แม่ปากร้ายยุค 80 - ตอนที่ 1174 ผีหลอกกลางดึก
ตอนที่ 1174 ผีหลอกกลางดึก
……….
ตอนที่ 1174 ผีหลอกกลางดึก
เนื่องจากไม่มีไฟฟ้า ผู้คนในพื้นที่ภูเขาจึงเข้านอนแต่หัวค่ำ หลังเวลาสามทุ่ม หลินม่ายและสวี่เมิ่งก็เข้านอน
ในค่ำคืนที่เงียบสงบ ทั้งสองผล็อยหลับไปอย่างรวดเร็ว
ขณะที่ทั้งสองนอนหลับสนิท เสียงฝีเท้าคลุมเครืออันแปลกประหลาดเดินเข้ามาในตัวบ้าน
ปฏิกิริยาแรกของหลินม่ายคือ จบแล้ว นี่เธอคงถูกพิษของเห็ดอีกครั้ง ไม่อย่างนั้นคงไม่มีอาการหูแว่ว
เธอไม่ได้นึกสงสัยเลยว่าเป็นสวี่เมิ่งที่กำลังเดินในห้อง เพราะเธอรู้สึกว่าสวี่เมิ่งยังคงนอนอยู่ด้านข้าง
ขณะเดียวกันสวี่เมิ่งก็คิดว่าเป็นหลินม่ายที่เดินไปรอบ ๆ บ้าน
หล่อนพึมพำเสียงเบา “นี่มันกลางดึก จะเดินอะไรนักหนา ฉันนอนไม่หลับนะ” และพลันลืมตาขึ้นอย่างหมดความอดทน
จากนั้นเสียงกรีดร้องอันน่าสะพรึงกลัวก็ดังตามมา “กรี๊ด! ผีหลอก!” ซึ่งเสียงดังมากจนปลุกหลินม่ายจากการหลับใหล
ทันทีที่ลืมตาขึ้น หลินม่ายเห็นร่างสีขาวเปิดประตูและวิ่งออกไปนอกบ้าน
หลินม่ายพลิกตัวเพื่อลุกออกจากเตียงอย่างรวดเร็ว และรีบวิ่งออกไปทั้งชุดนอน
แต่นอกจากเหนือจากเงาภูเขาอันพร่ามัว ไหนเล่าร่างสีขาวที่เห็นเมื่อครู่?
แต่ประตูที่เปิดกว้างนั้นเตือนให้เธอรู้ว่า สิ่งที่เห็นเมื่อครู่ไม่ใช่ภาพลวงตา
สวี่เมิ่งเดินเข้ามาหาด้วยตัวสั่นทาและสาดส่องสายตาไปรอบ ๆ ด้วยความหวาดกลัว ก่อนพูดขึ้นว่า
“ม่ายจื่อ เธอกล้าเกินไปแล้ว ทำไมถึงรีบวิ่งออกมาแบบนี้? ถ้าเกิดอะไรขึ้นมา ฉันจะอธิบายให้พี่ชายฟังว่ายังไง?”
