แม่ปากร้ายยุค 80 - ตอนที่ 925 แข่งขันนักออกแบบแฟชั่นยอดเยี่ยมครั้งที่ 1
ตอนที่ 925 แข่งขันนักออกแบบแฟชั่นยอดเยี่ยมครั้งที่ 1
ในช่วงต้นเดือนธันวาคม จะมีการแข่งขันระดับชาติของนักออกแบบแฟชั่นที่มีความสามารถ
นี่คือการประกวดของนักออกแบบแฟชั่นแห่งชาติครั้งแรกที่จัดขึ้นในประเทศจีน
รางวัลอันดับหนึ่งคือ รางวัลลูกโลกทองคำพร้อมเงินโบนัส 10,000 หยวน และรางวัลรองชนะเลิศคือ รางวัลลูกโลกเงิน พร้อมเงินโบนัส 5,000 หยวน
แน่นอนว่าเถาจืออวิ๋นเข้าร่วมการประกวดครั้งนี้ด้วย
แม้หล่อนจะได้รับรางวัลในหลาย ๆ ประเทศแล้ว แต่เธอยังไม่เคยได้รับรางวัลในประเทศจีนสักครั้ง
หล่อนจะเข้าร่วมการแข่งขันในคราวนี้ด้วย และต้องได้รับรางวัลเพื่อเพิ่มชื่อเสียงของตนภายในประเทศ
ในยุคสมัยนี้การสื่อสารยังไม่ค่อยดี แม้เถาจืออวิ๋นจะเป็นที่รู้จักในแวดวงแฟชั่นต่างประเทศก็ตาม แต่คนในประเทศส่วนใหญ่ก็ยังไม่ค่อยรู้จักหล่อนนัก
สุดท้ายแล้วนี่คือการประกวดแฟชั่นครั้งแรกของประเทศจีน และการชนะคราวนี้ถือว่าเป็นรางวัลใหญ่สำหรับหล่อน
สถานีวิทยุโทรทัศน์กลางแห่งประเทศจีนมีกำหนดการออกอากาศพิธีมอบรางวัลการแข่งขันครั้งแรกของประเทศในวันที่ 12 ธันวาคม
เพราะเหตุนี้เถาจืออวิ๋นจึงเข้าสู่เมืองหลวงล่วงหน้าหนึ่งวัน และฟางจั๋วเยวี่ยก็อยู่กับหล่อนด้วย
แน่นอนว่าความหวานของทั้งสองไม่อาจปิดได้มิดชิด
ฟางจั๋วเยวี่ยเป็นนักชิมตัวฉกาจ หากเขาพบเจอของอร่อย เขาจะให้เถาจืออวิ๋นลิ้มรสมันก่อน
แต่สุดท้ายแล้วเถาจืออวิ๋นไม่ใช่นักกินตัวยง หล่อนปล่อยให้ฟางจั๋วเยวี่ยกินคนเดียวเสียส่วนใหญ่
ขณะที่ทั้งครอบครัวกำลังรับประทานมื้อเย็น ฟางจั๋วเยวี่ยมองตุ๋นไก่ดำกับเห็ดหูหนูบนโต๊ะอาหารด้วยแววตาราวกับเห็นสมบัติ เขาหยิบยกมันให้กับเถาจืออวิ๋นทันที
หลินม่ายเห็นอย่างนั้นถึงกับอดไม่ได้ที่จะกระตุกมุมปากเล็กน้อย
เธอตุ๋นซุปถ้วยนี้สำหรับทั้งครอบครัว แต่ฟางจั๋วเยวี่ยยกทั้งชามให้เถาจืออวิ๋นไปแล้ว
แล้วคนอื่นจะทำอย่างไร ปล่อยซุปนี้ไปเหรอ?
