ตอนที่ 52 ต้องการฆ่า
“พวกเขาบอกว่ามีคนต้องการจะฆ่าผมจริง ๆ” เบี้ยเหรินกล่าวด้วยความรู้สึกลังเลเพราะตัวเขาเองก็ยังคงไม่เชื่อในสิ่งที่ได้รับรู้ในวันนี้
“ไอ้หยา! มีคนคิดที่จะฆ่าเธอจริง ๆด้วย! แล้วจับตัวคนร้ายได้หรือยัง?” ซินอี้เอ่ยถามด้วยสีหน้ากังวลใจและเป้ยเหรินพยักหน้าเพื่อตอบคําถามนั้น
“เป็นอะไรไป? กลัวเหรอ?”ฉางหาวเอื้อมมือไปลูบศีรษะของเด็กหนุ่ม
“เปล่าครับ? แต่เรื่องมันไม่ได้มีเพียงแค่นั้น!”เป่ยเหรินกล่าวก่อนที่จะถอนหายใจอย่างแรงดังนั้นฉางหาวจึงรีบร้อนเอ่ยถามว่า
“แล้วยังมีอะไรอีก?” เป่ยเหรินเอื้อมมือไปจับมือของฉางหาวและเอ่ยถาม
“พี่จําข่าวเกี่ยวกับมหาเศรษฐีที่ติดอันดับต้น ๆ ของประเทศเราประสบอุบัติเหตุทั้งครอบครัวเมื่ออาทิตย์ก่อนได้หรือเปล่า?”
“จําได้! แล้วอยู่ดี ๆ ทําไมถึงพูดเรื่องนี้ขึ้นมาล่ะ?” ฉางหาวสงสัย
“ผมมีความเกี่ยวข้องกับคนบ้านตระกูลฮัว!”
ทุกอย่างเงียบงันไปชั่วขณะ…
เวลานี้ทุกคนในสํานักงานต่างก็ต้องมองไปยังเลขาหนุ่มที่ชื่อเป่ยเหรินด้วยความคิดที่แตกต่าง
โดยบางคนมีความคิดว่าเขาเสียสติไปแล้ว!
ในที่สุดฉางหาวก็ตัดสินใจกล่าวว่า
“พวกเราพาเขาไปโรงพยาบาลกันเถอะเขาคงกลัวมากจนประสาทหลอนไปแล้ว!”
“ผมไม่ได้ล้อเล่นนะ! ผมเป็นสมาชิกของบ้านตระกูลฮัวจริง ๆ”
เบี้ยเหรินบอกกล่าวเรื่องราวทั้งหมดที่สารวัตรหมิงเทียนกับรองสารวัตรจางเต๋อหยูเล่าให้ตนเองฟังอย่างละเอียด
จากนั้นฉางหาวจึงค้นหาภาพของหญิงสาวที่ชื่อฮัวชิวเซียนจากทางอินเทอร์เน็ตและเมื่อทุกคนได้เห็นภาพนั้นพวกเขาก็เชื่อในคํากล่าวของเด็กหนุ่มอย่างไรข้อกังหา
“ทําไมหน้าตาถึงเหมือนกันอย่างกับฝาแฝด?”ซินอื้อุทานขึ้น
“มันอาจเป็นเรื่องบังเอิญก็ได้!”ฉางหาวเอ่ยขึ้น
และเมื่อเห็นว่าเบี้ยเหรินทําหน้านิ่ว ทําให้คิดว่าตนเองคงกล่าวผิดพลาดไปจึงอธิบายใหม่อีกครั้งว่า
“เอ่อ!…ฉันแค่พูดเล่นเท่านั้น!ไม่ต้องใส่ใจหรอก!”
“แต่ตอนนี้คนบ้านตระกูลฮัวอยู่ที่โรงพยาบาลและฮัวชิวเซียนก็ยังนอนเป็นเจ้าหญิงนิทราอยู่เลย”ซินอีกล่าว
“แล้วแกอยากไปโรงพยาบาลหรือเปล่า?” ฉางหางถาม
“ผมจะไปได้ยังไง? สิ่งที่รองสารวัตรจางบอกมันเป็นแค่การคาดเดา ตอนนี้ ผมยังไม่มีผลตรวจดีเอ็นเอแล้วจะเอาอะไรไปเป็นหลักฐานในการแสดงตัว?”