หลินม่ายจับมือหล่อนและเดินกลับเข้าห้องอย่างใจเย็น “ไม่มีอะไรต้องกลัว นั่นไม่ใช่ผีจริง ๆ หรอก ก็แค่คนที่แกล้งทำเป็นผี”
สายลมเย็นในฤดูใบไม้ร่วงพัดพาความง่วงซึมของหลินม่ายในคราแรกหายไป
เธอตรวจดูร่างกายของตัวเอง และพบว่าไม่มีสิ่งใดผิดปกติ นั่นหมายความว่าเธอไม่ได้รับพิษจากเห็ด และร่างสีขาวที่วิ่งหายไปต่อหน้าต่อตานั้นไม่ใช่ภาพลวงตาอย่างแน่นอน
แม้ว่าจะมีสิ่งแปลกประหลาดมากมายในโลก เช่น การเกิดใหม่ของเธอ
แต่เธอไม่เชื่อว่าสิ่งที่เห็นเมื่อครู่คือผี และแน่ใจว่าใบหน้าผีนั้นมีคนจงใจสร้างขึ้นมา
สวี่เมิ่งผู้เติบโตมากับการศึกษาด้านวัตถุนิยม ไม่แม้แต่จะเชื่อว่าเงาสีขาวคือผี “แน่นอนว่าฉันรู้ว่ามันไม่ใช่ผี แต่คนน่ากลัวกว่าผีอีกนะ จะทำยังไงถ้ามีคนก่อเหตุฆาตกรรม”
หากมีการก่อเหตุ ก็ต้องต่อสู้เอาตัวรอด
หลินม่ายพยักหน้า “จริงด้วย คราวหน้าฉันจะไม่ประมาทขนาดนี้แล้ว”
โรงเรียนประถมเซียนหนิ่วไม่ได้มีสวี่เมิ่งเป็นครูอาสาเพียงคนเดียว แต่ยังมีครูอาสาอีกสองคนอาศัยอยู่ในโรงเรียนด้วย
ครูอาสาทั้งสองถูกปลุกให้ตื่นด้วยเสียงของหลินม่ายและสวี่เมิ่ง พวกเขาออกจากห้องและถามว่าเกิดอะไรขึ้น
สวี่เมิ่งตอบกลับคำเบา “ไม่มีอะไร ฉันแค่ฝันร้ายน่ะ”
จากนั้นครูอาสาทั้งสองก็กลับเข้าห้องของตัวเองด้วยความง่วงซึม และนอนหลับต่อไป
หลินม่ายกลับเข้ามาในห้องพักและตรวจดูความเรียบร้อย เธอพบว่ามันไม่มีร่องรอยความเสียหายที่ตัวล็อกประตูหรือเหล็กดัดหน้าต่าง พวกเธอจึงเดาว่าผู้บุกรุกจะต้องเป็นคนที่รู้วิธีสะเดาะกุญแจ
บุคคลนี้แกล้งทำเป็นผีแล้วย่องเข้าบ้านกลางดึกไปเพื่ออะไร?
หลินม่ายและสวี่เมิ่งช่วยกันวิเคราะห์ แต่สุดท้ายก็ไม่สามารถหาเหตุผลรองรับ
ไม่ว่าจะเพื่อเงิน หรือหวังขืนใจพวกเธอ คนคนนั้นไม่จำเป็นต้องส่งเสียงดังขนาดนี้จนปลุกพวกเธอให้ตื่น
เป็นไปได้ไหมที่ผู้บุกรุกบ้านแค่อยากให้พวกเธอเห็นตัวเขาที่แสร้งทำเป็นผี และทำให้พวกเธอกลัว?
แต่จุดประสงค์ของเขาในการทำเช่นนี้คืออะไร?
พวกเธอทั้งสองใช้สมองคิดอยู่นาน แต่แล้วก็คิดไม่ออกว่าทำไม
พวกเธอทำได้เพียงเอนตัวลงและข่มตานอน
หลินม่ายวางแผนที่จะรอจนถึงรุ่งสางวันพรุ่งนี้ เพื่อรายงานสิ่งที่เกิดขึ้นกับสถานีตำรวจของเมือง จากนั้นขอให้ชิวกั๋วจื้อติดตั้งตาข่ายนิรภัยที่หน้าต่างทุกบานและเปลี่ยนประตูเป็นประตูกันขโมย ไม่อย่างนั้นเธอคงไม่สบายใจที่จะอยู่ที่นี่
ไม่ไกลจากบ้านพักในโรงเรียน ท่ามกลางหญ้าสูงถึงเอวในฤดูใบไม้ร่วง ชายที่มีใบหน้าสีขาวและเสื้อคลุมขาวค่อย ๆ ลุกขึ้นยืน
ชายคนนั้นมองไปที่บ้านพักของหลินม่ายและสวี่เมิ่งด้วยความงุนงง
ผู้คนต่างก็บอกว่าผู้หญิงในเมืองใหญ่ค่อนข้างขี้กลัว แต่ทำไมผู้หญิงแซ่หลินคนนั้นกลับไม่ได้หวาดกลัวต่อร่างผีที่เขาแกล้งทำเลย? ทั้งยังวิ่งไล่ตามออกมาด้วย
ช่วงครึ่งหลังของค่ำคืนเป็นไปอย่างเงียบสงบ
หลินม่ายและสวี่เมิ่งนอนหลับจนถึงหกโมงครึ่ง
หลังจากเติมความสดชื่นแล้ว ทั้งสองก็ไปยังแปลกผักของสวี่เมิ่งกับครูคนอื่น ๆ เพื่อเก็บต้นหอมมาปรุงบะหมี่
ในพื้นที่ภูเขาแห่งนี้ การคมนาคมไม่สะดวก หากไม่ปลูกผักเอง ก็อาจไม่มีผักให้กินทุกวัน
แม้จะสามารถขอจากชาวบ้านใกล้เคียงได้ แต่ใครเล่าจะกล้าไปขอทุกวี่ทุกวัน?
