ท่านพ่อกล่าวตำหนิพวกเรา ดังนั้นการเดินเล่นในสวนของพวกเราจึงต้องเป็นอันยุติ และพวกเราได้เริ่มต้นสนทนากันอย่างออกรสอีกครั้งหนึ่ง ในครั้งนี้มีเหล่าท่านพ่อท่านแม่ร่วมทางไปด้วย
ภาพของท่านจิโนเรียสที่สารภาพรักยังคงวนเวียนไปมาไม่จบไม่สิ้นในหัวของฉัน
มันน่าอายมากๆ เสียจนฉันต้องก้มหน้างุดเพื่อเก็บซ่อนแก้มของฉันที่ร้อนผ่าว
นี่ฉันจะได้แต่งงานกับคนที่ยอดเยี่ยมขนาดนี้จริงๆงั้นหรือ?
ฉันคิดเอาไว้ว่าการหมั้นหมายในครั้งนี้ก็คงจะล้มเหลว…
สำหรับฉันแล้วการที่ได้รับคำสารภาพรักจากคนที่หน้าตาดีและมีไหวพริบเช่นนี้… ฉันเชื่อไม่ลงเลย
พวกเรานั่งอยู่บนโซฟา แต่ฉันรู้สึกราวกับร่างทั้งร่างกำลังล่องลอยอยู่ ฉันจึงไม่ได้รับรู้เลยว่าเกิดอะไรขึ้นรอบๆตัวฉันบ้าง
ฉันรู้ว่ามันเป็นเรื่องที่น่าอับอาย แต่ก็ช่วยไม่ได้ที่ฉันจะแอบมองไปยังท่านจิโนเรียส
ฉันยังคงไม่สามารถที่จะรวบรวมสติในเรื่องที่ว่าชายรูปงามคนนี้ปรารถนาที่จะแต่งงานกับฉัน; บางทีทั้งหมดนี่อาจจะเป็นความฝันก็ได้ ความคิดเหล่านี้วนเวียนไปมาอยู่ในหัวในขณะที่ฉันจ้องมองไปยังใบหน้าที่หาใครเปรียบไม่ได้ของเขา
(!!)
ดวงตาของท่านจิโนเรียสประสานเข้ากับฉัน ฉันจึงรีบหลุบสายตาหลบด้วยความเขินอาย
การแอบมองบุรุษช่างเป็นการกระทำที่น่าอับอายสำหรับเหล่าสตรี
แน่นอนว่าฉันเองก็ไม่ได้อยากให้ท่านจิโนเรียสคิดว่าฉันเป็นผู้หญิงที่ไร้มารยาท
แต่ถึงกระนั้นก็เป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่ฉันจะรู้สึกถึงเขา ไม่ว่าตัวฉันจะพยายามสะกดความรู้สึกนี้เอาไว้เท่าไหร่ ดวงตาของฉันก็จะหันตัวเองไปยังที่ๆเขาอยู่
(!!)
เมื่อตอนที่ฉันมองเขาอีกครั้ง ฉันเห็นเขายิ้มอย่างอ่อนโยนมาที่ฉันด้วยเหตุผลอะไรบางอย่างในขณะที่จ้องมองกลับมาที่ฉัน
หัวใจฉันเต้นตึกตักเมื่อคนที่ปกติเป็นคนเย็นชาเผยรอยยิ้มมาให้อย่างกระทันหัน
ทะ-ทำไมเขาถึงส่งยิ้มมาให้ฉันล่ะ
รอยยิ้มนั่นหมายความว่ายังไง?
