แม่สาวเข็มเงิน - ตอนที่ 389 เหลวไหล
เมื่อออกมาจากบ้านตระกูลซุน เจียงป่าวชิงมองท้องฟ้าและพบว่าเวลายังไม่สายนัก นางนึกได้ว่าในบ้านของเกิ่งจื่อเจียงยังมีตัวปัญหาอยู่คนหนึ่งจึงถือโอกาสเดินเลี้ยวไปที่บ้านของหมอเกิ่ง
ครั้งนี้เกิ่งจื่อเจียงกำลังตรวจคนป่วยอยู่ในร้านยา เมื่อเห็นเจียงป่าวชิงมาพร้อมกล่องยาในสภาพหาดูได้ยาก เขาก็พลันชะงักงัน
“เจ้าไปไหนมา ?”
เจียงป่าวชิงนั่งลงบนเก้าอี้สำหรับรอตรวจแล้วพูดขึ้น “ไปช่วยตรวจดูอาการให้ญาติของครูที่สอนพวกน้อง ๆ ข้ามา”
“อ้อ…” เกิ่งจื่อเจียงรู้สึกอึดอัดใจเล็กน้อย ในที่สุดเขาก็อดถามออกไปไม่ได้ “ชายคนเมื่อวานเป็นใครรึ ?”
พูดถึงชายคนนั้น เกิ่งจื่อเจียงเห็นว่าสีหน้าเจียงป่าวชิงที่สุขุมอยู่เสมอและดูไม่เหมือนหญิงสาวทั่วไปเปลี่ยนเป็นอ่อนโยนในทันใด ในดวงตาของนางก็เป็นประกายระยิบระยับราวกับว่าการพูดถึงชายคนนั้นเป็นอะไรที่ทำให้นางมีความสุขมากล้น
“อ๊ะ! อ้อ เขาคือเพื่อน… เพื่อนของข้าคนหนึ่งน่ะ” นางตอบเก้อ ๆ
เกิ่งจื่อเจียงไม่ได้ถามสืบสาวอะไรต่อว่าต้องเป็นเพื่อนแบบไหนถึงสามารถทำให้นางเผยสีหน้าเช่นนี้ออกมาให้เห็นได้ เขาเตือนตัวเองในใจว่าอย่าก้าวก่ายชีวิตส่วนตัวของนางมากเกินไป มิเช่นนั้น ไม่แน่แม้แต่เพื่อนธรรมดาก็คงจะเป็นไม่ได้
ในช่วงหลายปีที่ร่อนเร่พเนจรอยู่ข้างนอก เกิ่งจื่อเจียงมีประสบการณ์ชีวิตเพิ่มขึ้นเช่นกัน เขาไม่ใช่เจ้าของร้านยาผู้ซื่อบื้อหัวอ่อนคนเดิมอีกต่อไป
“อ้อ ใช่ ถูซีว่าง คนที่เจ้าเคยช่วยไว้ก่อนหน้านี้ล่ะ ?” เจียงป่าวชิงถามถึงชายคนนั้น เขาคือจุดประสงค์หลักที่นางมาหาเกิ่งจื่อเจียงในครั้งนี้
เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ เกิ่งจื่อเจียงชี้ไปด้านหลังด้วยสีหน้าอย่างคนที่กำลังปวดศีรษะอย่างยิ่งยวด “อยู่ข้างใน เมื่อคืนข้ากลัวว่าอาการป่วยของเขาจะไม่คงที่จึงให้นอนอยู่ในห้องข้าตลอดทั้งคืน โหย เสียงกรนของเขานี่นะ ดังสนั่นลั่นฟ้า ข้าล่ะนับถือเขาจริง ๆ”
ไม่แปลกใจเลยที่วันนี้เกิ่งจื่อเจียงใต้ตาคล้ำ ท่าทางของเขาดูเหมือนนอนไม่เพียงพออย่างเห็นได้ชัด
