แม่ปากร้ายยุค 80 - ตอนที่ 1175 ชายหนุ่มที่ไล่ตาม
ตอนที่ 1175 ชายหนุ่มที่ไล่ตาม
……….
ตอนที่ 1175 ชายหนุ่มที่ไล่ตาม
ทันทีที่ทั้งสองคนออกมาแล้วเห็นหลินม่ายยืนอยู่นอกบ้าน พวกเขาก็เขินอายเล็กน้อย
หลินม่ายรู้สึกเขินอายเช่นกัน เธอยิ้มให้คนทั้งสอง จากนั้นจึงเดินเข้าไปในห้อง
ชายคนนั้นผูกสุนัขพื้นเมืองที่เขานำมาไว้กับต้นไม้เล็ก ๆ ที่หน้าประตูห้องพักของสวี่เมิ่งและขอตัวกลับไป
หลินม่ายจึงถาม “เขาไล่ตามเธออยู่เหรอ?”
สวี่เมิ่งหน้าแดงและพยักหน้ารับ “ใช่แล้ว”
หลินม่ายนั่งยอง ๆ กับพื้นและเริ่มเลือกผัก “ผู้ชายคนนั้นชื่ออะไรเหรอ? เขาทำงานอะไร? แล้วที่บ้านของเขาเป็นอย่างไรบ้าง? เขาตามจีบเธอมานานแค่ไหนแล้ว?”
สวี่เมิ่งกลอกตา “เธอถามฉันอย่างกับเป็นพ่อแม่ของฉันเองงั้นล่ะ”
แม้สวี่เมิ่งจะไม่พอใจ แต่ยังคงบอกหลินม่ายเกี่ยวกับสถานการณ์ส่วนตัวของชายคนนั้น
เหวยเฉิงกวง เพศชาย อายุ 35 ปี สถานะเป็นม่าย
เขาตกหลุมรักสวี่เมิ่งตั้งแต่แรกเห็น และไล่ตามหล่อนหลังจากที่หล่อนเข้ามาสอนในโรงเรียนประถมเซียนหนิ่วจนถึงปัจจุบัน
ครอบครัวของเหวยเฉิงกวงเลี้ยงชีพด้วยการเลี้ยงแกะเป็นหลัก และสภาพครอบครัวของพวกเขาก็อยู่ในระดับปานกลาง
หลินม่ายกังวลว่าอดีตภรรยาเหวยเฉิงกวงจะทิ้งลูกไว้กี่คน และพวกเขาจะเข้ากันได้ง่ายหรือไม่
หากหล่อนเข้ากับเด็กเหล่านั้นไม่ได้ก็คงต้องยอมแพ้ เพราะการเป็นแม่เลี้ยงนั้นช่างยากลำบาก
สวี่เมิ่งพูด “แม่เลี้ยงอะไรล่ะ เหวยเฉิงกวงไม่มีลูก”
หลินม่ายสงสัย “ฉันเพิ่งได้ยินว่าพวกเธอพูดถึงคนแก่และเด็กที่บ้าน”
สวี่เมิ่งอธิบาย “ตอนนี้เขาตัวคนเดียวและอาศัยอยู่กับพ่อแม่ พี่ชาย และพี่สะใภ้ เด็ก ๆ ที่พูดนั้นหมายถึงหลานสาวและหลานชายของเขาเอง”
หลินม่ายค่อนข้างพอใจกับเงื่อนไขของเหวยเฉิงกวง แม้เขาจะไม่ได้ร่ำรวย แต่เขาไล่ตามสวี่เมิ่งมาหลายปี ซึ่งแสดงให้เห็นว่าเขาจริงใจ
สมบัติล้ำค่านั้นหาง่าย แต่คู่ครองนั้นหายาก
หลินม่ายแนะนำ “ฉันคิดว่าเหวยเฉิงกวงไม่เลวเลยนะ เธอควรเก็บเขาไว้พิจารณา”
สวี่เมิ่งกล่าวเสียงเบา “เธอคิดว่าฉันไม่ต้องการหรือไง แต่ฉันคู่ควรหรือเปล่า”
หลินม่ายพูด “ทำไมถึงบอกว่าตนเองไม่คู่ควรล่ะ? ตอนนี้เธอเป็นครูอาสาที่คอยช่วยเหลือเด็ก ๆ และยังน่ารักมาก”
สวี่เมิ่งเงียบไปสักพักหนึ่งและพูดว่า “หากฉันเล่าเรื่องราวในอดีตให้เขาฟังล่ะ? ตอนที่อยู่ในกานซู ชายในท้องถิ่นไล่ตามและปฏิบัติต่อฉันไม่เลวร้ายไปกว่าเหวยเฉิงกวง เราทั้งคู่กำลังคุยกันเรื่องการแต่งงาน และฉันก็สารภาพเรื่องในอดีตของตัวเองกับเขา ผู้ชายคนนั้นเลิกสัญญาหมั้นกับฉันทันที และแค่อยากนอนกับฉัน แต่ฉันปฏิเสธ และชายคนนั้นก็เรียกฉันว่ารองเท้าหักแต่กลับแสร้งทำเป็นว่าสูงส่ง ฉันจึงเดินทางออกจากมณฑลกานซูมาที่เมืองเอินซือเพื่อหนีจากไอ้สารเลวนั่น ฉันไม่อยากเจ็บปวดแบบนั้นอีกแล้ว และขออยู่เป็นโสดดีกว่า”
หลินม่ายโกรธมากเมื่อได้ยินแบบนั้น “คุณลุงกับคุณป้าได้ใช้อำนาจของตัวเองจัดการกับคนพวกนั้นหรือเปล่า?”