ฉันเริ่มรู้สึกถึงอาการสั่นของตัวเองอย่างเต็มที่
ไม่ว่าอย่างไร รอยยิ้มนั่นก็ไม่ดีต่อใจเอาเสียเลย
ฉันไม่อยากจะเชื่อว่าคนที่รูปงามและเย็นชาราวกับน้ำพุท่ามกลางฤดูหนาวจะยิ้มหวานแบบนั้นมาที่ฉัน
มันช่างวิเศษเป็นอย่างมากจนฉันรู้สึกเหมือนหัวใจฉันกำลังจะระเบิดออกมาจากเสียงที่ดังตึกตักขนาดนี้
เราไม่คิดถึงอะไรนอกจากท่านจิโนเรียสมาได้สักพักแล้ว
โอ๊ะ พอมาคิดดูแล้ว ฉันอ่านจากในหนังสือมาว่าผู้คนที่ตกอยู่ในภวังแห่งรักในหัวจะเต็มไปด้วยความคิดเกี่ยวกับคนรักของเขาเหล่านั้น
หยะ-อย่าบอกนะว่า นี่คือความรัก?
ปะ-เป็นไปได้สำหรับฉันด้วยงั้นหรือที่จะตกหลุมรักผู้ชาย?
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว ถึงเวลาที่พวกเราต้องกลับแล้ว
เพียงแค่เหลือบมองท่านจิโนเรียสแค่แวบเดียวก็มากพอจะทำให้หัวใจฉันเต็นระรัว และในอกฉันเต็มไปด้วยความอบอุ่นแล้ว
อย่างไรก็ดี ความคิดที่ว่าจะไม่ได้เจอกับท่านจิโนเรียสไปอีกสักพักตั้งแต่นี้ทำเอาฉันรู้สึกหดหู่เลย
ทำไม…ทำไมฉันจะต้องรู้สึกแย่เพียงเพราะจะไม่ได้เจอหน้ากับท่านจิโนเรียสล่ะ?
นี่คือความรักงั้นหรือ?
ไม่มีทาง มันเป็นไปได้หรือไงที่จะตกหลุมรักคนอื่นตั้งแต่ในวันแรกที่พบกัน?
แหม เรื่องที่เขาทั้งหน้าตาและจิตใจดีก็ปฏิเสธไม่ได้หรอก แต่ว่า…
“ไว้ผมจะเขียนจดหมายหานะครับ”
ท่านจิโนเรียสพูดเช่นนั้นด้วยสีหน้านิ่งเฉย
ในจังหวะที่ของเอ่ยคำเหล่านั้นออกมา อารมณ์ด้านลบของฉันถูกพัดปลิวไปจนหมด และฉันรู้สึกราวกับว่าอยากจะเต้นเสียเดี๋ยวนั้น
“ฉะ-ฉันเองก็เหมือนกันค่ะ…”
ทำไมฉันถึงได้อายเพียงเพราะแค่สนทนากับท่านจิโนเรียสล่ะเนี่ย ฉันสงสัยตนเอง
พวกเราก็พูดคุยแลกเปลี่ยนกันตามปกติก่อนหน้านี้ไม่ใช่หรือไง
อย่างไรก็ตาม ฉันอายจนอยากจนอยากจะตายเพียงแค่ได้แอบมองหน้าท่านจิโนเรียสแล้ว และฉันไม่สามารถที่จะแม้แต่สนทนาตามปกติได้แล้วในตอนนี้
รู้สึกราวกับฉันไม่ใช่ตัวของฉันเองตั้งแต่ตอนที่เขาสารภาพรักกับฉัน
“ฟุฟุ จิโนเรียสจ๊ะ ฝากดูแลลูกสาวของฉันด้วยนะ”
“ครับ ผมเองก็ตั้งหน้าตั้งตารอที่จะได้อยู่กับเธอในอีกหลายๆปีที่จะมาถึงนี้ครับ”
“ฝะ-ฝากตัวด้วยนะคะ”
ฉันก้มหัวลงอย่างเงอะงะเพื่อซ่อนใบหน้าแดงแจ๋ของเราเอาไว้ แต่เรากลับรีบตอบออกไปเมื่อได้ยินเสียงของท่านจิโนเรียส
อย่างไรก็ดี ดูเหมือนว่าเขาจะกำลังคุยกับท่านแม่ เพราะงั้นเลยฟังดูเหมือนฉันเข้าไปแทรกบทสนทนาของพวกเขาเลย
อึ่ก
นี่มันน่าอายจัง
ทำไมเราถึงตอบกลับไปให้สมเป็นสตรีมากกว่านี้ไม่ได้เลยหรือ?
