แม่ปากร้ายยุค 80 - ตอนที่ 980 ไปพบนายอำเภอ
ตอนที่ 980 ไปพบนายอำเภอ
ตอนที่ 980 ไปพบนายอำเภอ
คราวนี้หลินม่ายกลับมาที่หมู่บ้านสกุลหวังเพื่อดูการปลูกพริก
เพราะมุ่งมั่นที่จะทำซอสพริกให้เป็นแบรนด์ดังติดตลาด คุณภาพของพริกจะต้องไม่ลดลง ไม่เช่นนั้นเธอจะกลายเป็นเดินตามรอยเหล่ามามาในชาติที่แล้วอย่างช่วยไม่ได้
ชาติที่แล้ว เหล่ามามาเปลี่ยนมาใช้พริกด้อยคุณภาพ ทำให้เกิดการบอกต่อปากต่อปาก และส่งผลต่อยอดขาย
เธอเดินทางไปร่วมกับหัวหน้าหมู่บ้านพร้อมด้วยเจ้าหน้าที่หลายคนเยี่ยมชมหมู่บ้านสกุลหวัง และหมู่บ้านใกล้เคียงอีกเจ็ดหรือแปดแห่ง
หมู่บ้านเหล่านี้เหมือนกับหมู่บ้านซื่อเหม่ย เนื่องจากเกษตรเริ่มต้นทำเกษตรด้วยตนเอง พวกเขาจึงใช้ปุ๋ยเคมีและยาฆ่าแมลงในปริมาณมาก และกระทำกันเป็นเรื่องปกติ
ระหว่างทางเธอชิมพริกดิบจากหลายครัวเรือน พบว่าทั้งความเผ็ดและรสชาติแย่ลงกว่าเดิมมาก
แม้ชื่อเสียงของซอสพริกจะไม่ได้รับผลกระทบใด แต่การสร้างฟาร์มพริกก็เป็นสิ่งที่รอไม่ได้ ไม่ควรจะชักช้า
การเซ็นสัญญาเช่าที่ดินแต่ละหมู่บ้านเป็นเรื่องที่ยุ่งยากเกินไป หลินม่ายจึงคิดว่าอยากจะขอให้รัฐบาลเข้ามาช่วยเหลือ
เธอขับรถตรงไปที่หน่วยงานราชการของอำเภอภายในหมู่บ้านสกุลหวัง และเข้าพบนายอำเภอก่อนจะพูดคุยว่าเธอต้องการทำสัญญากับที่ดินทั้งหมดในหมู่บ้านหลายร้อยแห่งโดยรอบเพื่อพัฒนาการปลูกพริกอย่างจริงจัง
นายอำเภอได้ยินอย่างนั้นยิ่งรู้สึกยินดี
อำเภอของพวกเขาอยู่ในภูเขา ไม่มีที่ดินอุดมสมบูรณ์เท่าไหร่นักเศรษฐกิจจึงล้าหลัง และกลายเป็นอำเภอยากจน
ทุกครั้งที่เขาต้องเข้าประชุมในตัวจังหวัดเพื่อประเมินรายได้ครัวเรือนที่เกิดขึ้นในอำเภอ เขาที่เป็นนายอำเภอรู้สึกอับอายจนแทบทนไม่ไหว
ตอนนี้มีผู้ประกอบการเอกชนมากชื่อเสียงจากทั่วประเทศต้องการลงทุนในอำเภอของเขา เปรียบได้กับโชคชั้นใหญ่ร่วงใส่ศีรษะเขาอย่างจัง
แม้จะมีความสุข แต่นายอำเภอก็ยังมีสติอยู่
เขาถามต่อ “คุณทำสัญญาเช่าที่ดิน แล้วชาวนาไม่มีไร่นาทำงาน พวกเขาจะใช้ชีวิตยังไงล่ะครับ?”
