แต่งงานกับขุนนางกอบลินที่ลือกันว่าน่าเกลียด แต่เธอกลับน่าเอ็นดูสุดๆ ~ความพยายามของนายน้อยเพื่อเอาชนะใจคุณหนูกอบลิน - ตอนที่ 2 การพบปะดูตัว
“เอาล่ะ งั้นพวกเราปล่อยให้พวกหนุ่มสาวคุยเล่นกันดีกว่านะ”
พวกเรากำลังมีความสุขกับการพูดคุยที่สบายๆ เมื่อตอนที่จู่ๆดยุคก็กล่าวขึ้นมาเช่นนั้น และเพราะอย่างนั้นดยุคและดัชเชสและท่านพ่อท่านแม่ของผมก็ออกไปจากห้อง เหลือเพียงแค่เราสองคนที่ยังคงนั่งอยู่
อนาสตาเซียมองมาที่ผมอย่างติดจะขอโทษ
“คุณอยากจะไปเดินเล่นที่สวนกับผมไหมครับ? สวนของเราคงจะเทียบไม่ติดกับสวนของตระกูลเซเว่นสเวิร์ธ แต่ว่าคุณก็ยังสามารถที่จะเชยชมความงดงามของเหล่าดอกซิธิสได้ ซึ่งผมเชื่อว่ามันหาไม่ได้ที่เมืองหลวง”
ผมเชิญชวนคุณหนูอนาสตาเซียไปยังสวน
“โอ๊ะ แหม ดอกซิธิสที่บานสะพรั่งสินะคะ? ฉันตั้งตารอเลยค่ะ”
เธอตอบกลับมาด้วยรอยยิ้ม ผมจึงยื่นแขนไปเพื่อนำทางเธอ
ผมได้ทำธุรกิจกับเหล่าขุนนางและเหล่าพ่อค้ามาหลายปีแล้ว เพราะงั้นผมค่อนข้างเชื่อว่าผมน่าจะเก่งมากขึ้นแล้วในเรื่องการเชิญชวนเหล่าคุณหนูทั้งหลาย
“ท่านจิโนเรียสคะ มีบางอย่างที่ฉันอยากที่จะพูดกับท่านค่ะ”
เธอพูดโพล่งขึ้นมาในขณะที่อยู่ระหว่างการเดินเล่น เหมือนกับว่ากำลังรอเวลาที่การสนทนาของพวกเราลดน้อยถอยลง
“ถ้าอย่างนั้น ผมจะให้คนเตรียมชามาไว้ให้สำหรับพวกเราที่ศาลาทางนั้นนะครับ ไว้เราไปคุยกันต่อที่นั่นเถอะ”
เหล่าคนรับใช้ที่ยืนรอเตรียมพร้อมอยู่ในที่ที่ห่างจากพวกเราออกไปนิดหน่อย ผมได้ร้องขอให้พวกเขาเตรียมชาเอาไว้
“งั้น คุณอยากจะคุยเรื่องอะไรงั้นหรือครับ?”
ผมได้สั่งให้พวกข้ารับใช้ถอยออกไปให้ห่างประมาณหนึ่งหลังจากที่เตรียมชาเสร็จ และผมก็ได้เชิญชวนให้เธอคุยอีกครั้งหลังจากที่พวกนั้นออกไปพ้นระยะ
“ดิฉันต้องขอโทษด้วยจริงๆค่ะ ท่านจิโนเรียส ท่านพ่อเป็นคนที่ตัดสินใจเรื่องการหมั้นหมายนี้เองโดยพลการค่ะ ดิฉันจะไปคุยกับท่านพ่อและทำอะไรสักอย่างเรื่องนี้เอง ได้โปรดช่วยให้เวลาฉันสักหน่อยนะคะ”
คุณหนูอนาสตาเซียลุกขึ้นจากที่นั่งของเธอ เธอจับกระโปรงของเธอด้วยมือทั้งสองข้างของเธอและได้แสดงถึงกิริยามารยาทที่สง่างามนั้นต่อหน้าผม โดยการก้มหัวของเธอลงอย่างงดงาม
มันช่างเป็นเสน่ห์ที่ชวนมองเป็นอย่างมากและท่วงท่าของเธอก็แสดงถึงความเป็นผู้ดี สมกับที่เป็นบุตรีของดยุค
“นี่คุณกำลังจะบอกผมว่าพวกเราจะยกเลิกการหมั้นงั้นเหรอครับ?”
