*หมายเหตุ: ขออนุญาติเปลี่ยนชื่อคุณหนูอนาตาสเซีย -> แอนนาสตาเซีย เพื่อให้ตรงกับชื่อเล่น
===========================================================
ท่านพ่อมาหาฉันอีกครั้งเพื่อพูดคุยเรื่องการแต่งงานของฉัน
ท่านแม่และท่านพ่อได้เตรียมการดูตัวหมั้นหมายมานับครั้งไม่ถ้วนก่อนหน้านี้
พวกท่านสองคนจะเตรียมการหมั้น และฉันก็จะเป็นคนยกเลิก
จนฉันหลงลืมไปแล้วว่าวัฏจักรนั่นวนซ้ำไปมากี่รอบ
สถานะของคู่ครองของฉันค่อยๆต่ำลงเรื่อยๆ และจนตอนนี้ คู่หมั้นของฉันเป็นบุตรชายของไวส์เคานต์
จะอย่างไรก็ตาม ในครั้งนี้ ท่านพ่อกระตือรือร้นในการหมั้นครั้งนี้เป็นอย่างมากถึงแม้ว่าพวกเขาจะเป็นขุนนางชั้นผู้น้อยก็ตาม
ฉันพยายามจะถามหาเหตุผลถึงความหึกเหิมของท่าน และดูเหมือนว่า คู่หมั้นของฉันคราวนี้จะเป็นเจ้าของและผู้จัดการกิจการเลอร์แวน
ความหวังอันน้อยนิดผุดขึ้นในหัวใจของฉันเมื่อได้ยินเช่นนั้น
เขาจะต้องเป็นสุภาพบุรุษที่มีอายุพอตัว ถ้าคิดจากที่เขาเป็นเจ้าของและผู้จัดการบริษัทใหญ่อย่างนั้นแล้ว
ท่านพ่อจะเลือกแค่คนที่เหมาะสมในด้านของความสามารถมาเป็นผู้สืบตระกูลเซเว่นสเวิร์ธ
หากเป็นเด็กหนุ่ม มีความสามารถ ก็คงจะเลือกหญิงงามด้วยตัวเอง เพราะงั้นเขาคงจะอยากปฏิเสธการหมั้นครั้งนี้
อย่างไรก็ดี มันคงจะเป็นอีกเรื่องหนึ่ง ถ้าหากว่าเขาเป็นคนที่อายุมากกว่านั้น เป็นสุภาพบุรุษ ที่อยู่ในวัยกลางคนก็คงจะไม่มีตัวเลือกมากสักเท่าไหร่เมื่อพูดถึงเรื่องผู้หญิง เพราะงั้นบางที แค่บางทีน่ะนะ เขาอาจจะไม่จู้จี้มากนัก และคงจะตกลงแต่งกับคนที่อัปลักษณ์เช่นฉัน
นั่นคือสิ่งที่ฉันคิด
“ไม่ต้องกังวลไปนะจ๊ะ เขาคนนั้นอายุสิบหกปี อายุเท่าลูกเลย ยิ่งไปกว่านั้น ผลลัพธ์จากการตามสืบของพวกเราก็ออกมาแล้ว และเขาค่อนข้างที่จะเป็นที่ดึงดูดในหมู่หญิงสาว เหล่าสาวๆต่างพากันขนานนามเขาว่า ‘บุพผาน้ำแข็งสีดำ’ และเขายังถึงขนาดมีเหล่าแฟนๆในหมู่ลูกค้าบริษัทของเขาด้วยนะจ๊ะ”
ท่านแม่เอ่ยคำอธิบายของท่านออกมา
และฉันจึงถามคำถามมากยิ่งขึ้น และก็ได้รับรู้ว่าเขาสร้างธุรกิจของตนเองขึ้นมาจากศูนย์ตั้งแต่ที่เขาอายุเพียงสิบขวบ และเขาก็ได้จัดการบริหารกิจการตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
กิจการลาร์แวนต่างเป็นที่รู้จักกันเป็นอย่างดีในเมืองหลวง ดังนั้นฉันเองก็รู้จักกิจการนี้ด้วย
อย่างไรก็ตาม ช่วยไม่ได้ที่ฉันจะรู้สึกตกใจเมื่อได้ยินว่าผู้ก่อตั้งคนนั้นอายุเท่ากับตัวฉันเอง
ตัวฉันในตอนที่อายุสิบขวบแล่นเข้ามาในความคิด แต่ก็อย่างที่คาดไว้ ฉันจินตนาการเรื่องที่จะสร้างบริษัทเป็นของตัวเองตอนอายุเท่านั้นไม่ออกเลย
เขาดูเป็นคนที่ยอดเยี่ยมมากเสียจนเทียบกับคนอย่างฉันไม่ได้
ดังนั้น ฉันจึงรู้ว่าการหมั้นหมายครั้งนี้คงจะไม่ประสบผลสำเร็จในตอนที่ฉันได้รู้จักกับเขา
