แม่ปากร้ายยุค 80 - ตอนที่ 1055 ในที่สุดก็ฟื้น
ตอนที่ 1055 ในที่สุดก็ฟื้น
ตอนที่ 1055 ในที่สุดก็ฟื้น
หลินม่ายรู้สึกตื่นเต้นอย่างมาก
ตอนนี้ผ่านมาเกือบหนึ่งสัปดาห์แล้ว แม้หยางจิ้นจะฟื้นขึ้นมาเป็นระยะเวลาสั้น ๆ ซึ่งแต่ละครั้งใช้เวลาไม่ถึงสองนาที ก่อนจะเข้าสู่การนอนหลับลึกอีกครั้ง และยังคงต้องให้น้ำเกลือตลอดเวลา
แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เขาตื่นขึ้นมาพูด และเป็นครั้งแรกที่เขาสอบถามเกี่ยวกับอาการของพี่สาวด้วย
หลินม่ายกระโดดลงจากเตียงสนามด้วยความตื่นเต้นและรีบตรงไปยังเตียงคนไข้ของหยางจิ้น พลางตอบกลับ “พี่สาวสบายดีค่ะ ฉันจะเรียกหมอให้นะ”
เธอหันกลับเตรียมเดินออกจากห้อง แต่หยางจิ้นคว้าผ้าคลุมไหล่ผืนบางหยุดเธอไว้ก่อน
แม้แต่ในเมืองหลวงช่วงเดือนมิถุนายน กลางคืนยังคงอากาศหนาวอยู่บ้าง เธอจึงต้องใช้ผ้าคลุมไหล่ให้ความอบอุ่น
“ฉันอาจได้ยินไม่ค่อยชัด แต่พวกเธอกำลังพยายามกระตุ้นให้หล่อนตื่นขึ้นใช่ไหม?”
หลินม่ายไม่อยากบอกหยางจิ้นว่าพี่สาวคนโตมีแนวโน้มที่จะเป็นเจ้าหญิงนิทราและอาจนอนเป็นผัก
พี่เขยของเธอยังไม่พ้นช่วงวิกฤตด้วยซ้ำ ถ้าเขาได้ยินข่าวนี้และรู้สึกไม่สบายใจจนทำให้อาการแย่ลงจะทำอย่างไร?
เมื่อเห็นว่าหลินม่ายไม่อยากตอบ หยางจิ้นจึงเบนสายตาไปยังเตียงอีกแห่งและถามว่า “พี่สาวเธอนอนอยู่บนเตียงนั้นหรือเปล่า? ฉันอยากเจอหล่อน”
จากนั้นเขาก็พยายามฝืนลุกขึ้นจากเตียง
แต่ร่างกายของเขาอ่อนแอเกินไป ลุกขึ้นนั่งบนเตียงไม่ได้ด้วยซ้ำ หยางจิ้นรู้สึกหมดหวังขณะที่เหงื่อไหลโทรมกาย
เมื่อเห็นเช่นนี้ หลินม่ายจึงต่อรองกับเขา “พี่ต้องสัญญาว่าจะไม่ตกใจ ไม่ว่าจะได้ยินข่าวอะไรก็ตาม แล้วฉันจะบอกพี่”
“ฉันสัญญาว่าจะไม่ตกใจ”
หลินม่ายจึงเล่าในสิ่งที่เกิดขึ้นกับไป๋เหยียนให้เขาฟัง บอกว่าหล่อนสะเทือนใจอย่างรุนแรงหลังได้ยินข่าวว่าเขาพยายามฆ่าตัวตาย จนเข้าสู่อาการโคม่าและยังไม่ฟื้นนับแต่นั้นมา
หลังจากได้ยินสิ่งนี้ หยางจิ้นหลั่งน้ำตาสองสายและขอให้หลินม่ายช่วยพาเขาไปหาไป๋เหยียน
หลินม่ายบอกเขาว่ารอหมอมาตรวจประจำวันก่อนค่อยไปพบกับพี่สาวทีหลัง แต่หยางจิ้นปฏิเสธ
หลินม่ายไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากช่วยพยุงเขาลุกไปนั่งข้างเตียงของไป๋เหยียน
ไป๋เหยียนนอนหลับตาอยู่บนเตียงโดยไม่เคลื่อนไหว
ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมาหล่อนได้รับอาหารทางสายยาง และน้ำหนักก็ลดลงไปบ้าง
หัวใจของหยางจิ้นเจ็บปวดจนไม่สามารถกลั้นน้ำตาไว้ได้ เขาเอื้อมไปจับมือของไป๋เหยียนพลางกล่าวเสียงสะอื้น “เหยียนเหยียน คุณต้องรีบฟื้นกลับขึ้นมานะ ครอบครัวของเราต้องอยู่ด้วยกันอย่างพร้อมหน้า”
หยดน้ำตาค่อย ๆ ไหลลงจากหางตาของไป๋เหยียน
หยางจิ้นสังเกตเห็นน้ำตานั้นและอุทานขึ้น “พี่สาวเธอมีปฏิกิริยาตอบสนองแล้ว!”
