นิยาย แม่มดสาวมุ่งมิ่ง ตอนที่ 55 ผมตกใจครับ
มันก็แค่ห้าร้อยเหรียญเองไม่ใช่เหรอ? ผมจ่ายได้สบายมาก
“ฉันชอบลูกค้าที่ตรงไปตรงมาแบบนี้มากที่สุดไม่ต้องห่วงตราบใดที่ฮัวชิวเซียนเป็นพี่สาวของคุณฉันสามารถพาเธอกลับมาได้แน่นอน” ฮันเป้าเมยสัญญา
จากนั้นทั้งสามคนขึ้นรถและมุ่งหน้าไปยังชุมชนที่เด็กหนุ่มอาศัยอยู่ประมาณหนึ่งชั่วโมงต่อมาพวกเขาได้มาถึงที่หมายและฮันเป่าเม่ยขึ้นไปชั้นบนพร้อมกับตุ๊กตาขณะที่เปยหรินกับฉางหาวรออยู่ด้านล่างอย่างใจจดใจจ่อ
เวลานั้นเปยหรินกล่าวอย่างประหม่าว่า“พี่ฉางหาวสิ่งที่อาจารย์หญิงพูดหมายความว่าตราบใดที่สามารถดึงดูดวิญญาณของฮัวชิวเซียนได้ชั่วขณะหนึ่งนั่นแปลว่าผมเป็นน้องชายของเธอเหรอ?”
ก่อนที่จะมีหลักฐานแน่ชัดเพื่อพิสูจน์ว่าเขาคือบุตรชายของตระกูลฮัวที่หายตัวไปหัวใจของเด็กหนุ่มรู้สึกไม่มั่นคง
เดิมที่เขาต้องการช่วยชีวิตคนก่อนและถ้าเขาเป็นน้องชายของฮัวชิวเซียนจริงเขาจะตรวจสอบดีเอ็นเอในเวลานั้นแต่เขาไม่รู้ว่าลัทธิของอาจารย์หญิงสามารถระบุความเกี่ยวข้องทางสายเลือดได้ล่วงหน้าดังนั้นมันจึงทําให้เขารู้สึกทั้งตื่นเต้นและประหม่า
“ฉันภาวนาขอให้มันเป็นเรื่องจริง” ฉางหาวหวังเพียงว่าเด็กหนุ่มจะได้พบครอบครัวของเขา
“ผมเองก็แอบหวังอยู่เหมือนกัน” ดวงตาของเป่ยหรินเปล่งประกายแห่งความหวัง
เมื่อเห็นท่าทางของเป่ยเหรินฉางหาวยังคงกลัวว่าอีกฝ่ายจะคาดหวังมากเกินไปและจะยิ่งผิดหวังมากขึ้นในกรณีที่ล้มเหลวดังนั้นเขาจึงอดไม่ได้ที่จะเตือนไว้ล่วงหน้า
“เป่ยเหริน ยังมีอีกเรื่องที่ฉันยังไม่ได้บอกแก”
“เรื่องอะไรครับ?”
“ก่อนหน้านี้พี่เคยบอกแกแล้วว่าวิญญาณของฮัวชิวเซียนออกจากร่างนา นเกินไปดังนั้นจึงต้องใช้คาถาและพิธีกรรมในรูปแบบพิเศษเพื่อช่วยให้เธอกลับมาได้ถึงกระนั้นโอกาสสําเร็จยังมีแค่สามในสิบส่วน”ฉางหาวกล่าว
ด้วยวิธีนี้การแสดงออกของเป่ยเหรินจึงแข็งค้างราวกับถูกสาดด้วยน้ําเย็น
แค่สามในสิบส่วนเองเหรอ?
“แต่แกมีโอกาสสองครั้ง ถ้าอาจารย์หญิงทําไม่สําเร็จ ฉันจะลองถามอาจารย์ของฉันให้อีกครั้งด้วยวิธีนี้โอกาสจะเพิ่มขึ้นอีกเท่าตัว กลายเป็นหกในสิบส่วนฉางหาวอดไม่ได้ที่จะปลอบใจเด็กหนุ่ม
“ไม่เป็นไร ผมเตรียมใจเอาไว้แล้ว”เป่ยหรินหัวเราะอย่างไม่เต็มใจ
เมื่อเห็นเขาเป็นเช่นนี้ ฉางหาวจึงไม่สามารถกล่าวคําใดได้และทําได้เพียงนิ่งเงียบ
ไม่นานนักฮันเป่าเม่ยเดินลงมาจากชนบนพร้อมกับตุ๊กตาในอ้อมแขนและเหลือบมองทั้งสองคนพลางพยักหน้า
“เราไปที่สวนสาธารณะขนาดเล็กด้านหลังกันที่นั่นไม่ค่อยมีคน”หลังกล่าวจบฮันเป่าเม่ยเดินนําพวกเขาไปยังสวน สาธารณะแห่งหนึ่ง
ทั้งสามคนเดินไปประมาณเจ็ดหรือแปดนาทีก็มาถึงทางเข้าสวนสาธารณะขนาดเล็กและก่อนจะเดินเข้าไปพวกเขาได้ยินเสียงเพลงอันดังด้วยจังหวะการเต้นแอโรบิคทําให้ผู้ที่ได้ยินต้องขยับ ร่างตาม
มันคือการเต้นตามจังหวะดนตรีเพื่อออกกําลังกายของบรรดาคุณปู่คุณย่าและผู้สูงอายุในวัยเกษียณจากนั้นทั้งสามเดินเข้าไปด้านในอีกเล็กน้อยและพบสนามหญ้าที่ไร้ผู้คนสัญจรผ่านไปมา
“ผู้เฒ่าเหล่านั้นกําลังสนใจที่จะเต้นแอโรบิคตอนนี้คงไม่มีใครเดินเข้ามาแล้ว”ฮันเป่าเม่ยหยุดและเหลียวมองกลับไป
โดยธรรมชาติผู้ที่ติดตามมาย่อมไร้ความคิดเห็นขณะคนที่เหลือพยักหน้าเห็นด้วย
“ไปทํางานได้” ฮันเป่าเม่ยนั่งยองๆและวางตุ๊กตาลงบนพื้น
เมื่อตุ๊กตาลงสู่พื้น ร่างอันอ่อนนุ่มของมันสั่นสะเทือนอย่างรุนแรงด้วยการยืนตรงจากนั้นมันขมวดคิ้วขึ้นพร้อมหัวเราะดังลั่นอย่างน่าสะพรึงกลัว
“ฮ่าฮ่าฮ่า…”
เป่ยเหรินได้พบสิ่งที่แปลกประหลาดที่น่าหวาดกลัวอย่างกะทันหันโดยไม่ได้เตรียมตัวไว้ทําให้ขาของเขาอ่อนแรงทันที และทรุดตัวลงกับพื้นด้วยความตื่นตระหนักขณะใบหน้าซีดเผือกเมื่อจ้องมองดู ตุ๊กตาต้องคําสาปด้วยอาการสั่นเทา
“ผี…ตุ๊กตาผี?”