หนึ่งในสิ่งที่จำเป็นต้องมีในการเป็นคู่หมั้นของฉันคือความสามารถที่จะฝากฝังตระกูลเซเว่นสเวิร์ธเอาไว้ได้ เพราะอย่างนั้นแต่ละคนที่ถูกเลือกมาให้เป็นคู่ครองที่มีศักยภาพจึงล้วนแต่เป็นยอดสุภาพบุรุษ
อย่างไรก็ดี คนที่มีความสามารถเหล่านั้นต่างปรารถนาที่จะเป็นผู้ที่ประสบความสำเร็จมากกว่าลูกคนโตที่ไขว่คว้าสถานะมาครองด้วยมือของพวกเขาเอง แม้ว่าจะต้องไม่ต้องพึ่งพาการหมั้นหมายกับฉันก็ตาม
ดังนั้น จึงไม่มีสักคนเดียวที่ปรารถนาจะถูกผูกมัดไว้กับฉัน ผู้ซึ่งถือได้ว่าเป็นมีคำว่าหญิงปีศาจประดับอยู่
คนๆนั้นก็คงจะเป็นเหมือนกัน คิดจากที่เขารูปงาม มากพอที่จะเป็นบุพผาน้ำแข็งสีดำโดยเหล่าหญิงสาวรอบๆตัวเขาแล้ว
บุพผาน้ำแข็งสีดำเป็นพืชที่หาได้ยาก เติบโตในบริเวณพื้นที่สูง
ลำต้นและใบของมันเป็นสีดำ และมันจะเบ่งบานออกมาเป็นดอกโปร่งแสงที่ดูราวกับทำมาจากน้ำแข็ง ดังนั้น ชื่อนี้เองก็คงจะถูกมอบให้กับบุคคลที่มีรูปร่างและหน้าตามีเสน่ห์น่าดึงดูด และอีกทั้งพวกเขายังมอบชื่อร่วมกับดอกไม้เหล่านั้นให้กับคนๆหนึ่งอีก
ในเมื่อเขาเป็นคนที่มีพร้อมทั้งสติปัญญาและคุณสมบัติที่เพรียบพร้อมเช่นนี้ เขาก็คงจะไม่เลือกผู้หญิงที่อัปลักษณ์อย่างเราหรอก
ท่านพ่อบอกว่าพวกเราจะไปเยี่ยมเยือนเป็นการส่วนตัวแทนการที่จะแค่ส่งจดหมายไปหาฝ่ายเจ้าบ่าวเพื่อแสดงถึงความจริงใจและความบริสุทธิ์ใจ ฉันจึงโมโหเป็นอย่างมากเมื่อได้ยินเช่นนั้น
จริงๆเลย สำหรับการที่ดยุคจะเดินทางเพียงเพื่อถ่อไปหาไวส์เคานต์นั้น — มันคือการบีบบังคับดีๆนี่เอง
ถ้าหากว่าพวกเราทำสัญญาหมั้นหมายกันนั่นก็คล้ายกับเป็นคำข่มขู่ และอีกฝ่ายหนึ่งคงจะลังเลในเรื่องนี้เป็นแน่
อันที่จริง ถึงแม้ว่าพวกเราจะไม่ได้ตั้งใจให้เป็นอย่างนั้น แต่เหล่าคู่หมั้นที่เคยถูกพามาแนะนำตัวทุกคนต่างก็คัดค้านเสียงแข็ง
ในตอนที่พวกเขาเห็นฉัน ฉันมองเห็นสีหน้าของพวกเขาที่อยู่ในความสิ้นหวัง และพวกเขาดูจะผิดหวังมากจริงๆ
ในครั้งนี้ก็คงจะเป็นแบบนั้นเหมือนกัน ฉันมั่นใจ
◆◆◆◆◆
“นับเป็นเกียรติที่ได้พบครับ กระผมจิโนเรียส บุตรชายคนที่สี่แห่งตระกูลไวส์เคานต์อดอร์นิ”
สุภาพบุรุษผู้ที่ก้มหัวทักทายอย่างงดงามเบื้องหน้าฉันไม่ได้แสดงให้เห็นถึงความรู้สึกที่ไม่ดีต่อฉันสักเสี้ยวเดียว
เขาคงจะโตเกินกว่าที่ตาเห็น สมแล้วที่เป็นผู้ที่กำกับบริหารธุรกิจทั้งที่ยังหนุ่มยังแน่นเช่นนี้
เขาสามารถที่จะเก็บซ่อนความรู้สึกนึกคิดที่แท้จริงไว้ได้อย่างหมดจด
ฉันนึกจินตนาการว่าเขาคงเป็นคนที่มีรอยยิ้มอยู่บนหน้าตลอดเมื่อได้ยินว่าเขาเกี่ยวข้องกับการค้าขาย
จะอย่างไรก็ตาม ความจริงนั้นได้ถูกพิสูจน์แล้วว่าแท้จริงแล้วเขานั้นตรงกันข้าม ท่านจิโนเรียสไม่ค่อยจะยิ้มแย้มเท่าไหร่ และเขาแทบจะไม่แสดงสีหน้าอะไรเลยตลอดเวลา
