แม่ปากร้ายยุค 80 - ตอนที่ 1204 (บทสรุป) ไม่เคยเบื่อหน่ายที่จะได้เห็นหน้า
ตอนที่ 1204 (บทสรุป) ไม่เคยเบื่อหน่ายที่จะได้เห็นหน้า
หลินม่ายกัดลิ้น “คุณต้องการให้ฉันคำนึงถึงผู้เยาว์ในประเทศของคุณ แต่ในตอนที่พ่อแม่บรรพบุรุษของพวกคุณสังหารหมู่เพื่อนร่วมชาติของเราอย่างบ้าคลั่ง ทำไมถึงไม่นึกถึงลูกหลานของตัวเองบ้างล่ะ? คุณไปเอาความกล้านี้มาจากไหน ถึงมาเรียกร้องฉันซึ่งเป็นลูกหลานของประเทศที่ถูกรุกรานให้คำนึงถึงลูกหลานของพวกคุณ? คุณมีค่าพอหรือไง!”
หลินม่ายตะคอกถ้อยคำสุดท้ายด้วยความโกรธพร้อมทุบโต๊ะตรงหน้าอย่างแรง ทำให้เจ้าหน้าที่ระดับสูงคนนั้นสะดุ้งด้วยความตกใจ
หลินม่ายปฏิเสธที่จะปล่อยเขาไป
จากนั้นไม่นาน เธอโยนตำราเรียนหลายเล่มจากประเทศญี่ปุ่นลงบนโต๊ะด้านหน้าเจ้าหน้าที่ระดับสูง
ก่อนกล่าวคำเย้ยหยัน “คุณบอกให้ฉันคำนึงถึงสุขภาพจิตของคนรุ่นเยาว์ แต่ในหนังสือเรียนของพวกคุณบรรยายถึงระเบิดปรมาณูที่ตกในฮิโรชิมาและนางาซากิ รวมถึงการโจมตีทางอากาศที่โตเกียว ทั้งยังมีภาพถ่ายนองเลือดมากมายเช่นกัน ถ้าอย่างนั้นแสดงว่าพวกคุณก็ไม่ได้คำนึงถึงสุขภาพจิตของผู้เยาว์เลย! คุณแค่กลัวว่าคนรุ่นหลังจะรู้ข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์เกี่ยวกับประเทศคุณที่รุกรานเราต่างหาก คิดว่าสิ่งนั้นมันดีต่อสุขภาพจิตนักหรือไง! คุณกรีดร้องเสียงดังยามเมื่อถูกทำร้าย แต่ตอนที่คุณรุกรานผู้อื่น คุณกลับพยายามอย่างเต็มที่เพื่อปกปิดมัน คานบนไม่ตั้งตรงแล้วยังหวังให้คานล่างแข็งแรง ในชีวิตนี้คุณกลัวว่าจะป่วยหนักหรือยังไง?”
