แม่สาวเข็มเงิน - ตอนที่ 390 ฉุดตัวเจ้าสาว
ในตอนนั้น เจียงป่าวชิงเห็นเรื่องที่เกิดขึ้นกับเผิงไฉ่เสียกับตาตัวเองและมันคงไม่ใช่เรื่องเท็จอย่างแน่นอน อย่างไรก็ตาม ดูจากท่าทางของถูซีว่างก็ไม่เหมือนว่าเขากำลังโกหกแต่อย่างใด ยิ่งกว่านั้น จุดยืนของคนชั่วอย่างเขาก็ดูเหมือนไม่จำเป็นต้องโกหกอะไรด้วยซ้ำ
ถ้าอย่างนั้นก็มีเพียงความเป็นไปได้เดียวคือ… คนที่รังแกเผิงไฉ่เสียในตอนนั้นแอบอ้างเอาชื่อของถูซีว่างมาบังหน้าเพื่อทำเรื่องเลวร้าย
ถูซีว่างเองก็เข้าใจในจุดนี้เช่นกัน เขาตะคอกอย่างเคืองแค้น “ใคร! ใครหน้าไหนมันบังอาจแอบอ้างชื่อของข้าไปรังแกไฉ่เสีย! ต่อให้นางทำไม่ดีกับข้าแค่ไหน ข้าก็สามารถรังแกนางได้คนเดียว! หึ! อย่าให้รู้นะว่าใครกล้ารังแกผู้หญิงของข้า ข้าคิดว่ามันคงใช้ชีวิตจนเบื่อแล้วแน่!”
เจียงป่าวชิงไม่สนใจถูซีว่างที่กำลังบ้าคลั่ง นางเลือกที่จะเอ่ยถามลูกน้องผู้มารายงานข่าวคราวคนเมื่อสักครู่ “เมื่อกี้นี้เจ้าบอกว่าเผิงไฉ่เสียกำลังจะแต่งงานกับใครนะ ?”
ลูกน้องคนนั้นไม่รู้เจตนาของเจียงป่าวชิงที่ถามเช่นนี้ แต่เขายังคงตอบ “แต่งกับคนแซ่ติง”
เจียงป่าวชิงดีดนิ้ว “เอาล่ะถูซีว่าง เจ้าไม่ต้องคลั่งเหมือนแมลงวันไร้หัวอยู่ที่นี่แล้ว เจ้าอยากรู้ว่าใครแอบอ้างชื่อของเจ้าและจงใจเล่นงานเจ้าไม่ใช่รึ ? เจ้าก็ดูสิว่าใครที่ได้ผลประโยชน์ในเรื่องนี้”
ถูซีว่างเหมือนจะเข้าใจแล้ว เขาถึงได้ถลึงตาโตเหมือนตาวัวแบบนั้น “เจ้าหมายความว่า… เป็นไอ้เวรแซ่ติงนั่นอย่างนั้นรึ ?!”
เจียงป่าวชิงเลิกคิ้ว “อื้ม เจ้าก็ยังไม่ถือว่าโง่หนิ ข้าคิดว่าไม่แน่คนที่ทุบเจ้าสลบเมื่อวานก็คงเป็นลูกน้องของคนแซ่ติงด้วยเช่นกัน ที่เขาทุบเจ้าจนสลบไป ประการแรกเจ้าจะได้คิดว่าเป็นฝีมือของเผิงชื่อจินแล้วไปจัดการเผิงชื่อจินอย่างโหดเหี้ยมมากยิ่งขึ้น มันเป็นการเพิ่มความขัดแย้งระหว่างเจ้ากับตระกูลเผิงด้วยซึ่งมันจะได้ทำให้ระหว่างเจ้ากับเผิงไฉ่เสียเป็นไปไม่ได้มากยิ่งขึ้น ประการที่สอง คงเป็นการสกัดไม่ให้เจ้าไปทำลายงานแต่งงานระหว่างเขากับเผิงไฉ่เสีย… จุ๊ ๆ ช่างเป็นแผนการแยบยลดีจริง ยิงปืนนัดเดียวได้นกถึงสองตัว ดูเหมือนว่าความปรารถนาของเขาที่อยากแต่งงานกับเผิงไฉ่เสียนั้นเป็นอะไรที่เร่งด่วนมากเลยทีเดียว”
“เร่งด่วนบ้านแม่ยายมันสิ!” ถูซีว่างตะคอกด้วยความโกรธ “ข้าจะไปฆ่าไอ้สารเลวแซ่ติงนั่นตอนนี้! หน็อยแน่ กล้าใช้ชื่อข้าทำร้ายไฉ่เสียได้ ไฉ่เสียจะแต่งงานกับไอ้สารเลวนั่นได้ยังไง ไม่ได้! ฝันไปเถอะ!”