ผมถามคุณหนูอนาสตาเซียหลังจากที่เธอนั่งลงอีกครั้ง
“ใช่ค่ะ”
นั่นคือสิ่งที่เธอตอบกลับมา
เดี๋ยวก่อน หรือว่านางอาจจะตกหลุมรักใครบางคนอยู่ก่อนแล้ว?
ผมพยายามที่จะพูดคุยกับเธอให้ชัดเจน
“อย่างงี้นี่เอง คุณน่าจะมีคนอื่นในใจอยู่แล้วสินะครับ?”
“ตอนนี้ยังไม่มีค่ะ ยังไม่มีคนแบบนั้นหรอก”
คุณหนูอนาสตาเซียตอบกลับมา ดูหัวเสียนิดหน่อย
ดูเหมือนว่าเธอจะกำลังพูดความจริง เห็นได้จากสีหน้าท่าทางของเธอ
ถ้างั้น ก็มีเหตุผลเพียงข้อเดียวล่ะมั้ง
“ถ้าอย่างนั้น คงเป็นความผิดของผมจริงๆสินะครับ โปรดอภัยให้ผมในความไม่ละเอียดอ่อนนี้ด้วย ผมไม่ค่อยสันทัดในเรื่องผู้หญิงเท่าไหร่น่ะครับ”
ผมเคยเป็นคนหน้าตาห่วยแตกในชาติที่แล้ว แต่ว่าหัวใจของผมก็อาจจะเป็นของพวกหน้าตาห่วยแตกในทุกอณูด้วยเหมือนกัน
ในโลกใบนี้ ผมได้เรียนรู้วิธีจัดการกับเหล่าสตรีที่ร่วมงานและเหล่าญาติๆทั้งหลาย แต่ว่าพอเป็นเรื่องความรักและการแต่งงานแล้ว ดูเหมือนแผลเป็นนั่นจะโผล่ออกมาอีกสินะเนี่ย
“ไม่ใช่ค่ะ ไม่มีทางที่จะเป็นเช่นนั้นหรอกค่ะ”
“ไม่เป็นไรครับ ไม่จำเป็นต้องเห็นใจกันหรอก ผมเข้าใจอยู่เต็มอกถึงความไม่ละเอียดอ่อนเมื่อเป็นเรื่องผู้หญิง ถ้าหากว่าคุณไม่ว่าอะไรล่ะก็ ช่วยชี้ถึงปัญหาและข้อผิดพลาดให้ผมได้ไหมครับ? ผมต้องการที่จะเข้าใจถึงข้อบกพร่องหลายๆอย่างของผมเอง”
“ไม่ใช่ค่ะ คุณเป็นคนที่ยอดเยี่ยมจริงๆค่ะ โถ่ เพราะอะไรคุณถึงได้ข้อสรุปอย่างนั้นได้ล่ะคะเนี่ย?”