หลินม่ายตื่นเต้นมากเช่นกัน
ไม่กี่วันที่ผ่านมา ไม่ว่าพวกเขาจะตะโกนเรียกหล่อนอย่างไร ไป๋เหยียนก็ไม่ปฏิกิริยาตอบสนองเลย แต่พอหยางจิ้นพูดคุยด้วย หล่อนพลันร้องไห้ออกมา
หลินม่ายลุกพรวดขึ้นทันที “ฉันจะไปเรียกหมอมาเดี๋ยวนี้!”
เธอเปิดประตูและกำลังจะเดินออกไป แต่พลันเห็นฟางจั๋วหรานเข้ามาพร้อมถือเกี๊ยวสองชามและหั่วเชาเนื้อลา*สองอัน
(*驴肉火烧 ขนมปังฮอทด็อกเนื้อลาสไตล์จีนภาคเหนือ)
หลินม่ายพูดด้วยความตื่นเต้น “คุณมาพอดีเลย พี่เขยฉันฟื้นเต็มที่และสามารถเดินได้บ้างแล้ว ส่วนพี่สาวของฉันก็มีปฏิกิริยาตอบสนองเช่นกัน คุณรีบเข้าไปดูเร็วเข้า ฉันจะไปเรียกหมอประจำเวรมาเพื่อตรวจพวกเขา”
ฟางจั๋วหรานยื่นอาหารในมือให้หลินม่าย “ผมจะไปเรียกหมอเอง”
ภายในเวลาไม่ถึงสองนาที หมอประจำเวรก็เร่งรีบติดตามฟางจั๋วหรานมา
ในตอนนี้ไป๋เหยียนลืมตาขึ้นแล้ว แต่ยังอ่อนแอมาก
หมอประจำเวรได้ตรวจดูทั้งเขาและภรรยา ก่อนบอกว่าทั้งคู่อยู่ในสภาพที่ดี
แต่ยังคงต้องดูอาการหยางจิ้นอย่างใกล้ชิด หากผลตรวจพรุ่งนี้ออกมาดี เขาจะถือว่ารอดพ้นจากขีดอันตราย
เพียงแค่นี้หลินม่ายก็มีความสุขมากแล้ว
เธอยื่นหั่วเชาเนื้อลาให้กับหมอประจำเวรเพื่อแสดงความขอบคุณ
หมอประจำเวรรับหั่วเชาเนื้อลาจากเธอและจากไปอย่างมีความสุข
ฟางจั๋วหรานช่วยหยุงหยางจิ้นกลับไปนั่งที่เตียง
หลินม่ายถาม “พี่สาว พี่เขย กินเกี๊ยวสักหน่อยไหมคะ?”