แทนที่จะเป็นนักธุรกิจ เขาดูมีออร่าที่คล้ายกับวิศวกรมากกว่า และฉันก็สามารถรู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าเขานั้นดูเหมือนจะมีความเชี่ยวชาญเป็นอย่างมากที่สามารถจะจัดการกับเรื่องของเหล่าตัวเลขได้มากกว่าพ่อค้าธรรมดาทั่วไป
เขามีผมสีดำขลับคู่กับดวงตาสีม่วง และใบหน้าของเขายังหล่อเหลาและงดงาม
ฉันแน่ใจว่าเขาเองก็คงเป็นที่นิยมในหมู่หญิงสาวคนอื่นๆ
ถ้างั้น บรรยากาศกับผมสีดำขลับนั่นคงเป็นที่มาของฉายา “บุพผาน้ำแข็งสีดำ” ล่ะสินะ
เข้ากับเขาอย่างสมบูรณ์แบบเลย
ฉันเข้าใจอย่างถ่องแท้เลยว่าทำไมเขาถึงโด่งดังในหมู่หญิงสาวรอบๆตัวเขา
เขาคงจะเลือกหญิงสาวสักคนที่เขาต้องการได้ ในเมื่อเขานั้นทั้งเก่งกาจ มีความสามารถ และหล่อมากๆ
ไม่ต้องสงสัยเรื่องนั้นเลย
การที่จะให้คนๆนี้ปรารถนาในตัวเราก็คงไม่ต่างจากการที่หวังสูงจนเกินตัว
ดังนั้น ฉันคิดว่าฉันคงจะต้องล้มเลิกการหมั้นหมายของพวกเราในระหว่างการพบปะนี้ เพื่อตัวของคนๆนี้เองด้วย
ท่านจิโนเรียสและฉันเริ่มพูดคุยเรื่องเล็กๆน้อยๆด้วยกันกับเหล่าท่านพ่อท่านแม่ของพวกเราหลังจากที่พวกเราทักทายกันเสร็จเป็นที่เรียบร้อย
ตระกูลอดอร์นิดูเหมือนจะตื่นตระหนกพอสมควรตั้งแต่เริ่มแรก แต่มันไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่อะไรสำหรับฉัน มันมักจะเป็นเช่นนี้เสมอทุกครั้งเมื่อพวกเราไปเยี่ยมเยือนเหล่าขุนนางชั้นกลางกับชั้นผู้น้อย
ท่านพ่อและท่านแม่เองก็ชินกับเรื่องนั้นแล้ว พวกเขาเลยผ่อนคลายบรรยากาศที่ตึงเครียดลงด้วยการสนทนาและหยอกล้อเล็กๆน้อยๆด้วยความผ่อนคลาย
ถ้าจนถึงตอนนี้ หากเป็นสุภาพบุรุษคนอื่นคงจะไม่เก็บซ่อนความรู้สึกรังเกียจของพวกเขาอีกต่อไป และพวกเขาคงทุกคนคงจะปฏิเสธที่จะพูดคุยกับฉัน
แต่ท่านจิโนเรียสต่างออกไป
เมื่อไหร่ที่หัวข้อการสนทนาเริ่มไปข้องเกี่ยวกับสิ่งที่ฉันไม่รู้อะไรเลย อย่างเรื่องการจัดการที่ดินของเขตอดอร์นิ ท่านจิโนเรียสก็จะพยายามอธิบายอย่างถึงที่สุด เขายังคอยเอ่ยบทสนทนากับฉันในตอนที่ฉันลงเอยที่นั่งฟังเงียบๆ และเขายังคอยทำให้แน่ใจว่าฉันจะยังอยู่ในบทสนทนาด้วย
เขาเป็นหนุ่มที่อายุเพียงสิบหกปี แต่เขากลับตามการสนทนาของท่านพ่อกับไวส์เคานต์อดอร์นิเกี่ยวกับเรื่องการดูแลที่ดินได้ทันโดยที่ไม่ลืมคิดถึงคนรอบข้างเขา เขายังแสดงให้เห็นถึงความไม่ลำเอียงต่อคนที่หน้าตาดูไม่ได้อย่างฉัน
ช่างน่านับถือนัก
เขาเป็นสุภาพบุรุษที่ยอดเยี่ยมอย่างแท้จริงๆ
ท่านแม่ก็ดูจะถูกอกถูกใจเขาพอตัว เมื่ออิงจากทัศนคติของท่านแล้ว
“เอาล่ะ งั้นพวกเราปล่อยให้พวกหนุ่มสาวคุยเล่นกันดีกว่านะ”
เมื่อท่านพ่อพูดออกมาเช่นนั้น ทุกคนต่างยืนขึ้นและพากันออกจากห้องไป เหลือเพียงท่านจิโนเรียสและฉันอยู่ในห้อง