ฉันไม่ต้องการให้ท่านจิโนเรียสเห็นฉันในสภาพนี้เลย
◆◆◆◆◆
“แอนนา เขาเป็นคนที่น่าทึ่งมากจริงๆใช่ไหมจ๊ะ?”
ท่านแม่กล่าว แต่ฉันกลับไม่สามารถตอบอะไรกลับไปได้เลย
ความทรงจำที่พวกท่านเป็นสักขีพยานของการสารภาพรักนั่นยังคงวนเวียนอยู่ในหัวของฉัน
หูของฉันร้อนฉ่า
ตอนนี้มันคงจะไหม้เป็นสีแดงไปแล้ว
ท่านแม่หัวเราะเบาๆ มองดูฉันที่ยังคงก้มหน้างุดโดยไม่พูดอะไรออกมาสักคำต่อไป
“ถึงอย่างนั้นก็เถอะ ไม่ว่าหนุ่มนั่นจะมีความสามารถขนาดไหน ข้าก็ไม่สามารถจะมอบชื่อและที่ดินของตระกูลเซเว่นสเวิร์ธให้กับคนที่ไม่สามารถทำให้แอนนามีความสุขได้หรอก
มันไม่ใช่การด่วนตัดสินใจไปหน่อยเหรอ ที่ให้พวกเขาลงนามในเอกสารและทำการหมั้นหมายอย่างเป็นทางการน่ะ?
ในความเห็นของข้า พวกเราควรจะให้เวลาอีกหน่อยเพื่อรอดูว่าผู้ชายคนนั้นจะดูแลแอนนาจริงๆหรือไม่”
ท่านพ่อบ่นออกมา เห็นได้ชัดว่าเขาไม่พอใจ
ดูเหมือนว่า ในระหว่างที่หัวฉันกำลังล่องลอยอยู่ เอาแต่หมกมุ่นอยู่กับการนึกถึงท่านจิโนเรียส ท่านแม่ก็ได้ปฏิเสธความคิดของท่านพ่อ และตัดสินใจหมั้นหมายอย่างเป็นทางการไปแล้ว
“ไม่เป็นไรหรอกน่า คุณก็เห็นการสารภาพรักนั่นแล้วนี่? วางใจเถอะน่า นะ ทุกคำที่เขาพูดมาล้วนมีแต่ความจริงใจทั้งนั้น แล้วทั้งใจเขายังปรารถนาถึงความสุขของแอนนา พวกเราเองก็เป็นขุนนางมานานและเชี่ยวชาญในเรื่องการอ่านใจคนอื่นกันแล้ว ฉันมั่นใจว่าคุณเองก็คงจะรู้เรื่องนั้นอยู่แล้วไม่ใช่หรือคะ?”
“ก็นะ ข้าก็เข้าใจสิ่งที่เจ้าต้องการจะสื่ออยู่ เพราะอย่างนั้นข้าถึงได้ลงนามในเอกสาร แต่ว่า…”
อย่างที่ฉันคิด ดูเหมือนว่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นในระหว่างการสารภาพรักนั่นจะอยู่ในสิ่งที่ทุกคนคิด
อ๊า ถ้าหากว่ามีรูอยู่ ฉันก็อยากจะมุดหนีเสียเดี๋ยวนี้
◆◆◆◆◆
ตั้งแต่ตอนนั้น การติดต่อของฉันกับท่านจิโนเรียสก็ได้เริ่มต้นขึ้น
จากจดหมายของท่านจิโนเรียสหลายๆฉบับ… ฉันรู้สึกประหลาดใจในความรู้ที่กว้างขวางและความคิดเห็นล้ำลึกที่เขามี และตรรกะความคิดที่เขาได้แสดงออกมา
เขาเป็นคนที่น่าตะลึง สมกับที่เป็นคนที่บริหารจัดการบริษัทตั้งแต่อายุยังสิบขวบ
องค์ประกอบต่างๆของเขาได้แสดงให้เห็นถึงความสติปัญญาที่แสนวิเศษ
ยิ่งไปกว่านั้น จดหมายของเขายังแสดงออกถึงเสน่ห์ของบุคลิกที่เป็นคนจริงใจซื่อสัตย์ของเขา
แต่สิ่งที่ทำเอาฉันประหลาดใจที่สุดคือความใจกว้างของเขา
นี่เขามีอายุรุ่นราวคราวเดียวกันกับฉันจริงๆหรือ?
