นิยาย แม่มดสาวมุ่งมิง ตอนที่ 46 โรคประจําตัว
ตอนที่ 46 โรคประจําตัว
ผู้อํานวยการของสถานสงเคราะห์คนชราที่ฮันเป่าเม่ยยทํางานอยู่มีชื่อว่าโจวถัง และเขาเป็นสมาชิกขององค์กรจิตวิญญาณด้วย
ปกติแล้วแม้ฮันเป่าเม่ยจะเคยเห็นหน้าเขาบ้าง ทว่าแม่มดสาวก็ไม่เคยสนทนากับเขา แต่หลังจากได้ยินว่าเขาเป็นหนึ่ง ในสมาชิกขององค์กรจิตวิญญาณ เธอก็รู้สึกสนใจชายหนุ่มผู้นี้ขึ้นมาทันที
เท่าที่สังเกตเห็น เธอพบว่าโจวถังเป็นชายหนุ่มที่มีหน้าตาหล่อเหลาและรูปร่างสูงโปร่ง อีกทั้งยังเป็นที่น่าสนใจของบรรดาสาวน้อยสาวใหญ่ที่ทํางานอยู่ในสถานสงเคราะห์คนชราแห่งนี้
แต่นิสัยส่วนตัวของเขาเป็นคนที่พูดน้อย เคร่งขรึม และไม่ค่อยสนใจสิ่งรอบตัวมากนัก ดังนั้นเมื่ออยู่ในเวลาทํางาน เขาจึงมักใช้เวลาอยู่ในห้องทํางานส่วนตัวตลอดเวลา
วันนี้เมื่อฮันเป่าเม่ยได้พบกับโจวถังตอนที่เขาเดินสํารวจความเรียบร้อยในบ้านพักคนชรา แม่มดสาวก็พบว่าเขามีท่าทางอิดโรยและบริเวณใต้ตาดําคล้ํา ซึ่งดูเหมือนว่าเขาจะอดหลับอดนอนมาทั้งคืน
“เมื่อคืนคุณนอนไม่หลับเหรอคะ?”
“ “รู้ได้ยังไง?“ชายหนุ่มเอ่ยถามอย่างไม่ใส่ใจ
อันที่จริงเขาทราบเรื่องราวเกี่ยวกับฮันเป่าเม่ยมาสักระยะแล้ว จากคําบอกเล่าของท่านประธานองค์กรจิตวิญญาณที่เขาเป็นสมาชิกอยู่ และกําลังติดตามดูพฤติกรรมของเธอ
“ดูจากใต้ตาของคุณน่ะสิ! ดําอย่างกับหมีแพนด้า! ชายหนุ่มถอนหายใจอย่างหนักหน่วงก่อนที่จะกล่าวตามตรง
“อันที่จริงมันเป็นโรคประจําตัวที่ผม เป็นมาตั้งแต่เด็ก ซึ่งมันไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ แม้ผมจะพยายามทําทุกวิถีทางแล้วก็ตาม…” “แต่ฉันสามารถช่วยคุณได้” ฮันเป่าเม่ยทราบข้อมูลเบื้องต้นจากเหลียงจ้าวเชิ้นแล้วว่า โจวถังเป็นสมาชิกขององค์กรจิตวิญญาณ ดังนั้นเธอจึงไม่จําเป็นต้องปิดบังตัวตนอีกต่อไป
และเหตุผลอีกประการที่แม่มดสาวยื่นข้อเสนอนี้ เพราะตุ๊กตาเวทมนตร์ของเธอต้องการอาหาร เนื่องจากมันย่อยสลายวิญญาณแห่งความโกรธแค้นที่กลืนกินไปเมื่อครั้งก่อนเรียบร้อยแล้ว
“เธอสามารถช่วยฉันได้จริงหรือ?” “จริงสิ! “แม่มดสาวกล่าวพร้อมกับนําตุ๊กตาผ้าขนาดเท่าฝ่ามือออกมาจากกระเป๋าตนเองและยื่นให้กับชายหนุ่มตรงหน้า
“เอานี่ไป! วางมันไว้ข้างหมอนตอนนอน แล้วอาการของคนจะดีขึ้น” ชายหนุ่มเห็นตุ๊กตาตัวนั้นส่งยิ้มให้ตนเอง เขาจึงสะดุ้งโหยงด้วยความตกใจ และก้าวถอยหลังโดยไม่รู้ตัว ขณะที่แม่มดสาวกล่าวว่า
