แต่งงานกับขุนนางกอบลินที่ลือกันว่าน่าเกลียด แต่เธอกลับน่าเอ็นดูสุดๆ ~ความพยายามของนายน้อยเพื่อเอาชนะใจคุณหนูกอบลิน - ตอนที่ 9 การสอบเข้าสถานศึกษา
- Home
- แต่งงานกับขุนนางกอบลินที่ลือกันว่าน่าเกลียด แต่เธอกลับน่าเอ็นดูสุดๆ ~ความพยายามของนายน้อยเพื่อเอาชนะใจคุณหนูกอบลิน
- ตอนที่ 9 การสอบเข้าสถานศึกษา
หมายเหตุ: ตอนที่ 9-10 ขอลงเต็มตอนครับ ชดเชยที่หายไปสองวัน
============================================
“ข้าได้ยินมาว่าเจ้าทำผลงานเอาไว้มากมายในระหว่างการศึกษาเกี่ยวกับขุนนาง มากพอที่เจ้าจะไม่เป็นที่อับอายที่เจ้านั้นเป็นคนของตระกูลแวร์แวรี่แล้ว เจ้าจะต้องเข้าศึกษาต่อที่สถาบันศึกษาตั้งแต่เดือนหน้าเป็นต้นไป”
ท่านพ่อแวร์แวรี่บอกผมมาอย่างนั้น ดังนั้นแล้ว มันจึงเป็นที่ถูกตัดสินใจเอาไว้แล้วว่าผมจะต้องเข้าเรียนที่สถาบันการศึกษา
แหม ถึงผมจะบอกว่า ‘สถาบันการศึกษา’ ก็เถอะ แต่มันต่างออกไปจากโรงเรียนในชาติก่อนของผมที่เราไม่จำเป็นจะต้องไปเข้าชั้นเรียนในทุกวัน
ที่จริงแล้ว ตราบใดที่เรายังผ่านการสอบที่ถูกจัดอยู่เป็นระยะๆ พวกเราก็ไม่จำเป็นต้องไปที่นั่นเลยด้วยซ้ำ
แอนนาเองก็สมัครเข้าเรียนที่นั่นเหมือนกัน แต่เธอก็ไม่ได้เข้าไปยังสถาบันเลย
ตั้งแต่ที่เธอได้เข้ารับการศึกษา เธอก็ไม่เคยไปที่นั่นและทำแต่ข้อสอบของเธอเพียงอย่างเดียว
◆◆◆◆◆
ผู้ที่จะเข้ารับการศึกษาจะต้องผ่านการสอบให้ได้เพื่อที่จะได้เข้า
สามัญชนอาจจะปฏิเสธการสอบเข้านี้ถ้าหากว่าความสามารถทางด้านวิชาการของพวกเขามีไม่สูงพอ แต่สำหรับเหล่าขุนนางนั้นหาได้ยากที่จะปฏิเสธ
ถึงอย่างนั้น มันก็เป็นข้อบังคับสำหรับเหล่าขุนนางที่จะต้องเข้ารับการสอบเพื่อที่จะได้วัดระดับความสามารถทางด้านวิชาการ
ถ้าหากนักเรียนมีผลการสอบที่ไม่เป็นที่น่าพอใจ ทางสถาบันจะแนะนำให้นักเรียนคนนั้นมาเข้าชั้นเรียนในวิชานั้นๆที่พวกเขามีปัญหา
ผมใช้เวลาหามรุ่งหามค่ำร่ำเรียนหนังสือและแก้ปัญหาไม่ว่างเว้น ดังนั้นสำหรับการสอบ นอกจากเรื่องที่ว่าน่าปวดหัวแล้ว ก็ไม่ได้มีปัญหาอะไรสักอย่าง