ปลูกผักกินเองแบบพึ่งพาตัวเองจึงเป็นทางเลือกที่ดีกว่า
ทั้งสองเก็บต้นหอมแล้วกลับไปโรงเรียน
ก่อนเห็นชาวบ้านหลายคนรวมตัวกันบนถนน ทุกคนมีท่าทางเคร่งขรึมขณะกระซิบกระซาบกัน โดยไม่รู้ว่าพวกเขากำลังพูดถึงอะไร
ป้าใหญ่คนหนึ่งเห็นหลินม่ายและสวี่เมิ่งกลับมา จึงถามพวกเธอว่าสังเกตเห็นอะไรผิดปกติเมื่อคืนนี้หรือไม่
ทั้งสองเล่าสิ่งที่พวกเธอเห็นเกี่ยวกับคนแกล้งทำเป็นผีเมื่อคืนนี้
ป้าใหญ่แก้ไขและพูดว่า “นั่นไม่ใช่คนแกล้งเป็นผีนะ แต่เป็นผีจริง หลายครอบครัวต่างก็เห็นเหมือนกัน
หลินม่ายถาม “แน่ใจได้ยังไงว่านั่นเป็นผีจริง?”
ป้าใหญ่พูด “ใครที่ไหนจะเบื่อหน่ายจนแกล้งปลอมเป็นผีตอนกลางดึกให้คนอื่นกลัวล่ะ?”
อีกหลายคนก็พูดแบบเดียวกัน
เมื่อกลับมาที่ห้องพัก ทั้งสองคนทำบะหมี่ขณะลดเสียงพูดคุยกันเรื่องผีปลอมที่เห็นเมื่อคืน
ดูเหมือนว่าผีปลอมไม่เพียงมาที่นี่เพื่อทำให้พวกเธอหวาดกลัว แต่ยังไปบ้านของคนอื่นเพื่อทำให้ผู้คนหวาดกลัวด้วย
หลินม่ายและสวี่เมิ่งเริ่มสับสนมากขึ้นเรื่อย ๆ อะไรคือจุดประสงค์ของคนคนนั้นที่แสร้งทำเป็นผีหลอก?
หลังอาหารเช้า หลินม่ายไปยังไซต์ก่อสร้างและขอให้ชิวกั๋วจื้อจัดเตรียมคนมาติดตั้งตาข่ายนิรภัยและประตูรักษาความปลอดภัยในห้องพักของเธอกับสวี่เมิ่ง
ชิวกั๋วจื้อพยักหน้าตอบรับ
จากนั้นหลินม่ายไปยังสถานีตำรวจเมืองเพื่อแจ้งความด้วยตนเอง
สถานีตำรวจเมืองดำเนินการอย่างจริงจังและส่งเจ้าหน้าที่ตำรวจหลายคนไปตรวจสอบบ้านพักของหลินม่ายและสวี่เมิ่ง แต่สุดท้ายก็ไม่พบอะไรเลย
เทคโนโลยีระดับสูง เช่น สเปรย์ตรวจลายนิ้วมือและรอยเท้าที่เห็นในภาพยนตร์ จะไม่สามารถพบเห็นได้ในสถานที่ห่างไกลเช่นนี้
แม้แต่ในเมืองใหญ่เอง หากไม่ใช่คดีอาญาร้ายแรง สถานีตำรวจก็จะไม่ใช้เทคโนโลยีระดับสูงดังกล่าว
เจ้าหน้าที่ตำรวจหลายคนไม่มีทางเลือกนอกจากไปเยี่ยมชาวบ้าน
ชาวบ้านสูงอายุหลายคนแจ้งตำรวจว่าเมื่อคืนที่ออกไปข้างนอกตอนกลางคืน พวกเขาต่างก็เห็นผีปลอมที่หลินม่ายพูดถึง
แต่ชาวบ้านทุกคนกลับบอกว่ามันไม่ใช่ผีปลอม แต่เป็นผีจริง
ผีนั้นอาจมีกิเลสตัณหาไม่สมหวังหรือมีอารมณ์ขุ่นเคืองค้างอยู่ จึงต้องเร่ร่อนไปทั่วหมู่บ้าน การเผาเงินผีไปให้อาจช่วยแก้ปัญหาได้