ถึงอย่างนั้น ผมก็พยายามจะเค้นคำตอบจากเธอเท่าที่จะทำได้ แต่ผมก็ไม่ได้ข้อมูลอะไรสักอย่างจากเธอในเรื่องที่ผมทำพลาดไปในท้ายที่สุด
ถ้าอย่างนั้นผมคงจะไม่สามารถพัฒนาได้น่ะสิ
“ถ้าฉันพูดอาจจะฟังดูยังไงๆอยู่ แต่ว่าท่านพ่อกับท่านแม่รักฉันมากๆเลยค่ะ ถ้าหากว่าถึงคราวที่ท่านจิโนเรียสไปตกหลุมรักผู้หญิงคนอื่นเข้า พวกท่านคงจะทำทุกวิถีทางด้วยอำนาจที่มีอยู่เพื่อทำให้คุณล่มจมค่ะ ท่านแม่ ที่จริงแล้วเป็นน้องสาวของฝ่าบาท และพระองค์ก็รักนางมากๆ มากพอที่จะทำให้พระองค์เปลี่ยนเป็นคนละคนเพียงเพื่อทำตามคำขอของนาง ฝ่าบาทจะต้องทรงกริ้วแน่ หากว่านางวิ่งไปหาพระองค์พร้อมน้ำตา
“อำนาจของท่านแม่นั้นเด็ดขาด ถ้าหากว่าพวกท่านไม่ได้ทำลายคุณในทันทีในตอนที่คุณนอกใจไปหาผู้หญิงอื่น พวกท่านก็จะลงมือทำเช่นนั้นกับท่านพ่อท่านแม่ของท่าน
อำนาจของท่านแม่จะไม่หายไปจนกว่าฝ่าบาทจะสละราชสมบัติ เพราะงั้นมันจะดำเนินเช่นนี้ไปต่อเนื่องเป็นเวลาอย่างน้อยยี่สิบปี”
หัวข้อที่ฉุกละหุกแบบนี้มันอะไรกันเนี่ย?
ไม่มีทางที่เราจะนอกใจเธอได้อยู่แล้ว
ก็พอจะมีบางคนในหมู่คนที่เรารู้จักที่ทรยศคู่ของตนและหย่าหลังจากนั้น แต่ก็ไม่เห็นมีสักคนเดียวที่มีความสุขในตอนท้าย
พวกที่ไม่ได้แต่งงานกับคนที่พวกเขารักก็จะครองโสดจนแก่เฒ่า ในขณะที่พวกที่แต่งงานอีกหนกับคู่ที่ตัวเองนอกใจไปกลับต้องหย่าร้างอีกรอบเมื่อพวกเขาแก่ตัวลง คู่ของพวกเขายังกอบโกยเงินเกษียณทั้งหมดไปด้วย ทำให้พวกเขาต่างลงเอยที่เป็นตาเฒ่ายาจกตัวคนเดียว
แต่แรก ผมก็เชื่อจากใจจริงว่าไม่มีทางที่จะเป็นไปได้สำหรับคนๆหนึ่งที่จะมีความสุขกับผู้หญิงที่ไปแย่งและไปยุ่งกับคนอื่นที่ไม่ใช่ของๆเธออยู่แล้ว
เพราะอย่างนั้นผมจึงไม่เคยนึกฝันเรื่องที่จะนอกใจเลย
ผมเบื่อบั้นปลายชีวิตที่โดดเดี่ยวเต็มทนแล้ว
จะเป็นใครก็ไม่เกี่ยวหรอก
ผมแค่อยากจะอยู่เคียงคู่กับใครสักคน
และคนๆนั้นก็เป็นเหมือนคนอย่างคุณหนูอนาสตาเซีย — เป็นคนใจเย็น สง่างาม และจิตใจดี — ผมคงไม่ขออะไรไปมากกว่านี้
“เอิ่ม ขออภัยนะครับ แต่ว่าถ้าอย่างนั้นแล้วคุณพูดเรื่องพวกนี้ทำไมงั้นเหรอครับ? ผมไม่ได้มีความคิดที่จะนอกใจคุณแม้แต่นิดเดียวเลยนะครับ”
ผมตั้งคำถามนั้นกับคุณหนูอนาสตาเซีย
“ถ้างั้นก็ยิ่งเป็นเหตุผลที่ท่านไม่ควรจะหมั้นกับฉันเลยค่ะ ท่านพ่อบอกฉันว่าคุณนั้นเป็นชายที่ฉลาด การที่ได้มาพบกันในวันนี้ก็ยิ่งทำให้ประจักถึงความจริงเรื่องนั้น ท่านมีรูปร่างหน้าตาที่งามสง่าและวาทะศิลป์ที่ดีเลิศ ตัวฉันสามารถมองเห็นถึงความเอาใจใส่ผู้อื่นของท่านได้เลยล่ะค่ะ ทั้งท่านยังเป็นคนที่จิตใจดีมากๆ ถ้าหากว่าเรื่องนอกใจไม่ได้มีอยู่ในหัวตั้งแต่แรกแล้ว งั้นท่านจิโนเรียสก็เป็นอัญมณีดีๆนี่เองล่ะค่ะ และสตรีมากมายจะต้องหลงเสน่ห์ของท่านเป็นแน่ เพราะงั้นมันคงจะน่าเศร้าถ้าหากว่าคนอย่างท่านจะมีต้องมาอยู่กับคนอย่างฉันค่ะ”
หืม? น่าเศร้า?