สวี่เมิ่งยิ้มขมขื่น “ถึงคนสารเลวนั่นจะมาจากกลุ่มคนเล็ก ๆ แต่เขาก็เป็นอสรพิษประจำท้องถิ่น ถึงพ่อแม่ของฉันจะเป็นกลุ่มบรรเทาความยากจน แต่พวกเขาไม่สามารถทำอะไรอีกฝ่ายได้เลย นอกจากนี้ เขารู้ทุกอย่างเกี่ยวกับอดีตของฉัน ไม่ว่าจะต้องการแค่ไหน แต่พ่อแม่จะกล้าจัดการกับเขาได้อย่างไร? จะเกิดอะไรขึ้นถ้าเขาเปิดเผยอดีตของฉันทั้งหมดต่อสาธารณะ?”
หลินม่ายพูด “ทำไมเธอถึงโง่เขลาจนบอกคนอื่นเกี่ยวกับเรื่องในอดีต เธอไม่เห็นต้องทำแบบนั้นเลย”
สวี่เมิ่งตอบ “ในเมื่อกำลังจะเป็นสามีภรรยากัน ก็ไม่อาจซ่อนมันไว้ได้นาน”
หลินม่ายพูด “ตราบใดที่คนสองคนสามารถอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุขได้ ทำไมถึงจะซ่อนมันไว้ไม่ได้ล่ะ?”
สวี่เมิ่งส่ายหัว “ความรักที่ฉันต้องการคือความรักที่บริสุทธิ์ หากต้องซ่อนเร้นมันทั้งชีวิต ฉันก็ไม่ต้องการหรอก”
เมื่อหลินม่ายได้ยินดังนั้น เธอจึงหยุดพยายามโน้มน้าวอีกฝ่าย ทุกคนต่างมีวิถีชีวิตเป็นของตัวเอง
ในช่วงบ่าย ชิวกั๋วจื้อได้จัดให้มีคนติดตั้งตาข่ายรักษาความปลอดภัยและประตูรักษาความปลอดภัยที่บ้านของหลินม่ายกับสวี่เมิ่ง
เมื่อรวมกับสุนัขพื้นเมืองชื่อเฮยจื่อที่เหวยเฉิงกวงมอบให้ ปัจจัยด้านความปลอดภัยก็ดีขึ้นมากในทันที แม้ว่าสวี่เมิ่งจะต้องอาศัยอยู่ตามลำพังก็ตาม
หลินม่ายรู้สึกโล่งใจ และเดินทางสำรวจเมืองเอินซืออย่างครอบคลุมพร้อมกับเจ้าหน้าที่ของรัฐหลายคน
ในระหว่างการตรวจสอบ หลินม่ายพบว่าทิวทัศน์ของเมืองเอินซือนั้นไม่ด้อยไปกว่าทิวทัศน์ของยูนนาน สภาพอากาศอบอุ่นในฤดูหนาวและเย็นสบายในฤดูร้อน
น่าเสียดายที่ชื่อเสียงของมันในชีวิตก่อนนั้นด้อยกว่าของมณฑลยูนนานมาก
หลินม่ายคิดว่า แม้จะไม่สามารถทัดเทียมกับมณฑลยูนนานในชีวิตนี้ แต่ก็ไม่ควรล้าหลังเกินไป
เดิมทีเธอต้องการสำรวจพื้นที่เขตปกครองตนเองเอินซือทั้งหมด แต่หลังจากออกสำรวจเพียงหกวัน หลินม่ายก็ทนไม่ไหวอีกต่อไป
เขตปกครองตนเองเอินซือเป็นสถานที่ขนาดใหญ่ที่มีภูเขาสูงมากมาย เส้นทางสัญจรมักมีเพียงถนนเล็ก ๆ และไม่มีถนนสายหลัก ซึ่งจำเป็นต้องเดินด้วยขาทั้งสอง ทำให้การสำรวจไม่ใช่เรื่องง่าย
เธอวางแผนที่จะกลับบ้าน รับสมัครกลุ่มคนที่มีความสามารถซึ่งเชี่ยวชาญด้านการพัฒนาการท่องเที่ยว และปล่อยให้พวกเขาตรวจสอบ