เป่ยเหรินถอนหายใจก่อนที่จะกล่าวอีกครั้งว่า
“ผมคิดว่าเราคงไม่สามารถแม้แต่จะเข้าไปที่แผนกผู้ป่วยในระดับวีไอพีด้วยซ้ำ”
เวลานี้ทุกคนยังคงนิ่งเงียบขณะที่เป่ยเหรินกล่าวต่อไปว่า
“ผมไม่รู้ว่าจะรู้สึกดีใจหรือเสียใจดีในตอนนี้เพราะผมได้พบกับครอบครัวแล้วแต่โชคร้ายที่คนในครอบครัวทั้งหมดต้องนอนอยู่ในโรงพยาบาล”
.. ..” ทุกคน
ช่างน่าสงสารเสียจริง ๆ
ฉางหาวไม่ได้ขัดจังหวะในตอนที่เป่ยเหรินเล่าถึงเรื่องราวทั้งหมด เพราะเขาทราบดีอยู่แล้วว่าเกิดอะไรขึ้นและตอนนี้เขาสังเกตเห็นว่าบนใบหน้าของเด็กหนุ่มที่ตําแหน่งระหว่างคิ้วยังคงมีความ หมองคล้ำปกคลุมอยู่
และมันไม่ได้ลดน้อยลงจากสภาวะก่อนหน้านี้เลยซึ่งหมายความว่าหยูเทียนคู่ยังคงต้องการที่จะฆ่าเขา
หลังจากฉางหาวอ่านข่าวเกี่ยวกับฮัวชิวเซียนกับครอบครัวอีกครั้งแล้ว ทันใดนั้นหัวใจของเขาก็เต้นแรงขึ้นและรีบเดินออกไปนอกพื้นที่สํานักงาน และเรียกฮันเป่าเมียที่กําลังปีนขึ้นไปเก็บมะม่วง บนต้นอยู่ในสวนด้านหลังของบ้านพักชราแห่งนี้
“คุณเป่าเม่ยขึ้นไปทําอะไรบนนั้นครับ? ลงมาข้างล่างก่อนผมมีเรื่องจะคุยด้วย!”
“มีอะไรคะ?” แม่มดสาวเอ่ยถามหลังจากกระโดดลงมาจากต้นมะม่วงแล้ว
“วันก่อนผมแอบได้ยินคุณบอกกับบอสว่าเป่ยเหรินมีวิญญาณคอยติดตามอยู่ใช่หรือเปล่าครับ?” ฉางหาวเอ่ยถามอย่างลังเล
“ใช่! แต่ฉันฝากเครื่องรางให้บอสเอาไปให้เขาแล้วนะ! ตอนนี้วิญญาณตนนั้นยังไม่ถูกกําจัดอีกเหรอ?”
“อันนั้นผมก็ไม่ทราบเหมือนกัน”
แม้ฉางหาวจะเป็นสมาชิกขององค์กรจิตวิญญาณและได้เรียนรู้เกี่ยวกับพลังจิ ตมาระดับหนึ่งแล้ว แต่เขาไม่สามารถมองเห็นวิญญาณหรือผีได้ด้วยพลังของตนเองหรือกล่าวอีกนัยหนึ่งคือเขาไม่มีความแข็งแกร่งมากพอ
“โอ้!…” แม่มดสาวแสดงอารมณ์ที่ชัดเจน
“…” ฉางหาวเพิกเฉยต่อสายตาเยาะเย้ยของฮันเป่าเม่ยและกล่าวด้วยความลําบากใจว่า
“คุณเป่าเม่ยครับ…ผมได้ยินคุณบอกกับบอสว่าวิญญาณตนนั้นไม่ได้คิดร้ายกับเบี้ยเหรินใช่หรือเปล่าครับ?”
“ใช่! วิญญาณตนนั้นไม่ได้คิดร้ายกับ เขาแต่ถ้ามีวิญญาณร้ายดวงอื่นติดตามเขาล่ะ?”