“ท่านอยากจะไปเดินเล่นที่สวนกับผมไหมครับ? สวนของเราคงจะเทียบไม่ติดกับสวนของตระกูลเซเว่นสเวิร์ธ แต่ว่าท่านก็ยังสามารถที่จะเชยชมความงดงามของเหล่าดอกซิธิสได้ ซึ่งผมเชื่อว่ามันหาไม่ได้ที่เมืองหลวง”
ฉันตกใจกับสิ่งที่ท่านจิโนเรียสถามฉันออกมาเช่นนั้น
จนถึงตอนนี้ เหล่าคู่หมั้นของฉันจะต้องพากันระเบิดความไม่พอใจออกมาหลังจากที่เหลือพวกเราอยู่ตามลำพัง ถึงแม้ว่าพวกเขาจะพยายามเก็บซ่อนอารมณ์เหล่านั้นในตอนที่พวกเราอยู่กันพร้อมหน้าทั้งตระกูลเท่าไหร่ก็ตาม
แค่เก็บสิ่งที่แค้นเคืองเหล่านั้นโดยไม่ปริปากออกมาสักคำได้ก็ถือว่าดีแล้ว แต่ยังมีเหล่าคนที่พ่นคำดูถูกและเหล่าคำที่เจ็บปวดออกมาต่อไปเรื่อยๆด้วย และพวกเขาจะโทษฉันที่ใช้อำนาจของตนในการฝืนบังคับหมั้นหมาย
ก็ถูกต้องของพวกเขา ฉันจึงทำได้เพียงเอ่ยคำขอโทษออกไป
ฉันไม่อยากจะเชื่อหูตัวเองในตอนที่เขาเอ่ยชวนฉันออกไปเดินเล่นเพียงแค่เพื่อที่ฉันจะได้ไม่เบื่อ
ยิ่งไปกว่านั้น เขายังยื่นมือออกมาเสนอเพื่อพาฉันเดินเล่นด้วย
ในอดีตนั้น มีหลายครั้งหลายคราที่คนเหล่านั้นจะฝืนบังคับพาออกมาเดินเล่นที่สวน เพียงเพื่อให้พวกเราได้อยู่กันตามลำพัง
แต่จะอย่างไร ในทุกครั้งนั้นไม่เคยมีเลยสักหนที่สุภาพบุรุษเหล่านั้นจะนำทางพาฉันเดินเล่น
ชายหนุ่มจะเดินนำด้วยตัวของเขาเองอยู่ข้างหน้า ไม่สนใจที่จะเก็บซ่อนความรู้สึกไม่พึงพอใจ ในขณะที่ฉันได้แต่เดินตามไปอย่างอับจนคำพูด
มันช่างเป็นการแบกรับที่เจ็บปวดจริงๆ
จริงๆเลย เขานี่ช่างแสนวิเศษเสียจริงๆ
เพราะอย่างนั้นเราถึงจำเป็นต้องยกเลิกการหมั้นเสียเดี๋ยวนี้
เราเองก็ต้องการให้คนๆนี้มีความสุข ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม
ท่านจิโนเรียสยังคงเป็นเหมือนเดิม ถึงแม้พวกเราจะอยู่กันตามลำพัง เขาเดินนำทางฉันอย่างใจดีไปยังสถานที่ที่เหล่าดอกไม้เบ่งบาน และเขายังพูดเรื่องต่างๆนาๆหลากหลายเรื่อง เขาช่างเป็นคนที่ใส่ใจคนอื่นจนฉันไม่รู้สึกที่จะเบื่อหน่ายเลย
นี่เป็นครั้งแรกเลยที่ฉันได้รู้สึกมีความสุขกับการพบปะดูตัว
“ท่านจิโนเรียสคะ มีบางอย่างที่ฉันอยากที่จะพูดกับท่านค่ะ”
ฉันเอ่ยเรียกท่านจิโนเรียสออกไป โดยเลือกช่วงเวลาอย่างรอบคอบในตอนที่บทสนทนาของพวกเราหยุดนิ่งลง
“ถ้าอย่างนั้น ผมจะให้คนเตรียมชามาไว้ให้สำหรับพวกเราที่ศาลาทางนั้นนะครับ ไว้เราไปคุยกันต่อที่นั่นเถอะ”
ท่านจิโนเรียสกล่าวเช่นนั้น และเขาเดินพาฉันไปยังศาลาและเตรียมชาเอาไว้สำหรับเรา
“ดิฉันต้องขอโทษด้วยจริงๆค่ะ ท่านจิโนเรียส ท่านพ่อเป็นคนที่ตัดสินใจเรื่องการหมั้นหมายนี้เองโดยพลการค่ะ ดิฉันจะไปคุยกับท่านพ่อและทำอะไรสักอย่างเรื่องนี้เอง ได้โปรดช่วยให้เวลาฉันสักหน่อยนะคะ”
ฉันยืนขึ้นและเอ่ยขอโทษอย่างมีมารยาทต่อเขา
“นี่ท่านกำลังจะบอกผมว่าพวกเราจะยกเลิกการหมั้นงั้นเหรอครับ?”