ทั้งคู่ไม่ได้รับประทานอาหารเป็นเวลานาน แม้ว่าคนหนึ่งจะถูกป้อนอาหารทางสายยาง และอีกคนได้รับการฉีดสารอาหาร
อย่างไรก็ตามการฉีดสารอาหารสามารถยืดอายุได้แต่ไม่สามารถเติมเต็มกระเพาะอาหาร ส่วนการให้อาหารทางสายยางก็ไม่อาจให้ได้มากนัก และต้องให้ในรูปของเหลว ซึ่งไม่สามารถเติมเต็มกระเพาะอาหารได้เช่นกัน
ผู้คนจะไม่รู้สึกหิวเมื่ออยู่ในอาการโคม่า แต่พวกเขาจะรู้สึกหิวอย่างแน่นอนเมื่อฟื้นขึ้น
ไป๋เหยียนและหยางจิ้นต่างก็พยักหน้ารับ
ถ้าอยากหายเร็วก็ต้องกินให้มาก
ฟางจั๋วหรานกล่าวว่าร่างกายของพวกเขาอ่อนแอเกินไป จึงกินได้เฉพาะอาหารที่เบาและย่อยง่าย เช่น โจ๊กข้าวขาว และบะหมี่อืด
ฟางจั๋วหรานทำงานกะกลางคืนและไม่สามารถออกจากโรงพยาบาลได้ ดังนั้นหลินม่ายจึงรีบไปที่ร้านสะดวกซื้อหน้าโรงพยาบาลและซื้อโจ๊กมาสองชาม
ไป๋เหยียนและสามีกินโจ๊กข้าวขาว ส่วนเธอและฟางจั๋วหรานต่างกินเกี๊ยวน้ำที่เย็นชืดแล้ว
ท้องนภามีเนื้อมังกร ส่วนปฐพีมีเนื้อลา*
(*天上龙肉,地上驴肉 เป็นคำกล่าวถึงความอร่อยเลิศรสของเนื้อลาที่กล่าวกันว่าเป็นเนื้อชั้นเยี่ยม ไม่มันเลี่ยนเหมือนเนื้อหมู ไม่มีกลิ่นสาบเหมือนเนื้อวัวหรือเนื้อแพะ และมีโภชนาการสูง)
ฟางจั๋วหรานรู้ว่าหลินม่ายชอบกินเนื้อลา เมื่อเขาเริ่มกินหั่วเชาเนื้อลา เขาก็เขย่าไส้เนื้อลาในขนมปังใส่ชามเกี๊ยวของหลินม่าย ซึ่งทำให้หลินม่ายยิ้มแย้มอย่างอารมณ์ดี
หลังรับประทานอาหารเสร็จ ฟางจั๋วหรานขอตัวกลับไปทำงาน เนื่องจากมีผู้ป่วยอาการวิกฤตจำนวนมากและเขาอยู่ได้ไม่นาน
หลินม่ายเห็นว่าหยางจิ้นอาการดีขึ้นและนั่งบนเตียงได้นาน จึงถามเขาว่าตอนนั้นเขาไปทำอะไรที่สำนักงานแขวง
คำถามนี้ยังคงค้างคาอยู่ในใจ แต่พี่สาวคนโตหมดสติไปก่อน จึงไม่ทันได้ถามหาความจริง
ตอนนี้หยางจิ้นฟื้นขึ้นมาแล้ว เธอจึงอยากถามถึงเรื่องราวทั้งหมด
หยางจิ้นอธิบายว่า เนื่องจากแม่หยางออกจากโรงพยาบาลและได้รับการดูแลโดยหยางเซิงและภรรยา เขาและไป๋เหยียนจึงต้องแบกรับค่ารักษาพยาบาลที่สูงลิ่ว
แต่พ่อหยาง หยางเซิงและภรรยา รวมถึงแม่หยางที่ล้มป่วยปฏิเสธที่จะปล่อยครอบครัวพวกเขาไป
พวกเขาคอยมาขอเงินโดยใช้อาการป่วยของแม่หยางเป็นข้ออ้าง