เจียงป่าวชิงพยักหน้ารับรู้ “อื้ม แต่ถ้าอาการป่วยของเขาคงที่แล้วก็รีบให้เขากลับไปซะ ขืนปล่อยให้อยู่ที่นี่ต่อจะเป็นการสร้างปัญหาให้กับเจ้าเปล่า ๆ”
เกิ่งจื่อเจียงพยักหน้า เขาเองก็รู้ว่าการที่รับหัวโจกของพวกมีอิทธิพลในท้องถิ่นมารักษาอยู่ในบ้านนั้นมีความเสี่ยงมากเพียงใด ตัวเขาเองเป็นเพียงเจ้าของร้านยาเล็ก ๆ ธรรมดา ๆ ไม่มีอำนาจและไม่ได้ร่ำรวย แล้วเขาจะต่อต้านพวกคนมีอิทธิพลเหล่านั้นได้อย่างไร
เจียงป่าวชิงพูดคุยกับเกิ่งจื่อเจียงอีกเล็กน้อยก่อนจะไปดูถูซีว่างที่ด้านหลังและพบว่าตรงศีรษะของเขายังคงพันด้วยผ้าพันแผลหลายชั้น เวลานี้เขากำลังฝึกต่อยมวยกับต้นสนในลานบ้านด้วยสภาพเปลือยท่อนบน
“โอ๊ะ! วีรบุรุษ ชายชาตรี” เจียงป่าวชิงปรบมือสองครั้งอย่างไร้ความจริงใจ ทว่าถูซีว่างกลับไม่รับรู้ถึงน้ำเสียงประชดในคำพูดของนาง เขาส่งเสียงออกมาทางจมูกอย่างลำพองใจ
“ฮืม ก็ใช่สิ ข้าไม่ได้ผอมกะหร่องเหมือนหมอเกิ่งหนิ”
เกิ่งจื่อเจียงยิ่งรู้สึกปวดศีรษะมากกว่าเดิม “ข้าบอกเจ้าแล้วไม่ใช่รึว่าอย่าขยับตัวมากเกินไปนัก แผลตรงหัวเจ้ายังไม่หายดี นี่เจ้ายังกล้าไม่ใส่เสื้ออีก ถ้าหากว่าเป็นหวัด อาการเจ้าจะยิ่งแย่ลงกว่าเดิม เจ้านี่มันช่าง…” เกิ่งจื่อเจียงถึงกับคิดคำด่าไม่ออกเลยทีเดียว
“ข้าคิดว่าเขาอยากทรมานให้ตัวเองป่วยเพื่อจะได้อยู่ที่บ้านเจ้าต่อไปมากกว่า” เจียงป่าวชิงพูดขึ้นอย่างสงบ “เพราะถึงยังไงเขาต้องถูกไล่ฆ่าเมื่ออยู่ข้างนอก มันปลอดภัยกว่ามากเมื่ออยู่ที่บ้านเจ้า”
“พูดจาเหลวไหลอะไรของเจ้า!” ในที่สุดถูซีว่างก็เข้าใจการประชดประชันที่อยู่ในคำพูดของเจียงป่าวชิง เขาโกรธหน้าแดงก่ำ “ข้าฝึกวิชามวยตั้งแต่ยังเด็ก เป็นไปไม่ได้ที่ข้าจะป่วย เจ้าจะไปรู้อะไร!”
แต่ดูเหมือนว่าสวรรค์ต้องการหักหน้าถูซีว่าง ยังพูดไม่ทันจบคำ เขาก็จามอย่างแรงซะอย่างนั้น และตอนที่เขาลืมตาก็เห็นว่าเจียงป่าวชิงมองมาทางเขาด้วยสีหน้าเยาะเย้ย
ถูซีว่างทั้งรู้สึกอับอายระคนโกรธเคือง อยากฆ่าปิดปากเจียงป่าวชิงให้รู้แล้วรู้รอดซะจริง!