“แล้วเราจะจัดการกับเรื่องนี้ยังไงดีครับ?” ฉางหาวเอ่ยถามอย่างสิ้นหวัง
“ฉันมีวิธี! ตุ๊กตาเวทมนตร์ของฉันช่วยได้แต่ตอนนี้มันอยู่กับคุณโจวถัง…” แม่มดสาวแนะนํา
“เข้าใจแล้ว! ขอบคุณมากครับคุณเป่าเม่ย!” ฉางหาวกล่าวพร้อมกับก้มศีรษะ ให้เด็กสาว
ฉางหาวเดินกลับเข้ามาในสํานักงานพร้อมกับเหลือบมองไปยังเป้ยเหรินที่ยังคงมีสีหน้าวิตกกังวลอย่างเห็นได้ชัดจากนั้นเขาเดินไปเคาะที่ประตูห้องทํางานส่วนตัวของโจวถังก่อนที่จะก้าวไปในห้องเพื่อขอยืมตุ๊กตาเวทมนตร์
เมื่อโจวถังรับทราบเจตจํานงของฉางหาวแล้วเขาก็ไม่ได้ปฏิเสธแต่กล่าวว่า
“คุณลองขอความช่วยเหลือจากมันดูสิ! มันชื่อเหวินเหวิน”
ฉางหาวไม่สามารถกล่าวอะไรออกมาได้อยู่ครู่หนึ่งแม้จะรู้สึกกลัวแต่ก็ยังคงเดินตรงเข้าไปหาตุ๊กตาเวทมนตร์ที่นอน อาบแดดอยู่ตรงขอบหน้าต่างและเอ่ยถามอย่างสุภาพว่า
“คุณเหวินเหวินครับ กรุณาช่วยผมด้วยนะครับ”
“ได้สิ!”
ทันทีที่ฉางหาวกล่าวจบ ตุ๊กตาเวทมนตร์ก็ลุกขึ้นยืนและพยักหน้าด้วยรอยยิ้มที่มีความสุข
“ขอบคุณมากครับ” ฉางหาวกล่าวพร้อมกับเครื่องมือไปข้างหน้าเพื่อที่จะคว้า ตุ๊กตาตัวนั้นแต่มันกลับหลบหลีกและบิดตัวนี้อย่างไม่เต็มใจ
การกระทําเช่นนี้ทําให้ฉางหาวรู้สึกตกใจมาก!
[เมื่อกี้นี้ตอบตกลงแล้วไม่ใช่เหรอ?]
ฉางหาวไม่ทราบว่าเกิดอะไรขึ้นแต่โจวถังทราบดี เขาจึงอธิบายด้วยเสียงอันดัง
“ตุ๊กตาตัวนี้ดูดซับพลังงานลบจากฝันร้ายของผมและยังย่อยสลายไปไม่หมดดังนั้นมันคงจะกลัวว่าพลังงานด้านลบจะหลั่งไหลเข้าสู่ร่างกายของคุณเมื่อสัมผัสมัน”
ตาย”
หลังจากฉางหาวทราบเรื่องนี้แล้ว เขาก็รู้สึกประทับใจในความมีน้ําใจของตุ๊กตาเวทมนตร์และขณะที่เขากําลังหาวิธีนําตุ๊กตานี้ไป โจวถังก็เอ่ยขึ้นมาว่า
“เขาไม่เป็นไร! เขาเป็นสมาชิกขององค์กรจิตวิญญาณ ดังนั้นพลังงานลบจากฝันร้ายจึงทําอะไรเขาไม่ได้!”
เมื่อตุ๊กตาเวทมนตร์ได้ยินดังนั้น มันรู้สึกโล่งใจจึงหันหน้ามาอย่างรวดเร็ว และกําลังจะวิ่งไปหาฉางหาวทําให้ชายหนุ่มรีบก้าวถอยหนีด้วยความตกใจ
“ไม่…ไม่…ไม่…นั่นมันเมื่อก่อนตอนนี้ผมมีภารกิจมากมายจึงลืมคาถาสําหรับป้องกันตัวไปหมดแล้ว…ช่วงนี้ผมไม่ได้ฝึกฝนวิชาเลยครับ…”
MANGA DISCUSSION