อย่างไรเสีย เถาจืออวิ๋นยังไม่ได้แต่งงาน คุณย่าฟางและคนอื่น ๆ จึงไม่สามารถปฏิบัติกับเธอเช่นเดียวกับที่ปฏิบัติกับหลินม่ายได้
และการเอื้อมมือไปตักซุปที่อยู่ตรงหน้าของเธอมันจะสร้างความอึดอัดให้กับทุกฝ่าย
เวลานี้โต้วโต้วตีฟางจั๋วเยวี่ยก่อนจะกล่าวอย่างขุ่นเคืองว่า “ตุ๋นไก่กระดูกดำกับถั่งเช่าชามนี้แม่ทำให้ทุกคนในครอบครัวนะ”
ใบหน้าของเถาจืออวิ๋นกลายเป็นสีแดง ก่อนจะขยับชามไก่ตุ๋นและถั่งเช่าไปไว้ตรงกลางโต๊ะแล้วหันกลับไปตำหนิฟางจั๋วเยวี่ยเสียงค่อย
คุณปู่ฟางและคุณย่าฟางพยายามทำให้บรรยากาศกลับมาสดใสเช่นเคยเพื่อบรรเทาความอึดอัดใจของเถาจืออวิ๋น
คุณปู่ฟางและคุณย่าฟางมีความสุขมากที่เห็นหลานชายคนเล็กกับเถาจืออวิ๋นมีความสัมพันธ์ที่ดี เวลานี้จึงเอ่ยปากถามว่าทั้งสองคนจะแต่งงานกันเมื่อใด
อาการป่วยของฟางจั๋วเยวี่ยหายแล้ว และเขามีความสุขกับการกินอาหารเป็นพิเศษ เวลานี้เขากินตุ๋นนกพิราบอย่างเอร็ดอร่อย
เขากล่าวกับชายชรา “ผมกับจืออวิ๋นคุยกันแล้ว ว่าเราจะแต่งงานกันภายในปีนี้ และจะให้คุณปู่กับคุณย่าเลือกวันให้ครับ”
ฟางจั๋วหรานได้ยินอย่างนั้นจึงหันมองฟางจั๋วเยวี่ยด้วยแววตาลุ่มลึก
หลังจากรับประทานมื้อเย็นเสร็จแล้ว ทุกคนเริ่มเลือกวันแต่งงานให้กับฟางจั๋วเยวี่ยและเถาจืออวิ๋น
วันขึ้น 26 ค่ำ เดือน 12 นับว่าเป็นวันมงคล คุณปู่ฟางและคุณย่าฟางกำหนดวันแต่งงานให้หลานชายคนเล็กทันที
หลังจากดูข่าวจบแล้ว ฟางจั๋วหรานเรียกฟางจั๋วเยวี่ยไปที่ห้องทำงานของเขาแล้วพูดขึ้นว่า “ฉันไม่คัดค้านหรอกนะที่นายอยากจะแต่งงานกับเสี่ยวเถา ฉันแค่อยากจะเตือนว่านายต้องใช้เวลากว่าครึ่งปี ร่างกายถึงจะกลับมาฟื้นตัวได้เต็มที่ นายจะแต่งงานก็ได้ แต่ห้ามมีเพศสัมพันธ์เด็ดขาด และจะมีได้ก็ต่อเมื่อผ่านไปครึ่งปีแล้ว”
ชายหนุ่มที่มักจะผ่อนคลายเสมอได้ยินเรื่องนี้ถึงกับใบหน้าแดงเรื่อขึ้นมา
ฟางจั๋วเยวี่ยอับอายและพยายามปกปิดมันด้วยคำพูดกระท่อนกระแท่น “อ้อ เรื่องนี้ผมรู้แล้วน่า พี่ครับ อย่าจู้จี้จุกจิกเหมือนผู้หญิงได้ไหม”
หลังพูดจบ เขาก็เดินหนีทันที
ตามกำหนดการ พิธีมอบรางวัลการประกวดนักออกแบบแฟชั่นยอดเยี่ยมระดับประเทศจะถูกถ่ายทำในช่วงกลางวัน และถ่ายทอดในช่วงกลางคืน
บ่ายวันรุ่งขึ้น หลินม่ายและเถาจืออวิ๋นเตรียมตัวเข้าร่วมการแข่งขันประกวดแฟชั่นแห่งประเทศด้วยกัน
ในฐานะประธานห้องเสื้อจิ่นซิ่ว หลินม่ายได้รับเชิญเข้าร่วมงานเลี้ยงด้วย