มันรู้สึกราวกับว่าฉันกำลังถูกเอาอกเอาใจจากคนที่อายุมากกว่าฉันอยู่ตลอดเวลา
ในทุกครั้งที่ฉันอ่านจดหมายของเขา ฉันก็ได้เข้าใจว่าฉันนั้นยิ่งดำดิ่งลึกลงไปในห้วงความรักที่มีต่อเขามากยิ่งขึ้น
ฉันเริ่มที่จะเฝ้ารอจดหมายจากท่านจิโนเรียส
ฉันจะรีบอ่านจดหมายทันทีที่ถูกส่งมาถึง และจากนั้นก็อ่านอีกรอบนับครั้งไม่ถ้วนเมื่อมีเวลาว่าง
เมื่อฉันอ่าน ความอบอุ่นจะแผ่ซ่านอยู่ในอกและอารมณ์ของฉันก็จะดีขึ้น
บางทีนี่คงจะเป็นความรักแน่ๆ
เพราะความปรารถนาที่อยากจะอ่านจดหมายฉบับต่อไปของเขา ฉันจึงส่งจดหมายตอบกลับผ่านบริการส่งจดหมายที่รวดเร็วที่สุด แต่ท่านจิโนเรียสก็คงจะทำเช่นนั้นเหมือนกัน
ไม่ว่าจะกี่ครั้งที่ฉันส่งจดหมายผ่านคนส่งสาส์นที่รวดเร็วที่สุด เขาก็จะส่งจดหมายตอบกลับมาผ่านบริการขนส่งที่ไวเป็นพิเศษ
หรือบางทีอาจจะเป็นเพราะว่าท่านจิโนเรียสเองก็ตั้งตารอจดหมายจากฉันเหมือนอย่างที่ฉันทำกันนะ?
มันจะวิเศษถึงเพียงไหนหากท่านจิโนเรียสเองก็มีความรู้สึกเดียวกันนี้เหมือนกับเรา
อา ไม่ต้องตั้งข้อสงสัยอะไรอีกต่อไปแล้ว
นี่คือความรักจริงๆ
ถึงอย่างนั้น ฉันไปตกหลุมรักเขาได้ยังไงล่ะเนี่ย ในเมื่อเราพึ่งเคยพบกันแค่ครั้งเดียว และได้แต่แลกจดหมายกันตั้งแต่นั้นมา?