เจ้าหน้าที่ระดับสูงถูกพูดแทงใจดำ ก่อนจากไปด้วยความลำบากใจ
หากต้องการจัดพิมพ์หนังสือ “หายนะที่ถูกลืมของสงครามโลกครั้งที่สอง” เช่นนั้นต้องแปลหนังสือเล่มนี้เป็นภาษาญี่ปุ่น
แม้หลินม่ายจะสามารถใช้ภาษาญี่ปุ่นอย่างคล่องแคล่ว แต่เธอไม่เชี่ยวชาญด้านการเขียนและไม่สามารถทำงานนี้ได้ด้วยตัวเอง
ในท้ายที่สุด แพทย์ลูกครึ่งแนะนำชาวจีนโพ้นทะเลในประเทศญี่ปุ่นให้เธอซึ่งเชี่ยวชาญด้านวรรณกรรม ทำให้งานแปลดำเนินไปอย่างราบรื่น
อย่างไรก็ตามก่อนที่งานแปลเสร็จสมบูรณ์ บ้านของชาวจีนโพ้นทะเลจากประเทศญี่ปุ่นเกิดเพลิงไหม้ขณะที่เขาออกไปข้างนอก
ต้นฉบับที่แปลเกือบเสร็จสมบูรณ์ล้วนถูกไฟเผาไหม้ไปทั้งหมด
โชคยังดีที่คนคนนั้นไม่เป็นอะไร
หลินม่ายส่งชาวจีนโพ้นทะเลจากประเทศญี่ปุ่นไปยังสถานที่อันเป็นความลับในประเทศจีนเพื่อแปลอีกครั้ง
เนื่องจากมีการแปลก่อนหน้าแล้ว ทำให้การแปลอีกครั้งนั้นรวดเร็วกว่าเดิม ซึ่งเทียบเท่ากับการเขียนตามคำบอก
ชาวจีนโพ้นทะเลแปลหนังสือจนแล้วเสร็จ จากนั้นหลินม่ายส่งฉบับแปลให้จางเสวี่ยฉุนตรวจสอบเป็นการส่วนตัว
เดิมทีหลินม่ายสัญญากับจางเสวี่ยฉุนว่า เมื่อลูกชายของเธออายุได้ 7 ขวบและเริ่มเรียนหนังสือ เธอจะส่งครอบครัวของจางเสวี่ยฉุนกลับไปที่สหรัฐอเมริกา
แต่ไม่กี่ปีต่อมา ความคิดของจางเสวี่ยฉุนก็เปลี่ยนไป
การรักษาความปลอดภัยสาธารณะในประเทศจีนค่อนข้างดี และสามารถใช้ชีวิตอย่างสงบสุข แล้วทำไมครอบครัวของพวกเขาถึงต้องกลับไปยังสหรัฐอเมริกาด้วย?
การรักษาความปลอดภัยสาธารณะในสหรัฐอเมริกาไม่ดีเลย ไม่ว่าใครก็สามารถครอบครองปืน และสามารถถูกยิงเสียชีวิตขณะเดินอยู่บนถนนได้
ครอบครัวจางเสวี่ยฉุนพูดคุยถึงเรื่องนี้กันอีกครั้งอย่างจริงจัง ในที่สุดก็ตัดสินใจอยู่ในประเทศจีนต่อ
ตามความปรารถนาของครอบครัวจางเสวี่ยฉุนข้างต้น หลินม่ายจึงจัดเตรียมให้พวกเขาไปเซี่ยงไฮ้
จู่ ๆ ครอบครัวจางเสวี่ยฉุนก็ปรากฏตัวขึ้นในมหานครของจีน ทำให้เกิดความปั่นป่วนในเวลานั้น
อย่างไรก็ตามหลินม่ายอธิบายตามที่กล่าวไว้ล่วงหน้า การแกล้งตายของจางเสวี่ยฉุนไม่ได้ส่งผลเสียต่อเธอ ผู้คนทั่วโลกเห็นใจและเข้าใจเธอ
หลังจากที่จางเสวี่ยฉุนกลับคืนสู่สังคม หล่อนก็ยังคงเขียนหนังสือต่อไป
เธออ่าน “หายนะที่ถูกลืมของสงครามโลกครั้งที่สอง” ฉบับแปลภาษาญี่ปุ่นโดยชาวจีนโพ้นทะเลในประเทศญี่ปุ่น จากนั้นหล่อนก็แสดงความพึงพอใจ