การที่เป็นคนเดียวที่จะสมัครเข้าศึกษา ผมจึงเป็นคนเดียวที่จะต้องรับการสอบ และข้อสอบของผมก็เป็นเพียงกระดาษเพื่อที่พวกเขาจะได้ตรวจสอบและวัดระดับความรู้
ดังนั้นแล้ว ผมจึงได้รับผลของการทดสอบภายในวันเดียวกันนั้นด้วย
แน่นอนว่าความสามารถทางวิชาการของผมนั้นไม่ได้มีปัญหาอะไร
ก็ต้องเป็นอย่างนั้นอยู่แล้วล่ะนะ
ก็เพราะผมมีความทรงจำในโลกใบก่อนด้วย ผมน่ะเป็นผู้ใหญ่ตั้งแต่ตอนที่ผมเกิดมาแล้ว
ผมเข้าใจในทันทีในตอนที่พวกเขาบอกว่าผมนั้นจะต้องออกจากบ้านในไม่ช้าก็เร็วเพราะว่าผมเป็นบุตรชายคนที่สี่ และในตอนนั้นเองที่ผมรู้สึกว่าจำเป็นที่จะต้องขวนขวายความรู้เอาไว้เพื่อการนั้น
พอในตอนนี้ลองมาคิดดูแล้ว ผมคงจะเป็นเด็กที่น่าสยองพอตัว ชอบที่จะอ่านหนังสือเกี่ยวกับกฎระเบียบควบคุมการค้าขายแทนที่จะไปนั่งเล่นของเล่น
จะอย่างไรก็ตาม ต้องขอบคุณความรู้ที่ผมซึมซับมาเพราะความโลภนั่น ผมเลยไม่มีปัญหากับการตอบคำถามที่เกี่ยวกับภูมิศาสตร์ ประวัติศาสตร์ และภาษาของเหล่าประเทศข้างเคียงของเราในโลกใบนี้
การสอบที่จัดขึ้นเป็นระยะๆนั้น ครอบคลุมเพียงวิชาขั้นพื้นฐาน ตราบใดที่ทำมันออกมาได้ดี ก็จะสามารถจบการศึกษาได้
ข้อสอบเข้าเองก็เป็นข้อสอบพื้นฐาน
อย่างไรก็ตาม พวกเขาได้เสนอหลักสูตรพิเศษที่ไม่ได้ครอบคลุมอยู่ในการสอบเข้า และวิชาเหล่านั้นก็ไม่เหมือนกันเลยสักอย่าง สะท้อนให้เห็นถึงความหลากหลายของอาจารย์ที่เชี่ยวชาญในศาสตร์นั้นๆจนแทบเรียกได้ว่าเป็นพวกคลั่งไคล้
ทุกแขนงล้วนเป็นที่น่าสนใจ
ผมไม่ได้มีปัญหาอะไรด้านความสามารถทางวิชาการของผม พวกเขาจึงไม่ได้มีหลักสูตรไหนที่จะแนะนำเป็นพิเศษ แต่ผมก็ยังเลือกที่จะศึกษาในวิชาเสริมที่สามารถเอาไปใช้ได้จริง อย่างประวัติศาสตร์เกษตรกรรมของประเทศข้างเคียงและอื่นๆ
เมื่อผมได้กลับมาถึงยังคฤหาสน์แวร์แวรี่ ทุกคนดูราวกับทราบเรื่องผลการสอบของผมแล้ว
ดูเหมือนว่าทางสถาบันจะส่งข่าวคราวออกมาหลังจากที่ได้ให้คะแนนเสร็จสิ้น
ทุกคนต่างชื่นชมผม รวมไปถึงท่านพ่อ และนั่นก็ออกจะน่าอายจนเกินไปหน่อย
น้องสาวของผม เด็กสาวที่งดงามราวกับภาพวาด พูดกับผมว่า “สมแล้วที่เป็นพี่ชายคนโต น่าทึ่งสุดๆไปเลยค่ะ” ด้วยดวงตาเป็นประกาย มันรู้สึกเหมือนกับประตูสู่โลกอีกใบได้ถูกเปิดออกมารับผมอีกครั้งหนึ่ง