หลินม่ายตอบ “ฉันจะจ้างเกษตรที่เป็นแรงงานท้องถิ่นมาทำงานค่ะ ตราบใดที่พวกเขาอายุน้อยกว่า 50 ปี มีสุขภาพแข็งแรงและเต็มใจทำงานหนัก ฉันจะจ้างพวกเขาทั้งหมด”
เธอยิ้มก่อนจะพูดว่า “แต่ฉันคิดว่าคนงานจะไม่เพียงพอ จึงต้องรบกวนนายอำเภอค้นหาแรงงานต่างถิ่นมาเพิ่มเติมให้ด้วย”
“ไม่มีปัญหาครับ” นายอำเภอตอบกลับ “แล้วคุณไม่สนใจคนพิการหรือว่าคนแก่เหรอครับ?”
หลินม่ายคิดสักครู่ก่อนจะถามต่อ “ขั้นต่ำของค่าครองชีพเกษตรในท้องถิ่นเท่าไหร่เหรอคะ?”
นายอำเภอเรียกผู้รับผิดชอบด้านนี้เข้ามาตอบคำถาม
เขาตอบว่า “ไม่จำเป็นต้องซื้อธัญพืช น้ำมัน และผัก ทั้งหมดนี้พวกเขาสามารถปลูกเองได้ ส่วนเงินเพียงแค่ 10 หยวนต่อเดือนก็เพียงพอแล้ว”
หลินม่ายตอบ “ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะให้คนแก่ คนป่วย หรือคนพิการปลูกอาหารและหาข้าวของใช้เอง งั้นเอางี้ค่ะ สำหรับผู้สูงอายุ คนป่วย และผู้พิการฉันจะมอบเงินสนับสนุนให้คนละ 25 หยวนต่อเดือน”
นายอำเภอประทับใจมากจนกระทั่งจับมือหลินม่ายไว้แล้วกล่าวขอบคุณไม่รู้จบ
เขายังบอกหลินม่ายว่าถ้าหากติดปัญหาอะไร เธอสามารถบอกกล่าวกับเขาได้ทันที
ภูมิประเทศของหมู่บ้านสกุลหวังเป็นภูเขา แม้จะไม่มีภูเขาสูงแต่ถนนบนภูเขามีมากมายหลายโค้ง พวกเขาต้องเดินทางด้วยความยากลำบาก
เมื่อรถมาถึงหมู่บ้านสกุลหวัง ก็พบว่าที่แห่งนี้ไม่มีถนนหลวง มีเพียงเส้นทางดินลูกรังย่ำแย่
ชาวไร่บนภูเขาขนพริกลงมาขายให้กับจุดซื้อพริกที่หลินม่ายตั้งรับ ซึ่งเป็นเรื่องที่ค่อนข้างจะลำบากมาก
ไม่ว่าจะอายุน้อยหรืออายุมาก เมื่อต้องพบเจอร่างกายสั่นเทาของผู้เฒ่าผู้แก่ ใครก็ต้องอยากจะร่ำไห้เมื่อได้เห็น
หากมีถนนตรงไปยังหมู่บ้านเหล่านั้น คนเฒ่าคนแก่คงจะขายพริกได้ง่ายขึ้น หรือไม่ก็ส่งรถบรรทุกขึ้นไปรับพริกโดยตรงก็ได้
อีกทั้งนายอำเภอยังบอกกล่าวว่ามีอะไรสามารถพูดคุยกับเขาได้ เธอจึงอยากให้อำเภอสร้างถนนบนภูเขาของหมู่บ้านสกุลหวัง
หากต้องการร่ำรวย จงสร้างถนนก่อน ซึ่งมันจะเป็นประโยชน์ต่อคนรุ่นหลังด้วย
หลังจากหลินม่ายร้องขอเช่นนี้ นายอำเภออยากจะทุบหน้าตัวเองสักสองสามครั้ง
เขารู้สึกว่าตนเองพูดมากเกินไป เขาพูดมากเกินไปแล้ว! ก่อนหน้านี้ทุกอย่างเรียบร้อยดี แต่ตอนนี้เขาต้องจัดสรรเงินเพื่อสร้างถนน