หลินม่ายนำหนังสือฉบับแปลภาษาญี่ปุ่นไปที่ประเทศญี่ปุ่นเพื่อค้นหาโรงพิมพ์
จางเสวี่ยฉุนต้องการไปกับเธอ แต่หลินม่ายปฏิเสธ
เธอกลัวว่าหนทางข้างหน้าจะเป็นอันตราย และเกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้นกับจางเสวี่ยฉุน
คราวก่อนโชคดีที่หนีมาได้ แต่หากเกิดเรื่องร้ายขึ้นอีกครั้ง ใครจะกล้ารับประกันว่าหล่อนจะยังโชคดีขนาดนั้น
ในท้ายที่สุด จางเสวี่ยฉุนยอมแพ้ที่จะติดตาม แต่ฟางจั๋วหรานยังคงต้องการไปกับเธอ
ยิ่งมีอันตรายมากเท่าใด เขายิ่งต้องอยู่กับหลินม่ายให้มากขึ้นทั่น้น
หลังจากมาถึงประเทศเกาะ หลินม่ายได้ติดต่อกับสำนักพิมพ์หลายแห่ง พวกเขาบอกว่าสามารถจัดพิมพ์หนังสือ “หายนะที่ถูกลืมของสงครามโลกครั้งที่สอง” ของจางเสวี่ยฉุนได้ แต่ก็มีเงื่อนไขแลกเปลี่ยน
หลินม่ายถามอย่างระมัดระวังว่าเงื่อนไขเป็นอย่างไร
สำนักพิมพ์เหล่านั้นต่างกล่าวว่า มีหลายแง่มุมของการสังหารหมู่ที่หนานจิงยังคงน่าสงสัย
พวกเขาต้องการให้ใส่คำอธิบายประกอบเกี่ยวกับงานต้นฉบับ
หลินม่ายปฏิเสธอย่างไม่ไยดี
คำอธิบายประกอบอันไร้สาระเป็นเพียงการพยายามปกปิดการกระทำอันอุกอาจของประเทศเกาะเท่านั้น
ทันทีที่หลินม่ายปฏิเสธ ก็ไม่มีสำนักพิมพ์ใดในประเทศญี่ปุ่นยินดีร่วมมือกับเธอ
เวลานั้นคือเดือนพฤษภาคมปี 2007 มันเป็นเวลาอีกไม่นานก่อนถึงวันครบรอบ 70 ปีของการสังหารหมู่ที่หนานจิง
ด้วยความช่วยเหลือจากชาวจีนโพ้นทะเลในประเทศญี่ปุ่น หลินม่ายจึงสัมภาษณ์ชาวญี่ปุ่นที่เห็นเหตุการณ์สังหารหมู่ที่หนานจิง
แม้ว่าทหารญี่ปุ่นส่วนใหญ่ปฏิเสธที่จะให้ความร่วมมือ แต่ก็ยังมีทหารญี่ปุ่นจำนวนไม่มากที่ออกมาพูดถึงอาชญากรรมของพวกเขาในขณะนั้น
หลินม่ายยังไปเยี่ยมเหยื่อชาวจีนและผู้รอดชีวิตจากการสังหารหมู่ที่หนานจิง เพื่อให้พวกเขาเล่าถึงเหตุการณ์โศกนาฏกรรมในครั้งนั้น ขณะที่เธอบันทึกเสียงของพวกเขา
เธอยังเดินทางไปยุโรปและสหรัฐอเมริกา สำรวจเรื่องราวของชาวต่างชาติที่อยู่ใน “เขตปลอดภัยระหว่างประเทศ” ในช่วงเวลานั้น และบันทึกเสียงของพวกเขาด้วย
เวลาล่วงเลยมาถึงเดือนกันยายน
เมื่อกลับมายังประเทศเกาะ หลินม่ายได้กล่าวสุนทรพจน์เป็นภาษาญี่ปุ่น โดยนำเสนอคำให้การที่บันทึกไว้ เพื่อเป็นหลักฐานในการพิสูจน์การสังหารหมู่ที่หนานจิงเคยเกิดขึ้นจริง และมีการสังหารอย่างโหดเหี้ยมกว่า 300,000 ศพ
