แม่ปากร้ายยุค 80 - ตอนที่ 1131 ไอดอลในชาติที่แล้ว
ตอนที่ 1131 ไอดอลในชาติที่แล้ว
……….
ตอนที่ 1131 ไอดอลในชาติที่แล้ว
หลินม่ายถือว่าเวลานี้ยังไม่ถึงวันคริสต์มาส จึงวางมีดและส้อมลง คิดไปที่โรงแรมหยวนไหลเพื่อดูว่าเกิดอะไรขึ้น
เมื่อหลินม่ายมาถึงโรงแรม เธอก็เห็นเสี่ยวมี่มี่สั่งหม้อไฟและอาหารฉู่อื่น ๆ ที่ไม่ใส่พริกเหมือนกับเมื่อคืน และกำลังเพลิดเพลินกับอาหารพร้อมกับบอดี้การ์ดและผู้ช่วยของเธอ
ในบางครั้งแฟนคลับมาขอถ่ายรูป หล่อนก็ไม่ได้ปฏิเสธพวกเขาและถ่ายรูปกับทุกคนอย่างเป็นกันเอง
หลินม่ายเดินเข้าไปทักทายอีกฝ่ายด้วยรอยยิ้ม
เสี่ยวมี่มี่กล่าวด้วยรอยยิ้ม “อาหารในโรงแรมของคุณอร่อยมากเลยค่ะ วันนี้เราจึงกลับมาอีกครั้ง”
หลินม่ายยิ้มและขอบคุณที่หล่อนกลับมาสนับสนุนอีกครั้ง
เธอหันไปบอกผู้จัดการทำบัตรโกลเดนสุพรีมให้กับเสี่ยวมี่มี่ จากนี้ไปเมื่อใดก็ตามที่เสี่ยวมี่มี่มารับประทานอาหารที่โรงแรม หล่อนจะได้รับส่วนลด 30%
แน่นอนว่าไม่ได้มอบให้เสี่ยวมี่มี่คนเดียว เคอจื่อฉิงได้รับด้วยเช่นกัน
ร้านหลู่ไช่เปิดตัวอย่างเป็นทางการในวันคริสต์มาส ถึงแม้จะมีหลากหลายชนิดที่ควรทำกำไรได้สูง เช่น ตับหมูตุ๋น ตีนหมูพะโล้ ตีนไก่มะนาว และลำไส้ใหญ่ตุ๋น… ทว่ามันกลับขายได้ไม่ดี
อย่างไรก็ตาม ขาไก่ตุ๋น เนื้อตุ๋น เนื้อแกะตุ๋น และเนื้ออื่น ๆ กลับขายดี
สาเหตุหลักก็คือชาวยุโรปและอเมริกาไม่คุ้นเคยกับการกินส่วนผสมต่าง ๆ ที่เป็นเศษซากจากการชำแหละสัตว์ เช่น ตีนหมู ตีนไก่ และหูหมู
การเปลี่ยนนิสัยการกินไม่สามารถเกิดขึ้นเพียงชั่วข้ามคืน
ในชั่วพริบตา วันหยุดฤดูหนาวก็สิ้นสุดลง และเดือนมีนาคมตามปฏิทินสุริยคติก็มาถึง
เวลาผ่านไปสองเดือนแล้ว และร้านหลู่ไช่ไม่อาจขายได้ตามเป้าแม้จะเป็นช่วงที่ควรขายดีที่สุด
ครั้งหนึ่งหลินม่ายขอให้เสี่ยวมี่มี่เป็นตัวแทนช่วยโฆษณา แม้เงินจะถูกใช้ไปแล้ว แต่ได้ผลตอบรับเพียงเล็กน้อย
แม้ว่าจะเป็นเดือนมีนาคมตามปฏิทินสุริยคติแล้ว แต่สภาพอากาศในนิวยอร์กยังคงหนาวอยู่เล็กน้อย
วันนั้นหลินม่ายไม่ต้องการปั่นจักรยาน เธอจึงเลือกที่จะเดินไปมหาวิทยาลัยเพื่อเป็นการออกกำลังกาย
อีกอย่าง เธอกำลังครุ่นคิดว่าจะทำให้คนอเมริกันในท้องถิ่นหลงรักหลู่ไช่ลำไส้ใหญ่และตีนหมูได้อย่างไร
ท้ายที่สุดแล้วสิ่งเหล่านี้คือเมนูหลักของหลู่ไช่ ไม่ว่าชาวอเมริกันเชื้อสายจีนและนักศึกษาจีนจะบริโภคมากแค่ไหน การบริโภคของพวกเขาก็มีจำกัดมาก
ทันใดนั้นเธอก็ได้ยินหญิงชราคนหนึ่งพูดภาษาจีนกวางตุ้งตะโกนด้วยความโกรธจากด้านหน้า
เธอเงยหน้าขึ้นมอง ก่อนเห็นคนหนุ่มสาวผิวขาวหลายคนกำลังรังแกหญิงชราชาวจีน
ในขณะที่หญิงชรากำลังสาปแช่ง นางได้ใช้ร่มในมือทุบตีคนหนุ่มสาวผิวขาวหลายคนอย่างแรงที่สุดเท่าที่จะทำได้เพื่อป้องกันตัว
แต่ท้ายที่สุดนางเป็นคนสูงอายุคนหนึ่ง แล้วจะเอาชนะคนหนุ่มสาวร่างใหญ่หลายคนได้อย่างไร?