เหล่าตัวละครหลักของนิยายรักไม่ได้ตกหลุมรักกันง่ายดายขนาดนั้น และนี่เรากลับ… เป็นผู้หญิงใจง่ายขนาดนี้เชียวหรือ
เราไม่รู้เลยว่าเราจะเป็นคนง่ายดายอะไรขนาดนี้
◆◆◆◆◆
“ให้ผมได้แนะนำตัวอีกครั้งนะครับ กระผมคือจิโนเรียส บุตรชายคนที่สองของตระกูลแวร์แวรี่ ได้โปรดคอยดูแลผมตราบจนชั่วชีวิตด้วยนะครับ”
ท่านจิโนเรียสค้อมหัวลงอย่างสุภาพหลังจากที่พูดคำเหล่านั้นออกมา
ผ่านมาสองเดือนแล้วตั้งแต่ที่เราได้พบกับท่านจิโนเรียสครั้งแรก
พวกเรากำลังอยู่ระหว่างพิธีหมั้นของพวกเรา ที่จัดขึ้นที่วิหารของทางเรา เหล่าญาติมิตรเองก็มารวมตัวด้วยกันอยู่ที่นี่ร่วมกับเรา
พวกเราได้ลงนามในเอกสารทางการ โดยมีท่านพ่อยืนเป็นสักขีพยาน และด้วยสิ่งเหล่านี้ เป็นที่ชัดเจนแล้วว่าท่านจิโนเรียสได้เป็นคู่หมั้นของฉันอย่างเป็นทางการแล้วในตอนนี้
มันก็ผ่านมานานสักพักแล้วที่ดวงตาของฉันได้มองไปยังท่านจิโนเรียส แต่เขายิ่งดูเปล่งประกายมากกว่าแต่ก่อนตอนที่ฉันได้พบเขาครั้งแรกเสียอีก เสื้อผ้าของเขาก็เปลี่ยนเป็นของที่คุณภาพดีขึ้นที่เหมาะสมกับบุตรคนที่สองของตระกูลแวร์แวรี่
เสื้อผ้าสีดำเข้ากับเขาได้อย่างสมบูรณ์แบบ ด้วยรูปร่างที่มีความสูงและหน้าตาที่งดงามเย็นชาของเขา
แสงพระอาทิตย์ที่สาดส่องบนใบหน้าที่สงบและใจเย็นในขณะที่กำลังยืนอยู่ข้างในโบสถ์ที่ประกอบพิธีอย่างจริงจังและวิเศษนี้ ฉากทั้งหมดนี้ดูราวกับหลุดออกมาจากภาพวาดที่งดงามอย่างแท้จริง
ในตอนที่ฉันรู้สึกตัวก็หลงใหลไปเสียแล้ว
เป็นที่ชัดเจนสำหรับฉันแล้วว่าทำไมเหล่าผู้หญิงถึงรักที่จะเรียกท่านจิโนเรียสว่า ‘บุพผาน้ำแข็งสีดำ’
ฉันยังเชื่อไม่ลงว่าผู้ชายคนนี้ ที่ดูราวกับเขาถูกแกะสลักออกมาอย่างงดงามจากน้ำแข็งคู่กันกับความเย็นชางดงามที่เขามีอยู่ จะเป็นคู่หมั้นของฉันจริงๆ
งานพิธีหมั้นประกอบไปด้วยการทักทายแขกและลงนามในเอกสาร เพราะอย่างนั้นจึงใช้เวลาเพียงยี่สิบนาทีสำหรับทั้งพิธีนี้
นับจากนี้ ท่านจิโนเรียสจะไปเปลี่ยนชุด และเขาจะเข้ามาช่วยเหลือท่านพ่อเรื่องงานเป็นการศึกษาการบริหารจัดการตระกูลของดยุคไปในตัว
นับตั้งแต่วันนี้ ท่านจิโนเรียสจะมาเยือนที่บ้านของเราทุกๆวัน
“ฉันรู้ดีว่างานนั้นก็สำคัญ แต่อย่าลืมแอนนาล่ะ เข้าใจนะจ๊ะ?”