“ลูกของฉันชื่อเหวินเหวิน รับไปสิ! ฉันให้ยืม” แม่โจวถึงจะรู้สึกหวาดกลัว แต่เขาก็ยินดีที่จะเสี่ยง หากสิ่งนี้สามารถช่วยให้เขาหลับสบายได้ เนื่องจากตั้งแต่จําความได้ เขาไม่สามารถนอนหลับสนิทได้เหมือนกับคนอื่น ซึ่งมันเป็นโรคที่ทําให้เขาทุกข์ทรมานทั้งกายและใจ
ก่อนที่จะมอบตุ๊กตาเวทย์มนต์ให้กับชายหนุ่ม แม่มดสาวได้กําชับกับมันว่า ห้ามพูดเด็ดขาด เพราะมันจะทําให้โจวถังตกใจ ซึ่งมันอาจทําให้เหวินเหวินไม่ได้กลืนกินพลังงานลบที่แข็งแกร่งในตัวชายหนุ่มผู้นี้
“ตกลง! ข้าจะไม่ปริปากแม้สักคําเดียว!“เหวินเหวินกล่าวอย่างแผ่วเบา
จากนั้นแม่มดสาวได้กล่าวกับโจวถังว่า
“ทําตามที่ฉันบอกแล้วคุณจะดีขึ้น! เชื่อฉัน!” “ขอบคุณมาก“โจวถังรับตุ๊กตาไว้อย่างเชื่อฟังขณะที่ยังคงรู้สึกสับสนในใจ
แต่หลังจากเลิกงานแล้วเขาก็รีบกลับไปที่คอนโดอย่างรวดเร็วและทานอาหารเย็นก่อนที่จะอาบน้ําและเตรียมตัวเข้านอนอย่างมีความสุข โดยไม่ลืมที่จะวางตุ๊กตาตัวน้อยไว้ข้างหมอน ด้วยความหวังว่าจะนอนหลับสนิทอย่างที่ฮันเป่าเม่ยกล่าว
และแน่นอนว่าค่ําคืนนั้นเขาสามารถนอนหลับอย่างมีความสุขแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ซึ่งมันทําให้เขามีความสุขมาก แต่ก่อนที่จะลืมตาตื่นในตอนเช้าโจวถังได้ยินเสียงดังที่ข้างหูตัวเองว่า
“ตื่นได้แล้ว…พ่อรูปหล่อ…จุ๊บส์“เมื่อนึกถึงสิ่งที่แม่มดเน้นย้ําขึ้นมาได้ เหวินเหวินก็ยกมือขึ้นมาปิดปากตนเองทันทีด้วยความตกใจ ขณะที่โจวยังคิดว่ามันเป็นเพียงเสียงจากจิตใต้สํานึกของตนเอง
โจวถังตื่นนอนด้วยความสดชื่นจนอดไม่ได้ที่จะผิวปากอย่างอารมณ์ดี และรู้สึกขอบคุณฮันเป่าเม่ยอยู่ในใจ เนื่องจากหญิงสาวคนนี้สามารถทําให้เขามีความสุขได้อย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน
หลังจากแต่งตัวและทานกาแฟดําซึ่งเป็นอาหารเช้าที่ทานเป็นประจําแล้ว โจวถังก็หยิบตุ๊กตาเวทมนตร์ใส่กระเป๋าเอกสารก่อนที่จะเดินออกจากห้องพัก ด้วยรอยยิ้ม
เมื่อไปถึงห้องทํางานส่วนตัวในสถานสงเคราะห์คนชรา โจวถังก็วางตุ๊กตาเวทมนตร์ลงบนโต๊ะ และเริ่มตรวจสอบเอกสารบนโต๊ะทํางานอย่างใจจดใจจ่อ จนเวลาล่วงเลยไปเกือบจะเที่ยง เขาจึงเงยหน้าขึ้นมองนาฬิกาที่ติดตั้งอยู่บนฝาผนังห้อง
จากนั้นจึงรีบต่อสายโทรศัพท์ไปยังเลขาหนุ่มที่อยู่หน้าห้อง
“เป้ยเหริน! ทานอาหารกลางวันเสร็จ แล้วรบกวนช่วยซื้ออาหารกล่องเจ้าประจำให้ผมด้วยนะครับ” “ครับ บอส… “เป้ยเหรินตอบกลับทันที
หลังจากทานอาหารกลางวันและซื้ออาหารตามที่โจวถังสั่งแล้ว เด็กหนุ่มก็เดินกลับมาที่สถานสงเคราะห์คนชรา แต่เมื่อมาถึงบริเวณหน้าประตูเขาก็พบว่ามีเด็กชายคนหนึ่งอายุประมาณสิบขวบซึ่ง ดูเหมือนว่าเขากําลังยืนรออะไรอยู่ด้วยท่าทางกระวนกระวายใจ