พื้นที่บนภูเขาซ่อมค่อนข้างยาก โดยเฉพาะถนน 18 โค้งเหล่านั้นต้องใช้เงินจำนวนมาก
อย่างไรก็ตาม หลินม่ายกล่าวต่อว่าเธอยินดีจะช่วยเหลือค่าใช้จ่ายครึ่งหนึ่ง และเธอจะสร้างถนนให้โดยไม่คิดเงิน
เวลานี้เขาจับมือหลินม่ายก่อนจะเขย่าไปมาด้วยความดีใจ ก่อนจะยกย่องเธอด้วยหลากหลายถ้อยคำ
ก่อนจะออกจากหมู่บ้านซื่อเหม่ย หลินม่ายตรงไปที่หมู่บ้านสกุลอู๋ด้วย
เธอว่าจะเข้าไปทำสัญญาที่ดินในหมู่บ้านสกุลอู๋เพื่อเริ่มต้นทำฟาร์มเพาะพันธุ์
หัวหน้าหมู่บ้านสกุลอู๋เป็นคนดี เขาอุทิศตนเพื่อชาวบ้าน หลินม่ายอยากจะให้หัวหน้าหมู่บ้านสกุลอู๋ช่วยเธอจัดการทำฟาร์มในหมู่บ้านแห่งนี้
แต่หลังจากเข้ามาถึงภายในหมู่บ้าน อดีตแม่สามีของโจวฉายอวิ๋นก็เข้ามาขวางเธอเอาไว้
หล่อนบอกให้หลินม่ายไปพูดกับโจวฉายอวิ๋นเพื่อให้ปล่อยลูกชายของตน
นอกจากนี้ยังกล่าวอีกว่าหลังจากลูกชายของตนกับโจวฉายอวิ๋นและสามีของหล่อนทะเลาะกัน ลูกชายของนางก็ได้รับบาดเจ็บสาหัสด้วย ร้ายแรงกว่าโจวฉายอวิ๋นและสามีของหล่อนเสียอีก
แต่ตอนนี้ลูกชายของนางถูกคุมขังอยู่ในคุก ส่วนโจวฉายอวิ๋นและสามีกลับไม่ถูกจัดการ?
หลินม่ายยกยิ้มก่อนจะพูดขึ้นว่า “แล้วทำไมไม่ไปบอกเรื่องนี้กับตำรวจล่ะคะ? มาบอกฉันจะมีประโยชน์อะไร ฉันไม่ใช่คนที่อยู่เหนือกฏหมายนะ”
หญิงเฒ่าเฝ้ามองรถที่จากไปพร้อมกับสาปแช่งรุนแรง
หลินม่ายไม่ได้ยินอะไรทั้งนั้น เธอขับรถตรงไปที่สำนักงานหัวหน้าหมู่บ้านและเข้าพบหัวหน้าหมู่บ้านอู๋ก่อนจะอธิบายถึงเหตุผลที่มาเยี่ยม
หัวหน้าหมู่บ้านสกุลอู๋มีความสุขมาก
เขาบอกหลินม่ายว่าเขาเพิ่งได้รับข่าวหลังจากที่เธอแจ้งมาว่าต้องการพื้นที่ในชนบทสำหรับการเช่าที่ดินทำฟาร์ม
เขาไม่ได้คาดหวังว่าเธอจะมาหาเขาถึงบ้าน เช่นนี้จึงเผยความยินดีออกมา
ทั้งสองพูดคุยกันที่สำนักงานเป็นเวลานาน และยังกล่าวเรื่องการจัดตั้งฟาร์มต่าง ๆ จนหลินม่ายกำลังจะลุกออกไป แต่หัวหน้าหมู่บ้านสกุลอู๋เหลือบมองนาฬิกาตัวใหญ่บนผนังก่อนจะพูดว่า “นี่ก็เที่ยงแล้ว ค่อยกลับหลังรับประทานมื้อกลางวันเถอะครับ”
หัวหน้าหมู่บ้านสกุลอู๋ดูกระตือรือร้นเต็มเปี่ยม หลินม่ายจึงไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ ดังนั้นเธอจึงต้องอยู่รับประทานอาหารที่นี่ก่อน