เมื่อเห็นว่าหญิงชรากำลังจะถูกทำร้าย หลินม่ายก็รีบเข้าไปช่วยทันที
เธอทนอยู่เฉยไม่ได้อย่างเด็ดขาดเมื่อเห็นเพื่อนร่วมชาติถูกรังแกในต่างแดน
ในเวลานี้มีผู้หญิงคนหนึ่งวิ่งเข้ามาคว้าแขนข้างหนึ่งของเธอแล้วพูดว่า “อย่าก่อปัญหา!”
หลินม่ายหันกลับไปและเห็นใบหน้างดงามของหญิงสาว ซึ่งใบหน้านี้ทำให้เธอหวนนึกถึงความทรงจำในชาติก่อน
ผู้หญิงที่คว้าแขนหลินม่ายคือจางเสวี่ยฉุน ในชีวิตก่อนผู้หญิงคนนี้เขียนหนังสือ “หายนะที่ถูกลืมของสงครามโลกครั้งที่สอง” เพื่อให้โลกรู้เกี่ยวกับการสังหารหมู่ที่หนานจิง
แต่ในเวลาต่อมาหล่อนได้ถูกตอบโต้และคุกคามจากกองกำลังฝ่ายขวาในประเทศเกาะ จนต้องใช้ปืนปลิดชีพตัวเอง
แม้หลินม่ายจะไม่เคยพบกับอีกฝ่ายมาก่อน แต่เธอก็ชื่นชมผู้หญิงคนนี้อย่างมาก
เป็นเวลานานแล้วที่คนธรรมดาในโลกตะวันตกรู้แค่ว่าพวกนาซีสังหารหมู่ชาวยิว แต่ไม่รู้เลยว่าผู้รุกรานชาวเกาะสังหารหมู่ชาวจีนอย่างบ้าคลั่งในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง
ความคิดเห็นของสาธารณชนระหว่างประเทศประณามความโหดร้ายที่กระทำโดยนาซีในสงครามโลกครั้งที่สองเท่านั้น และไม่ค่อยวิพากษ์วิจารณ์ความโหดร้ายที่กระทำโดยลัทธิทหารญี่ปุ่นในสงครามโลกครั้งที่สอง
เหตุผลสำคัญประการหนึ่งก็คือในช่วงหลายทศวรรษนับตั้งแต่ชัยชนะในสงครามโลกครั้งที่สอง มีการเผยแพร่ข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์เกี่ยวกับการรุกรานจีนของญี่ปุ่นในสังคมตะวันตกกระแสหลักน้อยเกินไป
ชาติที่แล้ว ผู้หญิงที่อ่อนแออย่างจางเสวี่ยฉุนยืนขึ้นอย่างกล้าหาญและพูดถึงความทุกข์ทรมานของชาวจีนหลายล้านคน จิตวิญญาณผู้กล้าช่างน่ายกย่องอย่างยิ่ง!
ทว่าคนดีเช่นนี้จะหยุดตัวเองจากการช่วยเพื่อนร่วมชาติและช่วยหญิงชราได้อย่างไร?
หลินม่ายมองไปที่จางเสวี่ยฉุนอย่างสงสัย ขณะที่ดวงตาของเธอฉายแววความสับสน
จางเสวี่ยฉุนกล่าวด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน “ในสหรัฐอเมริกา อย่าคิดที่จะช่วยเหลือผู้คนด้วยตัวเอง เมื่อคุณเห็นความอยุติธรรม ให้โทรหาตำรวจ ไม่เช่นนั้นคุณเองที่จะเดือดร้อน”
ขณะที่พูด หล่อนก็หยิบโทรศัพท์มือถือออกมา กดหมายเลขตำรวจ และบอกเจ้าหน้าที่ตำรวจว่ามีหนุ่มสาวผิวขาวหลายคนทุบตีหญิงชราชาวจีนคนหนึ่ง
ระหว่างรอตำรวจมาถึง หลินม่ายถามขึ้น “ทำไมเราถึงช่วยเหลือคนอื่นอย่างกล้าหาญในสหรัฐอเมริกาไม่ได้ล่ะคะ?”