ตัวอย่างเช่น แม่หยางมักจะถ่ายอุจจาระรดกางเกง พวกเขาต้องล้างทำความสะอาดด้วยมือซึ่งน่าขยะแขยงเกินไป จึงมาขอให้หยางจิ้นและภรรยาซื้อเครื่องซักผ้าให้
อีกตัวอย่างหนึ่งคือในช่วงฤดูร้อน แม่หยางต้องนอนบนเตียงเป็นเวลาหลายปีและมีแนวโน้มที่จะเป็นแผลกดทับ นางจึงขอเงินพวกเขาเพื่อซื้อเครื่องปรับอากาศ
อีกตัวอย่างคือ เมื่อได้ยินว่าการกินถั่งเช่าสามารถแก้อัมพาตครึ่งซีกได้ จึงได้มาขอเงินพวกเขาซื้อถั่งเช่า…
ด้วยข้ออ้างมากมาย ทำให้เขาและภรรยาต้องลำบากใจ หลังจากให้ไปหลายครั้ง หยางจิ้นก็ปฏิเสธที่จะให้อีก
เป็นเหตุให้หยางเซิงและภรรยาเชิญเจ้าหน้าที่จากสำนักงานแขวงมาตรวจสอบร้านขนมของพวกเขา
พวกเขายกพรรคพวกมาราวเจ็ดถึงแปดคนเพื่อบีบบังคับสองสามีภรรยาให้ยอมรับเงื่อนไขไม่เป็นธรรมของตระกูลหยาง หากไม่ยอมตกลง พวกเขาจะไม่จากไป
เท่านั้นไม่พอ เจ้าหน้าที่สำนักงานแขวงยังใช้โทรโข่งป่าวประกาศให้ลูกค้าในร้านได้ฟังว่าเจ้าของร้านอกตัญญูและละเลยผู้สูงอายุที่บ้าน โดยบอกว่าอย่ามาอุดหนุนสินค้าในร้านขนมนี้อีก
หลินม่ายพูด “ในกรณีนี้พี่ควรโทรหาตำรวจ”
หยางจิ้นถอนหายใจด้วยความขมขื่น “มันไม่มีประโยชน์หรอก เจ้าหน้าที่ตำรวจจะจัดการเจ้าหน้าที่จากสำนักงานแขวงได้อย่างไร? พวกเขาร่วมมือกันสั่งสอนบทเรียนกับเราด้วยซ้ำ นอกจากนี้เจ้าหน้าที่จากสำนักงานแขวงไม่ได้ทำเรื่องผิดกฎหมาย ตำรวจจึงทำอะไรพวกเขาไม่ได้ ฉันกับไป๋เหยียนทำได้เพียงกล้ำกลืนความขุ่นเคืองและยอมรับคำเรียกร้องของพวกหยางเซิง แต่พวกเขากลับเรียกร้องมากกว่าเดิม ในฤดูใบไม้ผลิปีนี้ พวกเขาใช้ข้ออ้างที่ว่าบ้านหลังเล็กมากเกินไปและไม่เหมาะสมที่จะให้ผู้ป่วยพักฟื้น โดยบอกว่าให้เรายกบ้านที่เราอาศัยอยู่ตอนนี้ หรือไม่ก็ซื้อบ้านหลังใหม่ให้พวกเขา ฉันและไป๋เหยียนปฏิเสธเสียงแข็ง พวกเขาจึงนำเจ้าหน้าที่จากสำนักงานแขวงไปที่หน่วยงานของไป๋เหยียน และทำลายชื่อเสียงของหล่อน เพื่อนร่วมงานและหัวหน้าไป๋เหยียนต่างก็ด่าว่าหล่อนเป็นลูกสะใภ้ที่ชั่วร้าย และไม่ยอมให้ฉันแสดงความกตัญญูต่อพ่อแม่ ซึ่งต่อให้ฉันไปชี้แจ้งมันก็ไม่มีประโยชน์อะไร เป็นเพราะการแทรกแซงของพวกเขา โอกาสในการเลื่อนตำแหน่งของไป๋เหยียนจึงถูกทำลายไป ฉันและภรรยาต้องทุกข์ทรมานอย่างมาก แล้วพ่อของฉันหลอกเราให้ไปที่บ้าน