ชาวบ้านเองก็มีท่าทางชื่นมื่นเมื่อรู้ว่าการมาเยือนของหลินม่ายในคราวนี้จะทำให้พวกเขาร่ำรวยมากขึ้น
เมื่อได้ยินว่าหลินม่ายจะรับประทานมื้อเที่ยงที่บ้านหัวหน้าหมู่บ้าน ทุกคนตระเตรียมไก่ เป็ด และมีบางคนขี่จักรยานไปตลาดเพื่อซื้อซี่โครงหมู
อาหารกลางวันในบ้านของหัวหน้าหมู่บ้านจึงค่อนข้างอร่อยเป็นพิเศษ
หลังจากกินและดื่มเสร็จสิ้น หลินม่ายขับรถออกไปพร้อมกับลูกท้อสีเลือดและลูกไหนจากชาวบ้าน
ไม่นานหลังจากขับรถออกจากหมู่บ้าน มีบุคคลหนึ่งปรากฏตัวออกมาจากป่าข้างถนน
หลินม่ายกระทืบเบรกทันทีก่อนจะมองบุคคลตรงหน้าอย่างระมัดระวัง และคนที่บุกเข้ามาขวางเธอคราวนี้คือเหยาชุ่ยฮวา
เหยาชุ่ยฮวาในปัจจุบันมีใบหน้าที่แปรเปลี่ยนไปโดยสมบูรณ์ หล่อนมีอายุเพียงห้าสิบปี ทว่าใบหน้ากลับโรยราราวกับมีอายุเจ็ดสิบปี
หล่อนเห็นหลินม่ายแล้วก็พยายามบอกกล่าวให้อีกฝ่ายลงจากรถด้วยรอยยิ้มชั่วร้าย ทั้งยังบอกกล่าวว่ามีเรื่องสำคัญจะเล่าให้ฟัง
หลินม่ายตอบกลับอย่างเย็นชา “ฉันไม่อยากฟัง”
แม้เธอจะสนใจอยู่บ้าง แต่หลินม่ายก็ไม่อยากพูดคุยกับหล่อน
เหยาชุ่ยฮวาไม่ใช่บุคคลที่น่าพบเจอ กระทั่งอสรพิษยังไม่ดุร้ายเท่าหล่อน ไม่อย่างนั้นอู๋เสี่ยวเจี้ยนคงไม่กลายเป็นคนชั่วร้ายเช่นนั้น
แม้เธอจะพูดกล่าวกับเหยาชุ่ยฮวาเพียงคำ ก็กลัวว่าอีกฝ่ายจะพ่นพิษใส่แล้ว
ขนาดลูกชายยังปากร้ายไม่เบา คนเป็นแม่ย่อมไม่ธรรมดาแน่นอน
เหยาชุ่ยฮวายืนอยู่ตรงหน้าต่างรถยนต์ แววตาเต็มไปด้วยความชั่วร้ายก่อนจะถามว่า “ไม่สนใจข่าวของนังสารเลวหลินเพ่ยนั่นบ้างเหรอ?”
หลินม่ายตัดบท “ทำไมฉันต้องสนใจ?”
ตอนที่เธอรับประทานมื้อเที่ยงที่บ้านของหัวหน้าหมู่บ้านสกุลอู๋ ไม่ใช่ว่าเธอไม่ได้ยินชาวบ้านที่มาร่วมรับประทานกล่าวถึงสถานการณ์ของหลินเพ่ยภายในตระกูลอู๋
หลังหลินเพ่ยถูกอู๋จินกุ้ยข่มเหงในทุกวัน หล่อนก็เกิดความคิดที่จะใช้กลอุบายยั่วยวนอู๋จินกุ้ย
เรื่องที่อู๋จินกุ้ยครอบครองหล่อนนั้นไม่ได้เกิดจากความปรารถนาในตัวหล่อนเลย
หลินเพ่ยหน้าตาน่าเกลียดมากจนเห็นแล้วเกือบทำให้เขารู้สึกเสื่อมสมรรถภาพ แล้วหล่อนยังร่านรักอีกด้วย จะเป็นไปได้อย่างไร!
