แม่มดสาวมุ่งผึ้ง ตอนที่ 37 วิญญาณร้าย
ตอนที่ 37 วิญญาณร้าย
ต่อมาหลังจากที่หน่วยกู้ภัยมานําร่างไร้วิญญาณของเด็กหนุ่มไปแล้ว ทุกคนก็แยกย้ายจากไป ราวกับว่าก่อนหน้านี้ไม่เคยมีเหตุการณ์ระทึกขวัญเกิดขึ้น ดังนั้นจึงเหลือเพียงแม่มดสาวกับเจ้าแมวจอมซ่าส์ที่ยังคงยืนสนทนากันอย่างเมามัน
“คนเรามันถึงที่ตาย…แม้เราจะยื่นมือเข้าไปช่วย แต่เขาก็ไม่เต็มใจที่จะคว้าเอาไว้เ”แมวน้อยกล่าวอย่างเห็นใจ
“อันนี้ก็แล้วแต่!” แม่มดสาวกล่าวด้วยน้ําเสียงเยาะเย้ย
แต่ในขณะที่พวกเขากําลังสนทนากันอยู่นั้น เด็กหนุ่มที่ชื่อเหลียงเสี่ยวงื่อก็ปรากฏตัวขึ้นตรงหน้าอย่างกะทันหันและขวางทางเอาไว้
“เธอตามมาทําไม?” ฮันเปาเม่ยกล่าวพร้อมกับขมวดคิ้วอย่างหงุดหงิด
“ได้โปรดช่วยผมด้วยนะครับพี่สาวบุญคุณครั้งนี้ผมจะไม่ลืมเลย” เด็กหนุ่มอ้อนวอนอย่างไม่ลดละ
” ทําไมเธอถึงไม่ให้คนในองค์กรของพ่อเธอช่วยล่ะ?”
“นับประสาอะไรกับคนในองค์กร เพราะแม้แต่พ่อของผมเองที่เป็นประธานยังไม่สามารถแก้ปัญหานี้ได้เลย!”
” แต่ฉันไม่อยากข้องเกี่ยวกับคนขององค์กรนี้!” ฮันเปาเม่ยกล่าวอย่างแน่วแน่
“ถ้าพี่ไม่ชอบองค์การนี้ ผมสามารถถอนตัวจากองค์กรได้ทันที ถ้าพี่ตกลงจะช่วยผม!”
“ไม่ช่วยไถ้าเธอไม่มีทรัพย์สินเป็นของตัวเอง ฉันก็จะไม่ช่วย!”
“เดี๋ยวก่อน!” แมวน้อยกระตุกชายเสื้อของนายหญิงพร้อมกับกระโดดขึ้นไปบนบ่าและกระซิบอย่างแผ่วเบาว่า
“ถ้าเราช่วยเด็กคนนี้ บางทีพวกที่อยู่ในองค์กรอาจจะช่วยเราหาทางกลับบ้านได้นะ!”
” จริงเหรอ?” แม่มดสาวเริ่มมีสีหน้ายุ่งเหยิงขณะที่แมวน้อยแนะนําอีกครั้งว่า
“คนพวกนี้สามารถติดต่อกับวิญญาณได้ ซึ่งเป็นกลุ่มคนที่มีเพียงน้อยนิดบนโลกใบนี้”
“เออ! จริงด้วย!” แม่มดสาวเริ่มเห็นดีเห็นงามด้วย
เด็กหนุ่มยืนก้มหน้าด้วยความหวังที่เต็มเปี่ยมในหัวใจ หลังจากนั้นแม่มดสาวก็กระแอมขึ้น
“อะแฮ่ม! เพื่อเห็นแก่หลักมนุษยธรรม! เอาเป็นว่าฉันจะช่วยเธอสักครั้ง แต่ฉันต้องเก็บค่าธรรมเนียมเพิ่มขึ้นสองเท่านะ!”
