจมตีพร้อมกับผู้เป็นนายและเสียชีวิตทั้งสองฝ่าย ในตอนนั้นพ่อของติงเหลียนเชิงพยายามเก็บลมหายใจเฮือกสุกท้ายไว้เพื่อแอบหนีกลับบ้าน ตอนที่เขาใกล้หมดลมหายใจ เขาบอกกับคนในครอบครัวว่าพ่อแม่ของเผิงไฉ่เสียซ่อนแผนที่ไว้ในห้องตำราบ้านนางโดยตรงจุดที่ทำเครื่องหมายบนแผนที่เป็นสถานที่ซ่อนสิ่งล้ำค่าที่พวกเขาส่งมอบของในครั้งนั้นซึ่งมันมีค่ามหาศาล พูดจบ พ่อของติงเหลียนเชิงก็เสียชีวิต
ทั้งครอบครัวของติงเหลียนเชิงย้ายออกไปจากเมืองหลวงและไร้ที่อยู่อาศัย ต้องยากลำบากเป็นเวลาหลายปี แต่สุดท้ายพวกเขาก็กลับมาที่เมืองหลวงอีกครั้ง
ตั้งแต่นั้นมา เป้าหมายของติงเหลียนเชิงกลายเป็นหนังสือในห้องตำราที่บ้านเผิงไฉ่เสีย เขาถึงกับเคยแอบเข้าไปในบ้านตระกูลเผิงอยู่หลายครั้ง แต่ไม่ว่าจะค้นหาอย่างไรก็หาแผนที่นั้นไม่เจอสักที ทว่าเนื่องจากนี่เป็นคำพูดสุดท้ายของพ่อเขา เขาจึงมั่นใจ ในช่วงจังหวะตอนนั้น ติงเหลียนเชิงได้ยินเกี่ยวกับเรื่องทรัพย์สินมีค่าอีกครั้ง เขาจึงมุ่งเป้าไปที่สาวน้อยเผิง
แม้แต่เรื่องที่เผิงไฉ่เสียตกน้ำก็เป็นแผนการของเขาด้วยเช่นกัน เพียงแต่บังเอิญว่าถูกถูซีว่างแย่งตัดหน้าช่วยเหลือนางก่อน โชคดีที่เขาใช้แผนการตบตาจัดการให้ถูซีว่างออกไปและตัวเขาเข้าไปเสียบแทน เผิงไฉ่เสียจึงเห็นเขาเป็นคนแรกหลังจากที่นางฟื้นขึ้นมา แน่นอนว่าแผนการลงตัว นางคิดว่าเขาเป็นคนช่วยนางไว้
อย่างไรก็ตาม นั่นมันก็เรื่องในอดีตของพวกเขา เจียงป่าวชิงมีเรื่องของตัวเองที่กำลังรู้สึกกลุ้มใจอยู่ในตอนนี้คือ——
กงจี้ส่งกล่องใหญ่ ๆ หลายกล่องมาที่นี่ คงเป็นเพราะเขาคำนึงถึงชื่อเสียงของเจียงป่าวชิง กลางดึกมืดสลัวมีลมพัดแรง คุณชายผู้สูงศักดิ์อย่างกงจี้แอบเข้ามาในห้องของนาง บอกให้นางเปิดประตูบ้านแทนเขาแล้วสั่งให้ขบวนรถม้าขนของที่รออยู่ข้างนอกเงียบ ๆ เคลื่อนเข้ามาเพื่อลำเลียงกล่องขนาดใหญ่หลายกล่องเข้ามาทีละกล่อง แล้วนำมาจัดเรียงเต็มห้องของนาง
เจียงป่าวชิงรู้สึกปวดศีรษะอย่างหนักเมื่อได้เห็น แม้ห้องของนางจะไม่ถือว่าเล็กอะไร แต่หลังจากที่จัดวางกล่องเหล่านี้แล้วก็แทบไม่มีที่เหยียบยืนกันเลยทีเดียว
“เฮ้! คุณชายกง” เจียงป่าวชิงนวดหัวคิ้วเบา ๆ “กล่องมากมายขนาดนี้มันกินพื้นที่เกินไปหน่อยนะ”