คนๆนี้… นี่เธอกำลังแบกรับปัญหาอะไรอยู่รึเปล่า?
“ขออภัยในความไร้มารยาทนะครับ ผมทราบดีว่านี่อาจจะเป็นเรื่องที่พูดคุยกันได้ลำบาก แต่ว่าคุณหนูไม่ได้กำลังแบกรับปัญหาอะไรอยู่ใช่ไหมครับ? ถ้าหากว่าคุณไม่ว่าอะไร ให้ผมได้ช่วยเถอะนะครับ”
คุณหนูอนาสตาเซียตื่นตะลึงเมื่อผมพูดออกไปเช่นนั้น
อืม ดูเหมือนว่าพวกเราจะกำลังคุยคนละเรื่องกันอยู่ตั้งแต่ก่อนหน้านี้นะ
“ขอบคุณมากๆเลยค่ะ แต่ว่าคุณช่วยอะไรไม่ได้หรอกค่ะ”
เธอหัวเราะคิกคักในขณะที่ตอบ
“เรื่องปัญหาของฉัน ฉันกำลังหมายถึงเรื่องรูปร่างหน้าตาของฉันน่ะค่ะ รูปร่างหน้าตาที่ไม่น่ามองนี้เป็นสิ่งที่ไม่น่าพิสมัยและมันคงจะน่าสงสารหากว่าคุณจะต้องมาแต่งกับฉัน ไม่คิดเช่นนั้นบ้างหรือคะ? ยิ่งไปกว่านั้น ท่านพ่อท่านแม่ของฉันก็มีอำนาจมากมายมหาศาล เพราะงั้นฝ่ายเจ้าบ่าวไม่มีทางที่จะหันไปหาหญิงอื่นได้ มีเพียงแค่โชคชะตาที่แสนเศร้าเฝ้ารอผู้ที่จะมาแต่งงานกับตัวฉันค่ะ ถ้าหากว่าพวกเราคิดจากในมุมของฝ่ายชายที่จะมาเป็นคู่ครองของฉันน่ะค่ะ”
อา ในที่สุดเราก็เข้าใจแล้ว
ถ้างั้นคุณหนูอนาสตาเซียคงกังวลเรื่องหน้าตาของตัวเองสินะเนี่ย
ผมไม่ได้สนใจเรื่องนั้นเลย ผมดันกังวลเรื่องความสามารถในการสร้างสัมพันธ์ที่ห่วยแตกของเรามากกว่า โดยเฉพาะกับเรื่องความรัก เพราะงั้นผมเลยไม่ได้ตระหนักถึงเรื่องนั้นเลย
“ฉันกำลังคิดว่าจะบอกให้ท่านพ่อท่านแม่ไปรับเลี้ยงบุตรบุญธรรม และให้เขาสืบทอดวงศ์ตระกูลเซเว่นสเวิร์ธต่อไป พวกเขายังไม่ยอมแพ้ในการจะหาคู่แต่งงานให้ฉันเลยค่ะ แต่ถ้าลองผ่านไปสักสิบปี พวกท่านก็คงจะไม่หวังอีกต่อไปแล้ว เพราะอย่างนั้นคุณไม่จำเป็นต้องยื่นมือเข้ามาช่วยก็ได้ค่ะ ท่านจิโนเรียส กาลเวลาจะแก้ไขทุกอย่างเองค่ะ”
ไม่ ไม่ ไม่มีอะไรที่จะถูกแก้ด้วยของแบบนั้นหรอก
ปัญหาของตระกูลอาจจะถูกแก้ ก็ใช่หรอก แต่ว่าแล้วเธอวางแผนเรื่องที่ตัวเองจะมีความสุขเอาไว้แล้วเหรอ คุณหนูอนาสตาเซีย?