แต่ก็ทำไม่ได้…
ถูซีว่างพุ่งกลับไปที่ห้องด้วยความรู้สึกอึดอัดใจ
เกิ่งจื่อเจียงพูดขึ้นอย่างกลุ้มใจ “แม่นางเจียง ทำไมเจ้าถึงชอบลูบเคราเสือ จงใจกระตุ้นให้เขาโกรธนักล่ะ ? ถูซีว่างคนนี้ชั่วร้ายมากเลยนะ”
เจียงป่าวชิงเม้มปากอย่างสงวนท่าที “เขาไม่ได้ชั่วร้ายอะไรขนาดนั้นหรอก” …ต่อให้ชั่วร้ายกว่านี้ แต่เทียบกับกงจี้ของเธอได้ด้วยหรือ…? ตอนพบกันครั้งแรก กงจี้คิดจะฆ่านางจริง ๆ ด้วยซ้ำ… เมื่อนึกถึงเรื่องตอนนั้น นางก็อดที่จะหัวเราะเสียงเบาไม่ได้
เกิ่งจื่อเจียงรู้สึกชาหนังศีรษะชาเมื่อมองมาจากข้าง ๆ ทำไมเขารู้สึกว่าสีหน้าของแม่นางเจียงค่อนข้าง… แปลกประหลาดนักล่ะ
ตอนที่ถูซีว่างกลับออกมาอีกครั้ง ท่อนบนของเขาในตอนนี้สวมใส่เสื้อเป็นที่เรียบร้อยแล้ว แม้จะดูบางไปนิดแต่ก็ดีกว่าเปลือยเปล่าแบบเมื่อสักครู่นี้
เกิ่งจื่อเจียงพยักหน้าพึงพอใจ “อืม ถูซีว่าง ไม่มีอะไรดีไปกว่าการที่เจ้ารักและดูแลตัวเองแบบนี้อีกแล้ว”
ถูซีว่างส่งเสียงฮึดฮัดออกมาทางจมูกอย่างไม่พอใจ “ถ้าข้ามัวแต่รักตัวเองแล้วจะเป็นหัวหน้าได้ยังไง!”
เกิ่งจื่อเจียงไม่เห็นด้วย เขากำลังจะพูดอะไรบางอย่างแต่จู่ ๆ ข้างนอกก็มีชายคนหนึ่งตะโกนขึ้นว่า “พี่ใหญ่ พี่ใหญ่!” ด้วยความร้อนใจและบุกเข้ามาที่บ้านด้านหลัง
“เจ้าจะลนลานทำไมวะ ?!” ถูซีว่างรู้สึกว่าลูกน้องที่เก็บอาการตื่นตระหนกไม่อยู่เช่นนี้ทำให้เขาอับอายขายหน้าจึงอดตำหนิไม่ได้
ลูกน้องคนนั้นยังคงมีท่าทีร้อนรนมาก “โธ่! พี่ใหญ่ฟังข้าก่อน แม่นางเผิง… แม่นางเผิงกำลังจะแต่งงานกับไอ้คนแซ่ติงนั่นแล้วขอรับ!”
“ว่าไงนะ!” ถูซีว่างโมโหจนหัวใกล้ระเบิด เขาตะเพิดขึ้นเสียงดัง “ทำไมไฉ่เสียถึงทำกับข้าเช่นนี้! ไม่ได้ ข้าต้องไปก่อกวนที่งานแต่งงานของพวกนั้น!”