ดุด่าไป๋เหยียนและฉันว่าเป็นลูกอกตัญญู ทั้งยังทุบตีพวกเราด้วย ไป๋เหยียนและฉันรายงานเรื่องนี้ไปยังสำนักงานแขวง และขอให้พวกเขาช่วยไกล่เกลี่ย แต่ผู้อำนวยการสำนักงานแขวงบอกว่า ถ้าผู้อาวุโสทุบตีลูกหลาน นั่นเป็นเพราะลูกหลานทำตัวไม่ดีหรือเปล่า? ถ้าประพฤติตัวดี แล้วผู้อาวุโสจะทุบตีได้อย่างไร? ทุกอย่างกลายเป็นความผิดของฉันและไป๋เหยียน เรื่องโดนทุบตีแค่นี้น่ะไม่เป็นไรหรอก แต่กลับถูกโยนความผิดทั้งหมดมาให้ นี่มันครอบครัวประสาอะไร? แล้วทำไมพี่สาวของเธอต้องโดนทุบตีไปด้วย? หล่อนทำอะไรผิด? หล่อนไม่ได้ทำอะไรผิดเลย ไม่เพียงถูกทุบตีเท่านั้น ยังถูกเจ้าหน้าที่จากสำนักงานแขวงตราหน้าว่าเป็นลูกสะใภ้ที่เลวร้ายอีกด้วย ยิ่งคิดเรื่องนี้มากเท่าไหร่ก็ยิ่งแค้นเคืองมากเท่านั้น ฉันจึงหยิบขวดยาฆ่าแมลงและวิ่งไปยังสำนักงานแขวงเพื่อโต้เถียงกับพวกเขา แต่เจ้าหน้าที่หลายคนที่มีผู้อำนวยการหวงเป็นผู้นำกลุ่มกลับหัวเราะเยาะฉัน เมื่อเห็นว่าเตรียมขวดยาฆ่าแมลงมาด้วยก็เร่งเร้าให้ฉันดื่มมันโดยเร็ว และบอกว่าถ้าไม่ดื่ม ฉันมันก็แค่พวกขี้ขลาด ฉันโกรธพวกเขามากจนดื่มลงไป…”
ไป๋เหยียนที่นั่งอยู่บนเตียงอีกแห่งรับฟังเรื่องราวทั้งหมดก็หลั่งน้ำตาไหลอาบแก้ม พูดด้วยเสียงแหบแห้งว่า “คุณไม่ควรฆ่าตัวตายเลย หากเกิดอะไรขึ้นกับคุณ เถียนเถียนและฉันจะทำยังไง?”
หยางจิ้นก้มหน้าลงและกล่าวว่า “ผมไม่กล้าทำแบบนั้นอีกแล้ว”
หลินม่ายตกตะลึงครู่หนึ่ง และถามไปว่า “ทำไมพี่ไม่บอกพวกเราล่ะ?”
หยางจิ้นพูดด้วยความอับอาย “เพราะมันเป็นเรื่องในครอบครัวเรา เรารบกวนพวกเธอไปมาก จะให้แบกหน้าไปขอร้องความช่วยเหลือได้อย่างไร? นอกจากนี้พ่อตาเพิ่งประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์และสถานการณ์ไม่ค่อยดี ฉันกับพี่สาวเธอจึงไม่พูดถึงเรื่องนี้ และไม่อยากสร้างความเดือดร้อนให้เธอ”
หลินม่ายกล่าว “ฉันจะทวงความยุติธรรมให้พวกพี่เองค่ะ”
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
ลุยเลยค่ะม่ายจื่อ จัดการฟ้องครอบครัวนรกนี่ให้มันติดคุกแบบขังลืมกันทั้งบ้านเลยค่ะ แล้วก็เล่นงานพวกเจ้าหน้าที่อิกนอแรนท์พวกนั้นให้โดนสอบวินัยโดนเด้งจากตำแหน่งด้วย
ไหหม่า(海馬)