กงจี้นั่งดื่มชาอยู่บนเก้าอี้ “กล่องไม่ได้เยอะอะไรหรอก บ้านหลังนี้ต่างหากที่เล็กเกินไป”
“…” เจียงป่าวชิงคร้านจะสนใจเขา
ฝากล่องถูกเปิดออกเพื่อความสะดวก ภายในกล่องหลายกล่องต่างดูโอ่อ่าอย่างมาก โดยเฉพาะแสงอ่อน ๆ ที่สะท้อนอยู่ภายใต้แสงเทียนภายในห้อง
ในกล่องมีเสื้อผ้า เสื้อคลุม และเสื้อตัวใหญ่ ๆ เมื่อดูจากสีสันโทนสว่างบ้างก็ระยิบระยับ เจียงป่าวชิงก็รู้แล้วว่าเสื้อผ้าเหล่านี้ตัดเย็บโดยใช้วัสดุที่ดีที่สุดโดยไม่ต้องสัมผัสด้วยซ้ำ
นอกจากนี้ยังมีเครื่องประดับหนึ่งกล่องใหญ่ที่ถูกจัดวางอย่างเป็นระเบียบอยู่ในกล่อง องครักษ์ของกงจี้แค่เปิดกล่องเครื่องประดับชั้นบนสุดเท่านั้น เครื่องประดับศีรษะ ปิ่นปักผม ต่างหู กำไลข้อมือต่างก็ถูกจัดวางโดยจำแนกประเภทอย่างดี เพียงชำเลืองมองก็จะเห็นได้ว่าทั้งหมดนี้เป็นสิ่งของที่ไม่ธรรมดาเลย
เจียงป่าวชิงมองดูเครื่องประดับทั้งหมดในกล่องนั้นเพียงครู่เดียวก็รู้สึกปวดศีรษะมากกว่าเดิม “ข้าคิดว่าถ้าครอบครัวของข้ามาเห็นในวันพรุ่ง ไม่แน่พวกเขาอาจคิดว่ามีคนนำสินสอดทองหมั้นมาส่งให้ก็ได้”
กงจี้วางถ้วยชาลง เดิมทีน้ำเสียงของเขาก็เยือกเย็นอยู่แล้ว ยิ่งพูดจาอย่างไร้อารมณ์อย่างในตอนนี้ มันยิ่งเย็นชามากขึ้นไปอีก “เจ้าคิดอะไร ของแค่นี้จะถือว่าเป็นสินสอดได้ยังไง บ้านหลังนี้วางสินสอดที่ข้าจะให้เจ้าไม่ได้ด้วยซ้ำ”
“…” เจียงป่าวชิงปรบมือสองครั้งอย่างไม่จริงใจ “โอ้! ตายจริง! นี่ข้าจะได้พึ่งพาเจ้าแล้วอย่างนั้นรึ ?”
กงจี้พยักหน้าอย่างภาคภูมิใจ “ไม่เป็นไรถ้าหากเจ้าจะคิดเช่นนี้”
เจียงป่าวชิงปิดตาพลางถอนหายใจ “คุณชายกง… จู่ ๆ ก็ส่งสิ่งเหล่านี้มาอย่างกะทันหัน ข้ารู้สึกลำบากใจยังไงพิกล”
กงจี้ส่งสายตาดุ ๆ มาทางนางแล้วดึงนางมาตรงหน้าตัวเอง ทั้งสองคนอยู่ใกล้กันมากจนปลายผมของเจียงป่าวชิงสัมผัสข้างแก้มเขาเบา ๆ นั่น… ให้ความรู้สึกจั๊กจี้ไปถึงในหัวใจ
กงจี้อุ้มเจียงป่าวชิงแล้วให้นางนั่งบนหัวเข่าของตัวเอง “ข้ารู้ว่าเจ้าไม่อยากให้คนอื่นรู้ในตอนนี้ แต่คนมีอำนาจก็เป็นเช่นนี้แหละ พวกเขามักเคารพการแต่งกายก่อนที่จะเคารพตัวบุคคล...” กงจี้หยุดชะงักเล็กน้อย “…ถ้าหากว่าเจ้าไม่ชอบจริง ๆ ก็ไม่เป็นไร แต่อย่าลืมว่ามีข้าคอยปกป้องเจ้าทั้งคน ไม่มีใครหน้าไหนที่มันจะกล้าไม่เคารพเจ้า ข้ารับรอง”