ดังนั้นเปุ๋ยเหรินจึงเอ่ยถามเด็กชายคนนั้น
“น้องมาหาใครครับ?” เด็กชายรู้สึกตกใจและถอยหลังโดยไม่รู้ตัว พร้อมกับจ้องมองไปที่เป่ยเหรินด้วยความประหม่า ขณะที่ยกมือทั้งสองข้างขึ้นมาจับสายกระเป๋าเป้ตนเอง
เบี้ยเหรินสังเกตเห็นตราสัญลักษณ์ประจําโรงเรียนที่บริเวณหน้าอกของเด็กชาย และทราบทันทีว่านี่คือตราของโรงเรียนเอกชนที่มีชื่อเสียงในเมืองนี้
บรรดาเด็ก ๆ ที่เป็นบุตรของคนมีฐานะ หรือนักธุรกิจผู้มั่งคั่งหลายคนที่เป็นเพื่อ นของโจวถัง ต่างก็ศึกษาอยู่ในโรงเรียนนี้ ดังนั้นเป่ยเหรินจึงรู้จักสัญลักษณ์นี้เป็นอย่างดี
แน่นอนว่าเด็กคนนี้จะต้องเป็นบุตรหลานของคนมีฐานะ ตอนนี้เป่ยเหรินยังคงสังเกตสัญลักษณ์และท่าทีของเด็กชายต่อไป
สิ่งที่เขาพบคือเด็กคนนี้น่าจะมีอายุประมาณสิบขวบและมีผิวพรรณที่ละเอียดอ่อนด้วยริมฝีปากสีแดงกับฟันขาวที่เรียงเป็นระเบียบ อีกทั้งแก้มของเขายังเป็นสีชมพูระเรื่อที่น่าสัมผัส มิหนําซ้ํายังมีท่าทางสุภาพเรียบร้อย
“เอ่อ…คือคุณโจวถังทํางานอยู่ที่นี่ใช่หรือเปล่าครับ?“เด็กชายเอ่ยถามอย่างลังเล
“น้องรู้จักคุณโจวด้วยเหรอ? มาหาเขา มีธุระอะไรล่ะ? เดี๋ยวพี่จะไปแจ้งให้คุณโจวทราบ “ผมต้องการพบคุณโจวถังครับ.. “เด็กชายก้มหน้าก่อนที่จะกล่าวอีกครั้งด้วยรอยยิ้มสดใสว่า
“ผมชื่อโจวเฟิงเป็นน้องชายของพี่โจวถังครับ” [น้องชายของคุณโจวอย่างนั้นเหรอ?
เป่ยเหรินรู้สึกตกใจมากเมื่อได้ยินคํากล่าวของเด็กชาย จากนั้นเขาจึงจ้องมองเด็กชายตั้งแต่หัวจรดเท้าอย่างระมัดระวังอีกครั้ง ทําให้สามารถสังเกตเห็นความแตกต่างระหว่างเด็กคนนี้กับเจ้านายของเขา
เห็นได้ชัดเจนว่าเด็กคนนี้มีอุปนิสัยร่าเริง แต่เจ้านายของเขาเคร่งขรึมและมีความหม่นหมองอยู่บนใบหน้าตลอดเวลา ซึ่งมันแตกต่างกันจนน่าประหลาดใจ
“ผมขอพบกับเขาได้หรือเปล่าครับพี่? ผมไม่ได้พบพี่ถังมาหลายปีแล้ว“ดวงตาที่เปล่งประกายสดใสจ้องมองไปยังเปยเหรินด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความหวัง
มันทําให้เป่ยเหรินรู้สึกสับสนและพยักหน้าโดยไม่รู้ตัว เนื่องจากชายหนุ่มรู้สึกเห็นใจเด็กน้อยที่เดินทางมาถึงที่หมายแล้ว…เช่นนั้นเขาจะกล้าปฏิเสธเด็กชายได้อย่างไร
“ขอบคุณครับพี่”โจวเฟิงยิ้มกว้างด้วยใบหน้าที่มีความสุข ทําให้เขาดูน่ามองมากเป็นพิเศษ
เป่ยเหรินเดินนําหน้าเด็กชายที่ชื่อโจวเฟิงเข้าไปในพื้นที่สํานักงานท่ามกลางสายตาประหลาดใจของเพื่อนพนักงานหลายคน จากนั้นชายหนุ่มได้เคาะประตูสองครั้งก่อนที่จะผลักเข้าไป และกล่าวว่า
“บอสครับ! มีคนมาหาครับ!”
MANGA DISCUSSION