เธอตั้งเป้าที่จะปลุกจิตสำนึกผู้คนอันน้อยนิดที่ยังคงรู้ผิดชอบชั่วดี โดยหวังว่าพวกเขาจะช่วยเหลือเธอในการตีพิมพ์และเผยแพร่หนังสือ “หายนะที่ถูกลืมของสงครามโลกครั้งที่สอง” ในประเทศเกาะ
แม้ว่ารัฐบาลประเทศเกาะจะสัญญาอย่างชัดเจนว่า หลินม่ายสามารถกล่าวสุนทรพจน์ได้ทุกที่ตราบใดที่มีการรายงานล่วงหน้าก่อน แต่ขณะเดียวกันพวกเขาก็จงใจเมินเฉยต่อพวกหัวรุนแรงฝ่ายขวาที่มีส่วนร่วมในการก่อวินาศกรรมต่าง ๆ ในระหว่างที่เธอกล่าวสุนทรพจน์
เช่น ปาไข่เน่าและมะเขือเทศใส่หลินม่าย
หลินม่ายไม่ได้กลัวเลย เธอหลบไปทางซ้ายทีขวาทีขณะที่กล่าวสุนทรพจน์
ในวันนี้ หลินม่ายกล่าวสุนทรพจน์ตามปกติ โดยขอร้องให้ผู้คนในประเทศเกาะเผชิญหน้ากับประวัติศาสตร์ และยังขอร้องให้ผู้จัดพิมพ์ที่มีจิตสำนึกติดต่อเธอด้วย
ทันใดนั้นเสียงปืนดังสนั่นมาจากด้านหลัง หลินม่ายรีบหมอบลงพื้นโดยสัญชาตญาณ
ทุกครั้งที่หลินม่ายกล่าวสุนทรพจน์ ฟางจั๋วหรานจะยืนห่างจากเธอสามเมตรเพื่อคอยปกป้องเธอจากเหตุคับขัน
พวกฝ่ายขวาเผาบ้านของนักแปลชาวจีนโพ้นทะเลครั้งก่อน ทำให้ฟางจั๋วหรานกังวลว่าพวกฝ่ายขวาที่บ้าคลั่งจะฆ่าหลินม่าย เขาจึงคอยอยู่กับเธอเสมอ
ฟางจั๋วหรานรีบพุ่งตัวไปข้างหน้าและกดหลินม่ายลง ขณะที่ปกป้องเธอด้วยร่างกายของเขาเอง
ในเวลานี้เกิดเสียงปืนอีกสองนัดดังสนั่นหวั่นไหว
ก่อเกิดความโกลาหลไปทั่วทั้งสถานที่ ผู้คนจำนวนมากต่างตะโกนด้วยความหวาดผวา “มีคนตาย! มีคนตาย!”
บอดี้การ์ดที่ได้รับการว่าจ้างจากทั้งสองดำเนินการอย่างรวดเร็ว โดยเข้ามาล้อมรอบเขาและภรรยาเพื่อคอยปกป้อง
การกล่าวสุนทรพจน์ถูกขัดจังหวะ
หลังจากนั้นไม่นานตำรวจก็มายังสถานที่เกิดเหตุ
ภายใต้การคุ้มครองของฟางจั๋วหรานและบอดี้การ์ด หลินม่ายวิ่งไปดูผู้ที่ได้รับบาดเจ็บจากการกราดยิง
เมื่อได้เข้าไปมองใกล้ ๆ สีหน้าของหลินม่ายพลันเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม
ผู้บาดเจ็บไม่ใช่ใครอื่น นอกจากแพทย์ลูกครึ่งคนนั้น เวลานี้หน้าอกของเขาอาบไปด้วยเลือดสีแดงฉาน
ฟางจั๋วหรานย่อตัวลงเพื่อตรวจสอบเบื้องต้น จากนั้นส่ายหัวให้หลินม่าย เป็นการบ่งบอกว่าชายคนนี้ไม่รอดแล้ว
หลินม่ายย่อตัวลงด้านข้างชายชาวลูกครึ่งและพูดกับเขาว่า “อย่าห่วงเลยค่ะ แม้ว่าฉันจะเหลือตัวคนเดียว แต่ฉันจะหาวิธีทำตามสัญญาให้จนได้!”