กงจี้พูดเช่นนี้ออกมาอย่างหน้าตาเฉย แต่เขาไม่ได้มีเจตนาจงใจอวดดี
เจียงป่าวชิงเกี่ยวคอกงจี้ “ไม่ใช่ว่าข้าไม่ชอบ เพียงแต่นี่เยอะเกินไปจริง ๆ และปกติข้าก็ไม่ได้ใช้เครื่องประดับที่หรูหราเหล่านี้ในชีวิตประจำวัน หากไว้ที่นี่มันจะเป็นการฟุ่มเฟือยไปเปล่า ๆ แต่ก็เอาเถอะ ข้ารู้ว่านี่เป็นน้ำใจจากเจ้า เอาเป็นว่าข้าจะเลือกสองสามอย่างที่สามารถใช้ได้ในวันข้างหน้าเก็บไว้ใช้ ส่วนที่เหลือก็ให้เจ้านำกลับไป”
กงจี้รู้สึกไม่พอใจเล็กน้อย “นี่น้อยมากแล้ว ในเมื่อเจ้าไม่ได้ไม่ชอบ เจ้าเก็บมันไว้ทั้งหมดเถอะ”
เจียงป่าวชิงพ่นลมหายใจยาว “เฮ้อ… เจ้าดูดี ๆ สิ ที่บ้านไม่มีที่เก็บแล้วจริง ๆ นะ”
กงจี้รู้สึกว่าตัวเองเป็นคนที่ไร้ความปราณีและไม่พูดซ้ำสองมาโดยตลอด แต่ตอนนี้เขากลับรู้สึกหลงใหลในความงามของแม่นางเจียงป่าวชิงคนนี้จนหน้ามืด ความอยากโอนอ่อนผ่อนตามนางไปเสียทุกอย่างเกาะกุมจิตใจของเขา แต่ถึงอย่างไร ท่าทางและน้ำเสียงพูดที่แสดงออกไปกลับยังคงเย็นชาเช่นเดิม
“ที่บ้านไม่มีที่เก็บไม่เป็นไร ข้ายังมีบ้านอีกสองหลังที่ซิ่งผิงเหมิน ข้าจะเลือกสักหลังเพื่อให้เจ้าได้วางข้าวของโดยเฉพาะ”
เห็นได้ชัดว่าเขารีบเร่งที่จะให้ความโปรดปราน (ว่าที่) ภรรยาอย่างไม่มีขอบเขต
เจียงป่าวชิงแก้มแดง มือเล็ก ๆ ของนางผลักกงจี้เบา ๆ ท่าทางเขินอายเช่นนี้ไม่ได้มีให้เห็นบ่อยนัก “ไม่ได้หรอก ข้าไม่ต้องการ ขอข้าเลือกไว้สักสองสามอย่างน่ะดีแล้ว ส่วนที่เหลือเจ้าเอากลับเถอะ”
สุดท้าย องครักษ์พิทักษ์คุณชายกงจี้ก็ทำการย้ายกล่องกลับไปไว้บนรถม้าอีกครั้ง พวกเขาต่างก็ไม่กล้าพูดอะไร ของขวัญที่มอบให้ส่วนใหญ่กลับถูกแม่นางน่ารักจิ้มลิ้มคนนั้นปฏิเสธ ดูเหมือนว่านายท่านคงจะอารมณ์ไม่ดี เห็นทีพวกเขาต้องระวังกันเป็นพิเศษแล้ว…
เหล่าองครักษ์กำลังครุ่นคิดในใจ ทันทีที่เงยหน้าขึ้นพวกเขาก็เห็นว่านายท่านที่ไม่ค่อยแสดงอารมณ์ใด ๆ ออกมาทางสีหน้าอยู่เสมอกลับมีรอยยิ้มประดับตรงมุมปาก เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายอารมณ์ดีซึ่งแปลกประหลาดจริง ๆ
ตอนนี้นายท่านของพวกเขากำลังขี่ม้า สีหน้ายิ้มพิมพ์ใจไม่รู้ว่าคิดอะไรอยู่
‘ฮืมมม… นายท่านของพวกเราคงไม่ได้โมโหจนเป็นบ้าไปแล้วกระมัง!’