ตอนที่ 20 กระโดดตึก
เมื่อสัปดาห์ก่อนฮันเป่าเมยได้โทรไปแจ้งหลี่หยูว่าเธอต้องการเปลื่ยนชื่อเจ้าของบ้านเป็นฮันจ้าวหยางผู้เป็นบิดา เนื่องจากเธอมีแผนการณ์บางอย่างอยู่ในใจ
หลังจากย้ายบ้านแล้วมารดาของเธอก็ลาออกจากงานเพราะพวกเขาวางแผนว่าจะไปเรียนทำอาหารเพื่อเปิดเพจขายอาหารและขายเครื่องดื่มสำหรับผู้คนที่พักอาศัยอยู่ในหมู่บ้านแห่งนี้ซึ่งมีประมาณสามพันหลังคาเรือน
“แม่เปิดเพจเป็นเหรอคะ?”
“ถ้าเรามีเงินเราสามารถจ้างคนอื่นทำได้!”
“โอ้โห! บนโลกมนุษย์นี่เงินสามารถทำได้ทุกอย่างเลยนะคะ”
“…เออ! จะว่าอย่างนั้นก็ได้!” มารดาเห็นด้วย
ตอนนี้แม่มดสาวมีเงินอยู่ในธนาคารไม่มากนัก ส่วนเงินห้าล้านเหรียญที่มีคนมอบให้เมื่อสองสัปดาห์ก่อน เธอก็มอบมันให้กับบิดามารดาแล้วและไม่ต้องการที่จะขอมันจะพวกเขา
เนื่องจากเธอรู้สึกผิดที่ตอนนี้เธอกำลังอยู่ในร่างของบุตรสาวของพวกเขาและไม่รู้ว่าดวงวิญญาณของเด็กสาวผู้นี้ไปอยู่ที่ไหนแล้ว…
แม่มดสาวยังคงไปทำงานตามปกติและวันนี้หลังจากเลิกงานเธอไม่ได้กลับบ้านในทันทีแต่เธอเดินไปที่ร้านเค้กชื่อดังทางอินเตอร์เน็ตบนถนนสายหลักของเมืองนี้และใช้เวลาหนึ่งชั่วโมงในการต่อแถวเพื่อเลือกซื้อเค้ก
จากนั้นเธอก็นั่งทานขนมเค้กอยู่ในร้านอย่างใจเย็นและเดินข้ามถนนไปยังฝั่งตรงข้ามเพื่อซื้อชานมไข่มุกพร้อมกับโทรแจ้งทางบ้านว่า วันนี้จะกลับบ้านช้ากว่าปกติจากนั้นเธอก็เดินไปเรื่อย ๆ จนถึงเวลาค่ำ
และเมื่อท้องฟ้าเริ่มมืดมิดก็ดูเหมือนว่าเธอจะพบบางสิ่งบางอย่างอยู่บนหลังคาทางทิศตะวันออกจากตำแหน่งที่เธอยืนอยู่ โดยมีกลุ่มหมอกควันสีเทาที่หม่นหมองกำลังหมุนวนอย่างผันผวนเป็นพายุอยู่ที่นั่น
ขณะที่มันมีความกว้างประมาณสองเมตรและสูงเจ็ดหรือแปดเมตรดังนั้นแม่มดสาวจึงกล่าวกับเจ้าแมวน้อยว่า
“แม้ว่าเจ้าสิ่งนี้จะมีพลังงานด้านลบที่หนาแน่นมากและดูเหมือนจะมีความคับแค้นใจแอบแฝงอยู่แต่สิ่งนี้จะสามารถจัดการได้…นี่แหละคือลูกค้ารายแรกของข้า”
เมื่อมีโอกาสในการสร้างรายได้แม่มดสาวก็ไม่ต้องการสูญเสียโอกาสนี้ไปเธอจึงรีบพุ่งตัวไปที่ตำแหน่งนั้นอย่างรวดเร็ว
และด้วยอำนาจแห่งเวทมนตร์เคลื่อนย้าย ชั่วอึดใจต่อมาฮันเป่าเม่ยก็มาถึงที่หมายโดยพบว่าสถานที่แห่งนั้นคือโรงพยาบาลเอกชนประจำจังหวัด และกลุ่มหมอกควันสีเทาอยู่บนหลังคาแผนกผู้ป่วยในของโรงพยาบาลอีกทั้งบนยอดตึกยังมีลมหายใจแห่งความสิ้นหวัง
[จะมีคนฆ่าตัวตายด้วยการกระโดดตึกใช่หรือเปล่า?]