ชายชาวลูกครึ่งเผยยิ้มอย่างยากลำบาก ก่อนที่ศีรษะจะพับลงและหมดลมหายใจ
ชายชราที่อยู่ด้านข้างถอนหายใจด้วยความโล่งอกหลังจากได้ยินคำพูดของหลินม่าย
เขากังวลว่าหลินม่ายจะตกใจกลัวกับเหตุการณ์ลอบสังหารนี้ เมื่อเห็นว่าเธอยังคงเต็มใจที่จะทำตามสัญญา เช่นนั้นการขวางกระสุนของชายชาวลูกครึ่งจนตัวตายก็ถือว่าไม่ไร้ประโยชน์
พวกเขาจัดให้ชายชาวลูกครึ่งรับกระสุนแทน
เพื่อให้หลินม่ายตีพิมพ์หนังสือ “หายนะที่ถูกลืมของสงครามโลกครั้งที่สอง” ในประเทศเกาะ องค์กรของพวกเขาได้คอยป้องกันความปลอดภัยส่วนบุคคลของเธอ
หลังจากชายชาวลูกครึ่งขวางกระสุนให้หลินม่าย สมาชิกองค์กรก็จับกุมคนร้ายได้อย่างรวดเร็ว
สถานทูตกำหนดให้ประเทศเกาะลงโทษฆาตกรอย่างรุนแรง พร้อมให้คำอธิบายเกี่ยวกับเหตุการณ์กราดยิงครั้งนี้
หลังจากที่ฆาตกรถูกจับได้และถูกตัดสินให้จำคุกตลอดชีวิต พวกฝ่ายขวาเหล่านั้นก็สงบลงและไม่กล้าแสดงอาการหุนหันพลันแล่นอีก
ไม่กี่วันต่อมา หลังจากไปร่วมงานศพของชายชาวลูกครึ่ง หลินม่ายก็กล่าวสุนทรพจน์ต่อไป
หลังจากการกล่าวสุนทรพจน์ ชายชาวเกาะชื่อมุราคามิต้องการหารือเกี่ยวกับความร่วมมือกับหลินม่ายในการตีพิมพ์หนังสือ “หายนะที่ถูกลืมของสงครามโลกครั้งที่สอง”
หลินม่ายถามเขาว่าทำไมถึงอยากร่วมมือกับเธอ
มุราคามิกล่าวว่า “เมื่อผมฟังคำพูดและบันทึกของคุณเป็นครั้งแรก ผมก็คิดว่าสิ่งที่คุณพูดอาจเป็นความจริง ผมทำการสืบหาข้อมูลด้วยตัวเองอีกครั้ง และได้รับการยืนยันว่ามีการสังหารหมู่ที่หนานจิงเกิดขึ้นในอดีตจริง ๆ และนั่นคือสาเหตุที่ผมต้องการร่วมมือกับคุณ”
แม้หลินม่ายจะร้องขอความร่วมมือ แต่ก็ไม่อนุญาตให้มีการเปลี่ยนแปลงหนังสือ และไม่อนุญาตให้ใส่คำอธิบายประกอบหรือคำอธิบาย
มุราคามิยอมตกลงด้วยทุกประการ
หนังสือ “หายนะที่ถูกลืมของสงครามโลกครั้งที่สอง” ฉบับภาษาญี่ปุ่นจึงได้วางขายในร้านหนังสือในที่สุด ซึ่งเป็นช่วงก่อนวันครบรอบ 70 ปีของการสังหารหมู่ที่หนานจิง
แม้ว่ายอดขายในประเทศเกาะจะค่อนข้างดี แต่คนส่วนใหญ่ในประเทศยังคงไม่เชื่อสิ่งที่กล่าวไว้ในหนังสือ
หนทางยังอีกยาวไกลก่อนที่ผู้คนในประเทศเกาะจะตระหนักถึงอาชญากรรมอันเลวร้ายที่บรรพบุรุษของพวกเขาก่อไว้