เมื่อตัดสินใจเลือกสถานที่ท่องเที่ยวเพื่อพัฒนาพื้นที่ท่องเที่ยวได้แล้ว เธอจะได้ผลลัพธ์สองเท่าโดยใช้ความพยายามเพียงครึ่งเดียว และไม่รู้สึกเหนื่อยมากหากทำการตรวจสอบแบบกำหนดเป้าหมายด้วยตนเอง
แต่ก่อนที่จะกลับไปที่เมืองเจียงเฉิง หลินม่ายกลับมาที่โรงเรียนประถมเซียนหนิ่วเพื่อดูว่าสวี่เมิ่งเป็นอย่างไรบ้าง
เธอกังวลว่าชายที่แกล้งทำเป็นผีจะมาทำให้สวี่เมิ่งตกใจ
สวี่เมิ่งบอกว่า ผีปลอมไม่เคยปรากฏตัวอีกเลย แต่ตามข่าวลือดูเหมือนว่าจะปรากฏตัวที่สถานที่ก่อสร้างของหลินม่ายแทน
หลินม่ายถามว่าเกิดอะไรขึ้น สวี่เมิ่งจึงบอกกับเธอว่า เมื่อสองคืนที่แล้วผู้คนพูดกันว่าเห็นเงาสีขาวปรากฏขึ้นในสถานที่ก่อสร้างตอนกลางดึก
ตามคำอธิบายของคนงานที่เฝ้ายาม สวี่เมิ่งรู้สึกว่ามันคล้ายกับผีปลอมที่ทำให้พวกเขากลัวในคืนนั้นมาก
หลินม่ายถาม “ผีปลอมตัวนั้นไปที่ไซต์ก่อสร้างเพื่อทำให้ผู้คนหวาดกลัวงั้นเหรอ?”
สวี่เมิ่งพยักหน้า “ใช่ แต่แผนการของมันไม่สำเร็จ แรงงานต่างถิ่นในไซต์ก่อสร้างไม่กลัวผีเลย พวกเขายังช่วยกันหยิบไม้ไล่ตาม กระทั่งผีปลอมวิ่งหนีหายไป”
หลินม่ายรู้สึกเสียดายที่ไม่สามารถจับผีปลอมได้ ไม่อย่างนั้นเธอคงจะรู้ว่าทำไมชายคนนั้นถึงต้องแกล้งทำเป็นผีหลอก
ในวันนี้ คนงานยังคงยุ่งอยู่กับการทำงานในไซต์ก่อสร้างตามปกติ
ความแตกต่างคือ วันนี้หลินม่ายมาตรวจสอบด้วยตัวเอง
การตรวจสอบเป็นเพียงเรื่องรอง จุดประสงค์หลักคือการแจกจ่ายเสื้อผ้าเก่าที่รวบรวมโดยครอบครัวของเธอให้แก่นักเรียนโรงเรียนประถมเซียนหนิ่วและชาวบ้านใกล้เคียง
นับตั้งแต่หลินม่ายพาเด็ก ๆ มาเที่ยวเล่นที่เมืองเอินซือ เด็กเหล่านี้ก็เปลี่ยนไปมาก
เนื่องจากครอบครัวมีฐานะดี เด็กแฝดสี่คนและมู่ตงที่โตมาโดยคาบช้อนเงินช้อนทองจึงค่อนข้างใช้เงินและสิ่งของสิ้นเปลือง
แต่ตอนนี้ไม่มีใครทิ้งของอะไรให้สูญเปล่า อาหารทุกมื้อมีไว้กิน เสื้อผ้าและสิ่งของอื่น ๆ ก็ได้รับการดูแลอย่างดี
ในอดีตพวกเขาเข้าใจว่าจะต้องกตัญญูต่อผู้อาวุโสอย่างไร และตอนนี้พวกเขาเรียนรู้มากขึ้นกว่าเดิม
ความตระหนักรู้ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของพวกเขาเมื่อกลับจากเมืองเอินซือคือ ประชากรท้องถิ่นส่วนหนึ่งไม่มีอาหารให้กินอิ่มท้องหรือเสื้อผ้าเพื่อความอบอุ่น