อู๋จินกุ้ยกระทำเพียงทรมานร่างกายหลินเพ่ยเพื่อให้อู๋เสี่ยวเจี๋ยนเจ็บปวดใจเท่านั้น
นับตั้งแต่เขารู้ว่าอู๋เสี่ยวเจี้ยนขายน้องสาวของตนออกไปเพื่อให้หลินเพ่ยทำศัลยกรรม เขาก็ตั้งความปรารถนาในใจว่าอยากฆ่าหล่อนให้ตาย แล้วผู้เป็นพ่ออย่างเขาจะสามารถรักผู้หญิงคนนี้ได้อย่างไร?
เขายิ่งรังเกียจหลินเพ่ยมากขึ้น
ถ้าไม่ใช่เพราะผู้หญิงคนนี้ หลินม่ายคงไม่ออกจากตระกูลอู๋เพียงเพราะลูกชายคนโตของเขามีสัมพันธ์กับหล่อน
ถ้าหลินม่ายยังไม่ออกจากตระกูลอู๋ ตระกูลอู๋คงจะร่ำรวยจากความสามารถของหลินม่ายแล้ว จะไม่มีปัญหาเหล่านี้เกิดขึ้นภายหลัง!
อู๋จินกุ้ยและภรรยาอยากจะสับหลินเพ่ยเป็นพันเป็นหมื่นชิ้น และพวกเขาก็รู้ด้วยว่าหลินเพ่ยเองก็ต้องการให้เขากับภรรยาตายตกตลอดเวลาเช่นกัน เพราะสุดท้ายแล้วหล่อนมีจิตใจที่โหดเหี้ยมยิ่งกว่าพวกเขาเสียอีก
หลินเพ่ยพยายามล่อลวงเขาอย่างหนัก จนอู๋จินกุ้ยคาดเดาว่าอีกฝ่ายคงมีแผนการจะทำบางอย่าง
เขาบอกเหยาชุ่ยฮวาถึงเรื่องที่รู้มา และเหยาชุ่ยฮวาบอกให้เขาแกล้งทำเป็นติดเบ็ดแล้วรอดูว่าหญิงแพศยาคนนั้นจะทำอะไรต่อ
หลังจากการพูดคุย ทั้งหมดเฝ้าดูการกระทำของหลินเพ่ย
หลินเพ่ยล่อลวงอู๋จินกุ้ยและต้องการเปลี่ยนให้เขาเป็นสุนัขรับใช้เช่นเดียวกับอู๋เสี่ยวเจี้ยน เขาจะต้องรับใช้เธออย่างภักดีและฆ่าเหยาชุ่ยฮวาเสีย
อู๋จินกุ้ยรังแกหล่อนทุกวัน ซึ่งเป็นสิ่งที่หล่อนยังรับได้
ในความคิดของหล่อนแล้ว การอ้าขาให้คนอื่นไม่ใช่เรื่องที่ยากเย็นอะไรนัก
แต่เหยาชุ่ยฮวานั้นทุบตีหล่อนทุกวัน ทั้งใช้ไม้หน้าสาม ตะบองหนาม แทงปลายนิ้วหล่อนด้วยเข็ม กระทั่งนาบหล่อนด้วยแผ่นเหล็กร้อน
สรุปคืออีกฝ่ายพยายามทรมานหล่อน
หลินเพ่ยไม่อาจอดทนกับสิ่งเหล่านี้ได้ จึงต้องการฆ่าเหยาชุ่ยฮวาทิ้ง
เพื่อให้สำเร็จ หลินเพ่ยให้สัญญากับอู๋จินกุ้ยว่าหากเหยาชุ่ยฮวาตายตกไปแล้ว หล่อนจะยินยอมเป็นทาสรับใช้ของอู๋จินกุ้ยอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง
อู๋จินกุ้ยไม่ใช่อู๋เสี่ยวเจี้ยนที่จะหลงไปกับคำพูดของหลินเพ่ย