เมื่อเกิ่งจื่อเจียงได้ฟัง แม้เขาจะยังคงหวาดกลัวอยู่เล็กน้อยแต่ก็ยืนกรานที่จะห้ามถูซีว่าง “เฮ้นายถู!เจ้าพอได้แล้ว เลิกแล้วกันไปเถอะ แม่นางคนนั้นปล่อยให้เจ้าก่อความวุ่นวายมาตั้งนาน เจ้าทำให้นางตกใจกลัวจนนางไม่กล้าออกจากบ้าน แถมลุงของนางยังถูกเจ้าทำร้ายตั้งหลายครั้ง เจ้าปล่อยครอบครัวของนางไปเถอะ”
ถูซีว่างโกรธควันออกหู “เป็นไปไม่ได้! ข้าชักจะโมโหแล้วนะโว้ย! แม่นางไฉ่เสียไม่รักษาคำพูด ไร้น้ำใจกับข้าก็ทีนึงแล้ว นางมีสิทธิ์อะไรไปแต่งงานกับไอ้เถื่อนแซ่ติงคนนั้น ไอ้นั่นมันเทียบข้าได้ตรงไหน!”
เกิ่งจื่อเจียงรู้สึกงุนงงเมื่อได้ฟัง เหตุใดเขาถึงรู้สึกว่ามีความผิดปกติในความหมายของคำพูดนี้… ฟังแล้วเหมือนกับว่าหญิงแซ่เผิงคนนั้นเคยมีความสัมพันธ์ชายหญิงกับนายถู อิทธิพลท้องถิ่นคนนี้อย่างนั้นแหละ
แม้แต่เกิ่งจื่อเจียงยังฟังเข้าใจถึงความหมายแฝง นับประสาอะไรกับเจียงป่าวชิง
เจียงป่าวชิงรู้สึกว่ามันแปลกตั้งแต่แรกแล้ว ตอนที่คนมีอิทธิพลท้องถิ่นผู้หยาบคายอย่างถูซีว่างพูดถึงเผิงไฉ่เสีย แม้จะดูมีความหยาบคายแต่ท่าทีของเขากลับไม่ได้มีความต้องการทำลายนางแม้แต่น้อย ทั้งยังมีความน้อยใจแฝงอยู่ในคำพูดเมื่อครู่อีกด้วยซึ่งมันตรงกันข้ามกับท่าทางตามปกติของพวกอันธพาลท้องถิ่นที่ชอบลักพาเอาหญิงสาวชาวบ้านไปนอนกับตนโดยสิ้นเชิง
เจียงป่าวชิงพูดด้วยสีหน้าราบเรียบ “เจ้ายังมาถามว่านางมีสิทธิ์อะไรที่นี่อีก เจ้าส่งคนไปจนเกือบทำลายความบริสุทธิ์ของนาง มันก็เป็นธรรมดาที่นางจะตกใจกลัวจนต้องรีบแต่งงานเพื่อปกป้องตนเองให้ปลอดภัยจากเจ้า”
ถูซีว่างตกตะลึง “เจ้ากำลังพูดถึงไอ้สารเลวตัวไหน เจ้าบอกว่าข้าส่งคนไปจนเกือบทำลายความบริสุทธิ์ของใครนะ ?”
เจียงป่าวชิงพูดขึ้นอย่างเย็นชา “ยังจะมีใครได้อีกเล่า ก็เผิงไฉ่เสียยังไงล่ะ ตอนนั้นถ้าข้าไม่ได้บังเอิญเดินผ่านทางนั้น เผิงไฉ่เสียคงเสร็จคนที่เจ้าส่งไปแล้ว”
“เหลวไหล!”
ถูซีว่างโกรธจนตาแดงก่ำ ราวกับว่าเขากำลังจะเป็นบ้า “ข้ายังทำใจไม่ได้ที่จะแตะต้องไฉ่เสียแม้แต่ปลายนิ้ว แล้วข้าจะส่งคนไปรังแกนางได้ยังไง ?! ถ้าจะเล่นงานก็ควรเล่นงานไอ้ลุงเวรของนางที่ชอบขัดขวางข้ายังจะดีเสียกว่า ตั้งแต่ต้นจนจบข้าไม่เคยแตะต้องไฉ่เสียแม้แต่เส้นผมเส้นเดียวด้วยซ้ำ!”