ตอนนี้แม่มดสาวได้เงยหน้าขึ้นเพื่อเพ่งมอง เนื่องจากต้องการตรวจดูสถานการณ์บนดาดฟ้าอาคารและเห็นว่าพลังของกลุ่มควันสีเทานั้นเริ่มมีความผันผวนและรุนแรงมากขึ้นเรื่อย ๆ ดังนั้นเธอจึงรีบเร่งร่ายมนต์เคลื่อนย้ายอีกครั้งด้วยความกระวนกระวายใจ
ที่ด้านบนของอาคารหญิงสาวในชุดผู้ป่วยของโรงพยาบาลยืนสงบนิ่งอยู่ที่บริเวณกันสาดและกำลังจะก้าวไปข้างหน้าท่ามกลางสายลมเย็นที่พัดผ่านผมยาวสลวยและกำลังมองขึ้นไปบนท้องฟ้าโดยไม่ทราบว่าเธอกำลังคิดอะไรอยู่
“เซียงอัน! อย่าคิดสั้น! หมอบอกว่าห้องวิจัยกำลังคิดค้นตัวยาเพื่อรักษาโรคนี้อยู่! อย่ายอมแพ้ง่าย ๆ แบบนี้! เซียงอันได้ยินหรือเปล่า?”
ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ ผีผู้ชายคนนั้นหวังเพียงว่าตนเองจะสามารถถ่วงเวลาผู้หญิงคนนี้ให้มีชีวิตอยู่ต่อไป เผื่อว่าเธออาจจะคิดได้และไม่คิดฆ่าตัวตายหรืออาจจะมีใครบางคนบังเอิญขึ้นมาพบเพื่อหยุดการกระทำของเธอ
ขณะนี้บนท้องฟ้ามีเครื่องบินลำหนึ่งบินผ่านมาพร้อมกับแสงไฟกระพริบที่สว่างเจิดจ้าและทันใดนั้นรอยยิ้มที่มุมปากก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าที่ไร้ความรู้สึกของเซียงอัน
“ฉันคิดว่าครั้งนี้คงจะเป็นการเห็นดวงดาวครั้งสุดท้ายของฉัน”
หลังจากคราวจบหญิงสาวก็ทำท่าทางจะกระโดดลงไปด้านล่าง
“ไม่นะ!”
วิญญาณของผู้ชายร้องตะโกนด้วยความร้อนรนพร้อมกับเลื่อนมือไปข้างหน้าและพยายามอย่างสุดความสามารถที่จะดึงร่างของผู้หญิงคนนั้นกลับเข้ามา แต่เขาก็ไม่สามารถทำอะไรได้เลย
เซียงอันเหลือบมองโทรศัพท์ที่วางอยู่ข้างเท้าตนเองเป็นครั้งสุดท้ายและมีจดหมาย ลาตายของเธออยู่ในนั้นพลางกล่าวว่า
“พ่อคะ! แม่คะ! หนูลาก่อนนะ!”
“ไม่นะ!” ผีผู้ชายร้องตะโกนสุดเสียงแต่ผู้หญิงคนนั้นก็ไม่ได้ยิน
ทันใดนั้นเซียงอันก็หยุดด้วยดวงตาเบิกกว้างเนื่องจากความประหลาดใจทำให้วิญญาณชายหนุ่มที่ชื่อหยุนหัวรู้สึกสงสัยว่าเป็นไปได้หรือไม่ที่เสียมันได้ยินเสียงของเขา
“เฮ้อ! เหนื่อยมาก! กว่าจะมาถึง! เมื่อกี้นี้หลงทางจนได้”
แม่มดสาวบ่นพึมพำอย่างเหนื่อยหอบและกล่าวอีกว่า
“ฉันวิ่งมาจากถนนด้านโน้นก็เลยหมดแรง! เดี๋ยวก่อน! ขอพักแป๊บนึง..”
เมื่อเซียงอันหันหน้ามามองก็เห็นว่าเด็กผู้หญิงคนนี้ดูเหมือนจะเป็นเด็กมัธยมปลายที่มีผมยาวถึงเอวแต่ถูกถักเป็นเปียเอาไว้สองเส้นส่วนใบหน้านั้นเป็นสีแดงก่ำเพราะความเร่งรีบของเธอ
“น้องค่ะ ขึ้นมาบนดาดฟ้าทำไมคะ? มันอันตรายรู้หรือเปล่า?”
เซียงอันเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง แต่อันที่จริงแล้วเธอไม่ต้องการให้ความตายของตนเองสร้างเงาร้ายทางจิตใจให้กับเด็กสาว ดังนั้นจึงวางแผนว่าจะรอจนกว่าเธอคนนั้นจะจากไปแล้วค่อยกระโดดลงไปด้านล่าง
“ไม่! น้องสาว! อย่าไปนะ! เธอจะกระโดดตึกหลังจากที่น้องออกไปช่วยห้ามเธอด้วย!”
วิญญาณของอยู่หยุนหัวรีบวิ่งเข้าไปที่ด้านหน้าของฮันเป่าเม่ยพร้อมกับร้องตะโกนแม้เขาจะทราบว่าตอนนี้ตนเองเป็นเพียงดวงวิญญาณดังนั้นมนุษย์คงจะมองไม่เห็นเขาอย่างแน่นอน
แต่หลังจากที่เขารออยู่เป็นเวลานานก็มีเพียงเด็กผู้หญิงคนนี้ที่มีลักษณะเหมือนเด็กนักเรียนมัธยมปลายเท่านั้นที่ปรากฏตัว
“รู้แล้ว! ไม่ต้องตะโกน…บอกแล้วไงว่าขอพักแป๊บนึง”
เหตุผลที่เธอเหนื่อยหอบเป็นอย่างมากเป็นเพราะว่ามีการขัดข้องทางเทคนิคดังนั้นเมื่อคู่นี้เธอจึงไปโผล่ที่ห้องฉุกเฉินแทนที่จะมาที่นี่
และทันทีที่แม่มดสาวกล่าวเช่นนี้วิญญาณของชายหนุ่มกับเซียงอันก็อยู่ในอาการตกตะลึง
“ฉันไม่ได้ตะโกน” เซียงอันกล่าวด้วยความรู้สึกสับสน
“น้องได้ยินเสียงที่พี่พูดเหรอ?”วิญญาณชายหนุ่มเอ่ยถาม
“น้องได้ยินที่พี่พูดใช่ไหม?” วิญญาณของหยุนหัวร้องตะโกนอีกครั้ง
แม่มดสาวรู้สึกว่าหากตนเองไม่ทำอะไรสักอย่าง เธอคงจะต้องถูกผีหนุ่มตนนี้ตะโกนใส่อีก ดังนั้นเธอจึงยืนตัวตรงและยกมือทั้งสองข้างขึ้นมาเท้าสะเอวพร้อมกับกล่าวว่า
“พี่สาว…พี่กำลังจะกระโดดตึกเพื่อฆ่าตัวตายเหรอ?”
หลังจากได้ยินประโยคนี้หลุดออกมาจากปากของเด็กสาว การแสดงออกของเซียงอันก็เปลี่ยนไปและกำลังจะโต้ตอบกลับมา แต่เธอเห็นว่าเด็กสาวตรงหน้าโบกมือพร้อมกับกล่าวอีกครั้งว่า
“ไม่ต้องปฏิเสธ! ก็หนูเห็นอยู่ตําตาว่าพี่กำลังจะกระโดดลงไป”
เซียงอันเงียบทันทีและเริ่มลังเลใจว่าจะกระโดดลงไปด้านล่างต่อหน้าเด็กผู้หญิงคนนี้ดีหรือไม่?
เป็นไปได้ว่าถ้าเธอกระโดดลงไปมันอาจจะทิ้ง…ภาพจำที่เลวร้ายทางจิตใจไว้กับเด็กผู้หญิงตรงหน้า แต่ถ้าเธอไม่ทำ…เด็กผู้หญิงคนนี้ก็จะบอกทุกคนเกี่ยวกับการที่ตนเองต้องการจะฆ่าตัวตายจากนั้นเธอก็หาโอกาสที่จะทำแบบนี้ได้ยากขึ้น
“พี่สาวชื่ออะไรคะ?”
ในที่สุดฮันเป่าเม่ยก็หายจากอาการเหนื่อยหอบแต่เธอก็ยังคงยืนอยู่ตรงนั้นและไม่เข้าใกล้ผู้หญิงตรงหน้าเพราะกลัวว่าจะเป็นการกระตุ้นเซียงอัน
“เธอชื่อเซียงอัน!” ผีของชายหนุ่มตอบแทน
“เซียงอันเหรอ?” ฮันเป่าเม่ยทวนคำตอบพร้อมกับพยักหน้า
MANGA DISCUSSION