ท่านจิโนเรียสพูดออกมาเช่นนั้น
ช่างแปลกเสียจริง
ตามปกติแล้ว พวกเขาจะต้องแสดงสีหน้าโล่งอกเมื่อฉันเอ่ยออกไปเช่นนั้น แต่ตรงกันข้าม ท่านจิโนเรียสดูจะไม่พอใจเท่าไหร่
“ใช่ค่ะ”
ฉันยืนยันเจตนาความตั้งใจที่จะถอนหมั้นออกไป
“อย่างงี้นี่เอง ท่านคงจะมีคนอื่นในใจอยู่แล้วสินะครับ?”
คราวนี้เป็นฝ่ายฉันที่งงงวยบ้าง เมื่อท่านจิโนเรียสพูดเช่นนั้นออกมา
หรือว่านี่เขาคิด่าผู้หญิงที่น่ารังเกียจแบบเราจะยังคาดหวังในเรื่องความรักอยู่?
เหล่าผู้ชายคงจะแสดงถึงความขยาดออกมาไปแล้วเพียงแค่ได้พูดคุยกับฉัน
มันคงจะเป็นการยากเย็นแสนเข็ญที่จะตกหลุมรักกับผู้ชายที่ปฏิบัติกับฉันเหมือนกับว่าฉันเป็นมอนสเตอร์; แต่บางทีเขาอาจจะไม่ได้เข้าใจหัวใจของสาวน้อยงั้นเหรอ?
“ตอนนี้ยังไม่มีค่ะ ยังไม่มีคนแบบนั้นหรอกค่ะ”
ฉันตอบกลับไป โดยตั้งใจที่จะแก้ไขความเข้าใจผิดของเขา
“ถ้าอย่างนั้น คงเป็นความผิดของผมจริงๆสินะครับ โปรดอภัยให้ผมในความไม่ละเอียดอ่อนนี้ด้วย ผมไม่ค่อยสันทัดในเรื่องผู้หญิงเท่าไหร่น่ะครับ”
แล้วไหงท่านถึงได้ข้อสรุปแบบนั้นได้ล่ะคะ?
ท่านจิโนเรียสได้ก้าวข้ามเหล่าคู่หมั้นที่ผ่านๆมาทุกคนในเรื่องของยอดเยี่ยม
ฉันตามความคิดของเขาไม่ทันแล้ว
“ไม่ใช่ค่ะ ไม่มีทางที่จะเป็นเช่นนั้นหรอกค่ะ”
“ไม่เป็นไรครับ ไม่จำเป็นต้องเห็นใจกันหรอก ผมเข้าใจอยู่เต็มอกถึงความไม่ละเอียดอ่อนเมื่อเป็นเรื่องผู้หญิง ถ้าหากว่าท่านไม่ว่าอะไรล่ะก็ ช่วยชี้ถึงปัญหาและข้อผิดพลาดให้ผมได้ไหมครับ? ผมต้องการที่จะเข้าใจถึงข้อบกพร่องหลายๆอย่างของผมเอง”
“ไม่ใช่ค่ะ คุณเป็นคนที่ยอดเยี่ยมจริงๆค่ะ โถ่ เพราะอะไรท่านถึงได้ข้อสรุปอย่างนั้นได้ล่ะคะเนี่ย?”
ฉันไม่เข้าใจเลย
โอ๊ะ พอฉันมาลองคิดดูแล้ว เขาบอกว่าเขายุ่งกับธุรกิจของตัวเองมากจนเขาไม่ได้ไปมีความสัมพันธ์รักๆใคร่ๆกับผู้หญิงคนอื่นเลย
ฉันก็คิดว่านั่นเป็นแค่คำพูดสวยหรูเท่านั้นเพราะความมีเสน่ห์ของเขา แต่อย่าบอกนะว่านั่นเป็นความจริงน่ะ?