อันที่จริงอาการป่วยของมารดาเหลียงเสี่ยวจื่อนั้นมีต้นเหตุมาจากตอนที่เธอให้กําเนิดบุตรชายคนนี้และมีความผิดพลาดเกิดขึ้นบาง ประการระหว่างผ่าตัด ซึ่งทําให้เธอเกือบตายและทําให้เธอกลาย เป็นคนที่ดูคล้ายกับคนเสียสตินับตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา
แต่สิ่งที่บิดาของเขาภาคภูมิใจคือเหลียงเสี่ยวจื่อเป็นเด็กอัจฉริยะ โดยไม่เพียงแต่เด็กคนนี้จะมีความสามารถในการฝึกฝนวิชาเท่านั้น
แต่เขายังมีทักษะที่ยอดเยี่ยมตั้งแต่อายุยังน้อย อีกทั้งความสามารถในการจดจําสิ่งต่างๆของเขายังหาผู้ใดเทียบเทียมได้ยาก
ต่อมาหลังจากที่เขาเติบโตขึ้นและทราบอาการเจ็บป่วยของมารดาแล้ว เขาก็เริ่มหาทางแก้ไขอย่างต่อเนื่อง และด้วยเหตุนี้เขาจึงอ่านหนังสือทุกเล่มในองค์กร ซึ่งมีหลายบทความกล่าวว่าพวกแม่มดมีทักษะเร้นลับซึ่งน่าจะเป็นเรื่องจริง
และไม่ว่าค่าธรรมเนียมสําหรับการรักษาจะสูงมากสักเพียงใด เขาก็ยินดีที่จะจ่ายเหมือนกัน!
“ราคาไม่ใช่เรื่องสําคัญผมเพียงต้องการให้แม่ของผมหายเท่านั้น!” เด็กหนุ่มกล่าวยังหนักแน่น
“ฉันไม่ได้บังคับเธอนะ!” แม่มดสาวกล่าวด้วยน้ําเสียงเรียบเฉย
” ผมเข้าใจครับ! ผมเคยอ่านพบในหนังสือว่า แม่มดมักจะใช้ทักษะนี้เพื่อหาเงิน และการรักษาในแต่ละครั้งจะต้องใช้พลังเวทมนตร์ขั้นสูง แต่การฝึกฝนวิชาจะสามารถช่วยฟื้นฟูพลังให้กลับคืนมาได้ในไม่ช้า”
อย่างไรก็ตามนอกจากข้อมูลเหล่านี้แล้วในหนังสือโบราณยังกล่าวอีกว่าสายพันธุ์ของแม่มดได้หายสาบสูญไปจากโลกนี้หลายพันปีแล้ว มันจึงทําให้เขารู้สึกเศร้าใจและเป็นอยู่นาน
ต่อมาเขาเคยมีความคิดที่จะฟื้นฟูทักษะลี้ลับนี้ด้วยตัวเอง แต่น่าเสียดายข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องนี้มีน้อยมากอย่างน่าประหลาดใจ
ซึ่งนอกจากเรื่องราวเกี่ยวกับความเป็นมาของเผ่าพันธุ์แม่มดแล้ว เขาก็แทบจะไม่พบทักษะการฝึกฝนเกี่ยวกับเวทย์มนต์เลย
“ถ้าเธอเข้าใจ! ฉันก็ตกลง!” เธอกล่าวด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์
” ขอบคุณมากครับ! แต่ผมอยากรู้ว่าทําไมพี่ถึงไม่ชอบองค์กรที่พ่อของผมเป็นประธานอยู่!”