ท่านแม่พูดเช่นนั้นกับท่านจิโนเรียส
“ครับ ผมจะดูแลทะนุถนอมเธอด้วยหัวใจทั้งหมดที่มีครับ”
หัวใจฉันเต้นแรงอีกครั้งเมื่อได้ยินคำที่เขาเอ่ยออกมา
คนที่ยอดเยี่ยมคนนี้พูดออกมาว่าเขาจะทะนุถนอมเรา
ความฝันอะไรกันเนี่ย
สถานการณ์รอบข้างเราเปลี่ยนแปลงไปไวมากในช่วงสองเดือนที่ผ่านมา มากเสียจนหัวใจฉันตามไม่ทันแล้ว
ท่านจิโนเรียสเองก็เป็นคู่หมั้นอย่างเป็นทางการของเราแล้ว แต่ก็ยังรู้สึกไม่เหมือนเป็นเรื่องจริง ช่วยไม่ได้ที่ฉันจะได้แต่สงสัยว่านี่เป็นความจริงงั้นหรือทุกครั้งที่เขาพูดจาอย่างไพเราะกับฉัน
“ฉันเตรียมงานเลี้ยงน้ำชาสำหรับบ่ายนี้เอาไว้แล้ว ทำงานแต่พอดี แล้วพาแอนนาไปด้วยกันนะจ๊ะ?”
ตามปกติแล้ว นั่นเป็นหน้าที่ของฉันในฐานะคู่หมั้นที่จะต้องเชิญชวนเขา แต่ว่าท่านแม่ช่วยฉันโดยการออกปากเชิญชวนเขาไปยังงานเลี้ยงน้ำชาด้วยตัวของท่านเอง
อันที่จริงแล้ว ฉันยังไม่มีความกล้าพอที่จะเอ่ยเชิญชวนเขาด้วยตัวเองหรอก
“ถือเป็นเกียรติมากครับ ผมตั้งตารอที่จะได้ดื่มด่ำน้ำชาร่วมกับคุณหนูอนาสตาเซียเลยครับ”
ท่านจิโนเรียสตอบกลับมาพร้อมกับก้มโค้งตัวลงอย่างสง่างาม
เขาเป็นดั่งตัวตนของความสง่างาม และแม้แต่การเคลื่อนไหวของเขาก็ยังแสดงออกถึงการได้รับการขัดเกลามาเป็นอย่างดี
เขาบอกฉันในจดหมายของเขาว่าเขาเรียนรู้เรื่องขนบธรรมเนียมของสังคมและมารยาทในช่วงสองเดือนที่ผ่านมา แต่ว่า เขากลับได้กลายเป็นคนที่สง่าผ่าเผยจริงๆในตอนนี้ไปเสียแล้ว
◆◆◆◆◆
ในที่สุดช่วงบ่ายก็มาถึง และในตอนนี้ฉันกำลังดื่มด่ำชาร่วมกับท่านจิโนเรียสที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามของฉัน
“ขะ-ขอประทานโทษนะคะ ท่านจิโนเรียส ฉันมีเรื่องอยากจะขอร้องค่ะ”
ฉันทำลายความเงียบโดยการกล่าวถึงคำขอของฉัน
‘ฟังให้ดีนะจ๊ะ แอนนา เป้าหมายของลูกในวันนี้คือการห้ามจิโนเรียสไม่ให้ใช้ภาษาสุภาพกับลูก เข้าใจนะจ๊ะ? พวกลูกสองคนก็หมั้นกันแล้ว เพราะงั้นมันจะดูแปลกๆหากยังพูดสุภาพกันอยู่จริงไหมล่ะจ๊ะ? เพราะว่าลูกน่ะมีสถานะที่สูงกว่า เว้นเสียแต่ว่าลูกจะอนุญาติให้เขาพูดได้อย่างอิสระ ถ้าเป็นอย่างนี้ต่อไปล่ะก็ เขาจะต้องพูดกับลูกด้วยภาษาสุภาพตลอดไปแน่เลย เพราะงั้นลูกเองก็พยายามเข้าและทำให้เขาพูดอย่างเป็นกันเองให้ได้นะ’