คุณกำลังมุ่งหน้าไปสู่การแก่ตัวลงเพียงลำพังอยู่นะ
อ๊า
บางทีเธออาจจะเป็นประเภทที่คิดไปแล้วว่าเธอคงจะไม่มีทางได้รับความสุขจากการแต่งงานสินะ?
ผมได้ยินพวกขุนนางยศสูงหลายคนก็เป็นกันแบบนั้น เพราะว่าพวกเขาต้องแต่งงานทางการเมืองโดยเลี่ยงไม่ได้
“หรือว่า… คุณกำลังคิดว่าคุณจะไม่มีความสุขในชีวิตคู่งั้นเหรอครับ?”
“ความสุขในชีวิตคู่…เหรอคะ ฉันไม่เคยคิดเรื่องนั้นเลยค่ะ ฉันหน้าตาเป็นแบบนี้ ฉันเลยยอมแพ้เรื่องการแต่งงานไปนานแล้วล่ะค่ะ”
คุณหนูอนาสตาเซียยิ้มอย่างเศร้าสร้อย
ผมรู้สึกเหมือนหัวใจถูกบีบอย่างเจ็บปวดแสนสาหัสเมื่อมองเห็นรอยยิ้มนั้น
นั่นทำให้ผมนึกออก
ผู้หญิงคนนี้เหมือนกับ “ผม” ในชาติก่อน
เธอเหมือนกับผม คนที่ไม่ถูกปฏิบัติในฐานะมนุษย์ แค่ เพียงเพราะว่าหน้าตาอัปลักษณ์
รอยยิ้มนั่น — เหมือนกับที่ผมเคยยิ้มเมื่อก่อนเลย
ผมเองก็เคยยิ้มแบบนั้นเหมือนกัน รอยยิ้มของคนที่แสดงถึงความสิ้นหวังในทุกๆสิ่ง
อกผมรู้สึกร้อนผ่าว เหมือนกับลาวาที่เดือดปุดๆกำลังปะทะกับคลื่นสึนามิในตัวผม
“…โปรดอย่าพึ่งยอมแพ้ด้วยครับ”
“เอ๋?”
“โปรดอย่าพึ่งยอมแพ้! หน้าตาน่าเกลียดแล้วมันยังไง!? ก็แค่รูปร่างต่างจากคนอื่นๆไม่ใช่เหรอ? แล้วทำไมคุณจะต้องยอมแพ้ในทุกๆอย่างเพราะหน้าตานั่นด้วยล่ะครับ!?
อย่ายอมแพ้!
อย่ายอมแพ้ที่จะมีความสุข!
คุณเองก็สามารถที่จะมีความสุขได้!
จะแค่ฝันว่าได้มีความสุขก็ได้ไม่เป็นไร!
เพราะงั้นช่วยอย่ายิ้มแบบนั้น เหมือนกับว่าคุณยอมแพ้ไปแล้ว!
ชีวิตของคุณพึ่งจะแค่เริ่มต้น เข้าใจนะครับ!”