หากว่าเป็นคนๆนั้นเป็นคนที่ไม่มั่นใจในตัวเองจริงๆล่ะก็ งั้นเธออาจจะคิดว่านั่นเป็นเรื่องจริงก็ได้
“ถ้าฉันพูดอาจจะฟังดูยังไงๆอยู่ แต่ว่าท่านพ่อกับท่านแม่รักฉันมากๆเลยค่ะ ถ้าหากว่าถึงคราวที่ท่านจิโนเรียสไปตกหลุมรักผู้หญิงคนอื่นเข้า พวกท่านคงจะทำทุกวิถีทางด้วยอำนาจที่มีอยู่เพื่อทำให้คุณล่มจมค่ะ ท่านแม่ ที่จริงแล้วเป็นน้องสาวของฝ่าบาท และพระองค์ก็รักท่านมากๆ มากพอที่จะทำให้พระองค์เปลี่ยนเป็นคนละคนเพียงเพื่อทำตามคำขอของท่าน ฝ่าบาทจะต้องทรงกริ้วแน่ หากว่าท่านวิ่งไปหาพระองค์พร้อมน้ำตา
“อำนาจของท่านแม่นั้นเด็ดขาด ถ้าหากว่าพวกท่านไม่ได้ทำลายคุณในทันทีในตอนที่คุณนอกใจไปหาผู้หญิงอื่น พวกท่านก็จะลงมือทำเช่นนั้นกับท่านพ่อท่านแม่ของท่าน
อำนาจของท่านแม่จะไม่หายไปจนกว่าฝ่าบาทจะสละราชสมบัติ เพราะงั้นมันจะดำเนินเช่นนี้ไปต่อเนื่องเป็นเวลาอย่างน้อยยี่สิบปี”
ฉันไม่ได้ต้องการที่จะพูดเหมือนกับอวดเบ่งเกี่ยวกับตระกูลของเราจริงๆ แต่ว่ามันก็ช่วยไม่ได้
ฉันได้แสดงให้เขาเห็นถึงแำนาจของตระกูลของเรา เพื่อที่เขาจะได้เข้าใจถึงความสิ้นหวังในอนาคตข้างหน้าที่จะต้องเจอ
“เอิ่ม ขออภัยนะครับ แต่ว่าถ้าอย่างนั้นแล้วท่านพูดเรื่องพวกนี้ทำไมงั้นเหรอครับ? ผมไม่ได้มีความคิดที่จะนอกใจท่านแม้แต่นิดเดียวเลยนะครับ”
โอ้ แหม
งั้นคนๆนี้ก็เป็นคนที่แน่วแน่คนหนึ่งเลยสิ
เขาช่างวิเศษเสียจริงๆ
พวกเราตกลงกันไม่ได้ในทีแรก แต่ยิ่งได้คุยกันก็ได้ยิ่งหลงใหลในเสน่ห์ของท่านจิโนเรียส
“ถ้างั้นก็ยิ่งเป็นเหตุผลที่ท่านไม่ควรจะหมั้นกับฉันเลยค่ะ ท่านพ่อบอกฉันว่าคุณนั้นเป็นชายที่ฉลาด การที่ได้มาพบกันในวันนี้ก็ยิ่งทำให้ประจักถึงความจริงเรื่องนั้น ท่านมีรูปร่างหน้าตาที่งามสง่าและวาทะศิลป์ที่ดีเลิศ ตัวฉันสามารถมองเห็นถึงความเอาใจใส่ผู้อื่นของท่านได้เลยล่ะค่ะ ทั้งท่านยังเป็นคนที่จิตใจดีมากๆ ถ้าหากว่าเรื่องนอกใจไม่ได้มีอยู่ในหัวตั้งแต่แรกแล้ว งั้นท่านจิโนเรียสก็เป็นอัญมณีดีๆนี่เองล่ะค่ะ และสตรีมากมายจะต้องหลงเสน่ห์ของท่านเป็นแน่ เพราะงั้นมันคงจะน่าเศร้าถ้าหากว่าคนอย่างท่านจะมีต้องมาอยู่กับคนอย่างฉันค่ะ”
“ขออภัยในความไร้มารยาทนะครับ ผมทราบดีว่านี่อาจจะเป็นเรื่องที่พูดคุยกันได้ลำบาก แต่ว่าคุณหนูไม่ได้กำลังแบกรับปัญหาอะไรอยู่ใช่ไหมครับ? ถ้าหากว่าท่านไม่ว่าอะไร ให้ผมได้ช่วยเถอะนะครับ”
ฉันกำลังเจอกับปัญหาเข้าจริงๆตอนที่เขาบอกกับฉันแบบนั้น
อย่าบอกนะว่าเขาไม่เป็นรูปร่างหน้าตาของฉันน่ะ?
ตั้งแต่แรกเริ่ม ทำไมเขาถึงได้ตอบกลับมาในลักษณะของคำอธิบายกับฉันล่ะ?