ถูซีว่างหุนหันพลันแล่น ใบหน้าเขาแดงก่ำ เส้นเลือดใต้ผิวหนังของเขาก็ปูดนูนแทบพุ่งทะลุเนื้อหนังออกมา แต่ทว่าอยู่ในสภาพนี้ได้ไม่เท่าไหร่ ร่างของเขาก็เซส่ายไปมาและล้มลงไปบนพื้นจนเกิดเป็นเสียงดัง
ตึง!
“พี่ใหญ่! พี่ใหญ่!”
ภายใต้เสียงเรียกที่ตื่นตระหนกของลูกน้อง ถูซีว่างราวกับพยายามอย่างที่สุดเพื่อรักษาสติของเขาไว้ ทั้งยังพยายามออกแรงยันร่างลุกขึ้นมาจากพื้นด้วย “ไม่ได้… ข้า.. ข้าต้องไปขัดขวางพวกเขา…”
เกิ่งจื่อเจียงรู้สึกกลุ้มใจอย่างมาก “ถูซีว่าง แผลบนหัวเจ้ายังไม่หายดี ถ้าหากว่าเจ้าอยากฆ่าตัวตายก็อย่ามาฆ่าตัวตายในร้านยาของข้า”
ถูซีว่างจับข้อเท้าของเกิ่งจื่อเจียง น้ำเสียงเขาขาดห้วง “หมอ… หมอเกิ่งช่วยข้าด้วย…” พูดจบเขาก็เอียงศีรษะแล้วสลบไปทั้งอย่างนั้น
ในหัวของเกิ่งจื่อเจียงตีกันให้วุ่นไปหมด เขามองเจียงป่าวชิงอย่างทำอะไรไม่ถูก “เอ่อ… นี่เขา…”
เจียงป่าวชิงลูบกล่องยาที่อยู่ข้างกายพลางถอนหายใจ “เฮ้อ… ถือว่าเขาโชคดีที่วันนี้ข้าพกนี่มาด้วย”
……
ในที่สุดเผิงชื่อจินก็เห็นด้วยกับการแต่งงานของเผิงไฉ่เสียและติงเหลียนเชิง ใบหน้าของทั้งสองคนดูมีชีวิตชีวาระคนเบิกบานใจ แต่เผิงชื่อจิน เขากลับรู้สึกเหมือนว่ามีบางอย่างผิดปกติแต่ไม่สามารถจับความรู้สึกนี้ได้
เผิงไฉ่เสียเริ่มจัดเก็บบ้านอย่างมีความสุขเตรียมออกเรือน
เนื่องจากเรื่องของถูซีว่างนั้นยุ่งเหยิงมาเป็นเวลานาน การแต่งงานของเผิงไฉ่เสียกับติงเหลียนเชิงจึงจัดด้วยวิธีการรวบรัด เพียงแต่ว่าเผิงชื่อจินเตรียมตัวอย่างระมัดระวังมาเป็นเวลาสองวัน เมื่อเห็นว่าทางฝั่งของถูซีว่างไม่มีการเคลื่อนไหวใด ๆ เขาจึงรู้สึกโล่งใจเล็กน้อย และคิดในใจว่าถูซีว่างคงจะปล่อยพวกเขาแล้ว
ถึงอย่างไร เมื่อไฉ่เสียแต่งเข้าบ้านติงเหลียนเชิงแล้ว นางก็จะเป็นสะใภ้ตระกูลติงโดยสมบูรณ์ ต่อให้ถูซีว่างจะเอาแต่กวนไม่มีเหตุผลอย่างไร เขาคงไม่ลงไม้ลงมือกับไฉ่เสียที่กลายเป็นภรรยาของคนอื่นไปแล้วหรอกกระมัง
เมื่อถึงวันที่เผิงไฉ่เสียออกเรือน เนื่องจากไม่สามารถทำเรื่องอย่างโจ่งแจ้งได้ ทางฝั่งของเจ้าบ่าวจึงมารับนางไปส่งที่ห้องสำหรับใช้จัดงานแต่งงานของบ้านติงเหลียนเชิงด้วยการแบกเกี้ยวสีแดงคู่อย่างง่าย ๆ
เผิงชื่อจินก็ตามมาด้วยเช่นกันแต่เขากลับพบว่าในห้องสำหรับจัดงานแต่งงานของบ้านติงเหลียนเชิงนั้น มีเพื่อนของอีกฝ่ายมากกว่าที่เขาคิดไว้ และพวกเขาทั้งหมดดูเป็นพวกอันธพาล
เผิงชื่อจินขมวดคิ้วแต่เขากลับเตือนตัวเองในใจว่าอย่าตัดสินคนจากภายนอก ถึงอย่างไรคนที่ไฉ่เสียเลือกก็จะเป็นสามีที่หลังจากนี้ต้องอยู่กับนางไปตลอดชีวิต เขาพยายามยับยั้งความไม่สบายใจในใจเอาไว้และมองดูติงเหลียนเชิงจูงมือเจ้าสาวเดินเข้ามาในห้องจัดงานแต่งงานด้วยกัน
“หนึ่งคำนับฟ้าดิน!”