ทันทีที่ทั้งสองปรากฏตัวในงานเลี้ยง พวกเธอดึงดูดความสนใจจากผู้คนจำนวนมาก ทั้งเหล่าบรรดาผู้กำกับภาพยนตร์ และนักข่าวอีกมากมาย
การบันทึกเริ่มต้นขึ้น
งานเปิดตัวแฟชั่นโชว์แรกเป็นของโยมิ อาซากุสะ
โดยปกติแล้ว แบรนด์ไหนสามารถได้รับเลือกให้โชว์เปิดงานมักจะได้เปรียบ
เพราะการเปิดงานจะสร้างความประทับใจให้กับกรรมการและตัวแทนจำหน่ายทั้งหมดได้เป็นอย่างดี
หลินม่ายและเถาจืออวิ๋นสบตากัน
แฟชั่นโชว์นี้ควรจะเป็นเถาจืออวิ๋นที่ได้รับตำแหน่งเปิดงาน เพราะหล่อนมีชื่อเสียงโด่งดังในต่างประเทศ แต่ว่ากลับเป็นโยมิ อาซากุสะที่ได้รับตำแหน่งนี้ไปแทน
ส่วนการจัดแสดงของห้องเสื้อจิ่นซิ่วถูกวางไว้ตรงกลาง
และมันเป็นช่วงเวลาที่แย่ที่สุด
เหล่ากรรมการและตัวแทนจำหน่ายเริ่มเบื่อหน่ายที่จะรับชม พวกเขาไม่ได้สนใจเสื้อผ้าที่ถูกโชว์บนแคทวอล์คมากนัก
แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อห้องเสื้อจิ่นซิ่วเปิดตัวเสื้อผ้าของตนเอง ผู้จัดจำหน่ายและเหล่ากรรมการที่กำลังเบื่อหน่ายกลับกลายเป็นเปี่ยมด้วยพลัง แววตาของเขาเป็นประกายพร้อมจับจ้องบนเวทีอย่างไม่ละสายตา
เพราะนางแบบที่ออกมาโชว์เสื้อผ้านั้นน่าดึงดูดสายตาอย่างยิ่ง
นางแบบเหล่านั้นสูง 180 เซนติเมตร ร่างบางและเพรียวยาว ขายาวได้สัดส่วนทำให้ผู้คนไม่อาจละสายตาได้
นางแบบไม่ได้สวยมากนัก แต่เพราะความมั่นใจในแววตาทำให้ทุกสายตาจับจ้องมาและไม่รู้สึกถึงจุดด้อยของหล่อนเลย มีเพียงเสน่ห์ที่น่าดึงดูดสายตา
ตัวแทนจำหน่ายทั้งหมดเห็นนางแบบแล้ว แน่นอนว่าพวกเขาก็มองด้วยว่านางแบบกำลังสวมชุดอะไรอยู่
ชุดเหล่านี้ทั้งแปลกใหม่ เก๋ไก๋ และสวยงามมาก
ดูเหมือนว่าจะเป็นชุดที่ยอดเยี่ยมที่สุดในโชว์วันนี้แล้ว
พวกเขามองดูเสื้อผ้านางแบบอย่างสนุกสนาน ดูนางแบบคนนั้นสิ คนนี้สวยกว่า ชุดของคนนั้นสง่างามมาก คนนั้นก็ดูทันสมัยไม่น้อย
เหล่าตัวแทนจำหน่ายไม่อาจละสายตา
หลินม่ายเองก็จ้องมองนางแบบที่สูง 180 เซนติเมตรตรงหน้าด้วยความประหลาดใจด้วยเช่นกัน
เธอหันมองเถาจืออวิ๋นด้านข้างก่อนจะถามว่า “ทำไมกู่เยี่ยนถึงปรากฏตัวล่ะ? พี่เรียกหล่อนมางานนี้ด้วยเหรอ?”
เถาจืออวิ๋นพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม “ใช่ กู่เยี่ยนไม่ได้กลับมาเยี่ยมบ้านเกิดนานแล้ว ฉันโทรหาหล่อนเอง ไม่ใช่แค่จะให้มาเดินแบบให้กับเรา แต่หล่อนก็ยังได้กลับมาเยี่ยมบ้านเกิดด้วย เธอไม่คิดว่ากู่เยี่ยนเป็นนางแบบที่ดีเหรอ?”