◆◆◆◆◆
“ท่านจิโน่ ฉันได้ยินมาแล้วล่ะค่ะ คุณทำผลงานได้คะแนนสูงสุด คุณเลยได้ไปอยู่ในห้องที่ยอดเยี่ยมที่สุดสินะคะ? ยินดีด้วยค่ะ”
“อื้ม ขอบใจนะ แอนนา ผมมีความสุขมากจริงๆที่ได้มาอยู่ห้องเดียวกันกับแอนนานะ เพราะงั้นต่อจากนี้ เมื่อไหร่ที่เธอต้องไปสถาบัน ผมก็จะไปด้วย ผมเฝ้ารอที่จะไปกับเธอนะ”
แอนนาแสดงความยินดีกับผมที่ได้ผลการสอบที่ยอดเยี่ยมจากข้อสอบเข้าสถาบันในวันถัดจากที่ผมเข้ารับการสอบ
ช่างน่าแปลกใจที่ความเหนื่อยล้าทั้งหมดของผมนั้นหายไปเป็นปลิดทิ้ง เพียงแค่ได้มองรอยยิ้มของเธอ
“ฉันได้ยินมาแล้วล่ะค่ะ ดูเหมือนว่าท่านทำคะแนนเต็มได้ทุกวิชาเลยสินะคะ ฉันไม่รู้เลยว่าท่านจะเก่งถึงขนาดนี้ จนฉันถึงขนาดตกใจเลยล่ะค่ะ”
“นั่นสินะ พวกเราเองก็มีความสุขที่ได้คนที่เฉลียวฉลาดอย่างนี้มาร่วมใช้ชีวิตกับแอนนา”
ท่านดยุคกับท่านแม่ก็มาอยู่ตรงนี้ด้วย และพวกท่านก็ได้แสดงความยินดีกับผม
เป็นภาพที่หาได้ยากที่จะเห็นพวกท่านทั้งสองออกมาต้อนรับเราที่ทางเข้าคฤหาสน์
“อ้อ จริงสิ แอนนา ผมอยากจะมอบชุดเดรสให้คุณเป็นของขวัญเนื่องในโอกาสนี้น่ะ”
“ชุดเดรสหรือคะ?”
“ใช่ ผมเองก็ได้เข้าสถาบันแล้ว ผมเลยต้องเข้าร่วมงานเลี้ยงที่พวกเขาจะจัดขึ้น ผมต้องการให้คุณมาร่วมงานพร้อมกันกับผมน่ะ”
“ได้ค่ะ ฉันจะไปร่วมงานกับคุณเอง”
แอนนาเผยยิ้มที่น่ารักน่าชังมาให้ผม
“ขอบคุณนะ แอนนา”
ผมเองก็มีความสุขมากเหลือเกินจนเผลอลืมตัวและไปกุมมือของแอนนาเข้า
“งั้น จะเป็นอะไรไหมถ้าหากคุณจะแต่งตัวโดยอิงจากสีของตัวผม? ผมอยากจะย้อมคุณตั้งแต่หัวจรดเท้าด้วยสีบนตัวผมเองน่ะ”
ผมแสดงความปรารถนาออกไปโดยยังคงกุมมือเธอเอาไว้
“คะ-ค่ะ…”
แอนนาหน้าแดงเข้มเหมือนอย่างทุกที
อ๊า น่ารัก
“ไม่เห็นต้องจับมือถือแขนกันเลย! ปล่อยมือแอนนาได้แล้ว!”
ท่านดยุคฉุนเฉียว ปรามความรู้สึกคาดหวังของผมเอาไว้
ผมไม่มีทางเลือกนอกเสียจากต้องปล่อยมือจากแอนนา
“แต่นี่ก็สักพักแล้วสินะที่แอนนาได้เข้างานเลี้ยงสังสรรค์น่ะจ้ะ เพราะงั้นคงจะวุ่นวายแย่หากมีพวกน่ารำคาญมาเกาะแกะรอบๆตัวเธอเข้า ไม่คิดอย่างนั้นหรือจ๊ะ?”