ท่านแม่ได้แนะนำฉันก่อนที่จะถึงงานเลี้ยงน้ำชา
ในวันนี้ ฉันจะต้องเกลี้ยกล่อมเขาให้สนทนากับฉันในฐานะคู่หมั้นโดยทิ้งมารยาทไปให้หมด
นี่คือจุดประสงค์หลักของคำขอร้องของฉัน
“ขอผมถามได้ไหมว่าคือสิ่งใด? กรุณาพูดออกมาได้เลยครับ”
เสียงของท่านจิโนเรียสดูราวกับเข้ามาห่อหุ้มตัวฉันเมื่อเขาพูดออกมา
“เอิ่ม พวกเราก็หมั้นกันแล้ว เพราะงั้นท่านช่วยเลิกให้เกียรติและพูดคุยอย่างเป็นกันเองได้ไหมคะ? ท่านไม่ต้องเรียกฉันว่าคุณหนูแล้วก็ได้ค่ะ”
ฉันกลั้นหายใจในขณะที่พูดกับท่านจิโนเรียส
“อา อย่างนี้นี่เอง เรื่องนั้นเองสินะครับ เข้าใจแล้ว งั้นไม่ใช้ภาษาสุภาพจากนี้กันเถอะนะครับ”
“ขอบคุณมากเลยค่ะ”
และท่านจิโนเรียสก็ได้หยุดพูดอย่างสุภาพ นั่นทำให้ฉันรู้สึกว่าพวกเรานั้นได้หมั้นกันแล้วจริงๆนับจากตอนนั้น
มันทำให้ฉันรู้สึกอายเป็นอย่างมากจนต้องรีบหลุบสายตาลงอย่างรวดเร็ว
“ผมเองก็มีสิ่งที่อยากจะขอร้องด้วย จะเป็นอะไรไหม?”
“คะ-ค่ะ ไม่ว่าอะไรก็พูดออกมาได้เลย”
ฉันไม่คุ้นชินกับการพูดคุยอย่างเป็นกันเองกับผู้ชาย มันทำให้ฉันประหม่ามากๆ
เสียงของฉันกำลังสั่นแล้ว
“คุณช่วยเรียกผมว่า “จิโน่” ได้ไหม?”
เอ๋!?
จู่ๆก็จะให้เรียกชื่อเล่นกันกระทันหันขนาดนี้เลยเหรอ!?
สาวขุนนางทั้งหลายจะไม่เรียกชื่อเล่นของเหล่าผู้ชายนอกเหนือจากคนในตระกูลของตน
พวกเธอจะเรียกชื่อเล่นผู้ชายที่สนิทกันเท่านั้น อย่างคู่หมั้นหรือคนรัก
พูดอีกอย่างก็คือ ชื่อเล่นเป็นสิ่งที่แสดงให้เห็นถึงสายสัมพันธ์ที่เหนียวแน่นระหว่างพวกเขาเหล่านั้น
พูดสั้นๆ… มันก็คือการสะ-สารภาพรัก…
“เร็วเข้า เรียกผมว่าจิโน่สิ”
ฉันตกตะลึง แต่ท่านจิโน่เรียสก็ต้อนฉันจนมุมอย่างไม่ลดละ
ฉันหนีไม่ได้แล้ว
“ทะ-ท่านจิโน่”
โอ้โธ่
นี่เป็นครั้งแรกตั้งแต่ที่ฉันเกิดมาที่ฉันได้ตอบสนองคำขอของบุรุษ
หน้าฉันกำลังไหม้แย่แล้ว
นี่มันน่าอับอายจัง
ตัวฉันมองหน้าท่านจิโนเรียสไม่ไหวแล้ว
ฉันก้มหน้าและปิดตาของฉันลง
ในระหว่างที่ฉันทำอย่างนั้น จู่ๆเขาก็ยกมือของฉันขึ้นจากตัก ฉันรู้สึกตกใจจนฉันเงยหน้าขึ้นมา
เอออออออ๋!!!???
ท่านจิโนเรียสนั่งอยู่ตรงข้ามฉันตั้งแต่เริ่มแรก แต่ในตอนนี้เขากลับมานั่งข้างๆฉัน กุมมือซ้ายของฉันด้วยมือทั้งสองข้างของเขา
“ขอบคุณนะ ผมมีความสุขมากจริงๆ งั้นผมขอเรียกคุณว่าแอนนาด้วยได้ไหม?”