เขารู้ดีอยู่แก่ใจว่าตราบใดที่เขาฆ่าเหยาชุ่ยฮวา หลินเพ่ยก็จะฆ่าเขาภายหลังแน่นอน
หลินเพ่ยวางแผนเก่งกาจมาก และอู๋จินกุ้ยรู้สึกว่าเขาไม่มีวันเอาชนะหล่อนได้
อู๋จินกุ้ยกลับมาบอกกล่าวกับเหยาชุ่ยฮวาเกี่ยวกับแผนการของหลินเพ่ยทั้งหมด
เหยาชุ่ยฮวาโกรธจัด อีกฝ่ายต้องการแย่งสามีของหล่อน และยังต้องการฆ่าหล่อนด้วย นังผู้หญิงคนนี้ร้ายยิ่งกว่าอสรพิษ
เหยาชุ่ยฮวาเคลื่อนไหวทันที หล่อนทุบตีขาของหลินเพ่ยจนหัก และเพิ่มการทรมานให้รุนแรงขึ้น
เหยาชุ่ยฮวามีความสุขมาก ขณะที่ชาวบ้านกลับเป็นกังวลเมื่อรับรู้ถึงความคิดอ่านของหลินเพ่ย
พวกเขาคิดอยู่เสมอว่าหากไม่กำจัดหญิงร้ายเช่นหลินเพ่ย ในอนาคตจะเกิดปัญหาอีกมากมาย
แต่ไม่มีใครคิดสนับสนุนอู๋จินกุ้ยและภรรยาให้ฆ่าหลินเพ่ย เพราะนั่นเป็นเรื่องผิดกฎหมาย ทุกคนจึงทำได้เพียงกังวลเท่านั้น
เวลานี้ทุกคนต่างขอคำแนะนำจากหลินม่าย
หลินม่ายเองไม่ต้องการเกี่ยวข้องกับคดีฆาตกรรม
หากเธอกล้าหาญที่จะท้าทายกฎหมาย เธอคงสั่งให้เหมาฉงฆ่าหลินเพ่ยตั้งนานแล้ว ไม่อย่างนั้นหล่อนกับสุนัขแซ่อู๋จะมีชีวิตอยู่มาถึงทุกวันนี้เหรอ?
เธอเพียงตอบกลับไปว่าเธอเองก็ช่วยอะไรไม่ได้
หลินเพ่ยถูกตีขาหักแล้ว และถูกขังอยู่ในห้องใต้ดิน ไม่สามารถออกมาเพ่นพ่านได้ คงไม่มีอะไรต้องกังวล
หากหล่อนออกมาด้านนอก ก็ให้ทุกคนจับตามองหล่อนเอาไว้
หากหล่อนต้องการทำร้ายคนในหมู่บ้าน หล่อนคงจะวางยาพิษในบ่อน้ำ โรยยาพิษลงในข้าวสาลีที่ทุกคนเอาออกมาตากแห้ง
วิธีที่เธอจะแนะนำได้คือบอกกล่าวให้ชาวบ้านระมัดระวังตัวเท่านั้น
เหยาชุ่ยฮวาตกตะลึงเมื่อเห็นว่าหลินม่ายไม่สนใจที่จะรับฟังเรื่องราวของหลินเพ่ยอีกต่อไป
นี่เป็นสิ่งที่อยู่เหนือความคาดหมายของหล่อน คราวแรกหล่อนคิดว่าหลินม่ายจะสนใจมากจนรอไม่ไหวที่จะกล่าวถามไถ่
หลินม่ายใช้ประโยชน์จากช่วงเวลาที่อีกฝ่ายกำลังสับสนเหยียบคันเร่งหนีไปทันที
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
ชีวิตของยัยเพ่ยจะจบลงยังไงนะ คุมไว้ให้ดีอย่าให้หลุดออกมาแล้วกัน
ไหหม่า(海馬)