แอนนาเองก็เข้าร่วมงานสังคมที่จัดขึ้นโดยทางสถาบันเหมือนกัน แต่ไม่ใช่ว่าเธออยากที่จะเข้าร่วมเองเสียเมื่อไหร่
เธอเพียงแค่โผล่ไปแสดงตัวในงานเลี้ยงที่เธอจำเป็นต้องเข้าร่วมไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม แต่ว่าก็เท่านั้น — เธอเข้าร่วมงานในขั้นต่ำสุดเท่าที่จำเป็น
เพราะอย่างนั้นงานเลี้ยงในครั้งหน้านี้จึงเป็นครั้งแรกในช่วงเวลาอันเนิ่นนานสำหรับแอนนา
ไม่มีอะไรมารับประกันได้ว่าจะไม่มีพวกผู้ชายในงานที่อาจจะหมายตาเธอเอาไว้
ก็ดูสิ เธอมีเสน่ห์ถึงขนาดนี้เชียวนะ
ถ้าหากลองมองอย่างเป็นเหตุเป็นผลแล้ว จำนวนผู้ชายที่ต้องการจะทำอย่างนั้นคงจะเพิ่มขึ้นด้วย
ผมจะประมาทไม่ได้เด็ดขาด
“เอิ่ม ท่านจิโน่คะ ฉันเชื่อว่าท่านน่าจะดึงดูดคนเหล่านั้นมากกว่าฉันอีกนะคะ”
แอนนาเอ่ยในขณะที่ยืนอยู่ข้างๆผม
“ใช่จ้ะ พวกที่หัวใสหน่อยก็คงจะเริ่มสงสัยว่าเธอเป็นคนที่ทำโลชั่นขึ้นมาแล้วล่ะจ้ะ ในเมื่อโลชั่นเริ่มโผล่ออกมาตอนที่เธอเริ่มมาเยือนคฤหาสน์นี้ คนเหล่านั้นรู้ว่าเธอเป็นผู้จัดการ และหลายๆคนก็คิดว่าเธอเป็นคนค้นพบโลชั่นผ่านทางบริษัทด้วย พวกเราเองก็ได้ส่งสายลับส่วนตัวของตระกูลไปคอยเฝ้าระวังแล้ว ถึงอย่างนั้น ก็ยังมีหนูหลายๆตัวที่ยังมาด้อมๆมองๆรอบบริษัทเธอไม่พักอยู่ด้วยจ้ะ
ฉันไม่คิดว่าจะมีแค่คนที่ต้องการจะหาแหล่งที่มาของโลชั่น — แต่ยังมีคนในหมู่คนพวกนั้นที่คิดว่าไม่จำเป็นต้องไปตามหาแหล่งที่มาด้วยซ้ำ; เพราะที่พวกเขาทุกคนต้องทำก็แค่เข้าหาเธอแล้วพวกเขาก็จะฉกโลชั่นไปได้ ไม่ใช่เรื่องที่น่าแปลกใจเลยหากพวกนั้นจะเอาสตรีมายั่วเสน่ห์เพื่อจับตัวเธอไว้”
งี้นี่เอง พวกนั้นกำลังจับตามองผมอยู่จริงๆด้วย
คิดถูกแล้วที่แยกห้องปฏิบัติการออกมาจากบริษัท
ผมหันสายตากลับไปที่แอนนา และเห็นเธอหน้าถอดสีด้วยความกังวล
อารมณ์รุนแรงจนแทบจะทนไว้ไม่ไหวได้เอ่อล้นขึ้นมาในตัวผมเมื่อเห็นเธอเป็นอย่างนั้น
ขอร้องล่ะ อย่าทำสีหน้าแบบนั้นเลยนะ
ผมอยากที่จะให้คุณยิ้ม
ผมอยากที่จะปกป้องคุณ
ความคิดแบบนั้นปรากฎขึ้นในห้วงความคิด
“ขอโทษที่ทำให้คุณเป็นห่วงนะ ผมจะอยู่เคียงข้างคุณตลอดไป เพราะงั้นวางใจเถอะนะ”
ผมกอดแอนนาในขณะที่พูดออกไปอย่างนั้น
ร่างกายผมขยับไปเองในขณะที่ผมโอบกอดเธอไว้ด้วยแขนทั้งสองของผม
“เอ๋?”
ในทีแรกแอนนาตื่นตระหนก เธอมองมาที่ผมในระหว่างที่ผมโอบกอดเธออย่างงงงวย แต่เธอที่หน้าซีดพลันเปลี่ยนเป็นสีแดงในทันทีที่เธอรู้สึกตัวว่ากำลังอยู่ในอ้อมแขนของผม ดวงตาของเธอเริ่มพร่ามัว
“ทำบ้าอะไรของแก ไอ้เจ้าบ้าาาาาา!!!!!!”