หลังจากกลับมาจากประเทศเกาะ หลินม่ายเดินทางไปยังเซี่ยงไฮ้ก่อนเป็นอันดับแรก และบอกจางเสวี่ยฉุนเกี่ยวกับการสังหารหมู่ที่หนานจิง จางเสวี่ยฉุนนำร่องเก้าสิบเก้าก้าว และในขั้นตอนสุดท้ายเธอก็ได้รักษาสัญญาแล้ว ซึ่งถือว่าเสร็จสิ้นการเดินทาง
จางเสวี่ยฉุนจับมือของหลินม่ายและกล่าวอย่างจริงใจ “ขอบคุณเธอมากนะ”
หลินม่ายยิ้ม “ด้วยความยินดี ฉันพูดแทนเพื่อนร่วมชาติของฉันทุกคนไปแล้ว”
ย้อนกลับไปในเมืองเจียงเฉิง หลินม่ายได้จัดการประชุมระดับสูง โดยเธอระบุว่าเธอจะลาออกจากตำแหน่งทั้งหมด และนับจากนี้เป็นต้นไปบริษัทจะอยู่ภายใต้การบริหารของเสี่ยวเหวิน
ในบรรดาทายาททั้งหมด มีเพียงเสี่ยวเหวินและมู่ตงเท่านั้นที่ทำงานในว่านทงกรุ๊ป
มู่ตงเพิ่งสำเร็จการศึกษาและเข้าร่วมบริษัทเมื่อสามปีที่แล้ว ส่วนเสี่ยวเหวินอยู่ในบริษัทมาสิบปีแล้วและมีความสามารถมาก หลินม่ายรู้สึกไว้วางใจที่จะปล่อยให้เขาบริหารบริษัทต่อไป
แต่เสี่ยวเหวินรู้สึกตื่นตระหนก
แม้ว่าเขาจะดำรงตำแหน่งระดับสูงในบริษัท แต่เขาก็คิดอยู่เสมอว่าบริษัทนี้เป็นของน้องชาย
เขาลังเลและพูดว่า “อาหญิง นี่คงจะไม่เหมาะมั้งครับ ตำแหน่งผู้บริหารสูงสุดควรยกให้มู่ตงต่างหาก”
หลินม่ายกล่าว “แต่ฉันคิดว่ามันเหมาะสมแล้วนะ ใครก็ตามที่มีความสามารถมากกว่าก็ควรถูกเลือก หากมู่ตงทำได้ดีกว่าเธอในอนาคต เขาก็จะถูกเลือกอย่างแน่นอน”
ในบรรดาเด็ก ๆ ของครอบครัว ตั่วตั่วทำงานเป็นล่ามในกระทรวงการต่างประเทศ
มู่ชุนสืบทอดอาชีพของฟางจั๋วหรานและเรียนแพทย์ เช่นนั้นเขาจะไม่ทำงานกับว่านทงกรุ๊ปในอนาคตอย่างแน่นอน
มู่เซี่ยและมู่ชิวต่างชื่นชอบการวิจัยทางวิทยาศาสตร์ พวกเขาคงจะไม่ทำงานให้กับว่านทงกรุ๊ปในภายภาคหน้าเช่นกัน
มีเพียงเสี่ยวเหวินและมู่ตงเท่านั้นที่จะดูแลว่านทงกรุ๊ปต่อไป
เสี่ยวเหวินรู้สึกสบายใจเมื่อได้ยินสิ่งนี้
หลังจากที่หลินม่ายลงจากตำแหน่งผู้บริหาร เธอและฟางจั๋วหรานไปยังเอินซือเพื่อใช้ชีวิตในสรวงสวรรค์
เมื่อถึงตอนนั้นลุงฝูคงจากไปอย่างสงบ เด็ก ๆ ต่างมีสังคม และแต่ละคนเดินไปในเส้นทางของตัวเอง จากนั้นหลินม่ายและฟางจั๋วหรานก็ไม่มีสิ่งใดให้ต้องกังวลอีก