“เพราะในสหรัฐอเมริกา สิทธิมนุษยชนเป็นสิ่งสำคัญยิ่ง หากคุณกระทำเช่นนั้นและทำร้ายพวกอันธพาล มันจะกลายเป็นว่าคุณทำผิดกฎหมายและจะถูกดำเนินคดี”
หลินม่ายตกตะลึงเมื่อได้ยินสิ่งนี้
มันเป็นเรื่องแปลกที่ผู้เห็นเหตุการณ์จะเข้าช่วยเหลืออย่างกล้าหาญ แต่กลับไม่ได้รับอนุญาต ในขณะที่ตำรวจซึ่งใช้กำลังมากเกินไปถือว่ายอมรับได้ในระบบกฎหมาย มันช่างเป็นกรอบทางกฎหมายที่แปลกประหลาดในสังคมที่แปลกประหลาดเสียจริง
หลินม่ายเฝ้ามองด้วยความกังวลใจเมื่อหญิงชราชาวกวางตุ้งต่อต้านคนหนุ่มสาวผิวขาวหลายคนด้วยตัวเธอเอง
ในเมื่อเธอไม่สามารถช่วยหญิงชราอย่างเปิดเผยได้ เช่นนั้นก็คงแอบทำอย่างลับ ๆ
เธอหยิบก้อนหินขึ้นมาสองถึงสามก้อนจากใต้ต้นไม้ข้างถนน
ก้อนหินเหล่านี้ถูกวางไว้เพื่อทำให้รากของต้นไม้อบอุ่น
เธอวางก้อนหินไว้ที่เท้า ก่อนเตะมันไปทางคนหนุ่มสาวเหล่านั้นทีละคน
คนหนุ่มสาวผิวขาวถูกเตะก้อนหินใส่ทีละคนและล้มลงพื้น
หากไม่ใช่เพราะสวมหมวกอยู่ เกรงว่าพวกเขาคงหัวแตกไปแล้ว
ถึงกระนั้นพวกเขาก็ล้มลงอย่างแรงและไม่สามารถลุกขึ้นมาได้ชั่วขณะ ทำให้หญิงชราชาวกวางตุ้งมีโอกาสต่อสู้กลับ
ผ่านไปสักพักตำรวจก็มาถึง แต่มันก็สายไปแล้ว ด้วยความช่วยเหลืออย่างลับ ๆ ของหลินม่าย หญิงชราชาวกวางตุ้งได้ต่อสู้กับเด็กชายผิวขาวด้วยร่มในมือ
ทว่าหญิงชราก็ได้รับบาดเจ็บสาหัสเช่นกัน โดยมีรอยฟกช้ำทั่วมุมตาและใบหน้า นางร้องไห้ด้วยความคับข้องใจ
แม้หลินม่ายจะเต็มไปด้วยความชื่นชมในตัวจางเสวี่ยฉุน แต่เมื่อทั้งสองได้พบกันครั้งแรก พวกเธอกลับไม่สามารถเข้ากันได้
เธอทำได้เพียงกล่าวคำอำลาจางเสวี่ยฉุนด้วยความเสียใจอย่างยิ่ง และเดินไปโรงเรียนต่อ ก่อนจะพบว่าจางเสวี่ยฉุนเดินมาทางเดียวกับเธอ
หญิงสาวทั้งสองมองหน้ากัน ตามองตา ต่างคนต่างเข้าใจ จากนั้นทั้งสองก็อดที่จะหัวเราะออกมาไม่ได้
หลินม่ายถาม “คุณเรียนที่ MIT ด้วยหรือคะ?”
จางเสวี่ยฉุนส่ายหัว “เปล่าคะ ฉันจะไปห้องสมุดเพื่อค้นหาข้อมูลสักหน่อย”
หล่อนดูบอบบางและขี้อายเล็กน้อย แต่กลับกล่าวคำอย่างตรงไปตรงมาเสมอ
หล่อนขมวดคิ้วและกล่าวว่า “ตอนนี้ฉันกำลังเขียนนวนิยายสารคดีเกี่ยวกับการสังหารหมู่ที่หนานจิง ฉันต้องศึกษาข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์มากมาย แต่ฉันไม่พบมันในห้องสมุดหลายแห่ง เลยอยากมาที่ห้องสมุดของ MIT เพื่อลองหาข้อมูล”
หลินม่ายแอบบ่นด้วยความขมขื่นว่า มหาอำนาจตะวันตกจะนำความทุกข์ทรมานของพวกเขามาเผยแพร่เท่านั้น แต่จะมีใครมาสนใจความทุกข์ทรมานของชาวจีน?