เมื่อผมได้สติ ก็รู้สึกตัวขึ้นมาว่าเผลอไปกุมไหล่ของคุณหนูอนาสตาเซียเข้า และกุมจับเธอไว้อย่างแน่น น้ำตาเอ่อออกมาจากตาทั้งสองข้างของผม ราวกับขู่ว่าจะร่วงออกมาทันทีที่ผมประกาศคำเหล่านั้นไปอย่างรุนแรง
ผมได้ใช้เวลาทั้งหมดในการหวนคิดถึงชีวิตของผมหลังจากที่แก่ตัวลงไปแล้ว
ถ้าหากเพียงแค่ผมเชื่อคำเหล่านั้น งั้นบางทีผลลัพธ์อาจจะแตกต่างออกไป บางทีผมอาจจะไม่ต้องกลายเป็นคนที่น่าอนาถ
วันเวลาของผมผ่านพ้นไปกับความรู้สึกผิดที่เป็นผู้ชายที่ขี้ขลาดในช่วงวัยเยาว์
ผมคงจะพ่นคำตะโกนให้กำลังใจของผมถึงตัวผมในอดีตออกไปใส่คุณหนูอนาสตาเซียล่ะมั้ง
เด็กคนนี้เหมือนผม เมื่อตอนที่ผมไม่รู้อะไรเกี่ยวกับความน่าเศร้าและความโดดเดี่ยวของการใช้ชีวิตชราคนเดียวตามลำพัง
วันปีที่ผมใช้ไปตั้งแต่วันที่ผมโดนปลดเกษียณตอนอายุหกสิบปีจนถึงวันที่ผมเสียชีวิตลงได้กลายเป็นเหมือนการเติบโตของเด็กคนหนึ่งไปเป็นผู้ใหญ่
เธอคงจะยังไม่เข้าใจถึงความเจ็บปวดของการที่จะต้องอยู่ตามลำพังยามแก่ตัวลง ที่เป็นเหมือนวันเวลาแห่งความเจ็บปวดที่ไร้ซึ่งจุดจบ
ผมคงจะต้องติดอยู่ในวังวนของความรู้สึกผิดแน่หากผมไม่สามารถที่จะหยุดใครสักคนจากการที่พยายามเดินบนเส้นทางที่มีแต่ขวากหนามของชีวิตแบบนั้นได้
ผมไม่เคยสนใจเรื่องรูปร่างหรือหน้าตาของเธอตั้งแต่แรกแล้ว
ผมไม่เคยต้องการที่จะกลายเป็นคนพวกนั้นที่เลือกจะปฏิบัติกับผู้อื่นแค่เพียงเพราะหน้าตาของพวกเขา
อีกอย่าง ผมรู้ดีว่าความสวยงามนั้นค่อยๆหายไป และผู้คนที่ใช้ชีวิตเกินกว่าครึ่งไปกับความงามที่ค่อยๆจางหายนั่น
ยิ่งไปกว่านั้น บุคคลิกและความเข้ากันได้นั้นสำคัญกับผมมากกว่าเมื่อจะมองหาคนที่ต้องการจะใช้ชีวิตที่เหลืออยู่ด้วยกัน จนกว่าจะแก่เฒ่า
และเธอนั้นวิเศษมากจริงๆ มากเกินกว่าที่ผมคาดหวังเอาไว้ในเรื่องนั้น
ไม่มีเหตุผลอะไรที่ผมจะต้องยกเลิกการหมั้นครั้งนี้
และที่เหนือสิ่งอื่นใด ผมไม่สามารถที่จะสะกดความรู้สึกที่ต้องการจะช่วยเหลือเธอจากเรื่องยากลำบากแบบนั้น
“ผมต้องการที่จะให้คุณยอมให้ผมเป็นเครื่องมือนำมาซึ่งความสุขในชีวิตที่เหลือต่อจากนี้”
ผมคุกเข่าลงไปกับพื้น จับมือเธอและประทับรอยจูบลงไป
นี่ก็สิบหกปีตั้งแต่ที่ผมเริ่มต้นชีวิตใหม่ในฐานะบุตรชายของไวส์เคานต์