ดยุคบังคับแยกเราออกจากกัน จากนั้นก็ลากผมไปเรียนต่อโดยลากคอผมไป
ตามปกติแล้ว สถานการณ์แบบนี้ก็เพียงพอที่จะทำให้ผมหน้าซีดแล้ว แต่สุดท้ายแล้ว ผมยังคงจมจ่อมอยู่กับความอบอุ่นและความนุ่มละมุนของร่างกายแอนนา และนั่นก็ทำให้ผมรู้สึกราวกับกำลังเดินอยู่บนก้อนเมฆ
ในท้ายที่สุด ผมก็โดนให้ทำงานจนดึกดื่น ถึงขนาดพลาดมื้อเย็นไป
ในทุกที ผมจะไปหาแอนนาก่อนจะกลับ แต่ดยุคบอกผมว่าผมจะไปหาเธอไม่ได้เพราะว่าเธออาบน้ำเสร็จเรียบร้อยไปแล้ว ผมเลยทำได้เพียงไหล่ตกในตอนกลับบ้าน
ผมเดินอย่างอ่อนล้าไปยังทางเข้าคฤหาสน์ด้วยฝีเท้าที่หนักอึ้ง ในตอนนั้นเองที่ผมประหลาดใจ!
แอนนายืนอยู่ที่ห้องโถง
“
“
“แอนนา!”
ผมเรียกเธอออกไปอย่างมีความสุขในขณะที่รีบมุ่งหน้าไปหาเธอ
ผมสีเงินแวววาวของแอนนาที่ยาวลงไปจนถึงเอวนั้นได้ถูกรวบไว้เป็นมัดเดียวที่บริเวณหลังคอหลังจากที่อาบน้ำเสร็จแล้ว เธอแต่งตัวในชุดปกติธรรมดาทั่วไป ซึ่งห่างไกลจากชุดเดรสที่เลิศหรูอลังการทั่วไปที่เหมาะสมกับบุตรสาวของดยุค
ผมรักแอนนาที่เป็นอย่างทุกที แต่ชุดนี้ก็ยอดเยี่ยมเหมือนกัน
“เอิ่ม ฉันมีเรื่องจะขอร้องค่ะ”
แอนนาหน้าแดงกระซิบแผ่วเบาในขณะที่อยู่ไม่สุข
“บอกสิ่งที่ต้องการมาได้เลย ไม่ว่าคุณจะต้องการอะไรผมจะช่วยเติมเต็มคำขอให้เองนะ แอนนา”
ผมจะยอมทำตามไม่ว่าจะเป็นคำขออะไรของแอนนา
และเพราะอย่างนั้น ผมจึงตอบกลับเธอไปอย่างมั่นอกมั่นใจ
“…เอ่อ…อา…ชุดที่ท่านจิโน่จะใส่ไปงานเลี้ยง…เอิ่ม…ขอให้ฉันมอบมันให้เป็นของขวัญได้ไหมคะ”
อะไรนะ!?
แอนนาจะให้ชุดสูทผมเป็นของขวัญ?!
บางทีนี่อาจจะเป็นความสุขที่คาดไม่ถึงที่เขาว่ากันสินะเนี่ย!
“ได้แน่นอน! แอนนา! ผมมีความสุขมากเลย!!”
“โปรดช้าก่อนค่ะ”
“อึ่ก?”
ร่างกายผมขยับไปเองตามสภาพ ผมเกือบจะกอดแอนนาแล้ว กระทั่งสาวใช้ที่รออยู่ข้างๆแทรกตัวเธอเข้ามาขวางระหว่างพวกเรา และเธอก็ผลักผมออก โดยการเอาฝ่ามือกระแทกมาที่บริเวณกระเพาะผม ผมถูกหยุดชะงักจากสิ่งที่ผมกำลังจะทำเพราะแบบนั้น
“คุณหนูพึ่งจะอาบน้ำเสร็จ ช่วยเลี่ยงการแตะเนื้อต้องตัวคุณหนูด้วยค่ะ”
อันตรายชะมัด
เราเกือบจะก่อเรื่องผิดพลาดเดิมซ้ำอีกแล้ว
แค่ได้มาเจอกับสตรีก่อนเธอจะเข้านอนก็ผิดมารยาทแล้ว ถ้ากอดเธอเข้าคงจะเป็นหายนะแน่ๆ
ถึงอย่างนั้น สาวใช้คนนี้ก็ไม่ใช่ธรรมดาๆสินะเนี่ย
ถึงจะมีความแตกต่างทางด้านร่างกายของพวกเราอยู่มาก — เธอทั้งบอบบางและผอมเพรียว — แต่เธอก็ยังคุมเราเอาไว้ได้อย่างง่ายดายเลย
ผมไม่แม้แต่จะได้ยินเสียงฝีเท้าตอนที่เธอก้าวเข้ามาอย่างคล่องแคล่วระหว่างแอนนากับผมด้วยซ้ำ
ผมเองก็ยังไม่ได้ฟังเรื่องสถานการณ์หรอก แต่เธออาจจะรับใช้ในฐานะคนคุ้มกันของแอนนาด้วย
“ฉันขอโทษจริงๆค่ะ คุณเป็นอะไรไหมคะ?”