สิ่งที่จางเสวี่ยฉุนจะค้นพบได้นั้นมีเพียงความพยายามที่สูญเปล่า
แต่เธอไม่ได้พูดคำเหล่านี้ เพราะกลัวว่าจะกระทบต่อความกระตือรือร้นของจางเสวี่ยฉุน
เมื่อทั้งสองมาถึงมหาวิทยาลัย คนหนึ่งแยกไปห้องสมุดเพื่อค้นหาข้อมูล ส่วนอีกคนไปห้องเรียน
หลังเลิกเรียนตอนเที่ยง เมื่อหลินม่ายเดินออกจากห้องเรียนโดยมีกระเป๋านักเรียนอยู่บนหลัง เธอหันมองห้องสมุดที่อยู่ไม่ไกลและคิดกับตัวเองว่าจางเสวี่ยฉุนจะไปแล้วหรือยัง?
ชาติก่อนเธอเคยอ่านชีวประวัติของจางเสวี่ยฉุนทางอินเทอร์เน็ต พบว่าหญิงสาวคนนี้มักยุ่งอยู่กับการทำงานจนลืมกินและลืมนอน
เธอลังเลครู่หนึ่ง ก่อนจะเดินตรงไปที่ห้องสมุด
เมื่อเห็นว่าจางเสวี่ยฉุนยังคงค้นหาข้อมูลอย่างจริงจัง เธอจึงเดินเข้าไปและเตือนว่า “นี่ก็เที่ยงแล้ว ได้เวลารับประทานอาหารกลางวันแล้วค่ะ”
จางเสวี่ยฉุนเงยหน้าขึ้นมองและรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อยที่เห็นว่าเป็นหลินม่าย
หล่อนยิ้มให้หลินม่ายและตอบกลับ “ฉันจะตรวจสอบข้อมูลสักพักแล้วค่อยไปกินอาหารทีหลังน่ะค่ะ”
หลินม่ายย้ำเตือนอีกฝ่ายว่า อย่าลืมกินข้าวเที่ยงก่อนออกไป
หากห้องสมุดไม่อนุญาตให้กินอาหาร หลินม่ายจะนำบะหมี่แห้งร้อน ๆ กับเนื้อแกะตุ๋นจากร้านของตัวเองมาให้จางเสวี่ยฉุน
ปัจจุบันร้านบะหมี่แห้งม่ายจื่อเซียงได้ขยายสาขาเพิ่มอีก 100 แห่ง รวมถึงร้านหนึ่งใกล้กับสถาบันเทคโนโลยีแมสซาชูเซตส์
หลักสูตรสำหรับนักศึกษาระดับบัณฑิตศึกษาในสหรัฐอเมริกามีไม่มากนัก
หลินม่ายและนักศึกษาอีกสี่คนลงทะเบียนเรียนสาขาวิชาวิศวกรรมสารสนเทศอิเล็กทรอนิกส์ โดยปกติแล้วพวกเขาจะเรียนสี่หลักสูตรในแต่ละภาคการศึกษา
แม้ว่าจะไม่มีชั้นเรียนในช่วงบ่าย แต่หลินม่ายก็ไปมหาวิทยาลัยหลังกินอาหารกลางวันเพื่อดูว่าจางเสวี่ยฉุนยังคงอยู่ในห้องสมุดเพื่อค้นคว้าข้อมูลหรือไม่
เมื่อมาถึงห้องสมุด เธอเห็นว่าจางเสวี่ยฉุนไม่ได้อยู่ที่เดิมแล้ว ดูเหมือนว่าผู้หญิงคนนั้นจะออกไปกินอาหารกลางวัน
หลินม่ายรู้สึกโล่งใจและหันหลังกลับ ทันใดนั้นเธอได้ยินเสียงหนังสือหล่นลงมาพร้อมกับเสียงกรีดร้องของผู้หญิงคนหนึ่งดังขึ้นจากด้านหลัง
…………………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
บางทีเราเข้าเมืองตาหลิ่วก็ต้องหลิ่วตาตามอะนะ ไม่งั้นจะเป็นเราเองที่ซวยแบบไม่รู้เรื่อง
ไหหม่า(海馬)
……….