ผมเคยได้จูบหลังมือของพี่น้องและเหล่าญาติๆมานับครั้งไม่ถ้วน ผมชินไปเรียบร้อยแล้วล่ะ
“แต่งงานกับผมนะ ผมสัญญาว่าผมจะทำให้คุณมีความสุข เพราะงั้นช่วยอย่ายอมแพ้ในความสุขของตัวเองด้วยนะครับ”
ผิวขาวๆของเธอเริ่มเปลี่ยนสีเป็นสีแดงอย่างรวดเร็ว และส่วนที่เป็นสีเขียวก็ค่อยๆเข้มขึ้น
“……คะ…….ค่ะ……”
แก้มของคุณหนูอนาสตาเซียเปลี่ยนเป็นสีแดงฝาดในขณะที่ลังเลที่จะตอบ
“ขอบคุณครับ”
ผมดีใจมากๆในตอนที่เธอดูเหมือนเริ่มที่เปลี่ยนแปลงมุมมอง แม้ว่าจะเพียงน้อยนิด ผมก็เลยได้ใจและกอดเธอแน่น
“อะแฮ่ม อะแฮ่ม”
พวกเราหันไปหาทิศทางของต้นเสียงกระแอมที่ดัง — ดยุคเซเว่นสเวิร์ธยืนอยู่ตรงนั้น กำลังกระแอมคอตนอยู่
ดัชเชส ท่านพ่อท่านแม่ของผม และแม้แต่เหล่าข้ารับใช้และทหารยามก็ต่างอยู่ตรงนั้นด้วยเหมือนกัน
เหล่าทหารยามทำท่าเหมือนกับพร้อมจะล้มผมลงด้วยกำลังได้ทุกเมื่อ
ดูเหมือนว่า พวกเขาทุกคนจะตื่นตัวในตอนที่ได้ยินผมตะโกนออกมาเสียงดังสุดปอด พวกเขาเลยรีบวิ่งแจ้นมาหาพวกเรา
ยังไงการขึ้นเสียงในระหว่างที่กำลังสนทนากับขุนนางก็ถือว่าเป็นการกระทำที่ผิดนิสัยนั่นล่ะนะ
ผมรีบปล่อยคุณหนูอนาสตาเซียที่กำลังหน้าแดง และกลับไปนั่งที่ของตัวเองในศาลาทันที
คุณหนูอนาสตาเซียเองก็รู้สึกถึงทุกๆคนที่มาเห็นตอนที่เธอถูกกอดแน่นในที่สาธารณะอย่างนี้ ส่วนของผิวขาวๆของเธอยิ่งเป็นสีแดงเข้มขึ้นไปอีก เหมือนกับกุ้งลอบสเตอร์ที่ถูกปรุง และเธอก็ซ่อนใบหน้าไว้ด้วยมือทั้งสองข้างของเธอ
น่าอายชะมัด
กอดผู้หญิงในระหว่างการพบกันครั้งแรก จับไหล่ของเธอ — พวกนี้มันเป็นเรื่องที่เป็นการฝ่าฝืนขนบธรรมเนียมมารยาทสุดๆเลย
มันไม่ใช่สิ่งที่บุตรชายคนที่สี่ของไวส์เคานต์ควรที่จะทำต่อบุตรีของดยุค
“ช่วยยับยั้งช่างใจหน่อย”
ดยุคจ้องมองผมด้วยสายตาเย็นชา
“ขอรับ! กระผมขออภัยในความไร้มารยาทของตัวกระผมขอรับ!”
ผมกล่าวขอโทษออกไปอย่างจริงจัง
“แหม แหม ไม่เห็นเป็นไรเลยนี่คะ? ขนาดอนายังดีใจโดนเกี้ยวอย่างหลงใหลแบบนั้นเลย”
ดัชเชสพูดกับดยุค
“นั่นแหละปัญหา”
ดัชเชสขำคิกคักเมื่อดยุคหันหน้าหนีและพึมพำอย่างหงุดหงิด
==================
*หากแปลผิดพลาดประการใด ขออภัยมา ณ ที่นี้
*สามารถติ/คอมเมนต์ความเห็นกันได้ที่ด้านล่าง
แปลไทยโดย: MountainIbex