ท่านจิโนเรียสกำลังยิ้มอย่างอบอุ่นราวกับดวงอาทิตย์ในฤดูใบไม้ผลิในขณะที่พูดคำเหล่านั้นออกมา
ว๊ายยยยยยย!!!
ใกล้ไปแล้วค่ะ! จะใกล้เกินไปแล้ว!!
ช่วยเมตตากันหน่อยเถอะค่ะ! อย่ามายิ้มเจิดจ้าขนาดนั้นให้ฉันใกล้ขนาดนี้สิคะ!
แล้วทำไมถึงจะต้องมากุมมือกันด้วยล่ะ!?
มันทำให้ฉันตกอยู่ในสภาวะตื่นตระหนก และหัวใจก็เต้นแรงมากๆจนรู้สึกว่าจะระเบิดออกมาเมื่อไหร่ก็ตามที่คำเหล่านั้นก้องมาในหู ความคิดของฉันยุ่งเหยิงไปชั่วขณะ
“……………ค….ค่ะ…….”
สิ่งที่ฉันคิดยังคงวุ่นวายไปหมดในขณะที่ฉันได้พยายามตอบกลับออกไป
“อื้ม แอนนา แอนนาของผม ช่วยดูแลผมนับจากนี้ไปด้วยนะครับ”
แอนนาของผม?
ดะ-เดี๋ยวสิ เดี๋ยวก่อนค่ะ ไม่ใช่ว่าคำที่เต็มไปด้วยความรักแบบนั้นจะใช้โดยพวกคู่รักที่เรียกคนรักของตนหรอกเหรอ?
ไม่ใช่ว่ามันเป็นคำที่พวกตัวละครหลักในนิยายเค้าใช้กันเหรอคะ?
ฉะ-ฉันไม่อยากจะเชื่อว่าบุรุษคนนี้จะเรียกฉันอย่างนั้น…
หัวเรารู้สึกราวกับกำลังไหม้ และฉันเริ่มที่จะรู้สึกมึนขึ้นมาชั่วขณะ
ฉันมาถึงขีดจำกัดแล้ว
หัวใจที่น่าสงสารของฉันจะต้องระเบิดแน่ๆ
จะเกิดอะไรขึ้นกับฉันต่อล่ะเนี่ย?
เขาไม่ได้ให้โอกาสฉันได้สงบสติอารมณ์ก่อนที่จะผลักฉันไปสู่ความยุ่งเหยิงนี้เลย
“คุณหนู ชาเย็นชืดหมดแล้ว ดิฉันขออนุญาติเปลี่ยนให้นะคะ”
บริดจ์เจ็ตทักเรียกฉัน ท่านจิโนเรียสจึงยอมผละมือและกลับไปยังที่นั่งเดิมของตัวเอง ก่อให้เกิดระยะห่างระหว่างเราอีกครั้ง
บริดจ์เจ็ตยื่นน้ำมาให้ฉัน ฉันจึงเลี่ยงจากการหมดสติมาได้
นั่นอันตรายจัง
ฉันไม่รู้เลยว่ามันจะยากเย็นถึงเพียงนี้กับการที่จะคุมสติระหว่างที่ร่วมงานเลี้ยงน้ำชากับคู่หมั้นของฉัน
◆◆◆◆◆
(ท่านจิโน่)
ในเย็นวันนั้น ฉันได้พยายามเรียกชื่อเขาอยู่ในหัวในขณะที่ล้มตัวลงนอนบนเตียง ความอายและความสุขผสมปนเปกันอยู่ข้างในตัวฉัน และฉันก็กลิ้งไปมารอบๆเตียงตัวเองโดยที่ไม่รู้ตัว
==================
*หากแปลผิดพลาดประการใด ขออภัยมา ณ ที่นี้
*สามารถติ/คอมเมนต์ความเห็นกันได้ที่ด้านล่าง
แปลไทยโดย: MountainIbex
MANGA DISCUSSION