ช่วยไม่ได้ที่ฉันจะหัวเราะออกไป เพราะความบ้าบอทั้งหมดนั่น มันช่างตลกเสียจริงที่เราไม่ได้คุยอยู่ในเรื่องเดียวกัน
และเขายังเสนอที่จะช่วยเหลือฉัน ถึงแม้วันนี้จะเป็นการพบกันกับฉันเป็นครั้งแรก
เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะหลงใหลในเสน่ห์ความเป็นผู้หญิงของฉัน เพราะงั้นเขาจะต้องเป็นคนที่ใจดีอย่างแท้จริงในทุกแง่มุมเป็นแน่
“เรื่องปัญหาของฉัน ฉันกำลังหมายถึงเรื่องรูปร่างหน้าตาของฉันน่ะค่ะ รูปร่างหน้าตาที่ไม่น่ามองนี้เป็นสิ่งที่ไม่น่าพิสมัยและมันคงจะน่าสงสารหากว่าคุณจะต้องมาแต่งกับฉัน ไม่คิดเช่นนั้นบ้างหรือคะ? ยิ่งไปกว่านั้น ท่านพ่อท่านแม่ของฉันก็มีอำนาจมากมายมหาศาล เพราะงั้นฝ่ายเจ้าบ่าวไม่มีทางที่จะหันไปหาหญิงอื่นได้ มีเพียงแค่โชคชะตาที่แสนเศร้าเฝ้ารอผู้ที่จะมาแต่งงานกับตัวฉันค่ะ ถ้าหากว่าพวกเราคิดจากในมุมของฝ่ายชายที่จะมาเป็นคู่ครองของฉันน่ะค่ะ”
“หรือว่า… ท่านกำลังคิดว่าท่านจะไม่มีความสุขในชีวิตคู่งั้นเหรอครับ?”
ฉันตะลึงอีกครั้งกับคำถามที่ไม่คาดคิดของท่านจิโนเรียส
ดูสิ พวกผู้ชายทั้งหลายต่างขับไสไล่ส่งเมื่อพวกเขาเห็นรูปร่างหน้าตาที่น่ารังเกียจของฉัน
นั่นคือเหตุผลที่ฉันไม่สามารถจะหาคู่แต่งงานได้จนถึงตอนนี้
ไม่มีใครจะแม้แต่จะถามฉันถึงความสุขในการเป็นเจ้าสาว
“ความสุขในชีวิตคู่…เหรอคะ ฉันไม่เคยคิดเรื่องนั้นเลยค่ะ ฉันหน้าตาเป็นแบบนี้ ฉันเลยยอมแพ้เรื่องการแต่งงานไปนานแล้วล่ะค่ะ”
ท่านจิโนเรียสดูผงะไปเมื่อฉันพูดออกมาเช่นนั้น ราวกับว่าเขาพึ่งจะได้รับการกระแทกอย่างรุนแรง
คำตอบของเราแปลกงั้นเหรอ?
“…โปรดอย่าพึ่งยอมแพ้ด้วยครับ”
“เอ๋?”
“โปรดอย่าพึ่งยอมแพ้! หน้าตาน่าเกลียดแล้วมันยังไง!? ก็แค่รูปร่างต่างจากคนอื่นๆไม่ใช่เหรอ? แล้วทำไมท่านจะต้องยอมแพ้ในทุกๆอย่างเพราะหน้าตานั่นด้วยล่ะครับ!?
อย่ายอมแพ้!
อย่ายอมแพ้ที่จะมีความสุข!
ท่านเองก็สามารถที่จะมีความสุขได้!
จะแค่ฝันว่าได้มีความสุขก็ได้ไม่เป็นไร!
เพราะงั้นช่วยอย่ายิ้มแบบนั้น เหมือนกับว่าท่านยอมแพ้ไปแล้ว!
ชีวิตของท่านพึ่งจะแค่เริ่มต้น เข้าใจนะครับ!”
ท่านจิโนเรียสกระโดดขึ้นและก้าวออกมาหาฉัน เขากุมไหล่ของฉันเอาไว้ และน้ำตาก็เอ่อขึ้นในตาของเขา
ความโศรกเศร้าของดวงวิญญาณ
คำเหล่านั้นลอยขึ้นมาในหัว
เหมือนกับเสียงคร่ำครวญของทหารผู้ซึ่งถูกจับไว้โดยประเทศอริศัตรูและถูกทรมาณในฐานะทาสเป็นระยะเวลานาน แสดงถึงความเจ็บปวดออกมาเพื่อที่จะยังคงรักษาจิตวิญญาณความเป็นมนุษย์เอาไว้
คำเหล่านั้นทั้งหนักแน่น และน้ำหนักของพวกมันได้สะท้อนให้เห็นถึงความกลัดกลุ้มที่เขาต้องอดทนมานานหลายทศวรรษต่อเนื่อง
แน่นอนว่าท่านจิโนเรียสนั่นพึ่งจะอายุเพียงสิบหกปี และเขาเป็นบุตรชายของไวส์เคานต์
ไม่มีทางที่เขาจะเคยเผชิญเรื่องแบบนั้นได้
อย่างไรก็ตาม คำที่เขาปลดปล่อยออกมาฟังเหมือนกับเสียงร้องไห้ที่เอ่อขึ้นมาจากก้นบึ้งของหัวใจ ราวกับมันมาจากใครบางคนที่ทนทุกข์กับบาดแผลมาแทบจะทั้งชีวิต และน้ำหนักของมันนั้นก็ยิ่งใหญ่เกินกว่าที่เด็กสาวอย่างฉันจะปฏิเสธได้ง่ายๆ
ยอมแพ้
แน่ล่ะ นั่นก็จริงของเขา
ฉันน่ะได้ยอมแพ้เรื่องการแต่งงานกับผู้ชายและเติมเต็มความสุขไปนานแล้ว
“ผมต้องการที่จะให้คุณยอมให้ผมเป็นเครื่องมือนำมาซึ่งความสุขในชีวิตที่เหลือต่อจากนี้”
ท่านจิโนเรียสจู่ๆก็คุกเข่าลงและประทับรอยจูบลงบนหลังมือของฉัน
(!!!!!!!)