ป้าใหญ่หลายคนบอกว่า พวกเธอไปที่เมืองในตอนเช้าเพื่อซื้อเงินกระดาษและเทียน จากนั้นทำการเผามันเรียบร้อยแล้ว
ผีตนนั้นคงจะไม่เดินเตร่ไปทั่วหมู่บ้านอีกต่อไปหลังจากรับเงินกระดาษ
เมื่อเห็นว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจไม่สามารถหาเบาะแสใดๆ ได้ และผีปลอมก็ไม่ได้ทำอันตรายใครเลย พวกเขาจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากปล่อยมันไว้ตามลำพังจนกว่าจะมีพบเบาะแสใหม่
เมื่อการสอบสวนของตำรวจเสร็จสิ้น เวลาก็ล่วงเลยมาถึง 11.00 นาฬิกา
หลินม่ายหยิบตะกร้าผักไปยังแปลงผักของสวี่เมิ่งเพื่อเก็บผักที่ต้องการ จากนั้นกลับมายังห้องพักเพื่อเตรียมอาหารกลางวัน
เธอเห็นชายหนุ่มหล่อเหลาผิวคล้ำในวัยสามสิบถือปลาสองถึงสามตัวที่ผูกเชือกฟางในมือข้างหนึ่ง และนำสุนัขพื้นเมืองสีดำเข้าไปในห้องพักของสวี่เมิ่ง
หลินม่ายที่ตามมาด้านหลังหยุดฝีเท้าลงทันที
เสียงของสวี่เมิ่งดังมาจากในห้อง “ครั้งสุดท้ายที่คุณเอากระต่ายมาให้ ฉันบอกไปแล้วว่าอย่าเอาอะไรมาให้อีก ฉันลำบากใจถ้าคุณยังทำแบบนี้นะคะ”
ชายคนนั้นพูดด้วยรอยยิ้มกึ่งจริงจัง “ถ้าอย่างนั้นก็แต่งงานกับผมเถอะ คุณจะได้ไม่ต้องลำบากใจอีก”
เสียงของสวี่เมิ่งนุ่มนวล “ฉันบอกคุณไปแล้วไงว่า มันเป็นไปไม่ได้”
ชายคนนั้นเปลี่ยนเรื่อง “ผมได้ยินคนพูดว่า เมื่อคืนคุณกับลูกพี่ลูกน้องเห็นผี คุณคงตกใจมากแน่ ๆ มันจะปลอดภัยกว่าถ้าสุนัขตัวนี้อยู่ที่นี่กับคุณ”
หลังจากนั้นเขาก็ทิ้งปลาและสุนัขพื้นเมืองไว้ข้างหลัง ก่อนหันหลังกลับและเดินจากไป
สวี่เมิ่งอุ้มปลาและไล่ตามชายหนุ่มออกไป “คุณนำปลากลับไปให้เด็กและคนชราที่บ้านเถอะค่ะ”
“ที่บ้านยังมีอีกหลายตัว ซึ่งเพียงพอสำหรับเด็กและคนชรา” ชายคนนั้นเดินออกจากห้องพักโดยไม่หันกลับมามองอีก
สวี่เมิ่งรีบสาวเท้าไล่ตามเขาออกไป
………………………………………………………………………………………………………………………..
สารจากผู้แปล
ในใจผู้แปลตอนนี้มีอยู่สองคนที่น่าจะปลอมเป็นผี หนึ่งคือคนชื่อบาลา สองคือหนุ่มหล่อที่มาจีบสวี่เมิ่ง มาดูกันต่อไปนะคะว่าผลจะออกมาเป็นใคร
ไหหม่า(海馬)
……….