ฟางจั๋วหรานยังไม่ถึงวัยเกษียณ ดังนั้นเขาจึงลาออกและเปิดโรงพยาบาลราคาประหยัดร่วมกับหลินม่ายในสวรรค์อันเงียบสงบที่พวกเขาอาศัยอยู่
โรงพยาบาลนี้รักษาคนจนเป็นหลัก แต่ก็รักษาคนรวยด้วยเช่นกัน เพียงแต่มีมาตรฐานการเรียกเก็บเงินที่ต่างกัน
ประการแรกคือจำกัดคนรวยไม่ให้แย่งชิงทรัพยากรทางการแพทย์กับคนจน และประการที่สองคือหาเงินจากคนรวยมาสนับสนุนโรงพยาบาล เพื่อให้โรงพยาบาลสามารถดำเนินการได้ตามปกติ
เมื่อฟางจั๋วหรานไปทำงาน หลินม่ายจะอยู่ที่บ้าน ดูแลทำความสะอาด และเตรียมอาหาร ซึ่งแต่ละวันของพวกเขาเรียบง่ายและอบอุ่น
ต่อมาเมื่อฟางจั๋วหรานเริ่มมีอายุมากเกินกว่าจะทำการผ่าตัด เขาจึงส่งมอบโรงพยาบาลให้กับนักเรียนที่เขาฝึกฝนมาเป็นการส่วนตัว จากนั้นเขากับหลินม่ายย้ายไปยังพื้นที่ที่เงียบสงบมากขึ้นซึ่งอยู่ลึกเข้าไปในภูเขา
ทิวทัศน์ที่นั่นสวยงามยิ่งกว่า ด้วยภูเขาเขียวขจีและลำธารใสนอกหน้าต่าง พร้อมด้วยเสียงนกร้องและกลิ่นหอมของดอกไม้
หลินม่ายและฟางจั๋วหรานอยู่ด้วยกันตลอดเวลา พวกเขาเหม่อมองหมู่เมฆลอยล่องและกลีบดอกไม้ที่ร่วงหล่นเคียงข้างกันและกัน
ทั้งสองอยู่ด้วยกันจนแก่เฒ่า เห็นหน้าคนรักของตนโดยไม่เคยรู้สึกเบื่อหน่ายแม้ผ่านกาลเวลาอันเนิ่นนาน และนี่คือความรักที่สวยงามที่สุด
(จบบริบูรณ์)
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
หลังจากมีเหตุให้ใจหายใจคว่ำหลายช่วงว่าเรื่องนี้จะจบแฮปปี้ไหม ในที่สุดก็จบแฮปปี้จนได้ค่ะ เฮ้อ /ปาดเหงื่อ/
ขอบคุณผู้อ่านทุกท่านที่ติดตามนิยายแปลเรื่องนี้มาอย่างยาวนานนะคะ แม้ว่าในช่วงหลังๆ เนื้อเรื่องจะมีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างคาดไม่ถึง ห่างไกลจากชื่อเรื่องว่าแม่ปากร้ายไปมากโข จนแทบจะเรียกได้ว่าเป็นบันทึกชีวิตของนักธุรกิจมาเฟียสาวในยุค 80 ก็ตาม ขอบคุณที่ยังติดตามผู้แปลอยู่จริงๆ ค่ะ
แม้การเดินทางของหลินม่ายจะสิ้นสุดลงแล้ว แต่การเดินทางของผู้แปลยังไม่สิ้นสุดนะคะ เรื่องต่อไปที่จะมาต่อจากเรื่องนี้จะเป็นเรื่องใดนั้น ต้องติดตามกันต่อไปค่ะ
ขอให้ผู้อ่านมีสุขภาพกายและจิตที่แข็งแรงนะคะ
ไหหม่า(海馬)