ในความคิดของเผิงชื่อจิน หญิงผู้รับหน้าที่ทำพิธีแต่งงานมีบางอย่างที่ดูผิดปกติไปเช่นกัน รูปลักษณ์แก้มตอบปากแหลมนั้นดูไม่มีโหวงเฮ้งเอาเสียเลย โดยเฉพาะตอนที่นางลากเสียงยาวในขณะที่พูดคำพูดมงคล เสียงของนางแทบจะเจาะหูคนฟังเป็นรูโบ๋ และทำให้ผู้คนรู้สึกเป็นทุกข์เมื่อได้ฟังเสียงแหลมบาดหูนั้น
ช่างไม่พิถีพิถันเอาเสียเลย
เผิงชื่อจินรู้สึกไม่พอใจเล็กน้อย อีกทั้งเขานั้นไม่เห็นว่าเผิงไฉ่เสียที่คลุมด้วยผ้าคลุมศีรษะสีแดงมีสีหน้าอย่างไร แต่ที่มุมปากของติงเหลียนเชิงมีรอยยิ้มภาคภูมิใจแปลก ๆ ประดับอยู่ตลอดเวลา ดูเหมือนเขาทำตัวให้เข้ากับสถานการณ์ไม่น้อย
“สองคำนับบิดรมารดา!”
พ่อแม่ของติงเหลียนเชิงเสียชีวิตไปนานแล้ว ทั้งสองคนจึงคำนับป้ายชื่อบรรพบุรุษแทน
ติงเหลียนเชิงจับมือเผิงไฉ่เสียไว้ แต่ขณะนี้เขากลับบีบมือนางแน่น แน่นมากจนเผิงไฉ่เสียพูดขึ้นเสียงเบาอย่างทนไม่ไหวว่า “พี่ติง พี่บีบมือจนข้าเจ็บแล้วนะจ๊ะ”
ติงเหลียนเชิงเหมือนเพิ่งดึงสติกลับมาได้ เขาพูดเสียงเบาด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม “อ๊ะ! เอ่อ… ข้าดีใจเกินไปหน่อย เสียเอ๋อร์ ข้าทำให้เจ้าเจ็บรึ ?”