“เรื่องมันยาว!” แม่มดสาวกล่าวพร้อมกับจ้องมองเด็กหนุ่มอย่างครุ่นคิด
“อันที่จริงองค์กรของเราบําเพ็ญประโยชน์เพื่อสาธารณะชนนะครับ! องค์กรของเรามีบทบาทคล้ายกับตํารวจ แต่เป็นการควบคุมโลกของวิญญาณ เพราะในช่วงเดือนสิบของทุกๆปีประตูนรกกับเปิด
ดังนั้นวิญญาณร้ายจึงออกมาหากินในเวลากลางคืน และหากไม่มีองค์กรของเรา โลกมนุษย์ก็จะวุ่นวายและจะมีความโกลาหลครั้งใหญ่เกิดขึ้น เพราะวิญญาณร้ายเหล่านั้นต้องทําร้ายผู้คน ซึ่งบางกรณีอาจทําให้ผู้คนถึงกับล้มตายได้”
หลังจากได้ยินดังนั้นฮันเปาเม่ยก็ครุ่นคิดอยู่นาน ขณะที่เธอเห็น ด้วยกับทุกคํากล่าวของเด็กหนุ่ม
โดยยกตัวอย่างในกรณีของตัวเธอเอง ถ้าเธอต้องการใช้เวทมนตร์ทําร้ายผู้อื่นเธอก็สามารถทําได้ตามอําเภอใจ
แต่เธอไม่ทําเช่นนั้น เนื่องจากเธอพยายามปฏิบัติตามกฎของสถาบันแม่มดอย่างเคร่งครัด และจะไม่ใช้เวทมนต์ทําร้ายผู้อื่นโดยไม่จําเป็น
ทว่าคนอื่นอาจจะมีความคิดไม่เหมือนกับเธอ เนื่องจากจิตใจของผู้คนนั้นเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลาและไม่สามารถคาดเดาได้เลย
ดังนั้นความสงบเรียบร้อยในสังคมจึงไม่สามารถอาศัยจิตสํานึกของผู้คนได้ ส่งผลให้ต้องมีกฎหมายของสถาบันบังคับ
เหลียงเสี่ยวจื่อยังคงกล่าวต่อไปอีกว่า
“ใช้กรณีของแม่ผมเป็นตัวอย่างก็ได้ เหตุผลที่ท่านต้องมีสภาพเป็นแบบนี้ก็เพราะการกระทําของวิญญาณร้าย!”
เหลียวเสี่ยวจื่อกลืนน้ําลายลงคออย่างยากเย็นก่อนที่จะกล่าวอีก
“ในครั้งนั้นมีวิญญาณร้ายที่มีอายุมากกว่าห้าร้อยปีปรากฏตัวขึ้นในเมือง ซึ่งมันโหดร้ายมากและภายในเวลาเพียงครึ่งเดือนมันได้ใช้วิธีที่โหดเหี้ยมฆ่าคนตายไปถึงยี่สิบศพ
ซึ่งเหตุการณ์นี้ทําให้ผู้คนเกิดอาการขวัญผวาจนไม่กล้าออกจากบ้านหลังจากพระอาทิตย์ตกดินแล้ว ขณะที่ตํารวจสงสัยว่าเป็นคดีฆาตกรรม แต่หลังจากการตรวจสอบหลักฐานทั้งหมดแล้วพบว่า คนเหล่านั้นเสียชีวิตโดยไม่ทราบสาเหตุอย่างกะทันหัน
ฮันเปาเม่ยขมวดคิ้วขึ้นขณะที่เด็กหนุ่มยังคงเล่าต่อไป
“ครั้งนั้นพ่อของผมเป็นหัวหน้าทีมตรวจสอบขององค์กร และเขาได้รับคําสั่งให้ตามล่าวิญญาณร้ายตนนั้นโดยมีสมาชิกในทีมสี่คน แต่สามารถรอดชีวิตกลับมาเพียงสองคนเท่านั้น
โดยหนึ่งในคนที่เสียชีวิตถูกวิญญาณร้ายกลืนกินจิตวิญญาณเข้าไป แต่โชคดีก่อนที่เขาจะถูกกลืนกินเขาสามารถทําร้ายเจ้าผีตัวนั้นได้ ทําให้มันหายตัวไปต่อหน้าต่อตาพวกเขา”
” แล้วมันออกไปจากเมืองนี้เลยหรือเปล่า? แม่มดสาวเอ่ยถามด้วยความอยากรู้อยากเห็น
”เปล่า…สมาชิกในทีมมีทั้งหมดสี่คน และสองคนต้องเสียชีวิตจากเหตุการณ์นี้ ส่วนอีกสองคนรอดชีวิตกลับมาแต่ก็ได้รับบาดเจ็บสาหัส ซึ่งหนึ่งในนั้นคือพ่อของผม
จากนั้นครึ่งเดือนต่อมาอยู่ดีๆ เจ้าผีร้ายตัวนั้นก็ปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง และมาหาพ่อของผมเพื่อแก้แค้น” เด็กหนุ่มดวงตาเบิกกว้างด้วยความหวาดกลัว!
MANGA DISCUSSION