หลินม่ายพยักหน้า “ฉันก็รู้สึกอย่างนั้น”
แม้ผู้หญิงคนนี้จะไม่ได้สวย แต่กลับมีรูปร่างที่ได้สัดส่วน
ด้วยความสูงกว่า 180 เซนติเมตรซึ่งถือว่าสูงเกินไปในวงการแฟชั่นของประเทศจีน แต่ความสูงนี้คือมาตราฐานในวงการแฟชั่นต่างประเทศ
นอกจากนี้ หล่อนยังรู้จักที่จะพัฒนาตัวเองอยู่เสมอ แม้วันหนึ่งจะกลายเป็นซุปเปอร์โมเดลขึ้นมาจริง ๆ หลินม่ายก็ไม่แปลกใจเลย
หลังจากแฟชั่นโชว์จบลงแล้ว ก็จะถึงช่วงการมอบรางวัล
ตัวแทนจำหน่ายรวมถึงผู้ชมที่ซื้อตั๋วมาเพื่อรับชมการประกวดแฟชั่นคราวนี้ ทุกคนต่างคาดเดาว่ารางวัลลูกโลกทองคำจะต้องเป็นของเถาจืออวิ๋นแน่นอน
ดังนั้นเมื่อพิธีกรประกาศว่าผู้ที่ได้รับรางวัลลูกโลกทองคำคือโยมิ อาซากุสะ จึงเกิดความโกลาหลขึ้นทันที
เจ้าหน้าที่ภายในสถานีวิทยุโทรทัศน์กลางแห่งประเทศจีนเริ่มเข้ามาห้ามปราม และบอกกล่าวให้ทุกคนอยู่ในความสงบ
ส่วนเถาจืออวิ๋นได้รับรางวัลอันดับสามจากการประกวดคราวนี้
ขณะที่ผู้ชนะเลิศ รองชนะเลิศ และรองชนะเลิศอันดับสามขึ้นสู่เวทีเพื่อรับรางวัล เวลานั้นโยมิ อาซากุสะมองเถาจืออวิ๋นด้วยสายตาเย้ยหยัน
แต่เถาจืออวิ๋นเพียงยกยิ้มเล็กน้อย และไม่สนใจอีกฝ่าย
หลังจากนี้จะเป็นงานเลี้ยง ซึ่งจะเป็นงานเลี้ยงรับรองที่จัดขึ้นโดยห้องเสื้อชุนอิงเฉี่ยนเฉ่า จัดขึ้นในโรงแรมตรงข้ามกับสถานีวิทยุโทรทัศน์กลางแห่งประเทศจีน
หลินม่ายและเถาจืออวิ๋นไม่สนใจเข้าร่วม เวลานี้ทั้งสองคนกำลังจะเดินไปหากู่เยี่ยน แต่โยมิ อาซากุสะกลับมาขวางทั้งสองเอาไว้
โยมิ อาซากุสะยกยิ้มเสแสร้งก่อนจะกล่าวกับหลินม่าย “ม่ายจื่อ ฉันขอเชิญเธอเข้าร่วมงานเลี้ยงของบริษัทฉันด้วยนะ ยังไงเสีย ปู่ของฉันและปู่ของเธอก็เป็นสหายร่วมรบ เธอคงไม่เลิกคบกับฉันแค่เพราะปู่ของฉันตายในสนามรบหรอกใช่ไหม”
เสียงของหล่อนค่อนข้างดัง ซึ่งมันดึงดูดความสนใจของเหล่าแขกเหรื่อหลายคนที่อยู่ในสถานที่แห่งนี้ทันที
หลินม่ายเกลียดมากกับผู้อ้างหลักศีลธรรมที่มาบังคับให้คนคนหนึ่งทำตามที่ตนเองต้องการ
เวลานี้เธอตอบกลับอย่างเฉยเมย “ฉันไม่เคยดูถูกเธอ และฉันไม่รู้จักเธอ ปู่ย่าตายายของฉันไม่ยอมให้ฉันคบค้าสมาคมกับพวกโง่เง่าหรอก”
เธอต้องการจะบอกว่าไม่มีใครอยากคบหากับคนทรยศ
ในสายตาของเธอแล้ว โยมิ อาซากุสะเป็นคนทรยศ เป็นผู้ทรยศยามเหตุการณ์สงบ
แต่คนในยุคนี้ไม่รู้ว่าโยมิ อาซากุสะเป็นคนทรยศ คิดเพียงว่าหล่อนคือหญิงสาวคนหนึ่งที่มีความสุขมากเท่านั้น
ถ้าเธอบอกว่าโยมิ อาซากุสะเป็นคนทรยศในที่สาธารณะ แน่นอนว่ามันจะสร้างความขุ่นเคืองให้กับใครหลายคน โดยจะกลายเป็นเธอเองที่ไม่มีวุฒิภาวะและสร้างความแตกแยก
เธอเลยเปลี่ยนคำพูดว่าอีกฝ่ายเป็นเพียงคนโง่เขลา
และคำพูดของหลินม่ายทำให้ใครหลายคนถึงกับหัวเราะออกมา
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
ใครอยู่เบื้องหลังยัยโยมิกันนะ เส้นใหญ่เหลือเกิน ชม.บินน้อยกว่ามาทำกร่างนะ
ไหหม่า(海馬)