แม้จะรู้สึกเจ็บจริง ๆ แต่เวลานี้เผิงไฉ่เสียกลับเปี่ยมไปด้วยความสุขล้น นางส่ายหน้าอย่างเขินอายเล็กน้อย
“เสียเอ๋อร์ วันนี้เจ้าแต่งงานกับข้าแล้ว นี่เป็นเหมือนความฝันที่เป็นจริงยังไงยังงั้น” ติงเหลียนเชิงพูดขึ้นเสียงเบา
เผิงไฉ่เสียพยักหน้าอย่างเขินอาย “พี่ติง ข้าเองก็…”
“แต่ครอบครัวของข้ายากจน ไม่มีสินสอดทองหมั้นเป็นรูปเป็นร่างอะไร อีกทั้งครอบครัวของเจ้ายังนำหนังสือมากมายจากในห้องตำรามาเป็นสินสมรสอีก ข้ารู้สึกตื้นตันใจจริง ๆ หนังสือที่อัดแน่นไปด้วยความรู้และวัฒนธรรมเป็นสัญลักษณ์ของปัญญามาตั้งแต่สมัยโบราณ และเป็นสิ่งที่มีค่าที่สุดมาโดยตลอด เสียเอ๋อร์ เจ้านำมาเป็นสินสมรสทั้งหมดเช่นนี้ ข้าไม่มีอะไรจะตอบแทนเจ้า” เสียงของติงเหลียนเชิงเบามาก
“พี่ติงอย่าพูดแบบนี้สิจ๊ะ คุณลุงเคยบอกข้าตั้งแต่ข้ายังเล็กว่าทุกอย่างในห้องตำราจะกลายเป็นสินสมรสของข้า และเขาหวังว่าข้าจะอยู่กับสามีและสั่งสอนลูกได้เป็นอย่างดี” เผิงไฉ่เสียพูดด้วยเสียงที่เบาเช่นกัน เมื่อพูดถึงคำว่าอยู่กับสามีและสั่งสอนลูก นางก็หน้าแดงทันที
เจ้าบ่าวและเจ้าสาวพูดคุยกันดูเหมาะสมกันอย่างยิ่ง เผิงชื่อจินมองดูจากข้าง ๆ และพยักหน้าโดยไม่ตั้งใจ แล้วเขาก็ไม่สนใจความไม่รอบคอบของงานแต่งงานนี้อีก เพราะถึงอย่างไรนี่ก็เร่งรีบเกินไปมาตั้งแต่แรก เป็นเรื่องที่เข้าใจได้ว่าไม่ได้เตรียมตัวกันมาอย่างสมบูรณ์แบบ เด็กทั้งสองมีชีวิตที่ดีได้ก็เป็นสิ่งที่ดีที่สุดแล้ว และเมื่อดูจากท่าทางนอบน้อมในตอนที่ติงเหลียนเชิงนำไฉ่เสียทำความเคารพป้ายที่ใช้บูชาพ่อแม่ของเขาด้วยกันแล้ว ทั้งสองคนคงมีชีวิตที่ดีไม่น้อยหลังจากแต่งงานกันไป
“สามีและภรรยาทำความเคารพซึ่งกันและกัน——”
หญิงผู้ที่รับหน้าที่ทำพิธีแต่งงานลากเสียงยาวเหยียด ในขณะที่เจ้าบ่าวและเจ้าสาวกำลังจะทำความเคารพซึ่งกันและกันนั้นเอง ทันใดนั้น มีเสียงตะโกนอย่างดังมาจากด้านนอก
“ช้าก่อน! ทำความเคารพซึ่งกันและกันบ้านยายเจ้าสิ!”
เผิงไฉ่เสียที่คลุมผ้าคลุมศีรษะหน้าถอดสีในทันใด ขณะเดียวกันติงเหลียนเชิงก็จับมือนางไว้แน่น น้ำเสียงของเขามีความฉุกละหุกแฝงปนกับความลำพองใจราง ๆ “เสียเอ๋อร์ไม่ต้องกลัว รอดูข้าปิดประตูตีแมวก็พอ”
ตอนที่เผิงชื่อจินได้ยินเสียงนั้น เขาก็ตบโต๊ะด้วยความโกรธและยืนขึ้นทันที ไม่คิดว่าไอ้อันธพาลถูซีว่างจะมาก่อกวนกลางงานแต่งงานเช่นนี้ ทว่าตรงทางเข้าบ้าน เห็นถูซีว่างนั่งอยู่บนรถเข็นและถูกใครคนหนึ่งเข็นเข้ามาในบ้าน
ทุกคนตกตะลึงไม่น้อย เดิมทีบรรยากาศตึงเครียดในตอนแรกเปลี่ยนกลายเป็นผ่อนคลายลงแทบจะในทันที แล้วทุกคนก็พากันหัวเราะคิกคัก
“ไอ้โย! พี่ใหญ่ถูกลายเป็นคนพิการไปซะแล้ว”
“กลายเป็นคนพิการแล้ว ยังคิดจะมาฉุดตัวเจ้าสาวอีก ความรู้สึกของพี่ใหญ่ถูที่มีต่อแม่นางเผิงช่างเป็นอะไรที่น่าตื้นตันใจมากจริง ๆ”