แม้จะแก้ปัญหาเรื่องปากท้องไม่ได้ แต่อย่างน้อยก็ช่วยเรื่องเสื้อผ้าให้ความอบอุ่น
พวกเขาทั้งหมดเข้าเรียนในโรงเรียนที่มีชื่อเสียง และเมื่อเปรียบเทียบกับนักเรียนจากโรงเรียนทั่วไป เด็กจากโรงเรียนที่มีชื่อเสียงเหล่านี้มักมาจากครอบครัวที่มีฐานะดีกว่า
ดังนั้นนักเรียนจำนวนมากจึงมักซื้อเสื้อผ้าใหม่อยู่ตลอด โดยเฉพาะเด็กผู้หญิง
พี่น้องทั้งห้าคนเริ่มรณรงค์การบริจาคเสื้อผ้าใช้แล้วที่โรงเรียน
กิจกรรมนี้ได้รับการสนับสนุนอย่างดีจากเพื่อนร่วมชั้นและคุณครู
เด็กน้อยทั้งห้าคนในตอนแรกต้องการให้นักเรียนบริจาคเสื้อผ้าที่เล็กเกินไปจนใส่ไม่ได้หรือชำรุดเท่านั้น
อย่างไรก็ตาม นักเรียนมีความกระตือรือร้นมาก พวกเขาไม่เพียงบริจาคเสื้อผ้าที่ไม่ต้องการของตนเองเท่านั้น แต่ยังบริจาคเสื้อผ้าเก่าทั้งหมดที่ครอบครัวไม่ต้องการอีกด้วย
เด็ก ๆ ยังได้ฆ่าเชื้อและรีดเสื้อผ้าทั้งหมดตามคำแนะนำของครู
เมื่อหลินม่ายนำรถบรรทุกหลายคันไปที่โรงเรียนประถมศึกษาเซียนหนิ่วเพื่อแจกจ่ายเสื้อผ้าเก่า ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ต่างก็รู้สึกมีความสุขไม่ต่างจากเทศกาลปีใหม่ ซึ่งเป็นภาพฉากที่น่าเศร้า
ครูใหญ่และผู้ใหญ่บ้านหลายคนในบริเวณใกล้เคียงมีหน้าที่แจกจ่ายเสื้อผ้าที่ใช้แล้ว ขณะที่หลินม่ายขับรถไปยังไซต์ก่อสร้าง
ขณะที่พวกเขาทั้งสองกำลังสวมหมวกกันน็อค พวกเขาพลันได้ยินเสียงตะโกนมาจากระยะไกล ทำให้ทั้งหลินม่ายและวิศวกรต่างก็มองไปในทิศทางของเสียงอย่างสงสัย
พวกเขาเห็นชายผิวคล้ำจำนวนมากวิ่งออกมาท่ามกลางทุ่งใบไม้แห้งที่ร่วงหล่นบนพื้นในระยะไกล
พวกผู้ชายเหล่านั้นต่างก็ถือไม้เท้าไว้ในมือ และรีบวิ่งไปอย่างน่ากลัวพร้อมตะโกนอะไรบางอย่างเสียงดัง
กลุ่มคนวิ่งมาถึงด้านหน้าหลินม่ายในพริบตา ก่อนจะล้อมรอบหลินม่ายที่กำลังสับสนและวิศวกรโยธาหนุ่มที่ติดตามเธอมาตรวจสอบ
ชายคนหนึ่งพยายามพูดคุยกับหลินม่ายด้วยใบหน้าที่มืดมน น่าเสียดายที่เขาพูดเป็นภาษาทิเบต และหลินม่ายไม่สามารถเข้าใจสิ่งที่เขาต้องการพูดเลย
……………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
เวลาผ่านไปน่าจะทำให้ความคิดคนเปิดกว้างขึ้น อะไรๆ อาจจะดีขึ้นก็ได้นะ
คนพวกนี้คือใคร มีเรื่องอะไรกับหลินม่ายล่ะเนี่ย
ไหหม่า(海馬)
……….