ตอนนี้ดูเหมือนเหวินเหวินจะรู้ว่าเสียงหัวเราะของตนช่างน่าหวาดกลัวมันจึงหยุดหัวเราะทันทีก่อนจะเดินไปทางเปยเหรินสองก้าวเพื่อแสดงท่าที่เป็นมิตรต่อเขา
ทว่าเด็กหนุ่มกลับยิ่งหวาดกลัวมากขึ้นและคลานไปหลบอยู่ด้านหลังฉางห่าวพร้อมกรีดร้อง
“อย่าเข้ามานะ…อย่าเข้ามา!”
เมื่อตุ๊กตาเวทมนต์ได้ยินจึงหยุดชะงักด้วยมุมปากที่คว่ํา พร้อมก้มหน้าลงอย่างหดหู่
[ทําไมเป่ยเหรินถึงไม่ชอบเรา]
“ใจเย็นๆ ใจเย็นๆ ก่อน ตุ๊กตาเป็นเครื่องมือวิเศษของอาจารย์หญิงมันจะไม่ทําร้ายนาย” ฉางหาวปลอบโยน
“ก็มันขยับ มันเดินได้ด้วย”เป่ยเหรินไม่สามารถสงบสติอารมณ์ลงได้
เห็นได้ชัดว่าฮันเป่าเม่ยไม่คิดว่าเด็กหนุ่มจะหวาดกลัวถึงเพียงนั้น ขณะที่เธอนิ่งเงียบด้วยความรู้สึกสับสนและกําลังคิดว่าจะเก็บตุ๊กตาก่อนดีหรือไม่
“ในเมื่อคุณไม่ชอบตุ๊กตาก็ลืมมันไปซะอย่างงั้นฉันคงต้องกลับก่อน” ฮันเป่าเม่ยกล่าวอย่างลังเล
คํากล่าวนี้ทําให้ทั้งสองคนถึงกับตกตะลึงและฉางหาวเป็นคนแรกที่ตอบสนอง“นายไม่อยากช่วยพี่สาวของตัวเองแล้วหรือ?”
เป่ยเหรินเองก็ฟื้นคืนสติเช่นกันจากนั้นเขาเงยหน้าขึ้นมองตุ๊กตาที่ดูเหมือนจะรู้สึกปวดใจขณะโผล่หน้าออกมาจากอ้อมแขนของอาจารย์หญิง
ตอนนี้เด็กหนุ่มรู้สึกเศร้าใจราวกับเขาถูกแทงที่หน้าอกและร้องไห้พร้อมคร่ําครวญออกมา
“อาจารย์หญิงครับ ผมขอโทษผมผิดเองได้โปรดให้โอกาสผมอีกครั้ง”
โดยธรรมชาติแล้วฮันเป่าเมียไม่ได้ใส่ใจกับเสียงร้องไห้ของอีกฝ่ายมากนักแต่เธอมองลงไปที่ตุ๊กตาและเห็นใบหน้าที่เศร้าสร้อยของมันแปรเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มอีกครั้ง
เห็นได้ชัดว่ามันยังมีจิตวิญญาณของเด็กน้อยที่ไร้เดียงสา
[แค่นี้ก็หายโกรธแล้วเหรอ?”
แม่มดสาวจึงวางตุ๊กตาลงบนพื้นอีกครั้ง
“ฮ่าฮ่าฮ่า…” ตุ๊กตาไม่มีอาการแค้นเคืองและลืมความทุกข์ไปในทันทีขณะหัวเราะอย่างสะใจอีกครั้ง
คราวนี้เป่ยเหรินเตรียมตัวพร้อมแล้วแม้ตุ๊กตาจะร่างสั่นสะเทือน และหัวเราะอย่างบ้าคลั่งแต่ท่าทางของเขาอย่างคนเป็นปกติดีขณะที่ค่อยๆชินกับมัน
MANGA DISCUSSION