การต่อยไปที่กระบังลมของแขกถือเป็นการกระทำเสียมารยาทของข้ารับใช้ และความรับผิดชอบก็คงจะตกเป็นของทางเจ้าบ้าน ในกรณีนี้ ก็คือแอนนา เธอจึงขอโทษขอโพยแทนสาวใช้ของเธอ
“ไม่หรอก ผมไม่เป็นไร ผมดีใจนะที่เธอหยุดผมไว้ ก็อย่างที่เห็น หลังๆมานี้ผมมักจะคุมตัวเองไว้ไม่อยู่เวลาเป็นเรื่องของคุณน่ะ แอนนา”
ถ้าหากว่าผมไม่แสดงความขอบคุณออกไป ข้ารับใช้ก็คงจะถูกลงโทษ ผมจึงกล่าวขอบคุณออกไปอย่างเป็นธรรมชาติ
จะว่าไปแล้ว สาวใช้คนนี้มีชื่อว่า บริดจ์เจ็ต ออดราน
เธอคือข้ารับใช้ส่วนตัวของแอนนา และเพราะผมมักจะอยู่กับแอนนาตลอด ผมเลยมักจะได้พูดคุยกับเธออยู่บ่อยๆ
ถ้าหากเป็นในอดีตที่ผ่านมา เธอคงจะไม่ใช้กำลังมาหยุดผมที่คุมตัวเองไว้ไม่อยู่แน่ แต่เมื่อพวกเราได้คุ้นเคยกันแล้ว ช่วงเวลาที่เธอจะเข้ามาแทรกในทุกวันนี้จึงมีจำนวนเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
“แต่ว่านะ ผมดีใจมากจริงๆรู้ไหม ที่แอนนาจะเลือกชุดให้ผมใส่ไปงานเลี้ยงน่ะ…”
ผมยิ้มยิงฟันกว้างในขณะที่พูดออกไปอย่างนั้น รู้สึกราวกับแก้มผมจะปริออกมาเลย
“…เอิ่ม…จะมีปัญหาอะไรไหมคะ ถ้าหาก…ฉันจะเพิ่มสีของตัวฉัน…ไปในชุดด้วย?”
แอนนาถามอย่างตะกุกตะกัก
ผมสงสัยชะมัด ทำไมความมั่นใจในตัวเองของเด็กคนนี้ถึงต่ำเตี้ยเรี่ยดินได้ถึงขนาดนี้?
“ก็เห็นๆกันอยู่ว่าผมก็ต้องดีใจอยู่แล้วสิ ไม่ว่าจะเป็นสีเงินของเส้นผมของแอนนา หรือสีเขียวมรกตของดวงตาของแอนนา ผมก็ดีใจทั้งนั้น ถึงแม้ว่าคุณจะเลือกแค่สีเดียวและแต่งตัวผมจากหัวจรดเท้าเป็นสีเงินหรือสีเขียวสว่าง ผมก็ไม่มีปัญหาอะไรทั้งนั้น”
“นั่นก็ออกจะ…”
และดังนั้น ระหว่างที่พวกเราแลกบทสนทนากัน ก็ได้เป็นที่ตัดสินใจแล้วว่าพวกเราจะมอบเสื้อผ้าสำหรับไปงานเลี้ยงสังสรรค์ให้กันและกัน
==================
*หากแปลผิดพลาดประการใด ขออภัยมา ณ ที่นี้
*สามารถติ/คอมเมนต์ความเห็นกันได้ที่ด้านล่าง
แปลไทยโดย: MountainIbex