นี่มัน!!
นี่มันคือธรรมเนียมปฏิบัติสำหรับเวลาคนจะสารภาพรักกันนี่!
ฉันช่วยไม่ได้ที่จะรู้สึกสั่นเป็นอย่างมากเมื่อได้รับคำสารภาพรักจากสุภาพบุรุษ
ไม่สิ ไม่มีทางที่มันจะเกิดขึ้นได้อยู่แล้ว
ฉันข้ามไปถึงข้อสรุปในทันที
อย่างกับว่ามันจะมีวันที่สุภาพบุรุษมาสารภาพรักกับฉันอย่างนั้นล่ะ!
นั่นมันไม่มีทางที่จะเป็นไปได้อยู่แล้ว!
“แต่งงานกับผมนะ ผมสัญญาว่าผมจะทำให้ท่านมีความสุข เพราะงั้นช่วยอย่ายอมแพ้ในความสุขของตัวเองด้วยนะครับ”
(!!!!!!!)
ไม่มีทางน่า… นี่เราไม่ได้ฟังผิดไปใช่ไหม?
ท่านจิโนเรียสสีหน้าเย็นชาคนนั้นกำลังมองมาที่เราด้วยสายตาที่ร้อนแรง
ดวงตาสีม่วงของเขาดูเหมือนกำลังลุกไหม้ด้วยไฟ และฉันเองก็ยังรู้สึกได้ถึงความร้อนที่กำลังคืบคลานบนใบหน้าของฉัน ฉันละสายตาจากเขาไม่ได้เลย
“……คะ…….ค่ะ……”
ความร้อนผ่าวที่คุกกรุ่นในดวงตาที่งดงามของเขาได้กลืนกินฉันเข้าไป ฉันจึงเผลอดีใจและลงเอยที่ให้คำตอบไปว่า ‘ค่ะ’
“ขอบคุณครับ”
รอยยิ้มของท่านจิโนเรียสช่างเจิดจ้าราวกับเขายิงลำแสงมาที่เรา
มันเป็นครั้งแรกเลยที่ฉันเห็นเขามีความสุขถึงขนาดนี้ตั้งแต่ที่พวกเราได้พบกัน และความสดใสของมันก็ได้หลอมหัวใจฉันไปแล้ว
(เอออออออ๋!!!!!!)
ท่านจิโนเรียสยืนขึ้นด้วยสองเท้าของตนและได้กอดฉันด้วยการเคลื่อนไหวที่ลื่นไหล เป็นครั้งแรกของฉันที่ได้ถูกกอดโดยสุภาพบุรุษ
ฉันรู้สึกอายขึ้นมาทันที ฉันไม่รู้ว่าจะต้องทำยังไง ฉันเลยได้แต่ยืนแข็งทื่อและนิ่งอยู่ตรงนั้น
ฉันได้ยินเสียงใครบางคนกระแอม ฉันเลยหันมองรอบๆ และภาพของท่านพ่อท่านแม่ของพวกเรา เหล่าทหารยามและข้ารับใช้ก็ได้ประจักสู่สายตา — ทุกๆคนตรงนั้นต่างทอดสายตามองมาที่พวกเรา
ทุกๆคนต่างได้เห็นการสารภาพรัก และพวกเขาก็ได้เห็นฉันที่ถูกสวมกอด
มีไฟไหม้ขึ้นที่แก้มฉันแล้ว…………
“แหม แหม ไม่เห็นเป็นไรเลยนี่คะ? ขนาดแอนนายังดีใจโดนเกี้ยวอย่างหลงใหลแบบนั้นเลย”
โถ่ ท่านแม่คะ
ช่วยหยุดพูดแบบนั้นทีเถอะค่ะ
ฉันอายมากๆจนอยากจะตายให้ได้แล้วนะคะ
==================
*หากแปลผิดพลาดประการใด ขออภัยมา ณ ที่นี้
*สามารถติ/คอมเมนต์ความเห็นกันได้ที่ด้านล่าง
แปลไทยโดย: MountainIbex
MANGA DISCUSSION